รอยรักแรงพยาบาท
ที่แค้นนักเพราะรักมากนั่นเอง
Tags: รัก ชิงชัง พยาบาท

ตอน: อดีตชาติ


ราชธิดาผู้เลอโฉมแห่งเมืองคราม คือเจ้านางอุษาวดี พระนางมีความงามเลิศล้ำ จนเป็นที่เลื่องลือทำให้กษัตริย์หลายเมืองส่งราชสาสน์สู่ขอเจ้านางไปเป็นมิ่งเมือง แต่พระราชบิดาของเจ้านางยังไม่มีพระประสงค์ยกให้แก่ผู้ใด รวมทั้งกษัตริย์สี่นครที่ส่งราชสาสน์มาสู่ขอ กันก่อน และทุกเมืองล้วนได้รับการปฏิเสธ ดังนั้นกษัตริย์จากสี่แคว้นทางใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรกัน จึงได้ทำการสาบานโดยการร่วมดื่มน้ำพิพัฒสัตยา เพื่ออ้างสาเหตุที่พ่อเจ้าเมืองครามไม่ยอพระราชธิดาให้ จึงพร้อมใจกันนัดหมายเข้าสู่ขอพร้อมกันทั้งสี่เมืองอย่างคนพาล และทำสัตยาบันต่อกันว่าหากผู้มีอำนาจเหนือแว่นแคว้นใดแคว้นหนึ่งได้เจ้านางนี้ไป อีกสามแคว้นจะอวยชัยด้วยความยินดีอย่างไม่มีข้อกังขา ทรงความชราภาพมากแล้ว เกิดความพิโรธยิ่งนัก เพราะหญิงเดียวมิอาจเป็นชายาของกษัตริย์สี่นครได้การส่งสาสน์เช่นนี้จึงเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของพระองค์อย่างร้ายแรง ด้วยความทิฐิมานะของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์จึงต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต
ดังนั้นสงครามจึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง
เมืองครามเป็นเมืองที่มีป้อมปราการสร้างจากศิลาแรง ก่อเป็นกำแพงงกั้นถึงสามชั้น และมีความแข็งแกร่งเพราะทั้งหนาและสูง ถ้าหากเมืองหนึ่งเมืองใดในทั้งสี่เมืองสามารถเปิดประตูเมืองเข้าไปได้ก่อนเป็นทัพแรก กษัตริย์ผู้นำทัพนั้นจักได้ครอบครองเจ้านางอุษาวดี ทั้งยึดเมืองครามเป็นเมืองขึ้น
กิเลสตัณหานำมาซึ่งความหายนะและความตาย แต่ไม่ว่าศึกจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม เมื่อมีการรณรงค์ในสงครามแล้วไซร้ ความฮึกเหิมลำพองยิ่งทำให้กล้าประจัญไม่มีฝ่ายใดผละหนี คราใดที่ดาบคมกริบได้ดื่มเลือดจากข้าศึก กลิ่นคาวเลือดยิ่งสร้างความกระหายใคร่กำชัยชนะให้ได้โดยเด็ดขาด
เพลานี้ พื้นพสุธา เมืองคราม เจิ่งนองไปด้วยหยาดโลหิตของชายชาติทหารผู้มาจากต่างถิ่นแดนไกลและผู้ทำหน้าที่พิทักษ์แดนดินถิ่นตน
ทัพเมืองครามเริ่มปรากฏลางพ่ายแพ้ ถึงแม้ทหารยังใจฮึกเหิมกล้าแกร่ง แต่เมื่อเวลายิ่งยาวนานออกไปเพียงใดกำลังแรงกายยิ่งอ่อนล้าลงทุกที มีเพียงทัพเดียวหรือจักสู้สี่ทัพได้
กลองศึกจากไพรีกระหน่ำรัวด้วยความลำพองใจ เพราะใกล้พิชิตศึกเข้าไปทุกทีแล้ว ฝ่ายสี่กษัตริย์ผู้นำทัพรุกราน เริ่มแก่งแย่งชิงดีกันที่จะเข้าเขตุพระนครให้ได้เป็นทัพแรก
…เพราะใครเปิดประตูเมืองได้ก่อน ผู้นั้นจะได้ทั้งเมืองและอิสสตรีผู้เลอโฉมไปครอบครอง
แต่ท่ามกลางการรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น กลับปรากฏว่ามีชายฉกรรจ์ร่างเล็ก แต่งชุดสีครามราวทหารของเมืองคราม ตีฝ่าวงล้อมทัพผู้รุกรานได้ และเขาสามารถเข้าไปถึงหน้าเมือง ร้องตระโกนบอกข่าว บรรดาทหารที่รักษาประตูแม้เห็นว่าแต่งกายเช่นเดียวกันก็ยังไม่วางใจ จนกระทั่งชายร่างเล็กผู้นั้นชูสาสน์ และตะโกนก้องอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ดังไม่สมกับตัวของมัน และเมื่อคนผู้นั้นได้เอ่ยอ้างนามเจ้าของสาสน์ฉบับนั้นต่อทหารผู้รักษาประตูเมืองแล้ว นายทหารรับทราบถึงที่มาแล้ว จึงรีบหย่อนเชือกป่านลงมารับราชสาสน์ จากนั้นจึงนำขึ้นถวายเจ้าเมืองครามในทันที
เจ้าเมืองครามแม้ดวงพระเนตรฝ้าฟางไปมากแล้วก็ตาม แต่เมื่อทอดพระเนตรอักขระที่ปรากฏนั้น กลับทรงทอดพระเนตรได้ชัดยิ่ง ทรงมีความปีติในดวงพระหฤทัยชราขึ้นอย่างท่วมท้น
รังสิมันตุ์พ่อเจ้าจอมอหังการทรงยกทัพมาช่วยเมืองครามแล้ว ความพ่ายแพ้จักมิปรากฏ ชัยชนะต้องเกิดขึ้น
เพราะได้เป็นที่เลื่องลือไปทุกแว่นแคว้นแดนดินถิ่นใกล้ แลไกล ให้ได้ทราบโดยทั่วว่า กำลังด้านการทหารของน่านฟ้ามีความเข้มแข็งยากหากองทัพใดเข้าต้านทาน และรังสิมันตุ์พ่อเจ้าผู้ครองนครน่านฟ้า ทรงขยายพระราชอำนาจโดยการปล่อยม้าอุปการ หากบ้านเมืองใดรับม้าพระองค์ด้วยไมตรี พระองค์ท่านนับเป็นมิตร แต่ต้องส่งส่วยบรรณาการตามแต่ทรงพอพระทัย และหากเมืองใดกระทำการเพิกเฉย จะทรงนำสาเหตุนั้นเข้าโจมตี โดยออกล่าเป็นเมืองขึ้นอย่างไร้ความปราณี
บัดนี้รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงนำกองทัพเคลื่อนสู่ เมืองครามในฐานะมิตร พระองค์บัญชาการให้ทัพแยกออกเป็นสี่ส่วน ทำหารโอบล้อมทัพของกษัตริย์สี่นครเพื่อมิให้มีหนทางหลบหนีไปทางใดทางหนึ่งได้
แม่ทัพผู้ชาญการศึกทั้งสี่นายล้วนมีชื่อลือไปทั้งแผ่นดิน ซึ่งพวกเขามีความกล้าแกร่งดังเสือหิว และทุกคนกระหายในการทำศึกเพื่อสนองพระเดชพระคุณขององค์เหนือหัวของตน อย่างยอมตายถวายชีวิต
องค์รังสิมันตุ์เองนั้นเล่า เมื่อมีการย่างพระบาทเข้าไปในภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย ก็มิได้เคยเป็นอุปสรรคสักครั้ง เพราะพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาได้ทุกสถานการณ์ จนยากที่จะหาใครเสมอเหมือนได้ และเมื่อทรงเลื่องชื่อระบือพระนามขนาดนี้ กษัตริย์สี่นครเพียงยินข่าว ว่าพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ทรงกรีฑาทัพมาเพื่อทำการป้องกันเมืองคราม จึงทำให้กษัตริย์ทั้งสี่นครถึงกับขวัญหาย เพราะไม่มีพระองค์ใดคาดไปถึงว่า องค์รังสิมันตุ์เจ้าจะเข้ามาปกป้องเมืองคราม ซึ่งไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆกันมาก่อน และที่พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ยกทัพมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ว่าทรงดำริจะมาชิงเจ้านางอุษาวดีตั้งแต่แรก หากแต่ยุทธวิธีเปลี่ยนไปเพราะกษัตริย์สี่นครเข้ามารุกรานก่อน และพ่อเจ้ารังสิมันตุ์จึงทำไมตรีโดยการออกพระนามช่วยเหลือเมืองครามที่กำลังอับจนหนทาง ทั้งที่พ่อเจ้าเมืองครามอาจจะทรงทราบว่าจุดหมายหนึ่งเดียวขององค์รังสิมันตุ์มิได้แตกต่างจากกษัตริย์องค์อื่น หากว่าพระองค์ท่าน หาทางเลี่ยงไม่ได้แล้วนอกจากรับพระราชไมตรีเท่านั้น...รังสิมันตุ์พ่อเจ้าต้องการครอบครอง....เจ้านางอุษาวดี ไม่แตกต่างจากคนอื่น
เจ้าเมืองครามโดย เสด็จเคียงข้างด้วยพระมเหสี ประทับเหนือป้อมปราการเมือง เหล่าเสนาอำมาตย์เข้าเฝ้า กันอย่างพร้อมหน้า ที่มีกำลังต่างออกรบพุ่งรักษาเกียรติของเมืองอย่างมิได้เห็นแก่ความกลัวตายสักน้อยนิด
ลานกว้างห่างไกลออกไปมีการรบพุ่งอย่างดุเดือด เสียงโลหะประทะกันดัง เคล้ง เคล้งเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท การห้ำหั่นของสงครามที่เกิดขึ้น มิอาจจำแนกได้ชัดว่าใครเป็นใคร การรบเป็นไปอย่างดุเดือด การเข้าตะลุมบอนนำมาซึ่งการสูญเสียทั้งสองฝ่าย และอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงเหี้ยมโหดนัก ทั้งทรงออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหาร หาญ จึงมิต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดทหารเมืองน่านฟ้าจึงถวายชีวิตเป็นราชพลี ทรงรบภาคพื้นกับเจ้าเมืองสองนครที่เข้ามารุม เพื่อหวังเอาชนะพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ให้จงได้ หากฝีพระหัตถ์แตกต่างกันราวว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างทารกอ่อนด้อยประสบการณ์ ที่บังอาจกล้าต่อกรกับคนระดับมือชั้นครู และแล้วเมื่อพระเนตรคมดุของรังสิมันตุ์เจ้า เปล่งประกายแดงฉานสาดแสงเข้าใส่คู่ต่อสู้ เพลานั้นฝ่ายตรงข้ามหนาวยะเยือกทั้งกายดังถูกสะกดจิต เมื่อชะงักการเคลื่อนไหวเพียงชั่วพริบตาเดียว พระแสงดาบวาววับในพระหัตถ์รังสิมันจ้าว ตวัดเข้าใส่ก้านพระศอเจ้าเมืองคู่ต่อสู้ทันที
“ฉับ”
โลหิตแดงฉานสาดกระจาย เป็นฟู่ฝอย ดาบเดียวตัดพระเศียรนั้นหลุดกระเด็นจากพระอังสะ เศียรราชาเจ้ากลิ้งไปอยู่แทบบาทรังสิมันตุ์พ่อเจ้า อีกองค์ที่เหลือทรุดเพลาลงกับพื้นยอมหมอบกราบลนลานร้องขอชีวิต แม้จะไม่มีหวัง เพราะทราบกันดี รังสิมันตุ์พ่อเจ้าไม่ไว้ชีวิตศัตรู
“เว้นชีวิตข้าบาทเถิดพะเจ้าข้า”
พระองค์หาได้มีความสงสารแม้สักนิด พระพักตร์เครียดขมึง ทรงตวัดสายพระเนตรใส่ ซึ่งแม้ว่าบัดนี้คู่ต่อสู้จะไร้พิษสงแน่แล้วแล้ว แต่ยังมีพระดำรัสก้องอย่างไร้ความปราณี
“ตัดไม้หรือจักไว้รากได้”พร้อมเงื้อพระแสงดาบสูงสุดหล้า ก่อนจะตวัดลงมาที่ก้านพระศอของกษัตริย์คู่ต่ออย่างสุดแรง

กษัตริย์ผู้ยอมสิโรราบแล้วเบิกพระเนตรค้างตื่นตะลึง ตะโกนก้องสุดเสียง
“พ่อเจ้า”พระแสงดาบฟันแหวกอากาศลงฉับที่ก้านพระศอจอมกษัตริย์
“ฉับ”คมดาบดื่มเลือดจมชุ่มโชก
เหล่าทหารเหลือบเห็นนายด้าวดิ้น พระเศียรถูกตัดขาดกระเด็นสิ้นชีพอย่างน่าอนาถ ต่าง ขวัญหายผละหนีเอาตัวรอดในทันที ทัพน่านฟ้าเห็นมีชัยจึงโถมทะยาน เข้าขับไล่ ที่หนีได้หนีไป หากที่หกล้ม ล้วนต้องสังเวยคมดาบอย่างเหี้ยมโหด ข้าศึกตายเกลื่อนกราด กษัตริย์ที่เหลือเห็นว่ามิอาจต้านทานได้จึงสั่งการให้ลั่นกลองรัวแรงหย่าศึก ถอนกำลังพลแตกพ่ายไม่เป็นขบวน
ครานั้นเหล่าทหารทั้งนาย และไพร่ของน่านฟ้า ต่างกู่ร้องเสียงอึงคะนึง ยินดีในการศึกที่พิชิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“น่านฟ้ามีชัยแล้ว”ทหารม้าเร็ว สะบัดธงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ห้อตะบึงทั้งร้องตะโกนตลอดทาง มุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมืองคราม
กษัตริย์เมืองครามดีพระทัยยิ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็นสถานการณ์พลิกผันได้สมกับพระทัย จึงรีบนำเสด็จลงจากป้อมปราการ ทั้งมีพระราชกระแสรับสั่งให้เปิดประตูเมืองรับเพื่อทัพน่านฟ้า และทัพของเมืองครามกลับเข้าสู่ภายในพระนครโดยเร็ว
อาณาประชาราษฎร์แห่แหนกันมาเฝ้ารับเสด็จ รอชมพระบารมีด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณของพ่อเจ้าเมืองน่านฟ้าเข้ามาปกป้องเมืองของตนมิให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของอริราชศัตรู
รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงประทับบนหลังอาชาสีหมอก เสด็จเข้าเมืองคราม ยามนี้มี เสโทไหลย้อยตามหากพระพักตร์คมคายได้รูป พระขนงเข้มหนา รับด้วยดวงพระเนตรคมดุจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างมิหวั่นเกรงผู้ใด พระนาสิกโด่งเป็นสันตรง รับกับพระโอษฐ์หนาปิดสนิท พระองค์มีความสง่างาม สมชายชาติเชื้อกษัตริย์ ทรงมีวรกายสูงใหญ่มั่นคง พระพาหากว้างแข็งแรง พระฉวีสองสีดูคมคาย เส้นพระเกศายาว ผูกรัดด้วยเส้นทอจากดิ้นทอง ทรงได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด และเป็นการประกาศถึงความกล้าแกร่งได้สมกับคำร่ำลือ และพระองค์ไม่รั้งรอสรงสนานดั่งเช่นประเพณีหลังการศึกอย่างที่ผ่านมา ทั้งที่พระวรกายท่อนบนเปลือยเปล่า มีคราบโลหิต ปนเปื้อน อุระเบื้องขวาปรากฏบาดแผลจากคมดาบ พาดเฉียงยาวประมาณสามนิ้ว แม้ไม่ลึกมาก แต่พระโลหิตยังรินไหลปริ่มๆเป็นทางยาว หากรังสิมันตุ์พ่อเจ้า มิได้แยแสสนพระทัย เพราะทรงมาดหมายไว้ในพระทัยว่า บาดแผลที่ทรงได้รับนี้ มีแต่เจ้านางอุษาวดีเท่านั้นที่คู่ควรถวายรักษาแด่พระองค์ ดังนั้นรังสิมันตุ์พ่อเจ้าจึงทรงรีบเสด็จเข้าเมืองพร้อมแม่ทัพคนสนิททั้งสี่
พระองค์ใคร่ยลโฉม เจ้านางอุษาวดี ว่ามีความงามสมกับเหล่าบุรุษทุกคนที่ยอมเอาชีวิตแลก แม้แต่พระองค์ ยังยกทัพมารบเพื่อนางหรือไม่?
และหลังจากนี้ไปทัพของพระองค์จะเข้าริบเมืองทั้งสี่เป็นประเทศราชอย่างแน่นอน
ตลอดสองข้างทางมีประชาชนชาวเมืองหมอบกราบกับพื้นด้วยสำนึกในพระกรุณา ที่รังสิมันตุ์จ้าวกรีธาทัพมาช่วยจนได้รับชัยชนะ เสียงสรรเสริญดังไม่ขาด
“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ”
เจ้าเมืองครามรีบเข้าไปรับรังสิมันตุ์จ้าวเมื่อเข้าประตูเมืองมาแล้ว รังสิมันตุ์พ่อเจ้าลงจากหลังอาชา เจ้าเมืองครามเสด็จนำพระมเหสี และนางสนมกำนัลเข้าเฝ้าแทบเบื้องพระพักตร์ ตรงเข้าไปทรุดวรกายกราบแทบเบื้องพระบาท เอื้อมพระหัตถ์ยกบาทรังสิมันตุ์พ่อเจ้า ผู้ผ่านแผ่นดินนครน่านฟ้าวางไว้บนพระเศียรแห่งตนด้วยความเคารพสูงสุด บ้านเมืองพ้นความพินาศด้วยพระบารมีอันยิ่งใหญ่...
“เมืองครามได้เป็นทาสเมืองน่านฟ้าแล้ว พระบาทเจ้า”ทรงตรัสเสียงสั่น รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงประคองร่างชราทั้งสองกษัตริย์ขึ้นประทับยืน สีพระพักตร์ปราณีต่อสองกษัตริย์ตรัสด้วยสุรเสียงกังวานประหลาด ฟังดูทรงอำนาจยิ่ง
“เราเต็มใจมาช่วยเมืองครามในฐานะมิตร จักยึดเอาเมืองครามเป็นทาสหลังสงครามก็หาไม่”
“พระบารมีปกเกล้า”
พระโอษฐ์หนาหยักรอย แย้มสรวลนิด พระพักตร์คร้ามดุ คลายไป ทรงมีรอยพระสรวลสวยอย่างน่าพิศวง พระเนตรคมกวาดไปทั่วแลหา เจ้านางผู้เลอโฉมมิได้เห็นผู้ใดงามสมคำลือสักคน
เจ้าผู้ครองนครคราม เข้าพระทัยในองค์รังสิมันตุ์ว่าต้องพระประสงค์สิ่งใด พระองค์จึงแลลอบสบพระเนตรกับพระมหาเทวี เป็นการอ่านความในพระทัยต่อกันด้วยสายพระเนตร
...ไม่มีทางได้คัดค้านความประสงค์ขององค์รังสิมันตุ์ได้ เพราะพ่อเจ้าพระองค์นี้มาช่วยเพื่อหวังสิ่งตอบแทน หากน้ำได้ท่วมพระโอษฐ์ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น มิอาจถอยคืนด้วยเกรงพระราชอำนาจของเมืองน่านฟ้า จึงก้มพักตร์กราบบังคมทูลเชิญ เสด็จพ่อเจ้ารังสิมันตุ์
“เชิญเสด็จที่ท้องพระโรงเถิดพ่อเจ้า”
รังสิมันตุ์เจ้ารับคำทูลเชิญ ย่างเยื้องพระบาทงามสง่าสู่ท้องพระโรงที่ประทับ ท่านแม่ทัพคนสนิท ทั้งองครักษ์นายกองเฝ้าดูแลอารักษ์ขามิได้ห่าง
ราชวังเมืองครามมีความงดงามยิ่ง เชื้อพระวงศ์ และนางกำนัลข้าหลวง นำพานดอกไม้มารอเฝ้ารับเสด็จถ้วนหน้า รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทอดพระเนตรแลหา...เจ้านางที่มีความงามล้ำพิลาสทั้งหมดนั้น มีความงามลดหลั่นกัน หากไม่มีสักคนที่มากค่าจนกระทั่งเหล่ากษัตริย์ต่างแคว้นทำศึกแย่งชิง
ความงามแค่นี้มีค่าควรเมือง..ช่างหน้าหัวร่อ ทรงดำหริหยามหยันในอุระทั้งของพระองค์ที่วางแผนมาอย่างดิบดี ทั้งราชาครองแคว้นที่นำชีวิตมาสังเวยความงามที่พระองค์ยังไม่เห็น
อินทิราเทวีของพระองค์มีความงามกว่านี้...พระองค์ยังไม่พอพระทัย
ไหนเล่าขุนพลกอบหล้าขุนพลคู่พระทัยทูลบอก เจ้านางงามพิลาสเหนือสตรีทั้งแผ่นดิน และ มีแต่องค์รังสิมันตุ์จ้าวเท่านั้นคู่ควร เปรียบดั่งพระลักษมีควรคู่ด้วยองค์นารายณ์เท่านั้น
เจ้านครเมืองครามนำเสด็จสู่ท้องพระโรงแล้วจึงเชิญเสด็จรังสิมันตุ์จ้าวประทับเหนือบัลลังก์ หากรังสิมันตุ์พ่อเจ้ากลับประทับนั่งในที่ชั้นรอง เจ้าผู้ครองนครจึงต้องนั่งลงกับแท่นที่ต่ำกว่า เชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารทั้งนั้นจึงนั่งหมอบลดหลั่นกันตามแต่ฐานะ
“ผู้ใดคืออุษาวดี”พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ดำรัสถามก้องท้องพระโรง
มหาเทวีผู้เป็นเอกอัครมเหสีรีบกราบทูลเสียงสั่น พระพักตร์ถอดสีทั้งวัยชราและเกรงกลัวพระบารมี
“เจ้านางน้อยมิได้อยู่ที่นี้เพคะพ่อเจ้า”
พระพักตร์คมบึ้งตึงทันทีด้วยความขุ่นพระทัยที่เห็นว่าเมืองครามบังอาจล่วงเกินมิได้ให้อุษาวดีเข้าเฝ้าโดยเร็ว ทุกคนต่างขวัญหาย โดยเฉพาะพ่อเจ้าเมืองครามรู้สึกผิดที่มิได้รีบนำอุษาวดีราชธิดามาเข้าเฝ้าแต่แรก จึงรีบกราบทูลก่อนที่จะเห็นพ่อเจ้ารังสิมันตุ์เคืองยุคลบาทยิ่งกว่านี้
“เจ้านางถูกคุมไว้ที่วังลับพระเจ้าข้า”
รังสิมันตุ์พ่อเจ้ากระตุกพระขนงมุ่น ตรัสว่า
“เหตุใดจึงทำเช่นนั้นเล่าพ่อเจ้า”
“เพราะความเขลา ข้าน้อยจึงคิดว่า หากมิอาจพ้นจากอริราชแล้วไซร้ จักมิให้พวกใจหยาบเหล่านั้นได้ยลอุษาวดีเช่นกัน”
พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ทรงนิ่งขึงไปทันทีกับพระดำริของเจ้านครเมืองครามที่คิดให้พระราชธิดาตายตกตามเมืองหากต้องแพ้สงคราม เวลานี้พระองค์หายอมได้ไม่ อย่างไรต้องได้ยลพระรูปโฉม และถ้าหากไม่มีความงามล้ำให้เป็นที่ต้องพระทัยแล้วไซร้ พระองค์เองจักประหารนางเสีย เพราะนางเป็นสาเหตุให้ชายชาตรีต้องหลั่งเลือดชโลมดิน
“ข้าจักไปหานางบัดเดี๋ยวนี้”
“พ่อเจ้า”แม่ทัพเดโช แม่ทัพคู่พระทัยทูลท้วงไว้ แต่จอมกษัตริย์หนุ่มมิได้รับฟัง
ขุนพลกอบหล้ากระซิบพอได้ยินกันตามลำพังทั้งเจ้าและนาย
“ต้องให้เห็นกับสายพระเนตร ว่าทรงพระสิริโฉมสมคำร่ำลือไหม”เขาแสร้งเอ่ยไปอย่างนั้นเอง เพราะว่าเขาได้เห็นกับตาว่าเจ้านางมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งและเขาเป็นคนไปกราบทูลว่าเจ้านางนี้คู่ควรกับองค์รังสิมันตุ์เท่านั้น
พ่อเจ้าชักสีพระพักตร์ปลายสายพระเนตรปรามๆ ไปทางขุนพลกอบหล้าหากมิได้พิโรธจริง ขุนพลคู่พระทัยยังเอ่ยสืบต่อ
“หากไม่สมพระทัย จักได้ยกทัพกลับโดยเร็ว” พ่อเจ้าคลายพระทัยที่นิ่งขึงลงบ้าง เพราะทั้งเมืองน่านฟ้า มีแต่ขุนพลกอบหล้าที่กล้าทูลทีเล่นทีจริงกับองค์รังสิมันตุ์เจ้าได้เป็นกรณีพิเศษ
ทรงตรัสให้เจ้านครเมืองครามนำพาพระองค์ไปยังวังลับ แม่ทัพเดโช แลขุนพลรีบตามเสด็จพร้อมทั้งสี่นาย
องค์มหาเทวีพระทัยเริ่มหวาดหวั่น เมื่อทรงเห็นว่ารังสิมันตุ์พ่อเจ้าเอาแต่พระทัยอย่างยิ่งยวด ถึงแม้พระองค์ท่านมีคุณได้ช่วยเหลือแผ่นดินให้รอด แต่องค์ทมหาเทวีทรงทราบเหตุผลดีว่า...มิได้ต่างจากกษัตริย์สี่นครสักนิด
หากพระนางจนปัญญาที่จะทัดทาน หรือ ทำการสิ่งใดได้แล้ว เพราะกองทัพน่านฟ้าแม้มิได้บอกเข้ายึดครอง แต่บัดนี้เมืองครามได้เปิดประตูต้อนรับ จึงเปรียบเสมือนได้ตกเป็นเมืองขึ้นแล้วกระนั้น
พ่อเจ้าเมืองครามนำเสด็จไปที่ตำหนักฝ่ายใน ซึ่งบัดนี้มีความวังเวงจนเหมือนตำหนักร้าง กลางผืนห้อง มีผ้ากำมะหยี่สีแดงขนาดกว้างยาวสองศอกเท่ากันปูพื้นไว้ พ่อเจ้าเมืองครามตบพระหัตถ์เป็นสัญญาณแก่ทหารรักษาพระองค์ แม่ทัพเดโช และแม่ทัพอีกสามนาย รีบถลันเข้าล้อมพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ระวังเหตุ หากพ่อเจ้ามิได้มีความครั่นคร้ามสักนิดเดียว ทรงจ้องพระเนตรมองดูการกระทำอย่างเงียบๆ
ราชองค์รักษ์สองคนเข้าไปตลบผืนผ้ากำมะหยี่สีแดง ปรากฏเป็นแผ่นไม้ปิดพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ไม่ขยับพระวรกายทรงทอดพระเนตรนิ่ง แม่ทัพเดโชผู้มีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจทูลถามพ่อเจ้าเมืองคราม
“เจ้านางประทับในที่นี้หรือพระเจ้าข้าพ่อเจ้า”
“นางได้อยู่กับนางกำนัลพี่เลี้ยงในที่นี้นับแต่เกิดศึก นางจักตายหากเมืองครามพ่ายสงคราม”
พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ถลันพระกายเข้าไปผลักทหารเมืองครามสองนายให้พ้นห่าง สี่แม่ทัพเมืองน่านฟ้าเข้ารายล้อมป้องกัน รังสิมันตุ์พ่อเจ้าเห็นช่องไม้จึงสอดพระหัตถ์ออกกำลังยกขึ้น แผ่นไม้หลุดออก ปรากฏเป็นช่องลับพระองค์จะเสด็จลง แต่แม่ทัพเดโชมิอาจให้ทรงทำเช่นนั้นได้จึงทัดทานไว้พร้อมกราบทูล
“พ่อเจ้าทรงเชิญเสด็จเจ้านางขึ้นมาเถิดพระเจ้าข้า”
ขุนพลกอบหล้ากลับทูลพอได้ยินตามลำพังกับพ่อเจ้ารังสิมันตุ์
“พระทัยร้อน อยากประหารเจ้านางโดยเร็ว”
เสียงสนทนาดังอยู่ด้านบน ก้องลงไปในห้องลับข้างล่าง สลานางกำนัลพี่เลี้ยงก้าวออกมาจากซอกเหลือบลับก้าวเดินมาแหงนมองช่องว่างด้านบน ชายฉกรรจ์หลายนายรายล้อมจ้องมองลงมา หนึ่งนั้นทำให้นางตื่นเต้นยินดีจนมิอาจระงับรีบทรุดกายลงกราบกราน
“พ่อเจ้า”
“อุษาวดีอยู่ดีหรือไม่”
“เพคะพ่อเจ้า เอ่อ”นางอึกอักเมื่อเห็นชายแปลกหน้าห้าคน คนหนึ่งนั้นเปี่ยมล้นบารมีจนนางต้องรีบหลบสายตาไม่กล้าสานสบคิดคาดการณ์ไปว่า เมืองนางได้ตกเป็นเมืองขึ้นแล้ว แต่นางไม่ต้องวิตกนานเพราะพ่อเจ้าเมืองครามมีรับสั่งให้เชิญเสด็จอุษาวดีเทวีขึ้นมาพร้อมตรัสเสริม
“ให้อุษาวดีมาถวายบังคมเจ้าชีวิตนางบัดเดี๋ยวนี้”
นางสลาเร้นกายไปซอกเหลือบลับกราบทูลเจ้านางอุษาวดีตามรับสั่งของพ่อเจ้าเมืองครามทุกประการ ครู่เดียวจึงนำหน้าออกมา องครักษ์สองนายช่วยให้นางสลาขึ้นมาจากห้องลับข้างล่าง



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2554, 18:56:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2554, 18:56:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 5014





   เทวีซ้าย-ขวา >>
Zephyr 11 เม.ย. 2554, 18:19:35 น.
โอ๊ะ อุาานี่ท่าจะสวยมากกกก พ่อเจ้าต้องตะลึง แน่เลยย ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account