เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย

แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย

ตอน: ตอนที่ 4

หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรีบเปิดประตูลงมาดู แม้ว่าเธอจะเหยียบเบรกแล้วแต่กันชนหน้าก็ยังไปกระแทกกับบังโคลนของรถจักรยานยนต์

ยศวันต์ตั้งสติประคองรถยนต์เอาไว้ได้มันจึงไม่ล้มลงไปกับพื้นหากเขาก็ไม่อยู่ในอากัปกิริยาที่จะสามารถดึงมันขึ้นมาในตำแหน่งปกติได้ พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองจึงเข้ามาช่วยเหลือ

“ขอโทษนะคะ เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยตอบเพิ่งจะมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนเธอน่าจะอ่อนวัยกว่าน้องสาวของเขาสักสองสามปี หญิงใบหน้ารูปหัวใจคนนี้มีผิวที่ขาวจัด คิ้ว ตาและจมูกทำให้ยศวันต์นึกถึงตุ๊กตากระเบื้องรูปนักเต้นบัลเล่ต์บนกล่องเพลง เธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้

“กิ่งขอโทษด้วยนะคะ เพิ่งเห็นทางเข้าก็ตอนจวนเจียนแล้วเลยเลี้ยวเข้ามาไม่ทันเห็นว่ามีรถวิ่งสวน”

“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ” ยศวันต์ตอบหญิงสาวหันไปขอบคุณกับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่มาสังเกตการณ์ ก่อนที่จะเข็นรถจักรยานยนต์ของตนไปแอบไว้ข้างป้อมยาม “คุณรีบขับรถเข้าไปเถอะครับ รถคุณกำลังขวางทางอยู่”

“งั้นอย่าเพิ่งไปไหนนะคะ รออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวกิ่งกลับมา”

“เดี๋ยวสิคุณ ไม่...”

คำพูดของยศวันต์เหมือนลอยไปตามลมเพราะร่างเล็กนั้นกระโดดหวือขึ้นไปบนรถ ขับเข้าไปภายในบริเวณจอดอาคารทีโอพี และแม้ว่าตั้งใจปฏิเสธแต่ชายหนุ่มกลับยืนนิ่งรอหญิงสาวตามคำบอกของเธอ



พี่ชายของมนัญชยายืนสำรวจรถจักรยานยนต์คันใหม่ที่เขาเพิ่งจะไปดาวน์ออกมาเพื่อวิ่งวินได้ไม่กี่วันหลังจากที่ทดลองติดเครื่องยนต์แล้วไม่พบว่ามีปัญหาอะไร ระบายลมหายใจยาวเมื่อเห็นว่าบังโคลนหน้าแตกแหว่ง ถึงจะยังใช้งานวิ่งได้ตามปกติแต่เขาก็อดใจหายไม่ได้เพราะเทียบกับเงินดาวน์ที่จ่ายไปนั้น ค่าเปลี่ยนบังโคลนหน้าอาจจะแพงกว่าเสียอีก

“รถคุณ...เอ่อ...รถของพี่” หญิงสาวชี้ไปยังจุดที่เสียหาย ลังเลอย่างเรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร “ตรงนั้นมันแตกเพราะกิ่งขับชนใช่ไหมคะ”

ยศวันต์พยักหน้าแทนคำตอบ เห็นอีกฝ่ายก้มเปิดกระเป๋าสะพายหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วรีบท้วงทันที

“ผมไม่ต้องการค่าเสียหายหรอกครับ เล็กน้อยเอง เผลอ ๆ รถคุณก็คงจะเป็นรอยเหมือนกัน”

“รถมีประกันค่ะ แล้วมันก็คงไม่ได้เสียหายอะไรมากเทียบกับรถของพี่”

ชายหนุ่มชะงัก อ้าปากค้างเมื่อตระหนักว่าเธอไม่ได้สนใจจะสำรวจดูความเสียหายของรถตัวเองด้วยซ้ำ

“บังโคลนแตกแค่นี้ เปลี่ยนก็คงไม่กี่ตังค์หรอกครับ”

“เปลี่ยนไม่กี่ตังค์แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเปลี่ยนนี่คะ ถ้ากิ่งไม่ขับรถไม่ระวังมันก็คงจะไม่พัง” เธอหยิบเอาธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทออกมาจากกระเป๋าสี่ใบ “ไม่รู้ว่าสี่พันจะพอซ่อมรึเปล่านะคะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แล้วที่จริงไม่เปลี่ยนก็ยังวิ่งได้ปกติ”

“ไม่ได้นะคะ ยังไงกิ่งก็อยากรับผิดชอบ พี่พอจะรู้ไหมคะว่าถ้าเปลี่ยนจะราคาเท่าไหร่ เอาของแท้เลยนะคะ”

คนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเรียกของบังโคลนรถจักรยานยนต์เสนอด้วยคงเห็นว่าอะไรที่เป็นของแท้น่าจะดีที่สุด ยศวันต์จึงได้แต่ถอนใจ ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนตอบ

“ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันเท่าไหร่ เพิ่งจะดาวน์มาไม่กี่วันนี่เอง ไม่คิดว่าจะต้องเปลี่ยนเร็วขนาดนี้” เขาพูดแล้วต้องรีบยกมือห้ามเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าเสีย “ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณนะครับ คือ...ผมเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ผมแค่...”

“ไม่รู้ล่ะค่ะ ยังไงกิ่งก็ต้องรับผิดชอบ”

พนักงานรักษาความปลอดภัยในป้อมยามคงฟังอยู่พักใหญ่แล้วจึงเดินออกมาเสนอ

“มีร้านมอเตอร์ไซค์อยู่ในซอยสองซอยถัดไปนี่เองครับ ผมเห็นมีรถรุ่นนี้ด้วยแล้วเขาก็เป็นร้านใหญ่น่าจะมีอะไหล่นะครับ ลองไปที่นั่นก็ได้”

“ดีเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” รอยยิ้มกว้างแต้มขึ้นมาบนใบหน้าคล้ายตุ๊กตากระเบื้องนั้น “เอาอย่างนี้นะคะ เดี๋ยวกิ่งไปขับรถมาดีกว่าแล้วพี่ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไป เราไปถามราคาเปลี่ยนกันแล้วกิ่งจ่ายเงินให้เลย ดีไหมคะ”

ท้ายคำพูดนั้นฟังเป็นประโยคคำถามแต่คนพูดไม่ได้รอฟังคำตอบเช่นเดิม ร่างเล็กหันหลังกลับแล้วเดินไปทันที



ร้านจำหน่ายและซ่อมรถจักรยานยนต์แห่งนั้นมีอะไหล่ของบังโคลนรุ่นรถของยศวันต์พอดีและหญิงสาวผู้เป็นเหตุให้มันแตกพังก็จัดการจนแน่ใจว่ารถของเขาจะได้เปลี่ยนอะไหล่ทันทีโดยยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อให้ช่างทำให้ด่วนแม้เจ้าของรถจะทัดทานแต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งระหว่างรอเปลี่ยนอะไหล่เธอยังดึงเขาให้ไปนั่งรอที่ร้านกาแฟและเบเกอรี่ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก

เมื่อเห็นยศวันต์ลังเลเลือกขนมไม่ถูกเธอก็จัดการสั่งให้เสร็จสรรพ

“ผู้ชายคงไม่ค่อยชอบพวกเค้ก เอาเป็นครัวซองแฮมชีสนะคะ ดื่มกาแฟไหมคะ”

“ผมขอเป็นนมสดละกันครับ” ยศวันต์ตอบขัดเขิน เขาไม่ถูกโรคกับคาเฟอีนเท่าไหร่เพราะเคยดื่มกาแฟแล้ววิงเวียนศีรษะ ใจสั่น

“เอาไวท์ช็อคมูส กับเอสเปรสโซ่เย็นด้วยนะคะ”

หญิงสาวสั่งกับพนักงานของร้านพร้อมส่งใบรายการขนมและเครื่องดื่มคืนให้ วางศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะเท้าคางมองท่าทางของยศวันต์แล้วยิ้มขัน

“พี่ไม่ต้องนั่งเกร็งขนาดนั้นก็ได้ค่ะ อย่าเกรงใจเลยนะคะ เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของกิ่งนี่นา”

“ผมคงสบายใจกว่านี้ถ้าเรา...เอ่อ...รู้จักกันบ้าง”

“อุ๊ย! ตายจริง ลืมสนิทเลยค่ะ กิ่งชื่อกฤตินี เอ๊ะ...ที่จริงกิ่งก็เรียกชื่อเล่นแทนตัวเองอยู่แล้ว พี่ต่างหากล่ะค่ะที่ต้องแนะนำตัวให้กิ่งรู้จัก”

“ผม...” ยศวันต์ลังเลก่อนเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวไปใช้แบบที่หญิงสาวเอ่ยเรียก “พี่ชื่อยศวันต์ครับ”

“คะ...ชื่อยศวันต์แล้วไม่มีชื่อเล่นเหรอคะ”

“แหนมทอดครับ”

คิ้งโก่งบางเลิกขึ้นเล็กน้อย หากเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่กฤตินีจะยิ้มกว้าง

“ชื่อแปลกดีนะคะ ตอนพี่แหนมทอดอยู่ในท้องคุณแม่ต้องชอบกินแหนมทอดแน่เลย”

“ก็มีส่วนครับ แต่อีกอย่างตอนคลอดพี่ตัวย่น ๆ เหมือนแหนม”

ปกติเขามักจะกระดากที่จะพูดถึงชื่อเล่นของตัวเองและที่มาซึ่งนอกเหนือจากการที่แม่ชื่นชอบการรับประทานแหนมทอดเป็นพิเศษขณะตั้งครรภ์ ทว่ารอยยิ้มของหญิงสาวทำให้ยศวันต์เลือกที่จะเล่าต่อ

“ที่มาของชื่อพี่แหนมทอดนี่น่ารักดีนะคะ”

“เรียกแหนมเฉย ๆ ก็ได้ครับ”

“กิ่งว่าชื่อแหนมทอดแปลกดีออกค่ะ ไม่เหมือนใครดี ขอเรียกว่าพี่แหนมทอดดีกว่า”

“งั้นตามใจน้องกิ่งก็แล้วกันครับ” ชายหนุ่มมองรอยยิ้มของกฤตินีแล้วระบายลมหายใจยาว “พี่ทำให้น้องกิ่งเสียเวลารึเปล่าครับ”

“เสียเวลา?”

“ก็น้องกิ่งกำลังเข้าไปที่บริษัท”

“กิ่งไม่ได้เข้าไปทำงานหรอกค่ะ กิ่งนัดพี่ชายเอาไว้ว่าจะไปกินข้าวกลางวันด้วย ตายแล้ว...กิ่งลืมไปเลยค่ะ เดี๋ยวกิ่งขอตัวโทร.บอกพี่ชายก่อนนะคะ”

“ตามสบายนะครับ”

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดต่อสายเลี่ยงไปยืนคุยอีกทางหนึ่ง ยศวันต์นั่งมองท่าทีอ่อนหวานของเธอขณะที่พูดคุยกับพี่ชายทางโทรศัพท์แล้วนึกถึงน้องสาวตัวเองขึ้นมาทันที

ต่างกันราวฟ้ากับดินเลยแฮะ

ทั้งสองรับประทานขนม ดื่มกาแฟอยู่ได้พักใหญ่ โทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้นอีกครั้งเธอยกขึ้นกดรับแล้วยิ้มกว้าง

“ค่ะ...เรียบร้อยแล้วเหรอคะ ขอบคุณค่ะจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”

ประโยคสนทนาทางโทรศัพท์นั้นทำเอาชายหนุ่มใจหาย เขายังอยากได้ยินเสียงใส อยากเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูน่าทะนุถนอมนี้อีกสักพัก ทว่าต้องจำใจยิ้มตอบเมื่อหญิงสาวเอ่ย

“รถเสร็จแล้วนะคะ ช่างโทร.มาบอก เดี๋ยวเราออกไปเลยนะคะ”

ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบซองธนบัตรออกมา ชะงักเมื่อกฤตินีรีบยกมือห้าม

“อุ๊ย...ไม่ได้นะคะ พี่แหนมทอดต้องมาเสียเวลาเพราะกิ่งแล้ว กิ่งเลี้ยงเองค่ะ”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ค่ะ พี่แหนมทอดออกไปรอข้างนอกนะคะ เดี๋ยวกิ่งเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เอง”

ยศวันต์ช้ากว่าหญิงสาวเช่นเคยเธอพูดจบก็ลุกขึ้นเดินฉับ ๆ ไปที่เคาน์เตอร์ทันที ชายหนุ่มลอบถอนใจเพราะถ้าต้องควักเงินเลี้ยงหญิงสาวขึ้นมาจริง ๆ เขาคงต้องหมดเงินกินใช้รายวันไปเป็นอาทิตย์ เพราะสนนราคาของขนมและเครื่องดื่มที่เขียนด้วยชอล์คสีต่าง ๆ บนกระดานดำนั้น ทำเอาเขาแทบไม่กล้ากินเร็วต้องค่อยละเลียดให้สมราคา

หญิงสาวจ่ายเงินแล้วก็เดินกลับมาหาเขาที่โต๊ะ จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปที่ร้านจักรยานยนต์เพื่อรับรถของชายหนุ่ม



กฤตินีกดเปิดกระจกอัตโนมัติ ชะโงกออกไปหายศวันต์ที่ยืนรอส่งเธออยู่ข้างรถจักรยานยนต์คู่ใจของเขา

“ขี่รถดี ๆ นะคะพี่แหนมทอด แต่พี่คงไม่โชคร้ายเจอคนซุ่มซ่ามไม่ระวังอย่างกิ่งสองครั้งซ้อนในวันเดียวกันหรอกมั้งคะ” เธอโบกมือให้ชายหนุ่ม “บ๊ายบายค่ะ”

หญิงสาวขับรถออกจากบริเวณหน้าร้านรถจักรยานยนต์กลับไปยังอาคารของบริษัททีโอพีอีกครั้ง เธอก้าวเข้าไปภายในตัวอาคารโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ชั้นสิบสองของอาคารอันเป็นที่ตั้งของทีโอพี เทเลวิชั่น วันนี้พี่ชายของเธอมาพูดคุยกับทีมงานละครโทรทัศน์ซึ่งกำลังจะมีโครงการละครสั้นห้าตอนจบ มีกำหนดแพร่ภาพในช่วงเดียวกับที่จะโปรโมทละครเวทีเรื่องแรกของทีโอพีอย่างเต็มรูปแบบ

ขณะที่ประตูลิฟท์กำลังเลื่อนปิดนั้น มือของใครคนหนึ่งก็เอื้อมมาตะปบประตูเอาไว้ กฤตินีรีบกดปุ่มเปิดลิฟท์ ร่างสูงพอกับพี่ชายของเธอสอดตัวเข้ามาภายในกล่องเหล็กพร้อมเอ่ยคำขอบคุณกับเธอ

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวต้องกลั้นใจชั่วขณะก่อนฝืนยิ้มตอบรอยยิ้มละมุนของอีกฝ่าย

“ไปชั้นสิบสองเหรอครับ”

“ค่ะ”

“น้องคงเป็นนักแสดงใหม่ของทีโอพี”

กฤตินีหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไม่ใช่ค่ะ มาหาพี่ชาย”

“พี่ชายน้องทำงานเป็นพนักงานที่นี่เหรอครับ”

“จะว่าเป็นพนักงานก็คงได้มั้งคะ”

เธอเลี่ยงที่จะตอบเพราะจำได้ว่าเขาคนนี้เคยร่วมงานกับพี่ชายในละครเรื่องหนึ่งซึ่งกฤตินีได้ดูจากดีวีดีที่พี่ชายส่งไปให้ที่อังกฤษ ดาราหนุ่มรับบทร้ายในเรื่องนั้นและเขาก็เล่นดีเสียจนเธอนึกเกลียด ทว่าเมื่อเห็นดวงตาและรอยยิ้มของถิรเจตหรือเจ็ทตรงหน้าอย่างนี้แล้วทำให้เธอลืมท่าทางกักขฬะ ท่าทีร้ายกาจในละครไปได้สนิท

เมื่อสัญญาณไฟแสดงหมายเลขสิบสองเหนือประตูลิฟท์ นักแสดงหนุ่มก็เอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ใช้มืออีกข้างฝายเป็นเชิงเชิญให้หญิงสาวก้าวออกจากลิฟท์ก่อน กฤตินีเอ่ยคำขอบคุณเบา ๆ ก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนที่จะมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย ก้าวไปยังเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานนั่งประจำอยู่เอ่ยถามถึงพี่ชายก็ได้รับคำตอบว่าให้นั่งรอที่ชุดเก้าอี้รับแขกที่โถงหน้าบริษัททีโอพี เทเลวิชั่น

ถิรเจตที่เดินตามหลังมาทำท่าจะเดินเฉมาทางเก้าอี้รับแขก แต่พนักงานสาวหน้าบริษัทเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“คุณพิธานบอกว่าถ้าคุณเจตมาถึงแล้วให้เชิญเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ มีทีมงานรอชี้แจงงานอยู่แล้ว”

ดาราหนุ่มรับคำหากยังหันมาส่งยิ้มให้กฤตินีก่อนที่จะเดินเข้าผ่านประตูกระจกเข้าไปสวนกับร่างสูงของกีรดิต หญิงสาวลุกเดินตรงเข้าไปหาพี่ชาย

“ขอโทษนะคะพี่เกม กิ่งทำเรื่องจนพี่เกมต้องรอกินข้าวนานเลย”

“ไม่เป็นไร พี่ก็ได้โอกาสคุยกับทีมงานกับนักแสดงที่เขามาคุยงาน”

กฤตินียิ้มรับคำ เข้าใจคำว่า ‘คุย’ ของพี่ชาย ว่าเป็นการพูดคุยแบบไหน กีรดิตไม่ใช่คนที่จะพูดคุยเล่นหัวกับใคร หากเพียงทักทาย พูดคุยได้ตามมารยาทหรือไม่เช่นนั้นก็เป็นเพียงเรื่องงาน

“อาหารที่พี่ให้คนสั่งไว้มาถึงสักพักแล้ว รีบหน่อยก็ดีนะเดี๋ยวจะเย็นซะหมด อีกอย่างพี่มีนัดคุยงานเพลงต่อ”

“พี่ชายเราฮอทมากเลยแฮะช่วงนี้”

“แค่คุยคอนเซปท์งานเท่านั้นแหละ ที่จริงมันก็ต่อเนื่องกับงานละครนั่นแหละ คุณพิธานเขาอยากเอาเพลงในละครเวทีมาให้พี่ร้องประกอบละครที่จะออกช่วงใกล้ละครเวทีเริ่มเป็นการโปรโมท”

“พี่เกมมาสนุกกับงานวงการบันเทิงแบบนี้ ภาระก็เลยมาตกกับกิ่ง”

หญิงสาวว่า หน้างอง้ำเล็กน้อยอย่างไม่แสดงให้รู้ว่าเธอจริงจังกับคำพูดนั้น ไม่กล้าเผยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจนหมดสิ้น...เธอจะโทษกีรดิตเรื่องที่มีปัญหากับบิดาจนไม่ยอมรับการสืบทอดธุรกิจได้อย่างไรเล่า

“ไปค่ะ...พี่เกมคงหิวแย่แล้ว”

กีรดิตเดินนำน้องสาวไปอีกทางหนึ่งของชั้นสิบสองซึ่งมีห้องที่จัดไว้เป็นพิเศษตามคำขอของเขาโดยเฉพาะ เป็นห้องมุมของอาคารซึ่งสามารถมองออกไปภายนอกได้จากหน้าต่างกระจกที่ผนังทั้งสองด้าน ที่มุมหนึ่งจัดวางโต๊ะอาหารขนาดย่อมเอาไว้

“อาหารไทยแบบที่กิ่งชอบทั้งนั้นเลยนี่คะ”

“หาโอกาสกินข้าวกลางวันกับกิ่งได้ทั้งที พี่ก็อยากให้พิเศษหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นกิ่งตักข้าวให้เองค่ะ พี่เกมนั่งให้สบายนะคะ”

กฤตินีจัดแจงตักข้าวสวยจากโถใส่จานเปล่า สองจานบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงตักอาหารให้กับพี่ชายอย่างเอาใจ เพราะนาน ๆ ครั้งเธอจึงจะได้มีโอกาสได้รับประทานอาหารร่วมกับพี่ชายและนับตั้งแต่เธอกลับมาจากอังกฤษนี่ก็เป็นอาหารมื้อแรกที่สองพี่น้องได้รับประทานร่วมกันในบรรยากาศแบบพี่น้องเช่นนี้

หญิงสาวลอบระบายลมหายใจ เมื่อพี่ชายละสายตาจากเธอ

เธอพยายามประวิงเวลาที่จะเข้าไปทำงานในบริษัทของบิดาเนื่องจากไม่ได้ต้องการชีวิตที่ต้องคร่ำเคร่งอยู่กับธุรกิจ แต่ก็รู้ตัวว่าคงจะยื้อไปได้อีกไม่นานนัก ผู้หญิงซึ่งอายุยังไม่ถึงเบญจเพสอย่างเธอจะต้องก้าวเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัท แบกรับภาระในฐานะทายาทคนหนึ่งของตระกูลทั้งที่มันควรจะเป็นหน้าที่ของลูกชายอย่างกีรดิตและจากที่เห็นตัวอย่างการทำงานของผู้ให้กำเนิดแล้ว กฤตินีก็บอกตัวเองได้เลยว่าหลังจากนั้นแล้วโอกาสที่จะได้มีเวลากับพี่ชายอย่างนี้คงจะหาได้ยากเต็มที



ผู้บริหารบริษัททีโอพี เทเลวิชั่นยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวห้าสิบคนที่มารอฟังการประกาศผลผู้ที่จะเข้ารอบที่สองของโครงการเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส วันนี้เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินสวมทับด้วยเสื้อนอกสีเข้มเข้ากับกางเกง ความประณีตของการตัดเย็บเสริมบุคลิกที่มั่นใจของผู้สวมใส่ให้ดูโดดเด่นขึ้น และมนัญชยาคงมีแก่ใจชื่นชมมากกว่านี้หากไม่เพราะเขาจะเป็นผู้ประกาศผลการตัดสินด้วยตัวเอง

“ชื่อและหมายเลขที่ผมเรียกต่อไปนี้ ขอให้ก้าวขึ้นมายืนบนเวทีนะครับ”

เอาล่ะสิ...แล้วที่ให้ขึ้นไปยืนบนเวทีนี่จะไล่กลับบ้าน หรือว่าจะให้เข้ารอบล่ะเนี่ย

หญิงสาวขมวดคิ้วกับความคิดของตนเพราะพอจะผ่านตารายการเรียลลิตี้มาบ้างจึงรู้ว่าบางครั้งการประกาศผลก็มักจะมีลูกเล่นที่จะใช้หลอกล่อให้คนดูลุ้นว่ากลุ่มใดกันแน่ที่จะเข้ารอบ

“คนแรกที่ผมจะเรียก....”

พิธานอ่านชื่อและหมายเลขผู้เข้าแข่งขันคนแรก เธอเดินขึ้นเวทีไปด้วยท่าทีกังวล ทุกคนคงจะคิดสงสัยเหมือนกันกับมนัญชยาว่าการถูกเรียกชื่อขึ้นไปยืนบนเวทีจะถือเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่

บัดนี้หญิงสาวสิบห้าคนยืนอยู่บนเวทีเหลืออีกเพียงสิบคนเท่านั้นที่ผู้อำนวยการผลิตรายการหนุ่มจะประกาศชื่อและชื่อที่สิบหกที่เขาเรียกก็คือ...ปริศนา

รายนั้นนั่งอยู่แถวหลังมนัญชยาและดูเหมือนว่ากำลังรอโอกาสที่จะได้ ‘พูด’ กับเธออยู่จึงชะโงกหน้ามาในจังหวะที่ลุกขึ้นยืน

“เธอกับฉันคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วมั้งจ๊ะ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

ลูกสาวเจ้าของค่ายมวยอ้าปากค้างไม่ทันได้ตอบโต้อะไรเพราะอีกฝ่ายเดินระเหิดระหงตรงไปที่บนเวทีด้านหน้า ยิ้มกว้างโบกมือโบกไม้ให้คนโน้นคนนี้

“นี่ปลาเขาแน่ใจแล้วเหรอ ว่าคนที่คุณพิธานเรียกขึ้นไปคือคนที่เข้ารอบแน่ ๆ น่ะ”

เพื่อนผู้แข่งขันที่นั่งข้างกันหันมากระซิบกับมนัญชยา เธอไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องที่ถูกปริศนาหาเรื่องให้ใครฟัง แต่ใครที่ใกล้ชิดและสนิทกับมนัญชยาก็จะรับรู้ได้เอง

“แน่ใจรึเปล่าไม่รู้สิ แต่ที่แน่ ๆ มั่นใจมาก....” หญิงสาวลากเสียงคำว่ามากยาวนาน จนกระทั่งเพื่อนคนนั้นใช้ศอกสะกิดเบา ๆ ที่สีข้าง “อะไรล่ะ”

“คุณพิธานเขาเรียกเธอแน่ะ คนที่ยี่สิบ”

ร่างของหญิงสาวดีดขึ้นจากเก้าอี้ทันที อากาศมวลมหาศาลถูกสูดเข้าไปสู่ปอดเพื่อเรียกความมั่นใจขณะที่เดินขึ้นไปบนเวที...ขณะที่สมองยังคงครุ่นคิด ประเมินจากผู้เข้าแข่งขันในห้องเดียวกันกับเธอที่ยังนั่งอยู่ข้างล่างและที่ถูกเรียกขึ้นไปยืนบนเวทีแล้ว การให้คะแนนจากครูผู้ฝึกสอนร้องเพลงนั้นจะถูกจัดเรียงลำดับจากครูที่สอนในห้องที่รับผิดชอบ รวมถึงการให้ครูในห้องอื่นประเมินผลให้โดยดูจากเทปบันทึกการร้องในแต่ละครั้ง ดังนั้นทั้งห้ากลุ่มจะต้องนำคะแนนมาไล่เรียงกันอีกครั้ง เป็นไปได้ที่บางกลุ่มจะได้เข้ารอบเพียงคนสองคน และบางกลุ่มอาจจะได้เข้าเกือบทั้งหมด

นอกจากปริศนาแล้วยังมีอีกหนึ่งคนจากกลุ่มของมนัญชยาที่ยืนอยู่บนเวที

คนนี้ร้องเป็นยังไงนะ มัวแต่ตื่นเต้นกับตัวเองไม่ได้สนใจคนอื่นส่วนยัยปลาไม่ต้องพูดถึง แค่รับมือเวลาคุณเธอหาเรื่องก็ไม่มีแก่ใจจะฟังเสียงร้องแล้ว

มนัญชยาก้าวขึ้นเวทีไปได้ก็จับมือกับเพื่อนคนอื่น ๆ บนเวทีไม่เว้นแม้แต่ปริศนาเพราะไม่อยากให้เป็นที่สังเกตของทีมงาน อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเล่นบทเพื่อนร่วมเข้าแข่งขันได้ดีเช่นกัน ไม่นับที่พยายามจะบีบมือเธอแรงไปสักนิด

พิธานเอ่ยเรียกชื่อผู้ร่วมประกวดครบยี่สิบห้าคนก่อนที่จะเอ่ยขอให้กลุ่มที่ยังนั่งอยู่ยืนขึ้น

หญิงสาวทั้งห้าสิบคนมีสีหน้าที่ต่างกันไป บางคนก้มหน้านิ่ง บางคนยิ้มฝืดฝืน บ้างก็เริ่มมีน้ำตาคลอหน่วย หากที่ไม่น่าจะแตกต่างกันนักก็คงเป็นความมุ่งหวังว่ากลุ่มของตนจะเป็นผู้ผ่านเข้ารอบ

ผู้บริหารทีโอพี เทเลวิชั่นเอ่ยเรียกให้ผู้ที่ยังนั่งอยู่ไปยืนที่ด้านล่างหน้าเวที เผชิญหน้ากับหญิงสาวอีกยี่สิบห้าคนที่ยืนอยู่บนเวทีก่อนจะชี้แจงกับผู้เข้าแข่งขัน

“กลุ่มผู้เข้าแข่งขันตอนนี้ยืนอยู่เป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะผ่านเข้ารอบต่อไป ส่วนอีกกลุ่มจะต้องหยุดความฝันในการเป็นนักร้องนักแสดงหน้าใหม่ของทีโอพีไว้แค่ตรงนี้ และผู้ที่จะมาประกาศผลว่ากลุ่มไหนจะเป็นผู้เข้ารอบ จะเป็นผู้ฝึกสอนการแสดงจนถึงนักแสดงร่วมให้กับพวกคุณทุกคนในรอบเรียนการแสดง”

เจ้าหน้าที่รายการที่หน้าประตูโถงเปิดประตูออก ก่อนที่ดาราหนุ่มคนหนึ่งจะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างกับพิธาน ถิรเจตกล่าวทักทายผู้เข้าแข่งขันและแนะนำตัวด้วยท่าทีที่ต่างจากที่ผู้ชมละครโทรทัศน์คุ้นเคยและการปรากฏตัวของเขาก็ดูเหมือนจะช่วยให้หญิงสาวหลายคนมีจุดสนใจใหม่ที่ไม่ใช่การจดจ่อแต่กับผลการตัดสิน

มนัญชยาเคยผ่านตาการแสดงของถิรเจตซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับบทสมทบเป็นตัวร้ายของเรื่อง และรู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงหนุ่มที่มีความสามารถคนหนึ่ง ความชื่นชมในตัวนักแสดงหนุ่มทวีขึ้นทันทีเมื่อเขาประกาศขึ้น

“ผมขอแสดงความยินดีกับกลุ่มที่ยืนอยู่บนเวทีครับ พวกคุณได้เข้ารอบต่อไป”



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 10:54:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 10:54:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 2080





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account