"หัวใจผูกรัก"
‘คุณไม่ใช่ผู้ชาย...คุณเป็นเกย์!’ ถ้อยคำที่เธอตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความเข้าใจผิดในวันแรกที่ได้เจอกัน กลับทำให้เขา...’วสุ’ ด็อกเตอร์หนุ่มหมาดๆ เกิดสนใจในตัวเธอ...’มณีมณฑ์’ หรือ ‘มุก’ สาวน้อยนิสิตเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่สี่ขึ้นมา จนต้องพาตัวมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยการเข้าทางทั้งแม่และป้าของเธอ โดยอาศัยความสนิทสนมระหว่างครอบครัวที่มีเป็นทุนเดิม...แต่เมื่อแม่สาวน้อยทั้งดื้อรั้น ปากแข็ง แถมยังขยันเข้าใจเขาผิดบ่อยๆ ชายหนุ่มจะใช้ความรักผูกพันร้อยรัดหัวใจของเธอไว้ได้อย่างไร...
Tags: หัวใจผูกรัก

ตอน: ตอนที่ 3

3…

...ในที่สุดก็ผ่านไปได้ซะที

มณีมณฑ์เดินออกจากห้องสอบวิชาสุดท้ายด้วยใบหน้ายิ้มกว้างกับการสอบที่ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่เสียแรงที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านแต่หนังสือจนแทบไม่ได้ทำอย่างอื่นมาหลายสัปดาห์

เธอเดินผ่านเพื่อนร่วมชั้นปีที่จับกลุ่มกันถกเถียงเรื่องคำตอบของข้อสอบไปสมทบกับนลินีที่ยืนรออยู่อีกมุมหนึ่งอย่างไม่สนใจจะเข้าไปร่วมวงแต่อย่างใด เพราะถึงเถียงกันไปก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนสิ่งที่ตอบไปแล้วได้ ดังนั้นเพื่อความสบายใจ...เธอขอเลือกที่จะปล่อยให้มันผ่านไปดีกว่า

“สอบเสร็จแล้วก็ว่างอีกตั้งเกือบเดือน เราจะทำอะไรกันดีล่ะมุก” สาวร่างเล็กตั้งคำถาม ท่าทางกระตือรือร้นกับวันหยุดที่จะมาถึง ขณะที่ทั้งคู่เดินลงบันไดมาชั้นล่าง

“อืม เราอยากไปดูหนังสือนิยายหน่อยน่ะ ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้อ่านอะไรเลยนอกจากหนังสือเรียน” มณีมณฑ์ตอบอย่างอารมณ์ดี

“แล้วก็ไปดูหนังด้วย ดีไหม” นลินีต่อความทันควัน แต่ก่อนที่จะได้วางแผนเที่ยวในวันหยุดกันต่อ ก็เหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตายืนพิงรถตรงที่จอดประจำเข้าพอดี เธอจึงหันมาเอ่ยกับเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มล้อเลียนว่า

“เอาไว้เราค่อยคุยกันอีกทีแล้วกันนะ เพราะว่าวันนี้มุกคงมีโปรแกรมแล้วล่ะ”

ว่าแล้วสาวร่างเล็กก็โบกมือลา เดินแยกไปอีกทางทันที ทิ้งให้มณีมณฑ์ยืนนิ่วหน้าอย่างงุนงง แต่เมื่อหันไปพบกับใบหน้าคมคายเกลื่อนรอยยิ้มที่รออยู่แล้ว เธอก็ได้คำตอบ

“บัวนะบัว รู้เห็นเป็นใจกันจริงๆ เพิ่งเคยคุยกันไม่กี่ครั้งเองแท้ๆ” หญิงสาวค้อนลมค้อนแล้งฝากไปถึงเพื่อนรักที่ชิ่งหนีหายตัวไปเรียบร้อย เมื่อเดินมาถึงตัวคนที่รออยู่ก็อดแจกค้อนใส่อีกวงไม่ได้

...นี่ก็อีกคน ไม่รู้ว่าทำท่าไหนยัยบัวถึงได้เข้าข้างจนออกนอกหน้าขนาดนี้

“เป็นอะไรไปครับมุก ทำไมทำหน้าแบบนั้น...ทำข้อสอบไม่ได้เหรอ” คำทักทายปนหัวเราะที่ส่งมา ทำให้มณีมณฑ์แยกเขี้ยวใส่ทันที

“ไม่ใช่! อย่ามาแช่งกันได้ไหม คนนิสัยไม่ดี!”

“อ้าว เป็นงั้นไป” วสุส่ายหน้ายิ้มๆ “ใครจะกล้าแช่งล่ะครับ ผมรู้อยู่หรอกว่ามุกทำได้แน่ๆ ก็มุก ‘ของผม’ ทั้งเรียนเก่งทั้งขยันออกอย่างนี้”

ตอนท้ายยังไม่ลืมหันมาทำตาวิบวับใส่ ทำเอาคนที่ถูกอุปโลกน์ว่ามีเจ้าของสดๆ ร้อนๆ อดรนทนไม่ได้ หันมาแหวใส่เขาเต็มเสียง เรียกเสียงหัวเราะจากคนแกล้งยั่วได้ชุดใหญ่

“ฉันไปเป็นของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! อย่ามาพูดเข้าข้างตัวเองนะ”

“ครับ ไม่เป็นก็ไม่เป็น” ชายหนุ่มยอมเออออตามไป แม้จะแอบต่อท้ายในใจว่า...แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ

“แล้วนี่จะพาฉันไปไหน” พออารมณ์เริ่มเย็นลง หญิงสาวก็สังเกตเห็นว่าทางที่รถแล่นไปนั้นไม่ใช่เส้นทางกลับบ้านตามปกติ หันไปมองหน้าคนขับก็ได้พบกับรอยยิ้มที่เขาบรรจงหยอดใส่ตา

“ก็พามุกไปฉลองไงครับ รู้ไหมว่าผมดีใจมากกว่ามุกอีกนะ ที่ในที่สุดมุกก็สอบเสร็จซะที”

คิ้วโค้งเรียวขมวดมุ่นบ่งบอกความไม่เข้าใจ ก่อนที่จะได้ยินคำเฉลยในวินาทีถัดมา

“พอใกล้สอบ มุกก็ไม่ยอมให้ผมเจอหน้าเลยนี่นา โทรศัพท์ไปหาก็คุยด้วยแป๊บเดียวแล้วก็วาง”

“สมควรแล้วนี่ ใครจะไปอยากเจอ...คนชอบแกล้ง” ร่างบางเชิดหน้าอย่างไม่สนใจ แม้ว่าช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจะผ่านไปโดยไม่มีใครบางคนพาตัวเข้ามาก่อกวนอารมณ์อย่างที่เธออยากให้เป็น แต่ก็มีบางเวลาที่เธอแอบรู้สึกเหมือนกันว่า...ไม่ชินเลยจริงๆ การไม่ได้เห็นหน้ากันแบบนี้

...เอ๊ะ แล้วนี่เขากลายเป็น ‘ความเคยชิน’ ของเธอไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่นะๆ มณีมณฑ์เริ่มตกใจกับความคิดของตัวเอง ทางออกที่มีคือการหันไปโวยวายกับคนข้างตัว

“ใครบอกว่าฉันจะไปกับคุณไม่ทราบ แล้วคราวนี้อย่าเอาแม่ฉันมาอ้างอีกนะ” รีบตีกันไว้ก่อน เพราะเธอยังจำข้ออ้างของเขาในครั้งก่อนได้ ซึ่งวสุก็หัวเราะแทนการรับคำ ก่อนจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

“ผมขออนุญาตน้าไพลินแล้ว คุณแม่มุกก็ไม่เห็นว่าอะไร แค่บอกว่าอย่ากลับดึกเกินไปเท่านั้นเอง”

...โธ่ แม่นะแม่ เอาอีกแล้วเหรอเนี่ย



เป็นเวลาเช้าตรู่เมื่อรถตู้สีขาวคันใหญ่แล่นมาจอดหน้าบ้าน ให้คุณไพลินส่งเสียงเร่งลูกสาวซึ่งยืนนัยน์ตาหรี่ปรือ ทำท่าจะหลับมิหลับแหล่ รีบตามเธอขึ้นรถที่คนขับเปิดประตูไว้รอท่าโดยเร็ว

“รีบขึ้นมาเร็วๆ เข้า ยัยมุก...เมื่อคืนแม่ก็บอกแล้วแท้ๆ ว่าอย่านอนดึก แล้วเป็นยังไงล่ะ”

“โธ่ แม่ขา มุกแค่อ่านนิยายเพลินไปหน่อยเดียวเอง” มณีมณฑ์งึมงำแก้ตัวพลางปีนขึ้นไปนั่งด้านในสุดของที่นั่งแถวแรก หลังจากหันไปทำความเคารพคุณพลอยรุ้งที่นั่งอยู่ด้านหลังแล้วแขนบางก็กอดกระชับหมอนรูปหน้าหมีที่ถือติดตัวขึ้นมาด้วย ก่อนจะปิดเปลือกตา...ตั้งท่าจะหลับทันที

“หน่อยเดียวอะไรกัน แม่ลุกมาเข้าห้องน้ำตอนตีสอง ยังเห็นห้องเราเปิดไฟสว่างอยู่เลย”

แว่วเสียงมารดาเทศนาไม่เลิก ตามมาด้วยเสียงของผู้เป็นป้าที่ฟังดูปลอบประโลมมากกว่า

“เอาเถอะ ปล่อยให้ยัยมุกนอนพักไปนั่นแหละ เดี๋ยวต้องไปรับวิที่บ้านแล้วเดินทางอีกหลายชั่วโมง พอไปถึงวัดจะได้ตื่นมาสดชื่น สมกับที่มาทำบุญหน่อย”

คุณพลอยรุ้งกับคุณวิกานดาและกลุ่มเพื่อนตั้งใจจะไปทอดกฐินที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเจ้าอาวาสเป็นพระที่ฝ่ายหลังเคารพนับถือมานานหลายปี เมื่อสบโอกาสที่มณีมณฑ์ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม จึงถูกดึงตัวให้ติดตามมาด้วย

ตอนแรกหญิงสาวออกอาการไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ เพราะกลัวว่า ‘ใครบางคน’ จะตามมารดาไปด้วย ถ้าต้องทำบุญตักบาตรร่วมขันเดียวกัน...คราวนี้เธอคงไม่แคล้วคลาดจากเขาแน่ๆ แถมดีไม่ดีอาจมีห่วงผูกพันกันไปถึงชาติหน้าอีกต่างหาก

มาโล่งใจเอาก็ตอนที่ได้ยินคุณวิกานดาเปรยกับเพื่อนสนิท ทำนองว่าเสียดายแทนลูกชายที่เกิดติดงานในวันนั้นพอดี จึงพลาดโอกาสไปทำบุญด้วยกัน เธอจึงตอบตกลงได้อย่างสบายใจ

สบายใจ...มากพอที่จะหลับตาแล้วจมสู่ห้วงนิทรารมย์หลังจากนั้นไม่กี่นาที



มณีมณฑ์มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่แรงสั่นสะเทือนเบาๆ ของเครื่องยนต์หายไป แทนที่ด้วยเสียงพูดคุยสนทนาจับใจความไม่ได้แว่วมาเข้าหูแทน ดวงตากลมโตจึงกะพริบเปิดขึ้นมารับภาพจุดหมายปลายทาง ก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดมุ่นเมื่อเจ้าตัวเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง พร้อมๆ กับที่เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้หู

“ตื่นแล้วเหรอครับมุก”

“เอ๊ย คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย” หญิงสาวร้องลั่น ดีดตัวออกห่างเขาโดยอัตโนมัติ หลังจากพบว่าสิ่งที่เธอใช้พิงศีรษะซบหลับอย่างสบายมาจนถึงเมื่อครู่นี้ก็คือไหล่กว้างของคนข้างตัวนั่นเอง

“ผมก็นั่งรถมากับมุกนั่นแหละครับ แถมยังเสียสละตัวเองเป็นหมอนอิงให้มุกพิงมาตลอดทางอีกต่างหาก เมื่อยจะแย่ มุกจะไม่ตอบแทนอะไรผมบ้างเลยเหรอ” วสุอธิบายหน้าชื่น ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าดังคำพูดแต่อย่างใด ส่งผลให้หญิงสาวเหวี่ยงสายตามองคนที่ทวงบุญคุณเธออย่างหมั่นไส้

“งั้นเดี๋ยวฉันซื้อยาทาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อให้ก็แล้วกัน”

“แถมคนทาด้วยหรือเปล่าครับ”

...ยัง ยังจะมาทำหน้าระรื่นได้อีกนะ “ได้คืบจะเอาศอก! ที่ฉันถามตอนแรกก็เพราะสงสัยต่างหาก ไหนป้าวิบอกว่าวันนี้คุณติดงาน แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“ผมเคลียร์งานเสร็จก่อนกำหนด ก็เลยเลื่อนงานของวันนี้ไปประชุมตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ วันนี้ผมถึงมาทำบุญกับมุกได้ไง” คำตอบยิ้มๆ ของชายหนุ่มทำให้มณีมณฑ์แหวใส่อย่างลืมตัว

“ใครบอกว่าฉันอยากทำบุญกับคุณกัน! พูดจาเข้าข้างตัวเองอีกแล้วนะ”

ร่างสูงส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกายพราวเมื่อก้มลงกระซิบว่า “จุ๊ๆ มุก พูดแบบนี้ไม่ดีนะครับ ในเขตวัดด้วย เดี๋ยวจะไม่ได้กุศลเอานะ”

หญิงสาวฟังแล้วก็ไม่แน่ใจตามคำเขาเท่าไหร่ แต่นึกขึ้นได้ว่าอยู่ในวัดก็ควรจะสำรวมเสียหน่อย เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อไปซักถามเรื่องที่ยังค้างคาใจแทน “เรื่องที่คุณจะมาด้วยวันนี้ ป้าพลอยกับแม่ฉันก็รู้อยู่แล้วสิ”

“ไม่หรอกครับ ป้าพลอยกับน้าไพลินก็เพิ่งรู้ตอนมารับผมกับแม่เมื่อเช้านี้เอง” วสุตอบ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างรู้ทันแม่สาวน้อย ที่คงจะคิดว่าเป็นแผนการของพวกผู้ใหญ่ ‘จัดฉาก’ ให้อีกตามเคย ไม่ได้คิดว่าเป็นความบังเอิญบ้างเลยหรือไงนะ

แต่อันที่จริงจะว่าเป็นความบังเอิญทั้งหมดก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะแม้กระทั่งคุณวิกานดายังเพิ่งรู้ว่าเขาเร่งสะสางงานจนเสร็จก่อนกำหนดเมื่อเย็นวานนี้เอง ส่วนที่ไม่ได้บอกให้ผู้เป็นป้าและมารดาของมณีมณฑ์รู้ก็เนื่องจากเกรงว่าพวกท่านจะสร้างพิรุธให้เจ้าหล่อนระแคะระคาย แล้วจะเกิดรายการ ‘หนี’ กลางอากาศเสียก่อน

...ก็ความดื้อรั้นของเธอมีน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่

“เราลงจากรถกันดีกว่านะ คุณแม่มุกเดินมาตามโน่นแล้ว” ชายหนุ่มชักชวน พยักหน้าไปอีกทางที่คุณไพลินกำลังเร่งฝีเท้าตรงมา

“ตื่นแล้วเหรอ ยัยมุก รีบไปล้างหน้าล้างตาซะไป...วสุ น้าฝากไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยนะ เสร็จแล้วทั้งสองคนก็รีบตามขึ้นไปบนศาลานะจ๊ะ”

มณีมณฑ์ตั้งท่าจะปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อมองออกไปเห็นคนมาร่วมงานทอดกฐินจำนวนมาก เนื่องจากเป็นกฐินสามัคคีที่คุณวิกานดาและเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนร่วมกันเป็นเจ้าภาพ จึงมีชาวบ้านในแถบนี้ช่วยกันนำภัตตาหารมาเลี้ยงพระและร่วมอนุโมทนาด้วย เธอเลยเปลี่ยนใจตอบตกลง...คิดว่าถึงจะหาใครไม่เจอยังไงก็ยังมีอีกคนอยู่เป็นเพื่อน คงจะดีกว่าเดินลุยเดี่ยวท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จักเป็นแน่



เมื่อสองหนุ่มสาวก้าวขึ้นไปบนศาลาวัดซึ่งเป็นที่ตั้งองค์พระกฐิน คุณพลอยรุ้งหันมาเห็นเข้าจึงกวักมือเรียกทั้งคู่มาแนะนำตัวกับกลุ่มเพื่อน ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาหญิงสาวดีจากการที่เธอเคยติดตามผู้เป็นป้าไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ จึงพากันทักทายแกมหยอกเย้าถึงความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวตามความเข้าใจของพวกท่านกันยกใหญ่

ร่างบางยิ้มเจื่อนๆ รับ เพราะจะปฏิเสธออกไปในเวลานี้ก็ใช่ที่ เมื่อทำอะไรไม่ได้หนักๆ เข้า เธอเลยหันไปกระซิบเสียงเขียวใส่คนนั่งข้างที่มีใบหน้ายิ้มแย้มจนเห็นได้ชัดแทน

“ยิ้มอะไรนักหนา มีความสุขมากหรือไงคุณ”

“มีความสุขสิครับ มาทำบุญนี่นา...ก็ต้องยิ้มแย้ม จะได้รับผลบุญเยอะๆ ถ้าขืนทำหน้าบึ้ง เดี๋ยวพระท่านจะนึกว่าไม่อยากได้บุญนะ” ด็อกเตอร์หนุ่มว่าไปโน่น ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้หญิงสาวอีกนิดแบบเนียนๆ จึงถูกถลึงตาใส่เป็นเชิงปรามไม่ให้เข้ามาใกล้กว่านี้

โชคดีที่จังหวะนั้นคุณไพลินส่งเสียงเรียกลูกสาวให้มาช่วยเธอเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงเพลพระพอดี มณีมณฑ์จึงรีบคลานเข่าถอยออกไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากช่วยหยิบจับข้าวของส่งให้มารดาได้สักพัก หญิงสาวจึงได้รู้จากบทสนทนาของคุณไพลินกับผู้ช่วยคนอื่นว่างานทอดกฐินนี้ความจริงเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โดยเป็นวันตั้งองค์พระกฐิน ซึ่งมีเพื่อนของคุณพลอยรุ้งและคุณวิกานดาบางคนล่วงหน้ามาเตรียมงานกันก่อน และเมื่อคืนก็ยังมีการนำหนังกลางแปลงมาฉายที่ลานวัด เรียกความสนใจจากชาวบ้านได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

“มีหนังกลางแปลงด้วยเหรอคะ แม่น่าจะพามุกมาตั้งแต่เมื่อวานนะ มุกก็อยากดูบ้าง” มณีมณฑ์หันไปบ่นเสียงออดๆ กับผู้เป็นแม่ที่ย้อนถามกลับมายิ้มๆ

“แม่เห็นมุกเพิ่งไปดูหนังกับหนูบัวเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนี่จ๊ะ ยังอยากดูหนังกลางแปลงอีกเหรอ”

...ดูหนังกลางแปลงน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ที่อยากออกเดินทางตั้งแต่เมื่อวานก็เพราะว่าใครบางคนจะได้ตามมาไม่ได้ต่างหากล่ะ

“อ้าว นั่นป้าพลอยเรียกแล้ว...มุก ไปนั่งใกล้ๆ ป้าพลอยกันเถอะลูก” คุณไพลินบอกลูกสาว ก่อนจะวางมือจากงานแล้วพากันไปนั่งตรงที่ที่คุณพลอยรุ้งเว้นไว้ให้

เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกัน คุณวิกานดาจึงทำหน้าที่เจ้าภาพในการถวายผ้ากฐิน โดยมีสายสิญจน์โยงจากผ้ากฐินส่งต่อมาให้จับกันอย่างทั่วถึง มณีมณฑ์รับสายสิญจน์ที่ถูกส่งมาถึงมือพลางเหลือบมองร่างสูงที่มาอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น

...เอ๊ะ เมื่อกี้จำได้ว่าข้างซ้ายเป็นแม่ ข้างขวาเป็นป้าพลอยนี่นา แล้วทำไมไปๆ มาๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

หญิงสาวไม่ทันได้แสดงความสงสัยออกมา พิธีการก็เริ่มขึ้นเสียก่อนเมื่อคุณวิกานดาเป็นผู้นำกล่าวคำถวายผ้ากฐิน เธอจึงต้องนั่งสำรวมไปจนกระทั่งเสร็จสิ้นพิธีการด้วยการกรวดน้ำรับพรนั่นแหละ ถึงได้มีโอกาสหันไปเข่นเขี้ยวใส่คู่กรณี

“ขยับออกไปห่างๆ เลย ทำเนียนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ มานั่งตรงนี้ได้ยังไงไม่ทราบ”

“ผมก็โดนเบียดมาเหมือนกัน” วสุตอบด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ใจที่ไม่อาจหลอกอีกฝ่ายได้สำเร็จ

...น่าเชื่อตายล่ะ “ไม่รู้แหละ ถอยไปห่างๆ เลย อย่างน้อยสามเมตร!”

“ห่างขนาดนั้นจะคุยกันรู้เรื่องเหรอมุก” ชายหนุ่มว่า แต่ก็ยอมขยับถอยห่างออกไปอีกเล็กน้อย ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขาแค่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้แตะตัวเจ้าหล่อนเลยด้วยซ้ำ คนขี้โวยวายก็ทำท่าเหมือนเขาฉวยโอกาสกับเธอซะอย่างนั้น

“ไม่เอาน่า ในวัดนี่ถือเป็นเขตอภัยทานนะครับ...ห้ามโกรธ ห้ามทำหน้าบึ้งด้วย เดี๋ยวไม่ได้บุญนะ”

“ยังจะมาฉายหนังซ้ำอีก ใครเขาจะไปเชื่อกัน มั่วหลักการขึ้นมาเองหรือเปล่าเนี่ย ไม่เห็นเคยได้ยินเลย” มณีมณฑ์ย้อนท่าทางไม่เชื่อถือ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของด็อกเตอร์หนุ่มจะดังขัดจังหวะขึ้นมา ทำให้เขาต้องลุกออกไปหาที่เงียบๆ ในการสนทนา เนื่องจากบนศาลาวัดในเวลานี้ไม่เหมาะสมกับการคุยธุระใดๆ ทั้งปวง

หากก่อนที่ร่างสูงจะเดินห่างออกไปจนเกินระยะได้ยิน เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยกับคนในสายก็ยังอุตส่าห์ดังมาเข้าหูหญิงสาวอยู่ดี

“ฝน...นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงเพิ่งโทรมา...”

น้ำเสียงแสดงความสนิทสนมนั้นทำให้คิ้วบางขมวดฉับเข้าหากันทันที โดยที่มณีมณฑ์ก็ไม่รู้ตัวว่าเวลานี้เธอมีสีหน้าครุ่นคิดหนักขนาดไหน

...ฝน...ใครกัน?

+++++++++++++++

ตอบคอมเมนต์นะคะ :)
คุณ anOO: ขอบคุณที่จำได้ค่า แอบมีสปอยล์ด้วยน้า ;)
คุณ violette: เรื่องนี้ไม่ต้องวิ่งหนีกันนานค่ะ มาส่งตอนต่อไปให้แล้วนะคะ ^^
คุณ Pat: พี่วสุกับน้องมุกฝากบอกว่าดีใจที่จำกันได้ ขอบคุณค่า :)



เมษาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2554, 19:08:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2554, 19:08:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1513





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
anOO 24 ก.ย. 2554, 19:57:03 น.
ตามมาอ่านอีกรอบ ชอบๆๆๆ


violette 25 ก.ย. 2554, 03:28:50 น.
น่านนน แอบหึงไม่รุ้ตัวแล้วยัยมุกเอ้ยย


เทียนจันทร์ 4 ม.ค. 2555, 18:29:49 น.
น่ารักจังค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account