ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 7 : ไปน้ำตกกันไหม???

“ใช่คุณจริงๆ ด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่อยู่บนเวทีนั่น” เจ้าของมือหนาที่ยื่นมือมาจับกุมข้อมือบางเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้เธอที่กำลังทำหน้าเหวอสุดๆ ด้วยความคาดไม่ถึง

“ค...คุณพีท ม...มาได้อย่างไรกันคะ” รินรตีตะกุกตะกักถาม ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าเธอจะต้องมาเจอเขาที่นี่ในคืนนี้

“ผมก็มาเที่ยวตามประสานั่นล่ะครับ พอดีอยู่ว่างๆ เพื่อนมันเลยชวนออกมาเที่ยว หาอะไรดื่มกัน ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอคุณที่นี่ ตอนที่เห็นคุณบนเวทีครั้งแรก ผมก็ว่าคุ้นๆ อยู่ นึกอยู่ตั้งนานว่าเคยเห็นคุณที่ไหน” พฤทธิ์บอกกับเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ราวกับดีใจเป็นนักหนาอย่างอารมณ์ดี

“ค... คุณเห็น” รินรตียิ่งเหวอหนักไปกว่าเดิม เมื่อเขาบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าในค่ำคืนนี้เขาได้เห็นอะไรไปบ้าง หมายความว่าต่อให้เธอจะโกหกว่าหญิงสาวบนเวทีคนนั้นไม่ใช่เธอ เขาก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี

‘เฮ้อ! ยายซื่อบื้อรตีเอ๊ย! ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้นะแก’

“ต้องเห็นสิ ผมนั่งดูคุณอยู่ข้างในนั่นตั้งนาน กระทั่งเจ้าหมอนั่นมันก่อเรื่องนั่นล่ะ ผมถึงได้นึกออก เพิ่งรู้นะครับนี่ว่า นอกจากคุณจะเป็นเลขาที่เก่งมากคนหนึ่งแล้วยังมีความสามารถด้านการร้องเพลงอีก เห็นแล้วทึ่งจริงๆ”

พฤทธิ์บอกอย่างชื่นชมแกมยินดี ดูๆ ไปแล้วก็น่าจะมาจากความบริสุทธิ์ใจอยู่หรอก ดวงตาของเขาเวลาที่พร่ำพูดชื่นชมเธอออกมานั้น มันวิบวับแวววาว แสดงออกถึงจริงใจโดยไม่ปกปิด รินรตีเห็นแล้วพาให้ใจที่อ่อนไหวอยู่เดิม ยิ่งยวบนิ่มลงไปอีก

“อ... เอ่อ... ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เธอขอบคุณเขาด้วยเสียงสั่นๆ ยังไม่อาจคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติได้

“พอดีผมเหลือบไปเห็นหลังคุณไวๆ ความที่อยากรู้ว่าเคยเห็นคุณที่ไหน เลยสุ่มออกมารอดู”

เขาบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอแบบเดิม แบบที่รินรตีเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงด้วยความเขิน หลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ที่เธอได้รู้จักและทำงานอยู่ใกล้ชิดกับเขามา คราใดที่เขาส่งยิ้มชนิดนี้มาให้ เป็นอันว่าเธอต้องเกิดอาการแบบนี้ขึ้นมาเสียทุกครั้ง เกรงเหลือเกินว่าสักวันเขาจะรู้ และถ้าวันใดที่เขาเกิดสังเกตเห็นขึ้นมา เธอเองนั่นล่ะที่จะต้องอับอาย ด้วยรู้ทั้งรู้อยู่หรอก ว่าใครคือคนที่อยู่ในใจของเขาเสมอ น้ำหน้าอย่างเธอหรือ จะมีปัญญาไปเทียบเคียงกับหญิงสาวคนนั้น เห็นทีจะยากจนเกินไปเสียกระมัง

“ร... เหรอคะ ค....คือ” เพราะไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี รินรตีได้แต่ก้มหน้าหลบสายตา สองแก้มแดงปลั่งหากไม่มีเครื่องสำอางค์ปกปิดอยู่แล้วละก็ มีหวังความลับที่เธอเฝ้าปกปิดไว้ มันคงจะต้องแตก เขาคงจะสังเกตเห็นได้ในคราวนี้นี่เอง

“อ้าว! เลยพาลติดอ่างกันไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมทำหน้าเจื่อนแบบนั้น หรือว่าผมทำให้คุณตกใจ ต้องขอโทษจริงๆ ผมมัวแต่ดีใจที่ตัวเองเดาถูก เลยรีบเดินเข้ามาทักโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนั้น”

พฤทธิ์อดจะขันในกิริยาท่าทางอันประดักประเดิดของลูกน้องสาวคนสวยขึ้นมาเสียมิได้ จะว่าไปแล้วมันก็แปลกอยู่หรอก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยจะมองเธอในมุมที่เขาเพิ่งจะเห็นเมื่อสักครู่นั่นมาก่อนเลย ทว่าวันนี้มันกลับเปลี่ยนไป เขารู้สึกชื่นชมเธอขึ้นมา อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยจริงๆ

“ม... ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพียงแต่รตีไม่คิดว่าจะพบคุณที่นี่แค่นั้นเอง” หญิงสาวได้แต่บอกไปตามความรู้สึก พยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้นิ่ง ทว่ามันกลับยังสั่นอยู่เช่นเดิม มันน่าโมโหตัวเองเสียจริงๆ

“นั่นสิ! ผมเองก็ไม่ต่างจากคุณหรอก นี่ก็ยังไม่หายประหลาดใจเลย แต่ผมรู้สึกชื่นชม แล้วก็ทึ่งในความสามารถของคุณจริงๆ นะ” พฤทธิ์เอ่ยชมเธออย่างจริงใจ รินรตีได้ยินแล้วก็ให้อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ หัวใจเธอกำลังเต้นถี่ยิบ รู้สึกดีใจเป็นที่สุดกับสิ่งที่ได้ยินกับหู และออกจากปากของเขาเอง

“ขอบคุณค่ะ” เธอขอบคุณเขาพร้อมส่งยิ้มกลับไปหาเขา เป็นยิ้มที่พฤทธิ์มองแล้วถึงกับตะลึงงัน ตอบไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับหญิงสาวตรงหน้า ทำไมจู่ๆ ใจของเขามันถึงได้วิบไหวประหลาด รู้แต่เพียงว่ามันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานแล้ว เหมือนเมื่อครั้งแรกพบกับณิชญาฎา

“ล... แล้วนี่คุณกำลังจะไปไหนหรือเปล่า? หรือว่ากำลังจะกลับบ้าน จริงสิ นี่มันก็ดึกมากแล้วนี่นา แต่เอ๊ะ! ทำไมคุณถึงกลับเร็ว ละครับ คลับยังไม่เลิกเลย” ทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังจ้องเธออยู่ เขารีบกลบความรู้สึกของตนเอง รัวคำถามเป็นชุด จนรินรตีที่กำลังอึ้งกับสายตาของเขา ต้องรีบตั้งสติแล้วเรียบเรียงคำพูดก่อนจะตอบเขาออกไป

“ค่ะ กำลังจะกลับ คือ... มันเป็นกฏเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำน่ะค่ะ คิวทั้งหมดของรตีก็ต้องถูกยกเลิกชั่วคราว คืนนี้เลยถือโอกาสกลับก่อนเวลา”

“งั้นหรือ? แล้วบ้านคุณอยู่แถวไหนละครับ ดึกมากแล้ว ผมไปส่งให้ดีกว่า” พฤทธิ์ก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วลงความเห็นว่ามันดึกอยู่พอควร การที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเพียงคนเดียวค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ พาให้น่าเป็นห่วงเสียมากกว่า เขาจึงรับอาสาไปส่งเธอด้วยความเต็มใจ

“ม... ไม่ต้องหรอกค่ะ บ้านรตีอยู่ไกล แล้วนี่มันก็ดึกมากอย่างที่คุณว่า ลำบากคุณเปล่าๆ เกรงใจด้วยค่ะ”

คำปฏิเสธที่ออกมาจากปากของรินรตีนั้น แท้จริงแล้วมิได้เกิดจากความเกรงใจดังที่เธอว่า แต่มันมาจากการที่เธอพยายามจะกันตัวเองออกห่างจากเขาเสียมากกว่า เพราะอะไรล่ะหรือ ก็เพราะเธอไม่อยากปล่อยให้ความรู้สึกดีๆ มันเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันก็ทำให้เธอต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ต้องหักห้ามความรู้สึก ทั้งที่เธอและเขาอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมเท่านั้นเอง

“เกรงใจอะไรกัน ไปเถอะ ไปขึ้นรถ เดี๋ยวค่อยบอกทางกันบนรถก็ได้ ส่งคุณเสร็จแล้วผมเองก็จะกลับบ้านเลยเหมือนกัน” พฤทธิ์สรุปความตามนิสัยและความเคยชินของคนที่เป็นเจ้านายมาเกือบจะตลอดชีวิต รวบรัดโดยการออกเดินนำเธอกลับไปยังรถของเขาที่จอดเอาไว้ทางด้านหลังก่อนหน้าที่จะเดินตามเธอมา

“ข... ขอบคุณค่ะ คุณพีท” เธอหมดหนทางที่จะปฏิเสธ จำต้องเดินตามเขาไป แล้วเอ่ยขอบคุณตะกุกตะกัก ราวกับว่าตัวเธอเป็นคนติดอ่างมาตลอดชีวิต ทั้งที่ปกติก็พูดจาคล่องแคล่วดีอยู่ ความประหม่าอันสืบเนื่องมาจากความรัก มันช่างมีอานุภาพเหนือความเป็นตัวของตัวเองเสียนี่กระไร คิดๆ ไปแล้วรินรตีก็ให้หนักอกหนักใจนัก

------------------------------------------------

เก้าอี้หนังสีดำหมุนวนไปมาตามแรงผลักของคนนั่งที่กำลังตกอยู่ในอาการเหม่อลอย มองไปยังภายนอกอาคาร อย่างไม่มีจุดหมาย คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาภายในหัวเสียจนขบคิดไม่แตกว่าควรจะหาคำตอบให้กับคำถามไหนก่อนดี หนึ่งในถามนั้นมาจากสิ่งที่พี่เลี้ยงคนเก่าคนแก่ของเธอหยิบยกขึ้นมาพูดให้เธอคิด แท้ที่จริงแล้วเธอกำลังคิดอย่างไรกับคนที่เป็นพ่อของลูกของเธอกันแน่ ถ้าจะบอกว่ารักนั้น มันคงไม่ใช่แน่ๆ เวลาผ่านมานานถึงห้าปี ความรู้สึกดีๆ ที่เธอเคยมีให้กับเขา มันได้มลายหายไปจนสิ้นแล้ว กับการกระทำที่ฝากรอยด่างไว้ในชีวิตของเธออย่างที่ไม่อาจลบ

แต่จะว่าเธอเกลียดเขา มันก็ยังไม่ใช่อีกนั่นแหละ เพราะถ้าหากว่าเธอกำลังเกลียดเขาจริงๆ แล้ว ทำไมถึงได้ยอมให้เขาวนเวียนเข้าออกภายบ้านเธออยู่แบบนี้ แม้จะพยายามบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าที่เธอยินยอมก็เพราะกลัวว่าเขาจะเอาความรักเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับพวกเด็กๆ ไปบอกกับพวกแก แล้วจะนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ซึ่งแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังตอบไม่ได้ ว่าปัญหาที่เธอว่านั้น มันคืออะไร

ทว่าเหนืออื่นใดในตอนนี้ ณิชญาฎากำลังกังวลเสียมากกว่า กับการไปเที่ยวน้ำช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แถมท้ายด้วยวันนักขัตฤกษ์อีกหนึ่งวันตามแผนการที่ภูวิชได้วางเอาไว้นั้น มันจะนำมาซึ่งราบรื่นสนุกสนานให้กับเธอและพวกเด็กๆ จริงน่ะหรือ หรือว่ามันจะกลับกลายมาเป็นความกังวลใจอันหนักหน่วงให้กับเธอในภายหลังกันแน่ ข้อนี้ณิชญาฎาเองก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจนัก แต่ที่รู้ๆ ก็คือในทันทีที่เด็กน้อยทั้งสองได้รู้ว่ากำลังจะได้ไปเที่ยวยังสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน โดยมี ‘ลุงภู’ ขวัญใจของพวกแกร่วมทางไปด้วย พาให้พวกแกดีอกดีใจกันยกใหญ่ แต่ถ้าจะให้เธอยกเลิกแผนการเดินทางในครั้งนี้ เธอก็คงจะก็ทำไม่ได้ลงอยู่ดี ด้วยฐานะของคนเป็นแม่ย่อมจะไม่อยากทำลายความหวังพวกเด็กๆ เป็นแน่

“ใจลอยขนาดนี้ คิดอะไรอยู่หรือแพร” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นยังเบื้องหลัง ดึงความสนใจของหญิงสาวเจ้าของห้องให้ต้องหันกลับมามอง

“อ้าว! พีท มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมแพรไม่เห็นรู้เลย” หญิงสาวเอ่ยทักเขาขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงว่าเธอจะเห็นเขาในห้องทำงานของเธอยามนี้

“นั่นสิ! ก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน ว่ามัวคิดอะไรอยู่ พีทเข้ามายืนจ้องอยู่ตั้งนาน ทำไมแพรถึงยังไม่ยอมหันมาสักที” พฤทธิ์ตอบเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่วายส่งตาล้อเลียนในอาการเหม่อลอยของเธอจนไม่อาจรับรู้ถึงการมาของเขาเลยแม้แต่น้อย

“เหรอ! โทษทีนะจ๊ะ พอดีแพรกำลังคิดเรื่องงานเพลินๆ น่ะ แล้วนี่มีอะไรกับแพรหรือเปล่า ถึงได้มาแพรถึงที่นี่ได้” ณิชญาฎาปดเขาเข้าให้โดยการเลี่ยงไปตอบในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงลิบลับ

“ก็นี่มันเที่ยงแล้วนี่นา พีทว่าจะมาชวนแพรไปกินข้าวกลางวันด้วยกันน่ะ นะแพรนะ ไปกินข้าวเป็นเพื่อนพีทหน่อย” ชายหนุ่มผู้เป็นทั้งเพื่อนและผู้ว่าจ้างไปในคราวเดียวเอ่ยชวนเธอเสียดื้อๆ

“ตายจริง! นี่เที่ยงแล้วเหรอ มิน่าล่ะ ท้องเริ่มร้อง แล้วพีทอยากกินอะไรล่ะจ๊ะ แต่ว่าแพรคงไปไหนไกลๆ ไม่ได้หรอกนะ บ่ายนี้มีประชุมน่ะ ยังคงต้องเตรียมตัวอีกนิดหน่อย” ณิชญาฎามิได้ตอบปฏิเสธ แต่ก็บอกเงื่อนไขเล็กน้อยที่พฤทธิ์เองก็เข้าใจถึงความจำเป็นในด้านการงานของเธอ

“ไม่เป็นไรหรอก กินแถวๆ นี้ก็ได้ เอ... ว่าแต่เราจะไปกินอะไรกันดีน้า....” ชายหนุ่มทำท่าคิดทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับสถานที่ย่านนี้สักเท่าไหร่ หน้าที่ออกความคิดเห็นจึงตกอยู่ที่หญิงสาวเจ้าของห้องไปโดยปริยาย

“ก๋วยเตี๋ยวเรือไหม แถวนี้มีอร่อยๆ อยู่เจ้าหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าท่านรองประธานบริษัทรูปหล่อไฮโซอย่างพีทจะกินได้หรือเปล่านะสิ” แม้เธอจะออกความเห็นไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายต้องถามความสมัครใจของลูกชายเจ้าสัวอย่างเขาอยู่ดี

“ได้สิ! ทำไมจะไม่ได้ แพรกินอะไรพีทก็กินได้ทั้งนั้นแหละ” พฤทธิ์ไม่เกี่ยง มิหนำซ้ำยังตอบรับด้วยคำพูดที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาใส่ใจในความรู้สึกของเธอเพียงใด

“งั้นเราไปกันเลยดีกว่า ช้านักเดี๋ยวคนจะแน่นเสียก่อน” ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ถึงสารที่เขาส่งมาเสียเมื่อไหร่ ทว่าสิ่งที่เธอแสดงออกก็คือการหลีกเลี่ยงทำเป็นไม่รู้เสีย แต่ก็ยังพยายามจะรักษาสัมพันธภาพของเขาและเธอเอาไว้เป็นอย่างดี

“ไปก็ลุกสิจ๊ะคนสวย พีทน่ะ พร้อมตั้งแต่ยังมาไม่ถึงแล้ว” พฤทธิ์ยอกย้อนติดตลก พร้อมกับเดินอ้อมไปเลื่อนเก้าอี้ให้เธอทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดี เรียกรอยขันของหญิงสาวออกมาจนเต็มดวงหน้างามเก๋ เพราะรู้ดีว่านั่นคือหนึ่งในวิธีการประชดประชันอันสุดแสนจะน่ารักของเพื่อนหนุ่มนั่นเอง

ความโดดเด่นของสองหนุ่มสาวที่เพิ่งพากันเดินเข้ามาภายในร้านก๋วยเตี๋ยวเรือริมทางที่มีลักษณะเป็นเพิงเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน เรียกร้องให้ผู้คนรอบข้างต่างพากันหันไปมองอย่างชื่นชมและเห็นพ้องต้องกันว่าคนทั้งคู่ช่างเหมาะสมกันเป็นที่ยิ่ง จะมีก็แต่เพียงสายตาขุ่นเขียวคู่หนึ่งของใครบางคนเท่านั้น ที่นับตั้งแต่แรกเห็นก็แทบจะหมดอารมณ์คีบอาหารใส่ปาก กระแทกอุปกรณ์ในมือลงในชามดังเคร้ง พาให้บรรดาลูกน้องที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วย นั่งงงกันจนเป็นไก่ตาแตก อดไม่ได้ที่จะต้องหันไปมองตามยังจุดที่เจ้านายของพวกเขาเอาแต่จ้องมองไม่วางตา

“นั่น! น้องแพร! น้องแพรใช่หรือเปล่า? ใช่จริงๆ ด้วย น้องแพร ไม่เจอตั้งหลายปี หายไปไหนมานี่” หนึ่งหนุ่มที่นั่งรวมโต๊ะเดียวกับเขาส่งเสียงทักทายดังลั่นเสียจนเกือบจะเป็นตะโกนไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่เข้า มิหนำซ้ำยังทำตาโตเท่าไข่ห่าน ถลาเข้าไปหาเธอ ไม่สนใจว่าใครต่อใครต่างก็หันมามองพวกเขากันจนเป็นตาเดียวไปเสียทั้งร้านเข้านั่นแล้ว

“อ้าว! พี่ต้น สวัสดีค่ะ ไม่นึกว่าจะมาเจอกันที่นี่นะคะ แต่แพรว่าเราคุยกันเบาๆ หน่อยดีไหมคะ เกรงใจคนอื่นเขาน่ะค่ะ” ณิชญาฎาตอบพลางหันไปมองรอบๆ ตัวอย่างขอลุแก่โทษ

ต้นน้ำคือหนึ่งในทีมงานอีกทั้งยังเป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกับภูวิช รวมถึงเป็นรุ่นพี่ของณิชญาฎา แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เขาเป็นหนึ่งในผู้หวังดีที่ร่วมกันพาณิชญาฎาขึ้นไปนอนพักภายในห้องของภูวิชคืนเกิดเหตุ และเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่กำลังดำเนินอยู่ในอีกห้าปีต่อมา

“ช่างประไร เรื่องของเรา คนอื่นไม่...เกี่ยว ว่าไงเรา หายหน้าหายตาไปนาน สวยขึ้นจนผิดหูผิดตาไปเลยนะเรามาๆ มานั่งด้วยกัน ตรงนี้มีที่ว่างอยู่สองที่พอดีเลย” ต้นน้ำลากเสียงยาว พลางเชื้อเชิญหญิงสาว

“ขอบคุณค่ะ พี่ต้นนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ เหมือนเดิมทุกอย่าง ตอนนั้นแพรได้ทุนไปเรียนต่อค่ะ แต่บังเอิญว่ามันกระชั้นไปหน่อย ก็เลยไม่ได้บอกใคร ขอโทษด้วยนะคะ”

เธอตอบคำถามพลางหันหาพฤทธิ์แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอก แม้จะเลยเที่ยงมาเพียงเล็กน้อยแต่ดูเหมือนทั้งร้านจะไม่มีที่นั่งว่างเหลือสำหรับเธอและเขาอีกแล้ว ณิชญาฏาเดินตามเข้าไปนั่งโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าภายในโต๊ะมีใครอีกคนที่นั่งอยู่ก่อน มิเช่นนั้นแล้ว ต่อให้ต้องยืนรออีกนาน เธอก็คงจะปฏิเสธคำชวน หรือไม่คงจะเปลี่ยนร้านไปเลยเป็นแน่

“ต้นน้ำเสียอย่าง อย่างไรก็เสมอต้นเสมอปลายอยู่แล้ว จริงไหมพี่ภู?” ต้นน้ำยิ้มหน้าบานตอบคำ หันไปหาภูวิชเป็นเชิงขอเสียงสนับสนุน

“เกี่ยวอะไรกับพี่วะ” ภูวิชซึ่งนั่งฟังมาตั้งแต่ต้น ตอบอย่างเสียไม่ได้ ชำเลืองมองไปยังร่างบางที่แทบจะผุดลุกจากที่นั่งในทันทีที่รู้ว่ามีเขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วย

“ใจคอจะไม่ทักไม่ทายกันบ้างเลยหรือไงแพร แต่ก็... ไม่เป็นไรหรอก ยังไงๆ พักนี้เราก็เจอกันบ่อยๆ อยู่แล้วนี่นะ ไงพีท! มากับเขาด้วยหรือ” ชายหนุ่มซึ่งอาวุโสสุดในโต๊ะ เลิกคิ้วถาม ใบหน้ายียวน จนคนถูกถามต้องพยายามข่มใจ

“สวัสดีครับพี่ภู มาทานก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เหมือนกันหรือครับ สงสัยจะอร่อยจริงๆ นะนี่” พฤทธิ์เอ่ยทักทาย พร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดจาก บุรุษหนุ่มรุ่นพี่

“อ้าว นี่เจอกันมาก่อนแล้วหรอกหรือครับ ไอ้เราก็มัวแต่ดีใจ เลยไม่ทันได้นึก ว่าแต่แพรยังจำพี่ภูได้ใช่ไหม” ต้นน้ำพร่ำพูดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

“จำได้สิ จำได้แม่นเชียวแหละ จริงไหมแพร” ภูวิชตอบแทนหญิงสาวแบบเป็นนัย ณิชญาฎาที่กำลังอึ้งได้ฟังแล้วถึงกับหน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันที

“ผมถามน้องเขาต่างหาก ส่วนพี่น่ะ ยังไงๆ ก็ต้องจำได้อยู่แล้ว ก็แหม หลังจากงานเลี้ยง พี่เที่ยวได้ถามหาที่อยู่น้องเขาจากใครต่อใครเสียให้ควั่กขนาดนั้น” ต้นน้ำเท้าความไปถึงเหตุการณ์หลังงานเลี้ยงขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ หญิงสาวฟังแล้วได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ไม่นึกว่าชายหนุ่มจะเที่ยวได้ถามข่าวคราวของเธอจากคนอื่นๆ

“หุบปากไปเลยแก พูดมากนัก เดี๋ยวก็ไม่เลี้ยงเสียเลยนี่” คนถูกพาดพิงทำตาดุ ส่งเสียงข่มขู่

“อ้าว! ไหงมาพาลกันแบบนี้ละพี่ โมโหหิวหรือไง แพรสั่งอาหารก่อนสิ คนเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวได้ก๋วยเตี๋ยวช้า แล้วจะพาลโมโหหิวขึ้นมาอีกคน”

หลังจากสั่งอาหารเสร็จ การพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบก็ดำเนินไปอย่างเป็นปกติ จะมีก็แต่ภูวิชที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ต้นน้ำชวนณิชญาฎาพูดคุย ถึงเรื่องราวการผจญภัยของเธอในต่างแดนอย่างสนุกสนาน ทุกสิ่งล้วนตกอยู่ในสายตาของพฤทธิ์โดยตลอด ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจเขาทีละน้อย มองสลับระหว่างภูวิชกับณิชญาฎาอยู่หลายต่อหลายครั้ง เขาแอบตั้งข้อสังเกต ว่าคนทั้งสองม่ใคร่จะเป็นมิตรต่อกันสักเท่าไร นับตั้งแต่ครั้งเจอกันที่โรงพยาบาลนั่นแล้ว นี่เขาพลาดรายละเอียดอะไรไปหรือเปล่า ทำไมจึงเพิ่งเห็นความผิดปกติเหล่านี้นะ พฤทธิ์พยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง แต่ดูท่าว่ามันจะเดาได้ไม่ง่ายเอาเสียเลย

------------------------------------------

ความเครียดขึ้งซึ่งปกคลุมอยู่จนทั่วทั้งคันรถนั้นเป็นผลมาจากการที่ณิชญาฎาเอาแต่นิ่งไม่ยอมพูดยอมจา และนับตั้งแต่มื้อกลางวันได้เสร็จสิ้นลง ทุกอากัปกิริยาของเธอก็ตกอยู่ในการสังเกตุจับตามองของพฤทธิ์โดยตลอด

“มีอะไรหรือเปล่าแพร ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นกังวลใจอะไรหรือเปล่า” พฤทธิ์ตัดสินใจถามขึ้นในระหว่างทางที่ขับรถกลับมาส่งหญิงสาวยังที่ทำงาน แต่ปฏิกิริยาที่ตอบรับกลับมาจากณิชญาฎายังคงมีแต่เพียงความเงียบ เจ้าตัวเอาแต่นิ่งเฉยเหม่อมองออกไปยังนอกรถ โดยมิได้ใส่ใจกับน้ำเสียงและสายตาห่วงใยที่ส่งตรงมายังเธอเลย กระทั่งเขาต้องย้ำเรียกเธอซ้ำๆ อีกหลายต่อหลายหน

“หือ? ว่าไงนะพีท” ณิชญาฎาที่กำลังใจลอยไปถึงไหนๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือกหันกลับมามองเจ้าของเสียงที่กำลังจ้องหน้าอย่างรอคำตอบ ไม่ทันสังเกตุเสียด้วยซ้ำว่าพาหนะที่นำเธอโดยสารกลับมาได้เทียบจอด ณ ลานจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แพรเอาแต่เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองแบบนี้ มันไม่มีประโยชน์ บอกตรงๆ ว่าพีทไม่สบายใจที่เห็นแพรเป็นแบบนี้” พฤทธิ์ ไม่ทวนคำถาม แต่เลือกที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปแทน

“เก็บ เก็บอะไรกัน นี่พีทกำลังพูดถึงอะไร แพรงงไปหมดแล้วนะ” ณิชญาฎาทำหน้าเหรอหรา อย่างไม่เข้าใจจริงๆ กับวัตถุประสงค์ในการถามของเขา

“ระหว่างแพรกับพี่ภู มันมีอะไรกันมากกว่าที่เห็นหรือเปล่า” คำถามตรงๆ ของพฤทธิ์ทำเอาณิชญาฎาหน้าถอดสีลงไปในบัดดล

“อะ...อะไรกันพีท ทำไม จู่ๆ ถึงได้มาถามแพรแบบนี้” เธอหันมาถามกลับแบบตะกุกตะกักเพราะตั้งตัวไม่ทัน นึกตำหนิตัวเองที่ไม่อาจเก็บอาการเอาไว้จนเป็นเหตุห้พฤทธิ์จับสังเกตุได้ เท่าที่ทำได้จึงเป็นแค่การก้มหน้าหลบสายตา พยายามซ่อนรอยพิรุธ ที่ผุดขึ้นมาเกลื่อนดวงหน้าเนียนสวย

“ท่าทางที่แพรแสดงออกเวลาเจอพี่ภู มันดูไม่ค่อยจะปกติเอาเสียขนาดนั้น จะไม่ให้พีทสงสัยได้อย่างไรกัน” พฤทธิ์ย้ำในสิ่งที่เขาเห็นมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังที่ภูวิชพาตัวเองเข้ามาวันเวียนอยู่ใกล้ครอบครัวเล็กๆ ของณิชญาฎา จนเกือบจะจะเรียกได้ว่าเป็นแขกประจำของบ้านไปแล้วก็ว่าได้

“เอาที่ไหนมาพูดกันพีท แพรไม่มีอะไรสักหน่อย” ณิชญาฎาอ้อมแอ้มตอบเสมองออกไปนอกรถ หารู้ไม่เลยว่าอากัปกิริยาที่แสดงออกของเธอ กลับกลายเป็นตอกย้ำความเข้าใจของพฤทธิ์มากยิ่งขึ้นไปอีก

“แพรกับพี่ภูต้องเคยมีปัญหาบางอย่างกันมาก่อน พีทดูไม่ผิดแน่ ไม่อย่างนั้นแพรคงไม่มานั่งทำหน้าเหมือนแบกโลกทุกครั้งที่ได้เจอเขาแบบนี้หรอก จริงไหม?” เขาต้อนถามจนเธอหน้าเผือดสีลงไปกว่าเดิมอีกถนัดใจ

“เอ... พีทนี่ก็แปลกนะ คนบอกว่าไม่มีอะไร ยังจะมาแค่นให้มีอีก อย่างแพรนี่นะจะไปมีปัญหากับใคร พีทคิดมากไปหรือเปล่า” ณิชญาฎาข่มความรู้สึกพยายามปรับน้ำเสียงของตนให้เป็นปกติ แอบหวังอยู่ในใจว่าเขาจะไม่จริงจังกับสิ่งที่กำลังถามเธอมากนัก

“เกือบสิบปีมาแล้วที่เราสองคนรู้จักและคบหากันมา แพรมีอะไรอยู่ในใจทำไมพีทจะดูไม่ออก แต่พีทไม่เข้าใจ ว่าป่านนี้แล้วทำไมแพรถึงยังไม่ไว้ใจกันสักที”

พฤทธิ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ และคำพูดบวกกับอาการคาดคั้นของเขาก็ดูท่าว่าจะกระทบใจณิชญาฎาให้ต้องฉุกคิดอยู่ไม่น้อย นั่นสินะ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอจะเลวร้ายเพียงไหน พฤทธิ์จะเป็นเดียวเสมอที่คอยอยู่เคียงข้างเธอตลอดมาเธอตัดสินใจเบือนหน้ากลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจหนัก พยายามชั่งใจ คิดทบทวนอีกครั้ง สมควรแล้วหรือยังที่เธอจะพูดกับเขาตรงๆ แบบเปิดใจ“อะไรทำให้พีทคิดแบบนั้น พีทก็รู้ว่าแพรไม่ได้มีเพื่อนสนิทที่ไหน”

“เพื่อนสนิท แต่ก็ไม่เคยคิดจะบอกกล่าวว่าแพรกำลังทุกข์ใจอะไร” พฤทธิ์แค่นเสียง สื่อชัดถึงความน้อยใจ

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะพีท เพียงแต่ว่า....” สุดท้ายแล้วเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าเริ่มต้นบอกกับเขาอย่างไร

“เพียงแค่แพรเห็นว่าพีทเป็นคนอื่น” คำค่อน ถูกส่งมาพร้อมกับดวงตาคล้ายว่าจะเอาเรื่อง

“มันก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ เฮ้อ! เอาเถอะ ถ้าพีทอยากจะรู้จริงๆ แพรก็จะตอบทุกคำถามทุกข้อที่พีทอยากรู้ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าแพรไม่ได้ต้องการให้พีทมาหนักใจ เห็นใจหรือว่าสงสารอะไรแพรทั้งนั้น ปัญหาทุกอย่างแพรพร้อมจะแก้ไขมันด้วยตัวเอง” ในที่สุดเธอก็ยอมหันกลับมาเผชิญหน้า และพูดกับเขาด้วยแววตาอันมุ่งมั่น

“แปลว่าต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ”

“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ถ้าหากว่าแพรจะไม่ต้องวนมาเจอกับเขาอีก” ริมฝีปากบางเกริ่นนำเข้าใกล้ใจความสำคัญของหัวข้อในการสนทนา เรื่องที่เหลือจึงไม่นับว่ายากที่คนฟังจะเดาต่อ

“ถ้าให้ทาย เรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับพวกเด็กๆ” พฤทธิ์กลันใจถามในสิ่งที่ตนคาดเดา ณิชญาฎาพยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ

“เขาเป็นพ่อของพวกแกใช่ไหม”

หญิงสาวเหลือบตามองแล้วพยักหน้าซ้ำ แช่มช้าเสียจนดูออกว่าเธอเองก็หนักใจไม่น้อยที่ต้องตอบคำถามนี้ น้ำเสียงอ่อนที่ผ่านออกมาจากลำคอระโหงแผ่วเบาราวกับกระซิบ “ถ้าพีทจะยังจำครั้งที่แพรไปฝึกงานตอนปีสุดท้ายได้ เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น”

ถึงคราวที่ความอัดอกอัดใจจะถ่ายโอนมาสู่คนฟังบ้าง แม้ว่าเขาจะพอเดาคำตอบได้อยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องมารับฟังคำตอบจากปากของเธอจริงๆ กลับกลายเป็นความอึดอัดเสียจนเขาหายใจแทบไม่ออก

“เพราะอย่างนี้นี่เอง แพรถึงได้หนีไปเรียนต่อที่อเมริกากระทันหันแบบนั้น” พฤทธิ์เปรยเสียงอ่อนลงไปถนัดใจ

“มันก็ไม่เชิงหรอกพีท แพรรู้ว่าตัวเองได้ทุนไปเรียนต่อหลังจากที่เริ่มฝึกงานไปได้พักใหญ่ๆ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าควรจะไปเรียนต่อหรือว่าสละทุนแล้วเลือกทำงานก่อนดี เรื่องที่เกิดขึ้นมันแค่มีส่วนช่วยให้แพรตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้น” ณิชญาฎาให้ความกระจ่างในแง่มุมของความคิดที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในเวลานั้นอย่างแท้จริง

“แล้วพี่ภูล่ะแพร เขาไม่รู้เลยหรือว่าก่อเรื่องอะไรไว้บ้าง ทำไมถึงได้ยอมปล่อยให้แพรหนีหายไปง่ายๆ แบบนั้น เขารู้บ้างหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับแพร” พฤทธิ์ปักใจในความผิดของบุรุษหนุ่มรุ่นพี่ เอ่ยถามถึงด้วยอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นโกรธขึ้นมาทีละน้อย

“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเขาหรอก แพรเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว มันน่าอายนะพีท กับการที่จะต้องไปร้องขอให้ใครมารับผิดชอบในสิ่งที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น” ใบหน้างามเก๋เบือนหลบสายตาที่กำลังจ้องมองมาของบุรุษหนุ่มผู้เพื่อน มันน่ากระดากใจน้อยอยู่หรือที่จะต้องมานั่งพูดถึงสิ่งที่เธอไม่อยากแม้แต่จะจดจำ

“อะไรกันที่บอกว่าไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจแล้วใครกันที่ทำให้แพรต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น” ทว่าคนตั้งป้อมถามยังคงไม่ยอมลดละ เขายังคงปักใจเชื่อว่าภูวิชจะต้องมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

“มันคงจะเป็นอุบัติเหตุน่ะพีท บอกตามตรงว่าแม้แต่แพรเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แพรเชื่อว่าเขาเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างไปจากแพรสักเท่าไหร่หรอก” แท้ที่จริงแล้วเธอก็เพียงพูดไปตามสิ่งที่ตนเองรู้สึกและนึกหวัง ทั้งที่จริงๆ แล้ว เธอเองก็ไม่เคยจะล่วงรู้เลยว่าภูวิชคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาในแง่มุมใด

“นี่พีทฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า ดูเหมือนว่าแพรกำลังปกป้องคนไร้ความรับผิดชอบอยู่นะ มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ทำลายชีวิตแพรทั้งชีวิตคนนั้นอีก” สองคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นเกลียว เกิดเป็นความสงสัยอยู่ในใจว่าแท้ที่จริงแล้ว หญิงสาวคิดอย่างไรกับบุรุษหนุ่มตัวต้นเรื่องคนนั้นกันแน่

“อย่าไปโทษเขาแบบนั้นเลยพีท คิดเสียว่ามันเป็ความโชคร้ายของแพรเอง อีกอย่างถ้าจะว่ากันไปตามจริงแล้วแพรคิดว่ามันเป็นโชคร้ายที่นำมาซึ่งความโชคดี ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในคืนนั้น แพรก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักว่าความรักของคนเป็นแม่นั้นทั้งยิ่งใหญ่และมากมายขนาดไหน นับแต่วันที่แพรตัดสินใจเก็บพวกเขาไว้ ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะคิดเสียใจ ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว”

หญิงสาวอรรถาธิบายถึงความรู้สึกจากเบื้องลึกของเธอยืดยาว ดวงตากระจ่างใสพราวเปี่ยมสุข แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงไหน แต่สำหรับเธอแล้วความรู้สึกในครั้งนั้นยังคงเด่นชัดราวกับเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันวาน

“พีทเชื่อ แล้วก็รู้ว่าแพรรักเจ้าแฝดมาก ไม่อย่างนั้นแพรคงไม่ทนลำบากลำบนอุ้มท้อง เลี้ยงดูพวกแกอยู่ที่โน่นตามลำพังแบบนั้นหรอก” แม้ว่าเขาจะเห็นพ้องต้องตามคำของหญิงสาวทว่าในท้ายที่สุดก็ยังอดที่จะค่อนขอดเธอเสียไม่ได้

“ไม่เห็นจะลำบากอะไรเลย แพรไม่ได้อยู่ตามลำพังสักหน่อย มัมกับแด๊ดไม่เคยยอมให้แพรทำอะไรเลย พีทเองก็เห็นอยู่” ณิชญาฎา ยกเอาบิดามารดาบุญธรรมของเธอมาอ้าง

“นั่นมันระยะหลัง หลังจากที่แพรย้ายไปอยู่บ้านท่านทั้งสองแล้วต่างหาก แพรโชคดีจริงๆ นะที่ได้มีโอกาสเจอกับคนดีๆ อย่างพวกท่าน พีทไม่อยากจะนึกภาพเลยเวลาที่แพรแบกท้องไปไหนมาไหนคนเดียวในต่างเมืองแบบนั้น แพรนะแพร ผู้หญิงอะไรใจแข็งชะมัด”

“บ่นเป็นตาแกไปได้พีทนี่ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วนะ” ณิชญาฎาเริ่มจะยิ้มออก นึกขันกับท่าทางของชายหนุ่มข้างๆ ที่เริ่มจะแสดงอาการของผู้สูงวัย

“ก็เพราะว่าเป็นเรื่องในอดีตน่ะสิถึงต้องบ่น มันน่าน้อยใจนัก ไอ้เราหรือเป็นห่วงจะแย่ แม่คุณกลับมองไม่เห็นเสียนี่” พฤทธิ์แสดงทำเสียงสะบัด ส่งค้อนน่าหมั่นไส้ไปยังณิชญาฎาจนเธอ แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

“พูดแบบนี้แปลว่าพีทยังโกรธแพรอยู่” หญิงสาวพูดประกอบกับสายตาบ้องแบ๊วส่งตรงมายังเขา อันเป็นกิริยาปกติของการง้องอนที่เธอมักจะใช้และได้ผลดีเป็นที่ยิ่งกับเขา

“ไม่โกรธก็ได้ แต่แพรต้องสัญญากับพีทก่อนว่า ต่อไปนี้ไม่ว่ามีเรื่องอะไรแพรต้องบอกพีท ห้ามปิดบังอีกเป็นอันขาด” พฤทธิ์เปลี่ยนท่าทีเป็นหันมาต่อรองกับเธอแทน “แล้วนี่พี่ภูเค้าระแคะระคายเรื่องของพวกเด็กๆ บ้างหรือยัง”

คำถามถัดมาของพฤทธิ์ทำเอาณิชญาฎาเบ้หน้าก่อนจะตอบเขาถึงสถานการณ์ล่าสุดอันเป็นต้นเหตุของความกระอักกระอ่วนใจของเธอในปัจจุบัน “เค้ารู้แล้ว แถมยังเอาผลตรวจ DNA มาข่มขู่แพรอีกต่างหาก เจ็บใจจริงๆ เลย ทำไมแพรถึงได้โชคร้ายซ้ำซากแบบนี้ก็ไม่รู้”

“ที่แท้ก็เป็นเพราะแบบนี้เอง มิน่าล่ะ เขาถึงได้แวะเวียนมาที่บ้านแพรเป็นประจำ ทีแรกพีทคิดว่าเป็นแค่เพราะอุบัติเหตุคราวนั้นเสียอีก” คำเฉลยของเธอทำให้เขามองสถานการณ์ทั้งหมดออกได้ในเกือบจะทันที

“เพราะแพรไม่มีทางเลือก ถึงต้องตกอยู่ในสถาพจำยอมแบบนี้” เธอพูดต่อด้วยอารมณ์คับข้องใจ ที่กดลึกอยู่ภายในมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์

“ความลับไม่มีในโลก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” พฤทธิ์สรุป

“นั่นสิ เราหรือสู้อุตส่าห์เก็บเรื่องไว้ความลับเอาไว้ได้ตั้งนาน” เธอนึกเห็นด้วยกับคำของเขา ถึงกระนั้น แม้ว่าจะมีเรื่องที่ทำให้เธอต้องหวั่นใจ ทว่าเธอก็ยังยึดมั่นตามความตั้งใจเดิมไม่เปลี่ยน “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรแพรไม่มีวันยอมให้เขาล้ำเส้นเข้ามาใกล้พวกเด็กๆ เกินกว่านี้อยู่แล้ว” ณิชญาฏายืนยันถึงสิ่งที่ตั้งใจ ทั้งสีหน้าและอาการเต็มไปด้วยความมาดมั่น

“เฮ้อ! จะว่าไปก็น่าเห็นใจเขาอยู่หรอก จู่ๆ ก็มารู้ว่ามีลูก แถมยังโตเสียขนาดนี้ นี่ถ้าเป็นพีทบ้าง ก็น่าสงสัยเหมือนกันนะ ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร” เขาออกความเห็นพลางเหลือบมองปฏิกิริยาของเธอ

“นี่! ตกลงว่าพีทอยู่ข้างใครกันแน่ ทีเมื่อกี้ละมาค่อนว่าแพร แล้วไหงตอนนี้เกิดจะกลับลำเห็นใจเขาขึ้นมาแบบนี้” ร่างบางหันมาทำตาเขียวตวัดเสียงใส่ชายหนุ่ม เพราะความที่กำลังนึกหวั่นใจ กลัวว่าเขาจะเอาใจออกห่างไปเข้าข้างอีกฝ่ายขึ้นมาอีกคน เหมือนกับพวกเด็กๆ รวมทั้งป้าบัวของเธอ

“ที่ไหนกันเล่า เฮ้อ! แพรนี่ทำเป็นเด็กพาลเกเรขี้ระแวงไปได้ พีทแค่ลองคิดตาม ว่าถ้าเป็นตัวเราบ้าง แล้วจะทำอย่างไร ก็แค่นั้น” บุรุษร่างสูงพูดพลางส่ายหน้า ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เอนกายพิงพนักเบาะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกหนักอึ้งที่ถมทับในอกขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ยังจะพูดอีก ไม่ต้องเลย แน่ละสิ ผู้ชายเหมือนกัน อย่างไรกันก็ต้องเข้าข้างพวกเดียวกันอยู่แล้ว” หญิงสาวชายตาเขวี้ยงค้อนเราะความขุ่นเคืองและติดจะพาลของตน

“ไม่เอาน่าแพร ขี้งอนเป็นเด็กๆ ไปได้ พีทไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย ถึงอย่างไรพีทก็อยู่ข้างแพรวันยังค่ำนั่นแหละ” รู้ทั้งรู้ว่าหาใช่ความผิดของตน แต่เขาก็ยังเต็มใจที่จะงอนง้อเธอเหมือนกับทุกครั้งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

“ให้มันแน่เถอะ ไม่อย่างนั้นแพรตัดพีทออกจากความเป็นเพื่อนจริงๆ ด้วย” คนขู่ทำหน้าง้ำ เหลือบตามองเขาอย่างคาดโทษ

“กลัวแล้วจ้า แพรนี่พาลจริงๆ เลย พีทเคยหักหลังแพรหรือไงกัน” คนฟังเองก็คงจะตระหนักได้อยู่หรอก ว่าหญิงสาวหาได้จริงจังกับคำขู่นั่นนัก ลมหายใจอ่อนๆ ระบายออกมาพร้อมกับคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยดังเคย “แล้วนี่... แพรจะทำอย่างไรต่อไป”

“ก็คงต้องแก้ไขกันไปตามแต่สถานการณ์ ถ้าหากว่าเขาไม่ล้ำเส้นเข้ามามากกว่านี้ แพรก็จะรอจนกว่างานเสร็จ ถึงตอนนั้นค่อยพาพวกเด็กๆ กลับอเมริกา ถ้าไม่จำเป็น แพรจะไม่พาพวกแกกลับมาที่นี่อีก” คำบอกเล่าเอ่ยออกมาเรียบๆ เรื่อย ทว่าแฝงไปด้วยความจริงจังที่บอกให้เขารู้ว่าหญิงสาวได้คิดทบทวนมาเป็นอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว

“พีทว่าแพรกำลังแก้ปัญหาไม่ถูกทาง” พฤทธิ์บอกพร้อมหันกลับมามองซีกหน้าด้านข้างของหญิงสาวอย่างเต็มตา แล้วบอกกับเธอไปตามใจคิด “ทำไมแพรไม่ลองพูดคุย เจรจากับเขาดูก่อน บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายที่คิดก็ได้”

“พูดไปพีทก็คงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าพีทไม่ได้เห็นท่าทีของเขาตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นงั้น พีทก็คงจะไม่พูดแบบนี้” เธอแค่นเสียงบอก ใบหน้างามเกลือนไปด้วยรอยหยัน

“ก็อาจจะจริงที่พีทไม่รู้เรื่องนี้แต่แรก แต่ถึงอย่างไรพีทก็เชื่อว่า มันต้องมีทางแก้ที่ดีกว่านี้ ถ้าแพรเอาแต่วิ่งหนี แล้ว วันหน้าเกิดบังเอิญต้องกลับมาเจอกันอีก แพรมิต้องหอบลูกหนีเขาทุกครั้งหรือ” เขายืนยันพร้อมหยิบยกเหตุการณ์ขึ้นมาประกอบ

“ไม่มีทาง! แพรจะไม่ยอมเอาพวกแกมาเสี่ยงเสี่ยงกับเรื่องนี้เด็ดขาด” ใบหน้างามเก๋เบือนกลับมาพร้อมกับเสียงหวานทว่าแข็งกร้าวตวัดสวนขึ้นมาทันควัน แสงตะวันส่องสะท้อนผ่านกระจกข้างเข้ามากระทบดวงตาคู่สวยเป็นประกายวาววับราวกับจะตอกย้ำในความมาดมั่น

“ทำไมถึงได้รั้นแบบนี้นะ แพรยังไม่เคยลองเลยใม่ใช่หรือ” แทนที่จะยอมอ่อนให้เธอเหมือนเมื่อแรก เขากลับพยายามโน้มน้าวเธอต่อ

“พีทไม่ได้เป็นแพร ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าแพรต้องใช้ความพยายามแค่ไหน กว่าจะผ่านมันมาได้จนถึงทุกวันนี้” ณิชญาฎา ร้องบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามหักห้ามความรู้สึกสะท้อนใจที่สะสมมานานไม่ให้ทะลักทะลายออกมา

“ทำไมพีทจะไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าแพรต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ห้าปีที่ผ่านมาพีทได้เฝ้ามองดูแพรอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเอง ทั้งที่อยากช่วย อยากปลอบ แต่ก็ทำไมได้ แพรคงไม่รู้เลยสินะ ว่าพีทเองก็เสียใจไม่น้อยที่ต้องทนเห็นแพรอยู่ในสภาพแบบนั้น” ความอัดอั้นตันใจที่เขากักเก็บมามานาน พรั่งพรูออกมาพร้อมกับความอดทนที่เดินมาถึงจุดสิ้นสุด “เพราะแบบนั้น พีทถึงได้คิดว่าแพรควรจะหันหน้ากลับมาเผชิญความจริงเสียที”

“หึ! ความจริง ความจริงที่ว่า แพรเป็นแค่เด็กฝึกงานใจแตกในสายตาของเขา อย่างนั้นใช่ไหมพีท”

“อย่าพูดดูถูกตัวเองอย่างนั้นสิ แพรเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าเราทุกคนย่อมรู้ดีที่สุดว่าตัวเองมีคุณค่ามากมายขนาดไหน เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะคิดกับแพรอย่างไร แต่สำหรับพีท แพรมีค่าเสมอ”

“แพรเคยคิดนะพีท ว่าถ้าตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับเขาไปในตอนนั้น ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่มันก็ได้แค่คิด เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้มันก็ยากที่จะยอมรับอยู่ดี ต่อให้เขาเป็นคนดีแค่ไหนก็เถอะ คงไม่มีใครในโลก ที่จะยอมรับกับความสัมพันธ์แค่ชั่วข้ามคืนแบบนั้น”

“นั่นมันแค่ความคิดของแพรคนเดียวต่างหาก ส่วนเขา เขาไม่เคยมีแม้แต่โอกาสที่จะคิดพิจารณาเลยสักครั้ง การแพรเลือกที่จะหลบหน้า หนีหายไปจากทุกคน รวมทั้งพีท การที่แพรยอมแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวแบบนั้น ให้อย่างไร พีทก็คิดว่ามันหนักหนาเกินไปจริงๆ” พฤทธิออกความเห็นอย่างคนรู้และพยายามจะเข้าใจในสถานการณ์

“แต่แพรก็ยังอยู่มาได้ นี่นา” ณิชญาฎาตัดบท แล้วพูดขึ้นมาถึงสิ่งที่เธอเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้“เอ้อ! จริงสิ อาทิตย์นี้พีทว่างหรือเปล่า”

“แพรก็รู้ว่า พีทว่างเสมอ สำหรับแพร ทำไม หรือว่าแพรอยากจะไปไหน” ชายหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าสงสัย

“ไปเที่ยวต่างจังหวัด” หญิงสาวตอบด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม นัยน์ตาวาวอย่างมีเลศนัย

“เที่ยวต่างจังหวัด!” เขาทำสีหน้าประหลาดใจกับคำเฉลย เพราะนับตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่หญิงสาวพูดถึงเรื่องเที่ยว ปากชวนเขาไปเที่ยว ตามปกติแล้วจะเป็นเขามากกว่าที่คอยคิดหากิจกรรมเพื่อให้ตัวเขาได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกับเธอ “แพรเนี่ยนะจะไปเที่ยวต่างจังหวัด”

“ก็ใช่น่ะสิ ทำไม อย่างแพรจะไปเที่ยวบ้างนี่มันประหลาดนักหรือไร” ณิชญาฎายืนยัน อารมณ์ดีขึ้นเป็นกองกับแผนการที่เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วนของตัวเอง

“เปล่าๆ พีทก็แค่คิดไม่ถึง ก็แค่นั้น ว่าแต่ แพรจะไปที่ไหน แล้วไปกี่คน พีทจะได้เตรียมรถรับถูก” แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับท่าทางของหญิงสาวที่หมายปอง แต่สิ่งที่รู้เท่าๆ กันก็คือต่อให้เขาเค้นถามเธออย่างไร ก็อย่าหวังจะได้รู้ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นฝ่ายยอมบอกกับเขาเอง ดีที่สุดสำหรับกรณีนี้ก็คือการวางเฉยเท่านั้นเอง

“เขาใหญ่ แต่ว่าพีทไม่ต้องวุ่นวายเตรียมรถหรอก แพรเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว พีทเอาแต่ตัวกับของใช้ส่วนตัวก็พอ” หญิงสาวบอกสั้นๆ เป็นเชิงสรุป

“ก็ดีนะ พีทไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์มาตั้งนานแล้วเหมือนกัน”

“ถ้างั้น วันเสาร์เจ็ดโมงเช้าเจอกันที่บ้านแพร โอ.เค?”

“อื้ม โอ.เค” พฤทธิ์บอกยิ้มๆ ยอมตามอย่างว่าง่าย

“แพรขึ้นไปทำงานก่อนดีกว่าเกือบได้เวลาประชุมแล้ว ขืนช้ามีหวังได้โดนลูกน้องนินทา พีทไม่ต้องขึ้นไปส่งแพรหรอกนะ บายจ้ะ”

หญิงสาวร่ำลาแล้วก้าวลงจากรถไปโดยมีสายตาของชายหนุ่มเฝ้ามองเธอจนเดินลับหายเข้าไปภายในอาคาร ยามนี้สิ่งที่วิ่งวนอยู่ในหัวของเขาสร้างความสับสนทางความคิดให้กับเจ้าตัวไม่น้อย เขาควรทำอย่างไรกับความรู้สึกแบบนี้ดี อะไรคือสิ่งที่เขาควรจะทำ ระหว่างการดันทุรังที่จะอยู่ข้างเธอต่อไป หรือว่าจะยอมรับกับความจริงว่าเธอคนนั้นไม่มีวันที่จะหันมารักเขาไม่ว่าจะเป็นวันที่ผ่านๆ มาหรือแม้แต่กระทั่งวันนี้ แม้ว่าภายในใจเธอจะไม่มีใครครอบครองอยู่ก็ตาม

------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2555, 00:01:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2555, 00:04:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1589





<< ตอนที่ 6 : นกน้อยในหมู่มาร   ตอนที่ 8 : เล่ห์ลวงหรือบ่วงรัก >>
violette 12 เม.ย. 2555, 00:33:09 น.
รออ่านต่อค่า ชอบมากกก


นิลวนา 12 เม.ย. 2555, 18:22:59 น.
ว้าว... ดีใจจังค่ะ ที่มีคนชอบ จะพยายามมาลงเรื่อยๆ นะคะ แต่สองสามวันนี้จะไปปฏิบัติธรรมที่วัด ดังนั้นอาจจะต้องรอหน่อยนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account