(เรื่องสั้น)
รวมเรื่องสั้นค่ะ

เขียนขึ้นในวันที่อารมณ์ดี
และอยากให้คนอ่าน อ่านแล้วอารมณ์ดีตามเหมือนกัน

@^__^@
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: บางคำรัก (ครึ่งหลัง)

สรุปวันนั้นฉันก็ไม่นอนหง่าว เพราะหมอมาชวนคุยอยู่ทั้งวัน เริ่มตั้งแต่สายๆ ฉันหอบข้าวของมานอนอ่านหนังสือที่ใต้ถุนบ้าน หน้ากี่ทอผ้าของยาย หมอ ที่ปกติอยู่แต่โรงพยาบาลก็หอบตำราแพทย์มานั่งอ่านด้วย พักๆก็ปิดหนังสือหันมาถามอะไรสักอย่าง ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ แล้วก็หันมาถาม เป็นอย่างนี้สลับกันไป จนฉันนึกในใจว่า ไม่ต้องอ่านมันเลยดีมั้ย มานั่งถามให้รู้เรื่องกันไปเลยไป

พอกลางวัน หมอก็ชวนฉันออกไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงพยาบาล ซ้อนรถเครื่องของหมอไป ตื่นเต้นดี เพราะหมอก็ดูเหมือนลูกคนกรุงทั่วไปนั่นคือ ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่แข็ง ลำพังขี่คนเดียวก็แย่อยู่แล้ว มีฉันซ้อนไปอีกคน ความเร็วเลยแทบเป็นเต่าคลาน ตกตอนเย็น หมอตั้งท่าจะชวนฉันออกไปเที่ยวเล่นอีก แต่ฉันเบื่อหน้ากับกล้ามแขนขาวๆของหมอแล้ว จึงปั่นจักรยานไปบ้านเพื่อนตั้งแต่ยังไม่ทันจะสี่โมงเย็น แล้วก็ปักหลักนั่งกินอะไรที่นั่นไปเลย จนกลับบ้าน ไล่น้องหมาเข้าสุ่มไก่เรียบร้อยแล้วนั่นล่ะ ถึงได้ยินเสียงคนร่วมบ้านถามไถ่มา

“กลับมาแล้วเหรอ”

“ใช่ หมอจะเอาอะไรเหรอ”

เป็นการคุยกันที่ลำบากพอดู หมอยืนอยู่ปลายบันได ในขณะที่ฉัน ยืนอยู่คนละฝั่งบ้าน เสียงตะโกนคุยกันนี่ คงดังดีพิลึก

“เป็นห่วง เห็นยังไม่กลับมาสักที”

คำพูดของหมอทำเอาผีเสื้อในใจตีปีกพรึ่บพรั่บ ฉันอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะหุบฉับเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“เกิดคุณเป็นอะไรไป คุณยายจะว่าผมได้ ฝากให้ดูแลคุณไว้”

“หนูอายุเกินสิบสองแล้วน่า ดูแลตัวเองได้ หมอไปนอนเหอะ หนูก็จะอาบน้ำนอนแล้ว”

ว่าแล้วก็เดินลงส้นเท้าตึงๆ ขอให้หมอนอนไม่สงบ ขอให้หมอนอนไม่หลับ ขอให้หมอรำคาญเสียงจนต้องเอาหมอนอุดหู

ระหว่างที่กำลังแช่งชักหักกระดูกหมออยู่ในใจ เดินไปยังไม่ทันจะถึงหน้าห้องตัวเอง คนที่โดนแช่ง ก็คว้าแขนไว้ก่อน ฉันหันไปมองตาเขียว นิสัย !!!

“ขอโทษ” หมอปล่อยมือทันทีที่เห็นรังสีอำมหิตจากแววตาฉัน ชูมือสองข้างขึ้นเหมือนว่ายอมแพ้ “ผมแค่ เอ่อ”

“อะไรล่ะคะ”

หมอยังอึกอัก ทำเอาฉันลุ้นไปด้วยว่าหมอจะพูดอะไร

“ปิดประตูบ้านดีหรือยัง”

แป่ว

“ปิดดีแล้ว”

“แล้วปิดไฟหน้าบ้านยัง”

“ปิดเรียบร้อย”

“เก็บจักรยานเรียบร้อยนะ”

“เก็บอย่างดี ไม่ได้ปั่นไปเหยียบตะปู หรือขี้หมาที่ไหนมาด้วย หมอจะถามอะไรอีกมั้ย” ฉันกวนกลับ รู้สึกชักจะเริ่มรำคาญเพื่อนร่วมบ้านขึ้นมาทุกที สงสัยจะเป็นเพราะง่วง ยิ่งหมอโยกโย้ ฉันยิ่งอยากยียวน

“ถาม” หมอสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ใบหน้าเริ่มเป็นสีแดงก่ำ ฉันสบตาหมอลุ้นๆ ซึ่งพอได้ยิน ความร้อนก็ตีขึ้นหน้าฉันไม่ต่างกัน

“ขอเบอร์หน่อยสิ”

อ๊ายยยย ผู้ชายขอเบอร์

“เผื่อไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีก ผมจะได้โทรตามตัวถูก”

โอ๊ย ฉันน่าจะรู้นะ ว่าหมอชอบแถ หมอชอบหลอกให้ดีใจเก้อ แต่เอาเหอะ เห็นแก่กล้ามขาวๆ ฉันให้อภัย ฉันเลยบอกเบอร์ให้หมอที่ควักมือถือขึ้นมารอแล้วอย่างไม่มีบิดพลิ้ว หมอกดตัวเลขตามที่ฉันว่าอย่างตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้ามาส่งยิ้มให้

“โอเค ว่าแต่ ทำไมไม่เรียกพี่หมอ วันนี้ให้อภัย แต่วันหลังห้ามลืมนะ”

ดุเสร็จก็แทบจะวิ่งลงบันไดกลับห้องของตัวเอง ทิ้งให้ฉันอ้าปากค้างอย่างงงๆ หมอนี่ มาเร็ว ไปเร็ว เคลมเร็วจริงๆ ยังไม่ทันได้บอกราตรีสวัสดิ์เลย ฉันส่ายหัว เริ่มเดินไปเอาเสื้อผ้าที่ห้องของตัวเองเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เป็นข้อความจากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย แต่เปิดอ่านแล้วต้องยิ้มกว้างๆ ผีเสื้อในใจเริ่มตีปีกกันอีกรอบด้วยความสุข

“นอนหลับฝันดีนะ ฝันถึงผมด้วยก็ดี ... หมอโต้ง”


แล้วฉันก็ไม่ได้เจอกับหมอโต้งอีก เป็นอันว่า จากตั้งใจจะเรียกพี่หมอๆตามที่เขาสั่ง ฉันก็ได้แต่เก็บปากเก็บคำเอาไว้ เพราะหมองานยุ่งมากขึ้นทุกทีๆ แต่ทุกๆวัน จะมีข้อความจากผู้ชายร่วมบ้านคนนี้ส่งเข้ามาเสมอ เป็นข้อความที่ทำให้ยิ้ม บางครั้งก็ทำให้หัวเราะ บางครั้งก็แอบโมโหที่หมอกวนจนพาลจะกดเบอร์ไปวางระเบิดใส่ แต่สงสารที่ว่างานหนัก ฉันก็เลยได้แต่ส่งข้อความกลับแบบหวานๆ น่ารักๆ เอาใจช่วยหมอ เป็นกำลังใจให้อะไรทำนองนั้น บางครั้งพิมพ์ไปก็ขำตัวเองไป หัวเราะคิกคักจนยายชักสงสัยว่าหลานเป็นบ้าอะไรหรือเปล่า แต่ฉันจะบอกได้ไงล่ะว่า คนเช่าห้องชั้นล่างน่ะ ทำท่าจะจีบหลานยายอยู่ เพราะเอาเข้าจริง ฉันก็ไม่แน่ใจว่าหมอแค่เล่นๆไปตามประสาคนเหงาหรือเปล่า ฉันมองไม่เห็นภาพตัวเองจะตรงเสป็คหมอตรงไหน และก็มองไม่เห็นอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะอีกไม่นาน หมอก็ต้องย้ายกลับไปบ้านพักแพทย์ในโรงพยาบาล ส่วนฉันก็ต้องกลับกรุงเทพ ไปฝ่าฟันกับการเรียน เรียนจบก็ต้องทำงาน มันยิ่งจะหาเวลาเพื่อกลับมาที่นี่ได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก

แต่ข้อความหวานๆที่ได้รับมาทุกวัน มันทำให้ผีเสื้อในใจเริ่มตัวใหญ่ขึ้น เพิ่มจำนวนขึ้น ได้อ่านแต่ละที เจ้าผีเสื้อไม่รักดีก็พากันสะบัดปีกทิ้งความหวามไหวไว้ในใจ เข้าทำนอง ไม่ได้เห็นหน้า ได้เห็นข้อความเจ้าก็ยังดี

“อ่าว หมอโต้ง กลับมาแล้วเหรอ”

คุณยายเอ่ยทักคนที่กำลังอยู่ในความคิดของฉัน ฉันเงยหน้ามองเขาทันที แล้วเราสองคนต่างก็ชะงัก เพราะหมอโต้ง มาแบบโชว์ไวท์ช็อกโกแลตอีกแล้ว

“หวัดดีฮะยาย”

“หมอ อาทิตย์หน้ามีงานวัดนะ หมอว่างๆก็ลองไปเที่ยวดู งานวัดแบบบ้านนอก มีลิเกกับหนังกลางแปลงด้วยนะ เคยดูรึป่าวล่ะพ่อ”

ฉันทำเป็นเมินมองภาพในจอทีวี แต่หูนี่ ฟังยายพูดกับหมอผึ่งเลยล่ะ รอฟังคำตอบว่าหมอจะว่ายังไง

“ไม่เคยครับ เห็นพวกที่โรง’บาลก็ชวนไว้เหมือนกัน ว่าจะลองไปดู ขอบคุณครับยาย”

อ้อ มีคนชวนไปแล้ว ดี ฉันจะได้ไปกับคนอื่น เพื่อนพ้องน้องพี่ที่เล่นสงกรานต์ก็มี ชิชิ

หมอคุยกับคุณยายอีกนิดหน่อย ก็ขอตัวไปพัก ยายหันมาสั่งฉันให้ปิดไฟ ปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้าไปนอนในห้อง ทิ้งฉันนอนเกลือกกลิ้งอยู่หน้าทีวี อ่านการ์ตูนที่เช่ามา แต่ก็ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไรหรอก ใจมันเสียตั้งแต่ฟังประโยคเมื่อกี้แล้ว จะว่าไป คนเราก็นะ ทั้งที่เตือนตัวเองว่าอย่าจริงจัง หมออาจจะแค่เล่นๆ แต่การได้เจอหน้าเขาครั้งแรกในรอบสัปดาห์ มันก็ทำให้ฉันอดดีใจไม่ได้ ดูท่างานนี้ คงมีคนที่กู่ไม่กลับซะแล้ว

ตรืด ตรืด เสียงข้อความเข้าในโทรศัพท์

“พาผมไปดูหนังกลางแปลงหน่อยสิ ไปวันไหนกันดี”

ฉันอ่านแล้วก็วางเจ้าเครื่องมือสื่อสารลง ไม่สนใจจะตอบกลับ

“ดูลิเกด้วยนะ คุณว่างวันไหน”

ฉันน่ะว่างทุกวัน ถามตัวเองเถอะ ฉันตอบทางคำพูด ไม่ใช่พิมพ์ข้อความส่งกลับไป

“ทำไมเงียบไปล่ะ ยังดูทีวีอยู่ไม่ใช่เหรอ”

เปิดทีวีเป็นเพื่อน จริงๆอ่านการ์ตูนอยู่ต่างหาก หมอนี่ ไม่รู้อะไรเลย

“ไปวันอังคารแล้วกันนะ ไม่ตอบถือว่าตกลง”

ฉันปรายตามองข้อความแล้วตาโต คว้ามือถือมา เตรียมกดกลับ ก็มีสัญลักษณ์กระพริบว่ามีข้อความใหม่

“วันอังคารเจอกัน ฝันดีนะ :)”

โอ๊ย หมออาศัยทีเผลอ ต้องจดบันทึกไว้ว่า นอกจากจะชอบแถแล้ว หมอยังเจ้าเล่ห์อีกด้วย งานนี้ต้องมีเอาคืน

แต่ขนาดคิดอย่างนี้ ทำไมฉันถึงยังยิ้มไม่หุบอีกเลยนะ ปากจะฉีกไปถึงรูหูแล้วตอนนี้


วันอังคารตรงตามที่หมอนัดมาถึงอย่างรวดเร็ว หมอยังเข้าตามตรอกออกตามประตูด้วยการบุกไปขออนุญาตตากับยายของฉันว่าจะให้ฉันพาไปเที่ยวงานวัด ท่านทั้งสองสบตากันแว้บหนึ่ง ก่อนยายจะเอ่ยปากอนุญาตอย่างใจดี แต่ฉันรู้ ยายก็ต้องไปช่วยงานเหมือนกัน คราวนี้แหละ สายของยายเต็มวัดแน่หมอ หึหึ

“หมอเสร็จหรือยัง” ฉันตะโกนเรียกหมออยู่ตรงบันได ผู้ชายที่เจ้าเล่ห์แสนซนเปิดประตูออกมาส่งยิ้มให้ แต่คำพูดนี่สิ โอ๊ย...ย

“เรียกหมอเฉยๆอีกแล้ว เดี๋ยวเจอดี”

หมอทำท่าจะขว้างมะเหงกใส่หัวฉัน บางทีกริยาของหมอก็ทำเอาฉันงงๆว่า หมอเป็นเพศไหนกันแน่นะ

“เปิดประตูบ้านให้หน่อย ผมจะเอารถออก”

ฉันลังเล ถ้าลงจากฝั่งนี้ก็ไม่มีรองเท้าใส่น่ะสิ

“ขอวิ่งไปเอารองเท้าก่อนได้มั้ยอ่ะพี่หมอ ฝั่งนี้หนูไม่มีรองเท้าแตะใส่”

“เดี๋ยวหาให้”

แล้วคุณหมอก็เดินกลับเข้าไปในห้อง คว้ารองเท้าออกมาได้หนึ่งคู่ ยื่นส่งให้ฉันตรงบันได แหม ถ้าหมอสวีทกว่านี้อีกหน่อย ก็คงเหมือนเจ้าชายกำลังยื่นรองเท้าแก้วให้ซินเดอเรล่าล่ะมั้ง

“ผมเห็นอยู่ในห้อง ใช่ของคุณป่าว”

ฉันเพ่งมองรองเท้าที่กำลังสวมอยู่ดีๆ ใช่จริงๆด้วย รองเท้าคู่เก่าเก็บ ที่ใช้ใส่ตอนสมัยห้องของหมอยังเป็นห้องเก็บสมบัติของฉัน เอ๊ะ สมบัติ ...

“นอกจากรองเท้า พี่หมอเห็นกล่องขนมปังป่าว กล่องไม่ใหญ่หรอก” ฉันกะขนาดมือให้เขาดู “กล่องสมบัติของหนูเลยนะนั่น”

“นึกไม่ออก เดี๋ยวจะดูให้แล้วกัน เอ้า จะเปิดประตูให้ได้หรือยังครับ”

เขาหันมาดุ ทำเอาฉันต้องรีบกระวีกระวาดไปเปิดประตูบานเฟี้ยมเพื่อให้คุณหมอไวท์ช็อกโกแลตเข็นรถมอเตอร์ไซค์ออกไป

เขาสตาร์ทเครื่องรอฉันปิดประตู และใส่กุญแจที่เขายื่นให้ ก่อนที่ฉันจะเริ่มลังเล วันนั้นหมอก็แสดงให้เห็นถึงฝีมือในการขับรถมาแล้ว นี่ตอนกลางคืนอีก ฉันขอขับเองดีไหมนะ

“ไม่ดีหรอก ซ้อนผมนี่แหละ ไม่ให้ผมหัดขี่แล้วเมื่อไรผมจะขี่คล่องล่ะ หืม” เขายิ้มให้ ปลอบใจเด็กที่กำลังลังเล จนฉันต้องเชื่อใจเขาอีกครั้ง เอาเหอะ ถ้ามันจะเป็นอะไรขึ้นมา หมอคงทำแผลได้รวดเร็วอยู่ล่ะนะ

“พี่หมอขับดีๆนะ หนูยังอยากไปเที่ยวอยู่”

“เราก็เกาะดีๆสิ” เขาว่า พร้อมกับจับมือฉันให้เกาะเอวเขาไว้ “เกาะแน่นๆ ก็ไม่ตกแล้ว”

ฉันรู้สึกเลือดลมตีขึ้นหน้าอีกครั้ง ไอ้ผีเสื้อไม่รักดีบินว่อนอยู่ในช่องอกอีกแล้ว ไม่บินชนกันมั่งหรือไงเนี่ย ... คนเขาเขินนะ แต่เหมือนจะไม่ใช่ฉันฝ่ายเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น จากแสงไฟริมถนนที่ฉันมองเห็น ด้วยความเร็วสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงในการขับรถของคุณหมอคนนี้ ฉันเห็นนะว่า ใบหูขาวๆของเขา กำลังเป็นสีแดงแป๊ดเลย

ฉันหัวเราะคิกคักให้กับตัวเอง กระชับมือเขากับเอวของเขาแน่นขึ้น ... อยู่อย่างนี้ ก็มีความสุขดีเหมือนกัน


เราเริ่มต้นการเที่ยวงานวัดครั้งแรกของคุณหมอด้วยการทำบุญ เผื่อเกิดชาติหน้าฉันใด เราสองคนจะได้เจอกันอีก แต่กลิ่นและควันธูปเทียนที่ลอยเข้าหน้า ก็ทำเอาตาฉันระคายเคือง คนข้างตัวจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนให้ฉันไว้ซับน้ำตา

“เก็บไว้เลยก็ได้นะ ของที่ระลึก”

เขาว่า ทำเอาฉันที่ตั้งใจจะทำตัวเป็นนางเอกด้วยการบอกว่าเดี๋ยวซักคืนถึงกับหุบปากเงียบเลยทีเดียว มือกำผ้าผืนนั้นแน่น ก่อนจะยัดใส่ลงกระเป๋ากางเกง ของที่มอบให้ชิ้นแรกหมอก็ลงทุนเสียจริง ผ้าเช็ดหน้าใช้แล้ว ของเก่าชัดๆ

แต่มันก็มีความสุขอ่ะนะ

ถัดจากไหว้พระ เราก็เริ่มตระเวนหาของกินกัน ส่วนมากก็คือเจ้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วจากในตลาด ลูกชิ้นทอดกับน้ำจิ้มรสเด็ดของป้าสวย หมูสะเต๊ะที่ปิ้งแทบไม่ทันขายของยายมา หรือจะเป็นขนมไทยเจ้าอร่อยของยายสุข ไม่ว่าจะเดินไปซื้อร้านไหน เป็นอันต้องถูกสายตาของป้าๆยายๆที่ขายมองมายิ้มๆตลอด ฉันเลยต้องพูดทุกครั้งที่ก้าวเท้าเข้าร้านว่า

“พาหมอเที่ยว หมอไม่เคยเที่ยวงานวัด”

เชื่อไม่เชื่อไม่รู้ล่ะ แต่งานนี้อาจจะทำให้ทั้งฉันและหมอขายไม่ออกอีกต่อไป


“พี่หมอ ขอหนูไปยิงปืนก่อนนะ” ฉันกระตุกแขนคนที่เดินถือถุงลูกชิ้นอยู่ข้างตัว ชี้ให้เขาเห็นซุ้มยิงปืนยาวอัดลม ที่ลูกกระสุนทำจากลูกยางสีแดง ของเล่นโปรดของฉันเลย

“สี่สิบเลยพี่”

หมอมองหน้าฉันงงๆ ดูท่าจะไม่คุ้นกับไอ้เจ้านี่

“ยิงไปแล้วได้อะไร” หมอมองตุ๊กตาหลากสีที่ตั้งอยู่ ใช่สิ มันไม่น่ารักหรอก แล้วความสนุกของฉันมันอยู่ที่ตัวตุ๊กตาป้อมๆ หน้าตาประหลาดนั้นที่ไหน มันอยู่ที่ของเล่นดึ๋งดั๋งข้างๆต่างหาก

“พี่หมอดูนี่” ว่าแล้วฉันก็ประทับปืน เล็งยังเป้านิ่ง ที่ข้างหลังเป็นกล่องตุ๊กตาลิงตีฉาบ เฟี้ยว...ว พลาด

“ดูคนวืดเหรอ เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องซื้อตั้งสี่สิบ” ว่าแล้วก็หัวเราะสะใจ ทิ้งฉันให้ค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย

“ไม่ได้เล่นมาตั้งนาน มันก็ต้องพลาดกันบ้างสิ แหม”

แล้วฉันก็พลาดอีกหลายวืด ผู้ชายข้างตัวจิ้มลูกชิ้นกินไปหัวเราะเยาะไป จนสุดท้าย ฉันก็จับทางได้และยิงแม่นสักที คนข้างตัวเอ่ยชม ขยี้ผมฉันเหมือนตบหัวหมาปะเหลาะๆ

ฉันรับอมยิ้มจากเด็กในร้านยิงปืนมาแกะกินหนึ่งอัน และยื่นอีกอันให้ผู้ชายข้างตัว เขาส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ส่งสายตาไปทางของเล่นอีกชิ้นหนึ่งแทน

“อันนู้นไม่เล่นเหรอ”

ฉันมองตาวาววับไปที่ซุ้มลูกโป่ง ของชอบอีกเช่นกัน ไม่เล่นได้ไง


เราสองคนปาโป่งกันไปสนุกสนาน เห็นเป็นมือใหม่อย่างนี้ หมอก็ปาแม่นพอตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้ตุ๊กตากระบือน่ารักๆมาให้ฉันกอดอย่างนี้หรอก

แต่คนปาที่เสียตังค์ไปเกือบสองร้อยกว่าจะได้มา บ่นอุบอิบว่าทำไมต้องเลือกตัวนี้ ตุ๊กตาน่ารักๆก็มีตั้งเยอะ ไม่เอา

“ก็หนูชอบอันนี้นี่” ฉันกอดมันไว้แน่น ของชิ้นที่สองที่ได้จากหมอ เริ่มเป็นของที่มีการลงทุนแล้วนะ

เขาดันหลังฉันให้ไปยังของเล่นชิ้นต่อไป ชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ยักษ์ แต่สภาพก็เก่าไปตามประสา ฉันเห็นแล้วอดหวาดๆไม่ได้ แต่คนข้างตัวไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตรงดิ่งเข้าไปซื้อตั๋ว และต่อคิวเล่นเสร็จสรรพ ไม่ถามฉันสักคำ

จังหวะที่เราก้าวขึ้นกระเช้า มันสั่นน้อยๆ เด็กคุมเครื่องปิดประตูฉับ และกระเช้าก็ค่อยๆลอยสูงขึ้นไป จนเราสองคนได้เห็นภาพมุมกว้างและสูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นผู้คนขวักไขว่ เห็นความสนุกสนานของงานวัด บรรยากาศแบบที่เมืองกรุงแทบจะไม่มีแล้ว

“สนุกดีนะ” หมอที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันเอ่ยขึ้น รอยยิ้มของเขาดูนุ่มนวลผิดปกติ เสียงมัคทายกเอ่ยชวนคนให้ทำบุญ ตีกับเสียงลิเกที่กำลังเบิกโรง โชคดีที่หนังกลางแปลงยังไม่ฉาย ไม่เช่นนั้น เราคงต้องตะเบ็งเสียงคุยกันยิ่งกว่านี้แน่

“พี่หมออยู่ที่นี่อีกนานมั้ยล่ะ ถ้าอยู่อีกหลายปี ก็ได้เที่ยวทุกปีแหละ” ฉันว่าพลางขยับตัวเพื่อให้นั่งสบาย รวมถึงการวางตุ๊กตาไว้ข้างตัวด้วย

“ถ้าไม่มีคนเที่ยวด้วยก็ไม่สนุกหรอก”

ชิงช้าหยุดเป็นระยะ เพื่อให้คนขึ้น ทุกครั้งที่มันสั่นเพราะมีใครขยับตัว ฉันก็ใจหายแว้บ เพราะมัวแต่กลัวชิงช้านี่แหละ เลยไม่ทันจะได้จับใจความ หรือสังเกตอะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้ามากนัก

“โอ๊ย ขี้คร้านคนจะชวนพี่หมอเที่ยวเยอะแยะ”

ฉันยิ้มให้เขา รายนั้นขยับตัวเข้าใกล้ฉันอีกนิด จนเข่าของเราชนกัน

“ปีหน้ามาเที่ยวกับผมอีกนะ”

“ปีหน้าก็เรียนจบ หางานทำแล้วค่ะ ไม่รู้จะได้มาหรือเปล่า”

พอหมอชวนคุยเรื่องอนาคตที่ยังมองไม่เห็น ฉันก็เริ่มกังวล ตามประสาเด็กใกล้จบ ที่มองไม่เห็นทางว่าจะไปทำอะไรต่อได้ คู่สนทนารับคำ แต่สายตาของเขาดูครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ผมเห็นคุณคุยโทรศัพท์บ่อยมากเลย คุยกับใครเหรอ”

“เพื่อนน่ะค่ะ” มือหนึ่งของฉันเกาะที่นั่งไว้แน่น เมื่อชิงช้าหยุดและทำท่าจะแกว่งอีกครั้ง “เพื่อนสนิท”

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย” เสียงที่ถามดูระแวดระวังพอดู

“ผู้หญิงสิคะ แหม ผู้ชายที่ไหนเขาจะอยากได้รูปพี่หมอไว้ดูกันเล่า พี่หมอก็ได้ยินที่หนูนินทาพี่กับเพื่อนตั้งแต่วันแรกหนิ”

“แล้วเพื่อนผู้ชาย” เขากลั้นหายใจ เริ่มจะขมวดคิ้ว เมื่อเห็นฉันหันซ้ายหันขวามากผิดปกติ “มีไหม”

“ก็มีนะ” ฉันตอบ “แต่ชายแท้ๆไม่ค่อยมีหรอก คณะหนูส่วนมากเป็นเกย์กันไปหมด”

เขาหัวเราะ เสียงหัวเราะน่าฟังมากๆ และเขาก็ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ทำเอาฉันบ่น

“พี่หมออย่าเขยิบตัวมาก มันสั่น หนูกลัว”

“กลัวอะไร อยู่กับผม”

“สูงขนาดนี้ ถ้ามันจะตกก็ตกพร้อมกันนี่แหละ พี่หมอช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

“อย่างน้อย ถ้าเป็นอะไร ก็เป็นพร้อมกันไง ผมไม่ทิ้งคุณไว้หรอก”

น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่น และปลอบประโลมไปในคราวเดียวกัน มือขาวๆแข็งแรงเอื้อมมาจับปลายนิ้วของฉันไว้ แล้วบีบเบาๆ

จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่ฉันว่า บรรยากาศนี้มันอาจจะไม่เหมาะเท่ากับริมทะเล ท่ามกลางหมู่ดาว อย่างนั้น มันคงโรแมนติกกว่าบนกระเช้าชิงช้าสวรรค์ที่สั่นโคลงเคลง และเครื่องเสียงที่ตีกันลั่นวัดอย่างนี้แน่ๆ ... แต่ถ้าไม่ถามในโอกาสนี้ ฉันก็อาจจะไม่มีโอกาสไหนให้ถามแล้วอีกก็ได้

ฉันก้มหน้ามองปลายนิ้วของเขา ตัดสินใจถามประโยค ที่ผู้หญิงไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่ม

“พี่หมอคิดไงกับหนูกันแน่”

เขาก้มลงมองหน้าฉันแล้วยิ้ม ฉันเหลือบตามองเขาเพียงครู่แล้วก้มลงมองมือขาวสะอาดนั้นอีกรอบ กลัวอะไรก็ตามแต่ที่เขาจะพูดออกมา คราวนี้ กลัวเสียมากกว่าตอนกระเช้าที่นั่งอยู่สั่นไหวด้วยซ้ำ

“คิดว่าไงล่ะ” เขาถามกลับ

“หยอกเล่นมั้ง” ฉันหลุดปากออกมา แล้วรู้สึกบรรยากาศมาคุทันที เพราะรอยยิ้มอบอุ่นของคนตรงหน้าหายไป เหลือไว้เพียงแต่หน้าตาบึ้งตึง

“ผมไม่เคยล้อเล่น” เขาคงรู้ตัวว่าเสียงเริ่มเขียว ถึงได้ปล่อยมือของฉัน ยกไปเสยผมตัวเองพร้อมกับถอนหายใจ

“ผมก็ไม่อยากหลอกเด็กนักหรอกนะ เพราะงั้นก็บอกได้แค่ว่า ผมเอาจริง”

เหมือนผีเสื้อที่กลัวหัวหดเมื่อครู่พากันกระพือปีกบินร่อนด้วยความดีใจอีกครั้ง ฉันค่อยๆเงยหน้ามองเขา และเห็นแววตาอบอุ่น มั่นคง ดังคำที่ว่าเอาจริงทุกประการ

“ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันเนี่ยนะคะ”

“คุณอาจจะเพิ่งเคยรู้จักผม แต่คุณยายเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังมานานแล้ว ผมติดใจเด็กผู้หญิงซนๆที่คุณยายเล่าให้ฟังมาก ยังคิดอยู่เลยว่า ถ้ามีโอกาสก็คงจะได้เจอกัน” พูดมาถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะ “แล้วก็ซนจริงๆอย่างที่คุณยายว่าไว้ด้วย”

“แต่เดี๋ยวหนูก็จะกลับกรุงเทพ”

“ระยะทางไม่น่าจะใช่ปัญหาหรอกนะ เรามาพิสูจน์กันสักตั้งมั้ยล่ะ” เขาเลิกคิ้วกวนๆ เอ๊ ฉันลืมไปได้ไงนะว่า หมอเจ้าเล่ห์ และก็ชอบเข้าข้างตัวเอง

“ตกลง เราเป็นแฟนกันนะ”

“เฮ้ย เร็วไปรึเปล่า” ฉันผงะ “ขอคิดก่อน”

“ต้องคิดอะไรอีก เดี๋ยวก็จะกลับกรุงเทพ แล้วเดี๋ยวก็ต้องไปเล่นซนที่นู่นที่นี่อีก คิดตรงนี้นี่แหละ ให้เวลาจนกว่าจะได้ลง” เขาพิงกระเช้า กอดอกอย่างเป็นต่อ “นั่งให้หัวหมุนไปเลย ผมบอกเด็กที่คุมไว้แล้วว่า นั่งนาน อยากลงเมื่อไรจะบอก”

“พี่หมอ !” ฉันตะโกนลั่น แต่ไม่เชื่อหรอก อย่างน้อย มันก็น่าจะครบรอบที่นั่งแล้ว เดี๋ยวเขาก็ปล่อยลง

แต่หมอกับเด็กที่คุมกลับยักคิ้วให้กัน และกระเช้าก็ผ่านเลยไป นี่เรื่องจริงเหรอเนี่ย

“บอกแล้วว่าเอาจริง คบกับผมไม่มีเรื่องเล่นๆหรอกนะ จะบอกให้”

คนตรงหน้าหัวเราะลั่นเมื่อเห็นฉันค้อน เขาเขยิบตัวเข้ามา พาให้กระเช้าสั่น ทั้งยังมองหน้าฉันใกล้ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ตกลง?”

“คิดอยู่”

เขาอมยิ้ม ทำเป็นมองนู่นมองนี่ ปล่อยฉันตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่แน่ล่ะ ในใจคงต้องคิดแผนการอะไรอยู่แน่ๆ และมันก็จริง เพราะพอชิงช้าสวรรค์เริ่มวนครบรอบอีกครั้ง เขาก็ทำท่าขยับตัววุ่นวาย เล่นเอากระเช้าสั่น และทำให้ฉันกลัวจนต้องโวยวาย

“ก็คุณไม่ตอบสักที ผมก็อึดอัด ก็ต้องขยับตัวสิ”

เขาว่าหน้าตาเฉย ถ้าผุดลุกผุดนั่งได้คงทำไปแล้วล่ะ

ฉันมองหน้าเขา ความรู้สึกตีกันให้มั่วไปหมด ทั้งแค้น ทั้งคิดไม่ตกว่าจะเอาไงกับชีวิตดี แต่ความรู้สึกหนึ่งที่เริ่มตีตื้นขึ้นมาคือ เวียนหัว

มักชักจะหลายรอบเกินไปแล้วนะ

“ดูหนังกลางแปลงบนนี้ก็คงสนุกดีเนาะ” เขาว่าอีก

“พี่หมอเอาจริงแน่นะ”

“แน่นอน” เขาตอบกลับทันที ไม่มีลังเล

“ถ้าเป็นแฟนแล้วทำหนูเสียใจ หนูเอาตายนะ”

“ไม่มีวันนั้นอยู่แล้ว” เขายืนยันมั่นใจ

“จะตามไปราวีถึงโรงพยาบาลเลย”

“เขาเรียกตามไปเปิดตัวมากกว่ามั้ง” เขาย้อนกลับ

“รักหนูแล้วเหรอไง”

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” เขาตอบ “ชอบ ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นรักได้ ถ้าจะปล่อยความรู้สึกแบบนี้ให้ผ่านไป ก็โง่ตาย ตกลงว่าไง หน้าซีดแล้วนะเรา”

เขาเอื้อมมือมาปัดปอยผมที่หน้าผากให้ฉัน การกระทำนี่ยิ่งทำให้หัวใจฉันหลอมเหลว บางที เราก็คงจะต้องเสี่ยงกับอนาคตกันสักตั้งล่ะนะ


ในที่สุดฉันก็ได้ลงจากชิงช้าสวรรค์เจ้าปัญหานั่นสักที หมอยกนิ้วโป้งให้เด็กคุมเครื่อง แถมด้วยทิปแบงค์แดงๆไปอีกหนึ่งใบ ทำเอาฉันแทบจะค้อนควัก เราเดินเคียงข้างกันไปยังแผงหนังกลางแปลง แต่หมอเห็นเรื่องแล้วขอลา เพราะเขาไม่ถูกกับหนังอินเดียเสียจริงๆ

เราแวะไปซื้อของกินแล้วฉันก็พาเขาไปนั่งดูลิเกสักครู่ ก่อนหมอจะเริ่มหาว และชวนฉันกลับบ้าน ขากลับนี่ หมอยังคงให้ฉันเกาะเอวเขาไว้แน่นๆเหมือนเคย ต่างกับขามาตรงที่ มือข้างหนึ่งของเขา กุมมือของฉันไว้แนบแน่น แต่หมอยังขับรถเครื่องไม่เก่ง เพราะงั้นความเร็วจึงลดลงเหลือแค่ยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทอดเวลายิ่งกว่าเต่าคลาน

แต่ก็ทำให้เราสองคน ได้ใช้ช่วงเวลาค่ำคืนนี้นานขึ้นอีกนิด ฉันคิดขณะซบแผ่นหลังกว้างของหมอ เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน


หมอรุกแรงเสมอ หลังจากตกลงเป็นแฟนกันได้ไม่กี่วัน หมอก็เดินเข้าไปบอกคุณยายว่าจะจีบหลานสาวนะครับ ไม่อยากเป็นคนเช่าบ้านแล้ว อยากเป็นหลานเขย เล่นเอาคุณยายของฉันอึ้งไปเลย ยังดี ที่หมอใช้คำว่าจะจีบ ไม่ใช่ว่า เป็นแฟนกับหลานคุณยายไปเสียแล้ว

หลังจากนั้น การคบหากันของเราสองคนก็ตกอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ในบ้านเสมอ แต่หมอก็ยังเป็นหมอนั่นแหละ งานเยอะ งานหนัก แทบไม่ได้เจอหน้า ได้แต่ส่งข้อความและโทรคุยกันไป ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ

แล้วช่วงเวลา ก็ดำเนินมาจนถึงวันที่ฉันต้องกลับกรุงเทพ

หมอมาส่งที่ท่ารถไม่ได้เพราะต้องทำงาน คืนก่อนกลับ ฉันเดินไปนั่งตรงขั้นบันไดหน้าห้องหมอ ร้องเรียกเขา ผู้ชายร่างสูงในชุดนอนที่คุ้นตา เสื้อกล้าม อวดกล้ามแขนขาวๆที่เหมือนไวท์ช็อกโกแลตนั่น กับกางเกงม่อฮ้อมผ้าเปื่อยๆ เดินตรงเข้ามาหาฉัน พร้อมกล่องขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กในมือ

“กล่องสมบัติหนูนี่หน่า”

ฉันร้องดีใจ ยื่นมือคว้ากล่องที่เขาส่งให้ เปิดฝากล่องและเริ่มต้นรื้อของในนั้น

“ไอ้เราก็นึกว่าอะไร หญ้าแห้ง ดอกไม้แห้ง ตุ๊กตากระดาษ จดหมาย รูปถ่าย ไดอารี่”

“พี่หมอแอบเปิดเหรอ” ฉันดุเขา ตีมือขาวๆที่เอื้อมมาเหมือนจะคว้าไดอารี่ในกล่องไป

“ไม่ได้แอบ ขออนุญาตเบาๆแล้วก็เปิดเลย อ่านหมดแล้วล่ะ”

นิสัย !!! ฉันแลบลิ้นใส่เขา ก่อนจะเปิดอ่านบ้าง แล้วก็ต้องขำออกมา ไดอารี่ของเด็กม.ปลายที่กลัวอนาคต ไม่รู้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไร วาดฝันไว้ และสัญญากับตัวเองว่าจะกลับมาเปิดอ่านอีกครั้งเมื่อเรียนจบ

“มีอย่างหนึ่งที่ทำได้แน่ๆ ผมฟันธงเลย”

“อะไรคะ” ฉันเงยหน้ามองคนที่ยืนตรงหน้า สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน

“หน้าท้ายๆป่าวนะ เขียนไว้ว่า จะต้องหาแฟนให้ได้ในรั้วมหาลัย แล้วแฟนก็จะต้องไปถ่ายรูปรับปริญญาให้” เขายิ้มกว้าง ในขณะที่ฉันรู้สึกความร้อนเริ่มตีขึ้นหน้าอีกแล้ว “ผมว่า ผมทำให้ได้แน่นอน”

“สัญญาแล้วนะ” ฉันยกนิ้วก้อยขึ้น ขอคำมั่น

“ไม่ต้องสัญญา ทำได้แน่ๆ เชื่อผมสิ” เขาว่าหนักแน่น แต่เห็นสายตาที่ไม่ยอมของฉัน ก็จำต้องยกนิ้วก้อยขาวๆของตนขึ้นมาเกี่ยวด้วย พลางบ่นอุบอิบว่า คบกับเด็ก เลยต้องทำไรเด็กๆไปด้วยเลย

“พรุ่งนี้ไปส่งไม่ได้นะ”

“รู้แล้วน่า”

“โกรธมั้ย”

“ไม่โกรธ จะโกรธทำไม ก็พี่หมอยุ่ง” ฉันยิ้มหวานใส่เขา “เป็นแฟนหมอต้องอดทนใช่มั้ยคะ”

เขาขยี้ผมฉันเบาๆ ก่อนจะแก้ไขคำพูดให้

“เป็นคนที่หมอรัก ต้องอดทน”


รถทัวร์เริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่ารถ ซึ่งก็คือร้านขายของชำเล็กๆในตำบลนี่เอง ฉันโบกมือให้ยายและตาที่มาส่ง มีไอ้กิ้งโคล้งสะบัดหางเป็นวงดั่งคำลาเช่นเดียวกัน ฉันมองพวกท่านจนลับสายตา ก่อนจะลงมือรื้อของในกระเป๋ามาดู มันคือจดหมายฉบับหนึ่งที่หมอไวท์ช็อกโกแลตขอให้ฉันเปิดอ่านบนรถ เขาว่าเขาเขิน ถ้าเกิดเห็นฉันเปิดอ่านต่อหน้า แค่ตอนยื่นให้ หูของเขาก็แดงก่ำแล้ว เห็นแล้วก็ต้องหัวเราะทันที

รูปถ่ายหนึ่งใบอยู่ในซอง จะเรียกว่าเป็นรูปคู่ก็เรียกไม่ได้เต็มปาก เพราะเราไม่เคยถ่ายคู่กันเลย แต่มันเป็นภาพฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้ากี่ทอผ้าของยาย ข้างๆกันนั้น เป็นเสี้ยวหน้าของเขาในลักษณะที่ดูก็รู้ว่า ถ่ายภาพเอง นี่ไปแอบถ่ายฉันไว้ตั้งแต่วันไหนกัน

ข้างหลังภาพเป็นลายมือหวัดๆตามประสาหมอ ลงวันที่เอาไว้ ฉันหยิบกระดาษออกมาจากซอง อ่านที่เขาเขียนแล้วก็ต้องยิ้ม ปล่อยให้ผีเสื้อในหัวใจบินเล่นกันสนุกสนาน หมอเล่าความรู้สึกที่เขามีต่อฉัน พร้อมให้คำมั่นว่าปีหน้าเราจะต้องเจอกันแน่นอน เพราะถึงอย่างไร เขาก็จะไปเป็นตากล้องให้ฉันในงานรับปริญญา

“... อย่าไปกลัวอนาคตที่จะมาไม่ถึง บางครั้ง มันก็ไม่สวยหวานอย่างที่คุณเขียนในไดอารี่หรอกนะ แต่ทุกหน้าต่อจากนี้ ผมจะร่วมสร้างปัจจุบันให้แข็งแกร่ง เพื่ออนาคตของเรา จำไว้ เป็นคนที่หมอรัก ต้องอดทน เจอกันปีหน้านะ ...”

ฉันหยิบรูปถ่าย ‘คู่’ ของเราขึ้นมาดูอีกครั้ง จริงๆไม่จำเป็นต้องมีรูปถ่ายสักใบ ภาพของเขาก็ตราตรึงแน่นในความทรงจำของฉันอยู่แล้ว

ต้องขอบคุณระบบลงทะเบียนสุดแสนห่วยของมหาวิทยาลัย ไม่เช่นนั้น ฉันก็คงไม่รู้หรอกว่า การเป็นคนที่ถูกรัก มันดีอย่างนี้นี่เอง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จบแล้ววววว

เป็นเรื่องสั้นที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยทีเดียว

มีคนแอบกระซิบถามมาว่า ตอนไหนเรื่องจริง ตอนไหนเรื่องแต่ง :P

ไม่บอกหมดได้มั้ย กระซิบกลับแล้วกันว่า

... ตอนคุณหมอโชว์กล้ามไวท์ช็อกน่ะ เรื่องจริงแน่นอนค่ะ หยดน้ำยังกระเด็นเข้าหน้าเลย ฮ่าๆ

ตอบเม้นท์ก่อน

คุณ Setia ... เราชอบกินไวท์มากกว่า กินดาร์กแล้วปวดหัว เอ๊ะ นี่เรากำลังคุยเรื่องของกินกันจริงๆใช่มั้ยคะ 555

คุณ sumiya ... ขอบคุณมากๆเลยนะคะ อ่านแล้วมีกำลังใจมากค่ะ สำหรับใจสั่งรัก กำลังแก้พล็อต สะสมมุข แล้วก็กำลังฝึกตัวเองให้เขียนได้บทละห้าหน้าอย่างต่ำด้วย ไม่นานเกินรอค่ะ

คุณ sai ... ตัวจริงก็น่ารักนะคะ

คุณ คิมหันตุ์ ... ตอนเจอเราก็กรี๊ดด้วยค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ @^__^@



สะเรนี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2554, 22:09:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2554, 22:20:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 2426





<< บางคำรัก (ครึ่งแรก)   ต่างใจเดียว >>
Chii 21 ก.ย. 2554, 23:38:21 น.
...โอ๊ยยย

กด follow แล้วกันค่ะ (คงไม่ต้องอธิบายเยอะเนอะ ว่ากดทำไม)


Setia 21 ก.ย. 2554, 23:38:47 น.
55555 ของกินค่ะของกิน
แต่คุณหมอไวท์แบบนี้ก็น่ากินเนอะ


sumiya 22 ก.ย. 2554, 00:20:40 น.
รอได้อยู่แล้วค่ะคุณเสี่ยวเหม นิยายน่ารักๆแบบนี้คนอ่านอย่างเรารอได้อยู่แล้วเย้:)
แอบอยากเจอคุณหมอไวท์ช็อคบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่ต้องถึงขั้นคุณหมอก็ได้นะ อาจจะเป็นแค่แบบนักศึกษาแพทย์ (น้ำลายไหล555555)


คิมหันตุ์ 22 ก.ย. 2554, 00:23:22 น.
อยากบอกว่า..ต้องอ่านไปเบรกไป...น้ำตาลในอารมณ์ขึ้นสูงมาก....ห้าห้า ดูสิกว่าจะอ่านจบ...คอมเม้นขึ้นเพียบ ห้าห้า


ลิขิตรา 22 ก.ย. 2554, 06:36:28 น.
โอว...อยากกิน...คุณหมอ


boon 22 ก.ย. 2554, 09:59:27 น.
กด like เลยค่ะ


sai 22 ก.ย. 2554, 10:56:17 น.
โอ๊ยปวดแก้มอ่ะ อ่่านไปอมยิ้มไป งั้นเราต้องอดทน เพราะอยากเปนคนที่หมอรัก ฮิ้ววววว


tinypann 22 ก.ย. 2554, 11:30:58 น.
โอ้ย...อ่านจบแล้วคิดถึงแฟน โดนใจมากกับประโยคที่ว่า "เป็นแฟนหมอต้องอดทน" แต่บางทีมันก็ไม่ต้องใช้ความอดทนนะ เป็นความเข้าใจกันมากกว่า


namwannaja 23 ก.ย. 2554, 10:23:34 น.
น่ารักมากค่า


UreNus 25 ก.ย. 2554, 19:52:22 น.
อ๊ายยยยย หลงรักหมอในบัดดล


สิรนันท์ 12 ม.ค. 2557, 15:35:03 น.
อยากบอกเหลือเกินค่ะว่าชอบเรื่องนี้มากๆ โดยส่วนตัวชอบคุณหมออยู่แล้ว พอมาอ่านเรื่องนี้ฟินเลย สาธุ ขอเจอแบบนี้บ้างนะคะ ฮ่าๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account