องค์การบริหารส่วนหัวใจ # เฟื่องนคร
ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน นำมาซึ่งความสุข
Tags: โรแมนติก คอมาดี้

ตอน: ุ6.“นี่มันสไตล์สาวเกาหลี ญี่ปุ่นโว้ย..”

6.






หลายวันเต็มทีที่ดวงเดือนพยายามจะหาเหตุไม่ไปอยู่ หน้าร้านกับแม่..หญิงสาวไม่ต้องการนั่งอยู่โยงรับเงินแล้วก็คุยกับชาวบ้านเป็นวันๆ อย่างนั้น บางคนเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ซื้อของ แต่กลับเอาคนนั้นคนโน้นมานินทากาเล ถึงว่าแม่เธอถึงได้รู้เกือบจะทุกเรื่องในหมู่บ้าน รวมถึงเรื่องของลูกสาวคนเดียวด้วย..และที่สำคัญ เธอรับไม่ไหวกับการทำท่าทีเป็นใคร่อยากจะฟังเรื่องที่เขานำมาคุยกัน..รกสมองสิ้นดี

“นี่ ถ้าไม่ทำเป็นสนิทสนมกับเขา เขาก็จะไม่อยากมาที่ร้านเรา..เขาอาจจะไปที่อื่น หมู่บ้านอื่นเขาก็มีขายเหมือนเรา แต่ที่เขามาร้านเรา เพราะเรารู้จักอะลุ่มอล่วย เมื่อเขามีงาน เขามาบอกข่าวกับเรา เราก็ต้องไป..สมัยที่พ่อเธอเป็น สมาชิก อบต. ฉันต้องทำยิ่งกว่านี้อีกนะ ต้องเอาน้ำท่าออกมาต้อนรับด้วย แต่จริงๆ มันก็ดีนะ ให้เขากินน้ำจะได้มีแรงอยู่คุยกับเรานานๆ และที่สำคัญคุยไปคุยมาเราก็เชียร์ให้เขาใช้ยาตัวนั้นตัวนี้ ใช้ปุ๋ยที่มันราคาแพงขึ้น แค่นี้ยอดขายก็กระฉูด..และแกก็ต้องอดทนทำให้ได้..”

“แม่อ่ะ”

“ตราบใดที่แกหางานแถวๆ นี้ทำไม่ได้ แกต้องมาอยู่ที่ร้านและก็อย่าจิ๊กเงินไปซื้อเสื้อผ้าล่ะ..ถ้าฉันรู้นะแกจะถูกตัดออกจากกองมรดก..”

“ถึงอย่างไร เงินนี่มันก็ต้องเป็นของหนูอยู่วันยังค่ำอยู่แล้ว”

“อย่าชะล่าใจไป ฉันมีลูกพระอีกคนหนึ่งนะจ๊ะ ถ้าฉันเลือกที่จะสุข สบาย พอย่าแกตายแล้ว ฉันก็ขายที่นี่ซะ แล้วก็หอบเงินไปถือศีลอยู่ในวัด นั่งๆ นอนๆ สบายใจไป ส่วนแก อยากจะไปไหนก็ไป”

“แม่ตัดลูกได้จริงอ่ะ”

“ทีพวกแกตัดฉันล่ะ ทิ้งฉันให้ทำงานงกๆ อยู่คนเดียว รู้ไหมบางทีฉันก็เหงานะ”

“เหงาได้แต่อย่าเผลอใจไปให้ใครแล้วกัน ไม่งั้น หนูจะจุดธูปเรียกสังข์พ่อบีบคอแม่ด้วย”

“หน้าตาบอกบุญไม่รับเลยนะแก..”

“ดีจะได้ไม่ต้องเสียเงินทำบุญ...เบื่อจิ๊บเลยพรรณนา ที่ร้านแกนี่รับลูกจ้างช่วยทำงานไหม”

“รับ คนขัดตีนไง เอาไหมล่ะ..” เป็นเพื่อนกันได้เพราะคารมคมหอกพอๆ กัน..

“แม่ฉันนะซิ อยากให้ฉันเป็นแม่ค้า แต่ฉันไม่อยากเป็นแม่ค้าฉันรำคาญคนมาซื้อของ แม่งเมาท์นั่นเม้าท์นี่ ฉันคิดว่านะถ้าเขาไปร้านอื่น เค้าก็เอาฉันกับแม่ไปเม้าท์..”

“อยู่แล้ว แกอยากรู้ไหมล่ะใครเม้าท์อะไรแกบ้าง..ฉันอยู่ตรงนี้อยู่กับพวกผู้หญิงว่างงาน แม่พวกนี้ยิ่งแล้วใหญ่ พอว่างก็แต่งเรื่องอย่างกับคนเขียนนิยาย..รู้ไหมเขาว่าแกเป็นฮิสทีเรีย ขาดผู้ชายไม่ได้”

“ขนาดนั้น..” ดวงเดือนทำท่าตกอกตกใจ..

“เขาว่าแกอยู่กรุงเทพก็เหลวแหลก วุฒิการศึกษาก็เอาตัวเข้าไปแลกมา เขาว่าแกเป็นพวกนักศึกษาขายตัว แต่งตัวก็เหมือนออหรี่..”

“นี่มันสไตล์สาวเกาหลี ญี่ปุ่นโว้ย..”

“แกอย่าลืมนะว่าที่นี่บ้านนา ไม่ใช่ สยามสแควร์ ใครที่ไหนมันจะมารู้เรื่องเทรนแฟชั่นนักหนา..เพราะฉะนั้นแกควรที่จะสร้างภาพใหม่ได้แล้ว เอาความจริงพิสูจน์ให้คนมันเห็นว่าแก เป็นสาวน้อยร้อยชั่ง ใสซื่อบริสุทธิ์..ไม่ใช่ไร้สาระไปวันๆ ..อย่างฉันนี่ว่าไร้สาระ ฉันก็ยังอาชีพเลี้ยงตัวเลี้ยงพ่อแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าของฉัน..” พรรณนาเคยแต่งงานกับตำรวจที่มาประจำการอยู่ที่สถานีตำรวจ ตอนหลังมารู้ว่าเธอเป็นเพียงเมียน้อย เขาย้ายไป เธอจึงต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง

“คนเรามันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง..”

คุยกันได้สักพัก..ผู้ใหญ่บ้านขับรถเข้ามาจอด แล้วก็เดินเข้ามาในร้าน..“ว่างไหม ตัดผมหน่อย..” ว่าแล้วก็เดินมานั่งที่โต๊ะหน้ากระจก..

“กันหน้าให้ด้วยนะ..โกนหนวดโกนเครา แล้วก็แคะหูด้วย”

“แคะหูนี่น่าจะมีคนทำให้นะคะ..” พรรณนาชวนคุย ขณะที่ดวงเดือนก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสาร..

“เราก็พูดไป..” คนเจ้าชู้มักจะไม่ค่อยยอมรับความจริง..

“ช่วงนี้เห็นขับรถไปนั่นไปนี่ตลอดมีอะไรรึค่ะ”

“จะหมดวาระแล้ว อีกแค่เดือนเดียว ต้องเตรียมตัวหาเสียงไว้หน่อย..”

“อุ๊..ห้าปีแล้วเร็วจังเลย..สมัยนี้ใครเป็นคู่แข่งคะ..”

“แว่วๆ มาว่า ศรีภรรยา ของครูสมชาย..อดีตสมาชิกอบต.สมัยโน้นไง..”

“จะได้รึ..ปากไม่ค่อยดี..”

“แต่คนรักเขาก็มี ไม่งั้นเขาคงไม่ได้ บต.สมัยนั้นหรอก..เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องเร่งทำคะแนน”

“ทำอย่างไรทำคะแนน” ดวงเดือนสอดขึ้นมา

“อ้าวก็ออกไปตามบ้านคนนะซิ ไปดูซิว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจะตรงๆ ไปเลย ก็คือไปบอกเขาว่าจะหมดวาระแล้วนะ จะลงสมัยหน้า ช่วยกันหน่อยนะ บ้านนอกก็แค่นั้น..”

“สมัยที่แล้วอยู่มาห้าปี มีผลงานอะไรบ้าง..” ดวงเดือนถามชนิดตีแสกหน้า..

“หนูไม่เห็นบ้านเราจะพัฒนาไปทางไหนเลย..”

“บางเรื่องมันเป็นหน้าที่ของ อบต.เขา ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน..น้ามันแค่ดูแลทุกข์สุขราษฎร อาทิ ใครจะตีจะต่อยกันที่ไหน มีเรื่องกันตรงไหน น้าก็ต้องเข้าไปจัดการ ใครจะเกิด ใครจะตาย..มีเรื่องทุกข์ร้อนใจอะไรก็จะประสานงานกับทางอำเภอให้”

“หนูว่ามันน่าจะทำได้มากกว่านั้นนะ..”

“อะไรบ้างล่ะ..”

“ก็คนแก่เขาอยากไปเที่ยว เราน่าจะพาเขาไปบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เหี่ยวเฉาอยู่ที่บ้าน”

“นั่นมันงานสังคมสงเคราะห์แล้วหนู..ไม่ใช่หน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน และที่สำคัญเงินเดือนแค่นี้ จะเอาอะไรหนักหนา เขาไม่ได้ให้เราทำงานแบบข้าราชการเซ็นชื่อเข้าทำงาน เย็นออกจากงานนะ จะได้คิดหาโครงการร้อยแปดมาทำ..นี่เราก็ต้องทำงานของตัวเองด้วยเหมือนกัน..”

“ถ้าเป็นอย่างนี้ หนูว่าศรีภรรยาของครูสมชายน่าจะดีกว่านะ” ดวงเดือนแกล้งรวนไปเสียอย่างนั้น

“ไหง..ว่าอย่างนี้ล่ะ”

“อ้าว ก็หนูร้องเรียนเรื่องคดีของพ่อมันก็เงียบ ถามจริง นี่ใช่หน้าที่ของผู้ใหญ่หรือเปล่า ถ้าใช่ นี่ก็คือบกพร่องแล้ว..”

“แกมันก็เกินไปเดือน เรื่องคดีมันเรื่องของตำรวจเขา ผู้ใหญ่บ้านเขาก็ทำหน้าที่ของเขาแล้วนี่” พรรณนาช่วยเตือนสติ

“แต่มันน่าจะช่วยมากกว่านี้..ไม่รู้ล่ะ ภายในเดือนนี้ถ้าคดีของพ่อไม่คืบหน้า หนูก็จะเป็นหัวคะแนนให้กับคุณศรี ภรรยาครูสมชาย จะชั่ว จะดีอย่างน้อยครูสมชายก็เคยสอนหนูมา ถือเสียว่า เวลาช่วยหาเสียงทดแทนบุญคุณ หรือแกไม่คิดเหมือนฉันนังพรรณนา..”

พรรณนาทำสีหน้ามีปัญหา..แล้วก็เร่งมือตัดผมโกนหนวด กันหน้า แคะหูให้ผู้ใหญ่บ้านจนเสร็จ..เมื่อ
ผู้ใหญ่เดินออกจากร้านไปแล้ว พรรณนาก็หันมาทำตาเขียวใส่เพื่อน..

“นี่แกพูดไปได้อย่างไง..”

“พูดไปแล้ว เชอะ เรื่องจริงนี่หว่า..ห้าปี ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นเลย เหมือนกบอยู่ในกะลา แกเองเคยไปเปิดหูเปิดตาที่อื่นบ้างหรือเปล่า ที่อีสานว่าทุระกันดาร เขายังมีอะไรที่มันเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ มีการร่วมกลุ่มกัน กลุ่มนั้นกลุ่มนี้มีกิจกรรมทำร่วมกัน หน้าบ้านน่ามอง..มีการรณรงค์เฝ้าระวังเรื่องยาเสพติด นี่มันน่าจะเป็นฝีมือของผู้ใหญ่บ้านนะ คือทำให้ลูกบ้านมีความสุขใจ..ภาคภูมิในใจความเป็นหมู่บ้าน”

“งั้นแกก็ลงสมัครเองซิ ดูซิถ้าแกได้แกจะมีฝีมือทำอย่างที่คิดไว้ไหม..คนที่นี่ หัวแข็งจะตายไป..อยู่เป็นพวกเป็นเหล่า แล้วเขาก็คงไม่มาเสียเวลากับการทำจิตใจให้ดีขึ้นมาหรอก..มีงานทำมีเงินใช้หนี้ ธกส. ปีต่อปี มีเงินให้เด็กๆ ไปเรียนหนังสือก็โอเคแล้ว”

“จบมาแล้วก็หายไปเนี่ยนะไม่เคยมีใครสำนึกรักบ้านเกิดสักตัว”

“รวมถึงแกด้วย..”

“ก็นี่ไง ผู้ใหญ่บ้านสมัยฉันไม่ปลูกฝังไว้ คนรุ่นเราๆ มันถึงเป็นอย่างนี้..ไม่เคยคิดจะกลับมาพัฒนาบ้านเกิด..คิดแต่จะไปอยู่ในเมือง แกคิดดู ต่อไปใครที่ไหนจะมาทำนา คงต้องเป็นระบบบริษัทเข้ามาดูแลเหมือนโรงงานผลิตอาหารกระป๋องละมั้ง”

“แกก็ทำซิ เพราะที่นาแถวนี้ของย่าแกนี่ ปล่อยให้เขาเช่าแพงๆ ปีหนึ่งตั้งเท่าไหร่..”

“นี่แกไม่เข้าข้างฉันเลยนะ”

“ฉันจะเข้าข้าง ก็ต่อเมื่อแกได้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าแกได้เป็น มาขอความร่วมมือ ทุกเรื่องฉันยินดีช่วยเต็มที่”

เถียงกันได้สักพัก ดวงเดือนก็ขี่จักรยานกลับบ้านไปด้วยอารมณ์ขุ่น ..ขุ่นจนกระทั่งเลี้ยวรถเข้าบ้านผิด มารู้สึกตัวอีกที รถจักรยานก็มาจอดอยู่ที่หน้าห้องสมุดเขาเสียแล้ว..เสียงเด็กๆ เตะฟุตบอลที่หาดทรายริมตลิ่ง ทำให้ดวงเดือนต้องปั่นจักรยานต่อไปอีกนิด..แล้วก็พบว่า รักษ์ไทย ยืนคอยพากย์กลวิธีการเล่นอยู่ริมสนามโกหนู...

หญิงสาวยืนมองเขานานสองนาน ด้วยหัวใจที่เป็นสุข มารู้สึกตัวอีกที เมื่อเขาหันมาเห็นแล้วเดินรี่มาหา..

“มีอะไรรึ..สีหน้าไม่ค่อยดี” ตั้งแต่วันที่เอาข้าวเย็นไปให้ที่อนามัย ดูเขาจะคุยดีๆ กับดวงเดือนมากขึ้น

“เซ็ง..ทะเลาะกับเพื่อนมา..หน็อยนังเพื่อนทรยศ มันถือหางผู้ใหญ่บ้านเก่า..” พอได้เล่าก็ใส่อารมณ์เล็กน้อย

“เรื่องอะไรล่ะ”

“แค่ฉันวิจารณ์งานของเขาเท่านั้นแหละ มันก็ท้าฉันว่า ถ้าแน่จริง ก็กระโดดลงมาทำเองซิ..มันก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ยังมีหน้ามาท้า..”

“แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้..” ชายหนุ่มพูดขณะหันไปดูเด็กๆ เตะฟุตบอล..

“เมื่อก่อนผมคิดจะเป็นโค้ชฟุตบอล ผมก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่วันนี้ผมทำได้ ถึงมันจะไม่ใช่ทีมชาติ แต่มันก็เป็นทีมฟุตบอล ผมมีความสุขนะ..”

หญิงสาวนิ่งฟัง..

“เมื่อก่อนผมคิดว่า ผมน่าจะทำให้คนหันมาสนใจอะไรที่เป็นไทยๆ ได้ สุดท้ายผมก็ทำได้ ตอนนี้คุณก็เห็น ยกตัวอย่างในวัด คนเฒ่าคนแก่หันมาอนุรักษ์ความเป็นไทยกันมากขึ้น..”

“จะพูดว่ารวมถึงฉันด้วยหรือเปล่า ฉันแต่งอย่างนั้นเพราะย่าหรอก..”

“ผมว่าคุณทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านได้นะ ถ้ามีโอกาส และโอกาสมันก็มีไม่บ่อยนัก ชาวบ้านลือมานานแล้วว่า คนเก่าใกล้เกษียณแล้วนะ บางคนก็ว่าอยากได้คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีการศึกษา อยากเห็นหมู่บ้านพัฒนามากกว่านี้ เคยมีคนมาทาบผมนะ แต่ผมไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่นี่..มันจึงเป็นไปไม่ได้..จนกระทั่งผมมาเห็นคุณนี่แหละน่าจะทำได้..”

“จริงหรือ..แต่ฉันไม่มีฐานคะแนน..” หญิงสาวเผยความรู้สึกลึกๆ ออกไป

“ไม่มี ก็สร้างขึ้นมาซิ”

“เดือนสองเดือนสร้างทันเสียที่ไหน..” คนพูดทำหน้ากลุ้มใจ “ไม่ได้คราวนี้ สมัยหน้าก็ได้ อีกสามปีก็ เลือกตั้งสมาชิก อบต.แล้ว ไม่ได้ผู้ใหญ่อาจจะเป็น อบต. ก็ได้ อยากแก้แค้นให้พ่อไม่ใช่รึ อยากแก้แค้นให้พ่อก็ต้องลงการเมือง สู้กันในสภา อะไรที่ใครเขาว่าดีเธอค้านให้หมด..แล้วก็ยัดเยียดความคิดตัวเองเข้าไป..ความคิดเพี้ยนๆ อย่างนี้ ผมว่ามีสิทธิ์นะ” รู้ว่าเขาเหน็บให้แต่ก็ไม่นึกโกรธ

“อย่างนั้นฉันก็ได้ถูกส่องอีกคนนะซิ..เพ้อฝัน.. ไปล่ะจะไปหุงข้าวให้ย่ากิน”

“แล้ววันนี้มาได้อย่างไร” เมื่อรู้ว่ายืนคุยอยู่ในรั้วบ้านเขา หญิงสาวยิ้มแหยๆ ก่อนจะทำท่าปั่นจักรยานออกไป แล้วก็หยุด หันมาร้องถามว่า..

“เย็นนี้กินข้าวกับย่าฉันไหม ฉันจะทำเลี้ยง..”

“วันนั้นจริงๆ ไข่ยัดไส้คุณก็อร่อยนะ ถึงแม้แกงจืดเต้าหู้จะไม่ได้เรื่องก็ตามที..โอเค หกโมงครึ่งเจอกัน..”..หญิงสาวปั่นจักรยานออกไปแล้ว แต่รักษ์ไทยยังยืนยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฟุตบอลที่เด็กเตะกันอยู่ กระดอนมาถูกหลัง เขาจึงได้รู้สึกตัว..


ขณะที่กำลังนั่งขูดมะพร้าวและย่าของเธอก็เด็ดชะอมสำหรับทำไข่ทอดชะอมแกงส้ม คนเป็นหลานก็เอ่ยขึ้นมาว่า..

“ย่า คือ หนูจะลงเล่นการเมือง”

“หือ..” คล้ายจะได้ยินไม่ถนัด

“จะลงสมัครผู้ใหญ่บ้าน” หลานสาวพูดไม่เต็มปากเต็มคำนัก

ย่าหนูละชะอมในมือทันทีแล้วเสือกกะละมังใบสีขาวไปข้างๆ ตัว ด้วยอารมณ์อะไรสักอย่าง แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า

“ไม่ได้นะ.. เล่นไม่ได้.. ดีเสียที่ไหน” เสียงดังกว่าขึ้นมาทันที

“ทำ..ไม..อ่ะ..” เมื่อถูกขัดใจ หญิงสาวมักจะทำน้ำเสียงคร่ำครวญ

“นี่สมัยพ่อแก ไม่ใช่ว่าย่าไม่ขัดขวาง แต่มันขวางไม่สำเร็จ เป็นไง สุดท้ายก็ตายไป ไม่ใช่เพราะการเมืองหรอกรึ”

“แต่มันคนละสนามนะคะ นี่มันผู้ใหญ่บ้าน”

“ผู้ใหญ่บ้านนี่แหละตัวดี หามีความสุขไม่ เป็นขี้ปากให้เขาด่า ดีเขาก็เงียบ ไม่ดีเขาก็ด่า ยากจะหาคนมาชม เห็นมานักต่อนักแล้ว อย่าได้คิดแกว่งเท้าหาเสี้ยนเลย อยู่เฉยๆ ค้าขายกับแม่นะดีแล้ว”

“แต่ชีวิตแม่ค้ามันไม่ได้อรรถรส..”

“เลิกคิดไปได้เลย..”

“ก็หนูคิดไปแล้วนี่..คุณรักษ์ไทยเขาก็เห็นดีเห็นงามด้วยนะ” ต้องดึงคนอื่นเข้ามาให้ถูกด่าด้วย

“พ่อรักษ์ไทยเห็นด้วย” เสียงย่าอ่อยลง

“เห็นด้วยได้อย่างไร..ไม่..ฉันไม่เห็นด้วย หลวงพี่แกก็คงไม่เห็นด้วยหรอก..”

“ถ้าหลวงพี่เห็นด้วยล่ะ หนูลงได้ใช่ไหม..ย่าคิดดูนะ ถ้าหนูเป็นผู้ใหญ่บ้าน หนูก็จะได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหญิงของที่นี่คนแรกนะ โก้ชะมัดเลย ผู้หญิงแถวหน้า..ถ้าหนูตาย อาจจะมีรูปปั้นหนู ปั้นไว้หน้าหมู่บ้านในฐานะผู้ทำประโยชน์ให้กับที่นี่..แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว..นะย่า..หนูชอบงานอะไรที่มันท้าทาย ที่มันเสียสละอย่างนี้แหละ..ให้หนูได้ลองดูนะ..”

“ไม่ ..ไม่เด็ดขาด..เร็วเถอะ แค่ขูดมะพร้าวให้คั้นน้ำง่ายๆ ยังทำไม่ค่อยจะได้ แล้วประสาอะไรกับงานบ้านงานเมือง..เด็กสมัยนี้ ปากยังไม่ทันจะสิ้นกลิ่นน้ำนมเลย ริทำการใหญ่กันซะแล้ว”

ทีนี้ย่าหนูก็เล่าประสบการณ์ที่ผ่านพบในแง่ร้ายๆ เกี่ยวกับผู้ใหญ่บ้านให้ได้รับรู้..แต่ในใจคนเป็นหลานก็เถียงตลอดว่า นั่นมันเรื่องเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ตอนนี้โลกมันหมุนไปแล้ว โจรผู้ร้าย หรือการกวาดต้อนคนไปทำศึกสงครามมันไม่มีแล้วผู้ใหญ่สมัยนี้มีแต่เกียรติยศ ไปตรงไหนก็มีคนนับหน้าถือตา หากวันนี้ตนได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน วันหน้าอาจจะได้เป็นกำนัน พออายุมากขึ้นๆ อาจจะลงเล่นการเมืองอีกระดับ อาจจะเป็น สมาชิกสภาจังหวัด สภาผู้แทนราษฎร ..โอ๊ะ คิดอย่างนั้นเสียแล้ว แม้ย่าจะชักแม่น้ำมาอย่างไร หนทางที่เธอเลือกแล้วดูสว่างไสวเหลือเกิน


“นี่เสร็จแล้วยกสำรับไปตั้งที่เสื่อซิ ชวนแขกมากินข้าวที่บ้านตั้งใจ ต้อนรับเขาหน่อย นี่ถ้าเป็นสมัยย่ายังสาว มารูปนี้ถือว่ามาดูตัวกันทีเดียว”

“อุ๊..” หลานสาวทำท่าตกใจ

“แต่สมัยนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว จะเรียกว่าเข้าตามตรอกออกตามประตูก็คงไม่น่าเกลียดใช่ไหม..นี่ย่าว่านะ แกเอาเวลาคิดเรื่องผู้ใหญ่บ้านมาคิดเรื่อง การเป็นศรีภรรยาที่ดี ดีกว่า งานบ้านงานเรือน ระเบียบเรียบร้อยในครัว เสื้อผ้าของสามี..เรือนสามน้ำสี่”

“สมัยนี้ย่า มันต้องช่วยกันพายช่วยถ่อ ผู้ชายเอง ดาบก็ต้องแกว่งเปลก็ต้องไกวเหมือนกันแล้ว..สมัยก่อนก็เถอะ ผู้ชายไทยเห็นแก่ตัว งานนอกทำด้วยกัน แต่งานในไม่ยอมช่วย ถึงคราวหนูไม่มีวันยอมหรอก..”

ยังไม่จบประโยค รักษ์ไทยก็โผล่ขึ้นบันไดมา..วันนี้เขาใส่ชุดกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวเสื้อแขนยาวผ่าอกสีขาวมีด้ายสีเหลืองปักเป็นรูปช้างไทยตรงหน้าอก ดวงเดือนมองเขาเต็มตา และเขาก็มองหญิงสาวในชุดผ้าซิ่นกับเสื้อยืดตัวสั้นสีขาวลายการ์ตูนเต็มตาเช่นกัน จนกระทั่งดวงตามาประสานกันอย่างจัง

หญิงสาวเฉไฉเดินเข้าครัวไปหาอะไรสักอย่าง ทั้งที่ของในสำรับตั้งอยู่บนเสื่อกกเรียบร้อยแล้ว

“เดือน ทำอะไร ออกมาซิ” ย่าหนูอยู่ในชุดผ้าถุงลายดอกพิกุลกับเสื้อคอกระเช้าสีชมพู..ตามเนื้อตัวปะแป้งน้ำ ‘ม่องเล่ยะ’ จนกลิ่นคลุ้งนอกชาน ย่าร้องเรียกหลานสาว แล้วก็หันมาทางหนุ่มรักษ์ไทยที่นั่งยิ้มแหยๆ อยู่ที่อีกฟากของเสื่อ

ดวงเดือนเดินกลับมา ไม่ว่าจะนั่งตรงไหน หล่อนก็ต้องนั่งระหว่างย่ากับรักษ์ไทยอยู่ดี..

“วันนี้มีแกงส้มชะอมทอด มีหมูทอดกระเทียม และแกงจืดผักตำลึงข้างรั้วบ้าน(เรา) คุณโอเคไหม” น้ำเสียงหญิงสาวสาวคล้ายจะเขิน..และย่าหนูก็ดูออก

“ทั้งหมดนี่ ฝีมือแม่ดวงเดือนเค้า..อาจจะไม่อร่อย แต่ก็ตั้งอกตั้งใจทำ อ้อ..มีกล้วยบวชชีด้วยนะ อยู่บ้านป่าบ้านดงก็ดีไปอย่าง สามารถปลูกผักปลูกหญ้าดัดแปลงมาเป็นอาหารได้..เอ้า..แม่เดือนมัวคิดอะไร ตักข้าวให้พ่อรักษ์ไทยเขาซิ..กินเยอะๆ นะ ไม่ต้องเกรงใจ”

ชายหนุ่มรับจานกระเบื้องที่มีข้าวสวยควันฉุยส่งกลิ่นหอมจากมือของหญิงสาว

“คุณป้าไม่ได้กลับมากินด้วยกันหรือครับ..”

“เอาแน่ไม่ได้หรอก บางทีก็กลับ บางทีก็ไม่กลับ แล้วแต่อารมณ์”

“กินเถอะ อย่าเพิ่งคุยกัน แต่จริงๆ แล้ว คุยกันไปกินกันไปมันอร่อยกว่านั่งกินเงียบๆ นะ..”

แล้วรักษ์ไทยก็ได้ยินเสียงซดน้ำแกงดังฮวบๆ จากปากของหญิงสาวที่นั่งข้างๆ กัน เมื่อเขามองไป ดวงเดือนยิ้มหน้าแหยๆ เป็นคำตอบ..

“ทำเนียมเกาหลีอีกซิ” เขาพูดดักไว้..ดวงเดือนไม่เถียงแต่พูดเรื่องอื่นขึ้นมา “อร่อยไหมล่ะ ถ้าอร่อย ฝีมือฉัน ไม่อร่อย ก็เพราะเป็นสูตรของย่า”

“แม่นี่ เอาแต่ความดีอย่างเดียว..”

“เล่นมัดมือชก ก็ต้องตอบว่าอร่อยใช่ไหม ถึงจะได้ถูกใจทั้งสองคน..แต่มันก็อร่อยนะครับ คล้ายฝีมือคุณย่าผมเลย..”

“ไม่ได้เรียกอาม่าหรือ..”

“ย่าผมเป็นคนไทย ส่วนปู่เป็นคนจีนโพ้นทะเล..” เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องส่วนตัว..นึกออกแล้วก็เงียบไป ด้วยตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่บอกเรื่องส่วนตัวกับคนที่นี่หรอก ให้รู้แค่ที่เห็นก็พอ..คุยกันเรื่องสัพเพเหระ แล้วก็มาลงตรงที่มือรับถ้วยขนมกล้วยบวชชี แต่หูได้ยินย่าพูดว่า..

“ไม่รู้คิดอย่างไรจะไปสมัครเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน หลานสาวฉัน พ่อก็เห็นดีเห็นงามด้วยเรอะ”

“ครับ..ผมว่ามันเหมาะกับเขานะครับ ดวงเดือนเขากล้าคิด กล้าพูด ..แล้วเขาก็ชอบทำกิจกรรม”

“แต่ปัญหามันมีเยอะแยะนะ” แล้วย่าก็เล่าปัญหาที่เคยประสบแต่อดีตมาให้ชายหนุ่มได้รับรู้อีกรอบ..ระหว่างฟังรอบที่สองนั้นดวงเดือนก็เก็บสำรับไปไว้ในครัว ยืนล้างจานรอฟังว่าชายหนุ่มจะช่วยโต้แย้งอย่างไร...นึกขอบคุณเขาอยู่นิดๆ ที่กล้าแย้งความคิดของย่า

“คุณย่าคิดดูซิครับ สมัยนี้ผู้หญิงเรียกร้องสิทธิให้เสมอผู้ชาย และการที่ดวงเดือนมีใจจะลงนี่ อย่าลืมฐานคะแนนฝ่ายผู้หญิงนะครับ บางทีเขาอาจจะอยากเห็นเด็กผู้หญิงรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาลุกขึ้นมาปฏิวัติระบบการเมืองไทย หรือไม่ก็อยากเห็นเพศเดียวกันลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง อีกอย่างหนึ่ง ผู้สมัครคนเก่า ก็ไม่ได้มีผลงานอะไรมากมาย..”

“แต่เขาก็ครองใจคนอีกกลุ่มหนึ่งได้นะ”

“ก็พวกขี้เหล้าเมายา ของอย่างนี้มันไม่ลองก็ไม่รู้นะครับ ถ้าได้..ผมจะช่วยเขาทำงาน แต่ถ้าไม่ได้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ของชีวิตนะครับ ผมยังเสียดายเลย ถ้าผมเป็นคนที่นี่ผมก็อยากเสียสละประโยชน์ตัวเองเพื่อคนอื่นบ้าง..ให้เธอลองดูสักตั้งเถอะครับ และถ้าวันนั้นเธอได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหญิงขึ้นมาจริงๆ คนภาคภูมิใจที่สุดเห็นจะเป็นคุณย่านะครับ..”

ยังไม่ทันที่รักษ์ไทยจะช่วยพูดอะไรได้มาก แม่จันทราก็ขับรถมอเตอร์ไซด์กลับมาร่วมคุยในหัวข้อเรื่องผู้ใหญ่บ้านคนใหม่อีกคน..และแม่จันทราก็สรุปอย่างกำปั้นทุบดินว่า

“แม่ไม่เห็นด้วย ..คราวพ่อของเขา ก็หมดเงินหมดทองกับการหาเสียงไปไม่ใช่น้อย แล้วแม่เดือนนี่ คนรู้จักเสียที่ไหน..หายจากหมู่บ้านไปร่วมสิบปี”

“เราก็ทำให้เขารู้จักได้นี่แม่ แม่เองก็เป็นคนช่วยพ่อหาเสียงมาก่อน แม่รู้นี่คะว่าวิธีการหาเสียง หาคนรัก เขาต้องทำอย่างไรบ้าง แม่นี่แหละหัวคะแนนอย่างดีอันดับหนึ่ง แม่พูดเองไม่ใช่หรือ อยากให้หนูหางานทำอยู่แถวนี้ หนูคิดว่า นี่แหละคืองานที่หนูอยากทำ..”

“คิดแต่สนุกนะซิ ไม่เอาหรอกคุณรักษ์ไทย อย่างไรอย่าไปพูดให้แม่นี่ใจพอง ตอนพองมันก็สนุกหรอก แต่อีตอนเจอะปัญหามันก็แอบมาร้องไห้อยู่ที่บ้านนี่..”

“แม่อ่ะ..”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2554, 17:58:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2554, 18:03:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1575





<< 5.ฉบับรีไรท์   7."ฉันแค่ป้องกันตัวเอง" >>
กาซะลองพลัดถิ่น 23 ก.ย. 2554, 22:50:00 น.
แค่ชุมชนเล็ก ๆ ยังไม่ปรองดอง หวังผลประโยชน์แล้วระดับองค์กรใหญ่ ๆ ไม่หนักกว่ารึ......
หนุ่มสาวสมัยนี้เอะอะ อะไรก็เกาหลี ญี่ปุ่น อะไรที่เป็นเอกลัษณ์ไทย ๆ หายไปหมดแล้ว พอไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองทำให้รู้สึกว่า เรารักบ้านเมืองเรามากขึ้น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account