กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 6

ตอนที่ ๖

วริณสิตาดึงตัวเองออกมาจากห้วงความคิดได้สำเร็จก่อนบอกพีรพัฒน์ไปตามตรงว่า

“เรื่องแบ่งพื้นที่ปลูกข้าวโพด อาจารย์ที่โรงเรียนเป็นคนแนะนำฉันค่ะ ฉันไม่ได้คิดเอง”

“อ้อ งั้นหรอกหรือ” คนฟังพยักน้อยๆเชิงรับรู้ก่อนจะนิ่งเงียบไป นาทีนี้วริณสิตาก็ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าพีรพัฒน์จะตัดสินใจอย่างไร ถ้าเขายินยอมก็ดีไป แต่ถ้าไม่เล่า เธอไม่อยากจินตนาการเลย

“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันคิดว่ามันไม่เข้าท่าล่ะ เธอจะทำยังไง”

ใจวริณสิตาหายวูบๆ “แต่คุณพียังไม่ได้อนุญาตให้ฉันลองเลยนี่คะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าท่าไม่เข้าท่า จริงๆมันอาจจะให้ผลดีกว่าที่คิดก็ได้”

หนนี้ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะร่วน ส่ายหน้าไปมาขณะมองเธอด้วยสายตาคล้ายจะขบขัน แต่สำหรับวริณสิตา บอกตรงๆว่ารู้สึกวูบๆหนักกว่าเก่า นี่ความร้อนรนทำให้เธอเผลอพูดเป็นเชิงท้าทายเขาไปเสียแล้ว แล้วเขาจะว่ายังไงละนี่!

“แล้วถ้าฉันจะไม่อนุญาตให้เธอทำไร่บนที่ดินป้าอัง แต่ฉันจะส่งให้เธอได้เรียนตามความต้องการของยายเธอล่ะ เธอจะว่ายังไง”

“อะไรนะคะ...” วริณสิตาถามเบาหวิว แน่นอนนี่ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะเป็นเลยเมื่อได้เจอหน้าเขา พีรพัฒน์ยังคงยิ้มบางๆ

“เธอเองก็ได้อ่านจดหมายของยายเธอแล้วนี่ ที่มาวันนี้ฉันก็มาในฐานะตัวแทนป้าอัง ซึ่งฉันรู้ว่าถ้าเป็นป้าของฉันล่ะก็ ท่านคงพร้อมจะอุปการะเธอแน่ๆ”

แต่คุณอังกาบก็เสียไปแล้ว ฉะนั้นคนที่ต้องทำหน้าที่นั้นแทนก็คงต้องเป็นเขา... ผู้ชาย ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้! วริณสิตาได้แต่คิดไตร่ตรองอย่างหนัก เธอควรจะไปหรือไม่ไปดีเล่า?

“คุณพี...พูดว่าถ้า...แปลว่า...ฉันสามารถเลือกได้ใช่ไหมคะ?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆราวกับเธอเผลอถามอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรออกไปอีก แต่ทว่า...

“ใช่” เขาบอก “ฉันให้เธอเลือก”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอให้คุณพีกรุณาให้ฉันทำไร่เถอะค่ะ ฉันจะพยายาม รับรองว่าฉันจะต้องหาเงินจ่ายค่าเช่าที่คุณให้ได้แน่ๆ”

ฟังคำตอบที่บอกออกมาอย่างฉะฉานมั่นใจ พีรพัฒน์ก็ได้แต่นึก เด็กคนนี้นี่ประหลาด!

ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้คู่สนทนาอีกนิด ขอดูหน้าชัดๆสักนิดเถอะ เด็กที่คิดว่าตัวเองแน่ พีรพัฒน์ต้องค้อมตัวลงมาเมื่ออยากจะพิจารณาวริณสิตาให้ชัด ผิวหน้าสีน้ำผึ้งดูนั้นกร้านแดดนิดๆก็จริง แต่เครื่องหน้าทุกอย่างมันช่างดูกระจุ๋มกระจิ๋ม ทั้งบางทั้งเล็ก ไม่ผิดจากเด็กอายุสิบเอ็ดเสียด้วยซ้ำ มิเท่านั้น ดูตัวเสียก่อนเถอะ! เล็กกระเปี๊ยกเท่านี้แล้วทำไมถึงอวดเก่งนักนะ!

เกือบอึดใจเต็มพีรพัฒน์ถึงได้ยืดตัวขึ้นมา ชายหนุ่มหรี่ตามอง เด็ก ตรงหน้าอีกครั้ง

“มันหนักนะงานทำไร่ แล้วมือเล็กนิดเดียวแค่นี้ จะทำไหวหรือ” ไวเท่าคำพูดเมื่อพีรพัฒน์คว้ามือแม่เด็กอวดเก่งขึ้นมาประกอบวาจาตนเองด้วย นาทีนั้นไม่ได้มีความคิดทำนองชายหนุ่มหญิงสาวแม้แต่น้อย ทว่าผิวหน้าที่เรื่อแดงขึ้นเพราะเลือดฝาดสูบฉีดก็ทำให้เขาฉุกคิดได้ แต่เสียงคำรามที่ดังขึ้นก่อนในเสี้ยวนาทีที่เขายังจับมือสาวน้อยไว้ก็ทำให้ต้องหันไปมอง

“เฮ้ย! มึงปล่อยมือแฟนกูเดี๋ยวนี้นะ!”

คนตะโกนดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มอายุแค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้น ร่างผอมโย่งในชุดเสื้อเชิ้ตตารางหมากรุกสีส้มกับกางเกงยีนส์ขาเดฟรัดติ้วแทบจะโดดผลุงลงจากมอเตอร์ไซด์กลางเก่ากลางใหม่ทันทีที่ปาดเข้าจอดต่อท้ายรถเขาได้สำเร็จ

พีรพัฒน์ได้แต่กะพริบตา มองไอ้หนุ่มขาเดฟผมตั้งไปครึ่งหัวที่ตรงเข้าหาเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง

“เฮ้ย! กูบอกให้ปล่อยมือแฟนกูไง หูแตกเหรอวะ ไอ้กร๊วก!”

อะไรนะ? พีรพัฒน์เลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นวา ไอ้กร๊วกงั้นเรอะ? เกิดมาในชีวิตเขาไม่เคยถูกด่าได้บ้านนอกขนาดนี้มาก่อนเลยสิ

พีรพัฒน์หันกลับมามองหน้าสาวน้อย แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ไอ้หนุ่มขาเดฟก็ถึงตัวเขาแล้ว

“มึง!”

“ว้าย!” วริณสิตาร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อพีรพัฒน์ต้องผงะออกไปเพราะแรงผลักซึ่งกระแทกเข้าที่หน้าอกเขาอย่างจัง ชายหนุ่มเสียหลักถลาไปด้านหลังเล็กน้อย

“มึงเป็นใครวะ ยุ่งอะไรกับแฟนกู!” ไอ้หนุ่มขาเดฟตะโกนลั่นด้วยทีท่าเอาเรื่อง

“หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!” สาวน้อยเองเมื่อตั้งสติได้ก็ตะโกนสั่งเสียงขรม แต่ไม่เป็นผลสักนิดเพราะไอ้หนุ่มขาเดฟไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรทั้งสิ้นนอกจากจะพุ่งเข้าหาชายหนุ่มอีกเป็นรอบสอง

แต่หนนี้พีรพัฒน์ตั้งตัวได้แล้ว เขาจึงยกแขนกันหมัดดุ้นๆที่ลอยเข้ามา ก่อนใช้มืออีกข้างผลักอกอีกฝ่ายให้หงายไปเสียบ้าง ไอ้หนุ่มขาเดฟที่พุ่งมาไม่ทันระวังว่าจะเจอสวนกลับเลยได้เสียหลักลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า

“ว้าย!” แม่สาวน้อยร้องเบาๆอีกครั้งเมื่อเห็นเจ้าถิ่นลงไปจุมปุ๊กอยู่บนพื้น แต่นั่นดูเหมือนจะทำให้ไอ้หนุ่มขาเดฟเดือดดาลหนักกว่าเก่า

“มึง! กูจะอัดมึงให้น่วมเลย!” คำรามแล้วไอ้หนุ่มขาเดฟก็กระโดดผลุงขึ้นมาทั้งท่าจะพุ่งเข้าชกเขาอีก แต่ทว่า...

“นี่หยุดนะโกหนุ่ย! หยุด! นี่มันจะมากเกินไปแล้ว” วริณสิตาตรงเข้าขวาง มิหนำซ้ำผลักอกไอ้หนุ่มขาเดฟจนเซแซ่ดๆไปอีกรอบ ทว่าพอตั้งหลักได้ไอ้หนุ่มขาเดฟที่ถูกเรียก ‘โกหนุ่ย’ ก็ทำหน้าเหมือนถูกหยาม

“หยุด?” ฝ่ายนั้นถาม น้ำเสียงที่ใช้เข้าขั้นสูงปรี๊ด “นี่จิ๊บบอกให้พี่หยุดงั้นเรอะ พับเผื่อยดิ! จิ๊บก็เห็น ไอ้แก่นี่มันจับมือจิ๊บ!”

ฮะ! อะไรนะ? พีรพัฒน์แทบไม่อยากจะเชื่อหู ไอ้แก่นี่งั้นเหรอ! แต่แน่นอน ไม่มีใครมีเวลาสนใจสรรพนามเกินวัยของเขาหรอกเมื่อสาวน้อยถามไอ้หนุ่มขาเดฟกลับเสียงห้วน

“แล้วยังไง?”

“แล้วไง?” หนุ่มขาเดฟเสียงสูงอีกครั้ง มิหนำซ้ำทำหน้าเหมือนถูกเหยียบตาปลารอบสอง “วุ้ย! พี่ก็จะกระทืบมันให้แบนคาตีนน่ะสิ!”

“อ๊าย! นี่! ฉันบอกให้หยุดไงเล่า หยุด!” หนนี้สาวน้อยคงเหลืออดแล้วเลยผลักเอาเสียไอ้หนุ่มขาเดฟล้มกลิ้งก่อนประกาศก้องจริงจัง “อย่าได้มาทำนักเลงโตในบ้านฉันนะ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”

ทว่าเจ้าถิ่นก็ยังไม่ยอมจะเสียฟอร์ม รีบโดดลุกขึ้นมา ตะคอกถามหน้าดำหน้าแดง

“ว่าไงนะ?! นี่จิ๊บกล้าไล่พี่?”

“ใช่! แล้วฉันจะทำมากกว่าไล่ด้วย ถ้าโกหนุ่ยไม่ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“จิ๊บ!”

“ออกไป!” เมื่อเจ้าของบ้านตัวเล็กชักเสียงแข็งแถมก้มลงคว้าท่อนไม้เสียด้วยไอ้หนุ่มขาเดฟจึงได้แต่อึ้ง แต่ก็ยังไม่วายจะกร่างทางสายตาและยกมือชี้หน้าพีรพัฒน์

“นี่แฟนกู ห้ามยุ่ง! มึงจำไว้!”

“ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“เออ! ไปก็ได้วะ! แต่จำไว้นะโว้ย แถวนี้กูใหญ่ จำไว้!” แล้วไอ้หนุ่มขาเดฟก็เดินอาดๆไปที่รถมอเตอร์ไซด์ด้วยสีหน้าฉุดจัด และไม่ลืมทิ้งท้ายด้วยสายตาอาฆาตเพราะเสียหน้าเต็มพิกัดด้วย วริณสิตาผ่อนลมหายใจออกมาเสียงดังเฮือก โยนท่อนไม้ในมือทิ้งไปก่อนจะหันหน้ากลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง

“อืม! ฉันพอจะเข้าใจอะไรนิดๆแล้วล่ะ” พีรพัฒน์ได้แต่พึมพำแผ่วเบา แต่ถึงแม้เขาจะคิดว่าเบา มันก็ยังดังพอที่เข้าโสตประสาทสาวน้อยได้ชัด และแน่นอน ไอ้สิ่งที่ไม่ชัดก็คือความหมายของประโยค

“เข้าใจ?” วริณสิตาทวนคำออกมา สีหน้าติดจะสงสัย “คุณพีเข้าใจอะไรหรือ?”

“ก็สาเหตุที่เธอต้องการอยู่ทำไร่ที่นี่ มากกว่าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯน่ะซี”

และเท่านั้นเองสีหน้าสาวน้อยก็เปลี่ยนปั๊บทันที

“พูดอย่างนี้ คุณพีหมายความว่ายังไงหรือคะ?” แม้จะครบถ้วนด้วยถ้อยคำสุภาพพร้อมหางเสียง แต่รู้ได้ไม่ยากเลยว่าคนพูดบังคับตัวเองขนาดไหน พีรพัฒน์คลี่ยิ้มออกมา ที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องตลก แต่ประหลาดที่เขาอดจะขำนิดๆไม่ได้

“ก็แฟนจิ๊กโก๋ขี้หึงของเธอ”

“โกหนุ่ยเขาไม่ใช่แฟนฉัน!” เห็นได้ชัดว่าวริณสิตาไม่ขำกับเขาสักนิด “โกหนุ่ยเขาเป็นลูกชายผู้ใหญ่บ้าน วันๆชอบทำตัวเกะกะเกเรไปทั่วเพราะถือว่าพ่อตัวเองมีอิทธิพล ชาวบ้านแถวนี้เขาต่างก็รู้กันดี ไม่มีใครอยากจะยุ่งกับเขาหรอก”

“อ้อ...อย่างงั้นหรือ”

“ใช่” วริณสิตาตอบรับ “คุณพีเองก็เหมือนกัน ตอนขากลับคุณอาจต้องระวังตัวสักหน่อย”

ประโยคนั้นทำเอาคนฟังต้องเลิกคิ้ว ย้อนถามเสียงสูง

“ทำไมเล่า ฉันจะถูก...อือ...” พีรพัฒน์ลากเสียงค้างไว้นิดเพราะเขาจำเป็นต้องคิดว่าควรใช้คำไหนแทนคำว่าแฟนจิ๊กโก๋ขี้หึงดี “ฉันจะถูก...ลูกชายผู้ใหญ่บ้านดักตีหัวงั้นรึ?”

“ไม่รู้หรอกค่ะ” สาวน้อยบอกมาหน้าตาเฉย “แต่เขาระรานแล้วก็ออกจะอันธพาลอยู่นิดๆ ยิ่งคุณเป็นคนแปลกถิ่นมา แน่ใจอะไรไม่ได้หรอก”

“อืม…” พีรพัฒน์ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอยามพยักหน้ารับรู้ ความจริงแค่ดูจากท่าทางโกรธเกรี้ยวของเจ้าหนุ่มขาเดฟก่อนไป เขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าหมอคงอันธพาลไม่น้อยละ แต่ในความคิดเขานี่ เรื่องตัวเองจะโดนจิ๊กโก๋บ้านนอกดักตีหัวก่อนกลับหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาสักนิด แต่แม่สาวน้อยตัวเล็กตรงหน้านี่ต่างหาก พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อมองหน้าสาวน้อยผู้กล้าที่เพิ่งจัดการตะเพิดลูกชายผู้ใหญ่บ้านจอมอันธพาลไปหยกๆ

“ถ้าอย่างนั้น เธอเองก็คงต้องระวังตัวเอาไว้ด้วยเหมือนกันนะ” พีรพัฒน์พูด “เพราะถ้าเขาเล่นงานอะไรฉันไม่ได้ เขาก็อาจจะหันมาเล่นงานเธอแทน”

แต่ทว่า...

“ไม่หรอกค่ะ โกหนุ่ยเขาคงไม่หันมาเล่นงานฉันหรอก”

ฟังคำแม่สาวน้อย คนที่อุตส่าห์เป็นห่วงก็ได้แต่ร้อง ‘หืม?’ อยู่ในคอ

“อะไรทำให้เธอคิดอย่างนั้น” พีรพัฒน์ถาม “อย่าลืมสิ เธอเป็นคนบอกฉันเองนะว่าเขาเป็นอันธพาล”
“ก็ใช่ค่ะ” วริณสิตายอมรับ “แต่ว่าฉันเป็นคนบ้านเดียวกันกับเขา เพราะงั้นเขาคงไม่ทำอะไรฉันหรอก”

ประโยคนั้นทำเอาคนฟังได้แต่นึกร้อง ‘อะไรนะ?’ อยู่ในใจ นี่ถ้าคำตอบแม่สาวน้อยนี่ออกมาเป็นทำนองว่า ‘แต่ฉันเป็นแฟนเขาค่ะ เพราะงั้นเขาคงไม่ทำอะไรฉันหรอก’ แบบนั้นมันยังจะน่าเชื่อและวางใจได้มากกว่า แต่นี่!

‘เพราะฉันเป็นคนบ้านเดียวกัน!’ พีรพัฒน์ได้แต่ถอนหายใจ ส่ายหน้ายามบ่นพึมพำ

“เฮ้อ! คิดง่ายเหลือเกินนะเด็ก!” ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกก่อนมองหน้าวริณสิตาและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เอาล่ะ ฉันจะถามเธอใหม่อีกทีก็แล้วกัน แล้วก็...เป็นครั้งสุดท้ายแล้วด้วยนะ ว่าระหว่างทำไร่อะไรของเธออยู่ที่นี่ กับไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยให้สูงๆตามความต้องการของยายเธอ เธอจะเลือกอย่างไหน”

แม้จะคิดว่าตัวเองตกลงใจเลือกการอยู่ทำไร่ไปแล้ว แต่ทว่าพอได้ยินคำว่าความต้องการของยายก็ทำให้วริณสิตาอดหวั่นไหวไม่ได้อีก!

‘การศึกษาเท่านั้น ที่จะเป็นทั้งอาภรณ์และอาวุธ ช่วยให้เจ้าสามารถเอาตัวรอดได้ในวันข้างหน้า จำเอาไว้นะลูก ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของใคร ตั้งใจเรียนให้ดี!’

ที่จริงตอนยายวานให้เธอเขียนจดหมายถึงคุณอังกาบ เธอเองก็มีความหวัง และมิได้นึกกลัวสักนิดถ้าอนาคตจะต้องกลายไปเป็นเด็กรับใช้ให้คุณอังกาบอย่างที่ยายเคยเป็น แต่นาทีนี้มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้วนี่ แล้วเธอจะเอาอย่างไรดี?

“คิด แล้วก็ตัดสินใจให้ดีๆก็แล้วกัน” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยออกมา “มันเป็นอนาคตของเธอเอง”

ลำคอของวริณสิตาแห้งผาก คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าดูเป็นชายหนุ่มที่...เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเลยทีเดียว แม้เขาจะดูใจดี แต่เธอจะไปรู้และแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่...

“เอ่อ...ถ้า...ถ้าฉันเลือกเรียน คุณพีจะ...จะส่งให้ฉันเรียน...อย่างเดียว...อย่างนั้นหรือคะ” วริณสิตากลั้นใจถาม แต่ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าคลี่ยิ้มบางๆ

“อืม! ไม่หรอก” เขาตอบ “ฉันคิดว่าเธออาจจะต้องทำงานอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนฉันบ้างนะ”
“งะ...งานอะไรหรือคะ” สาวน้อยถาม เสียงนั้นเบาหวิวจนแทบจะไม่ผ่านลำคอออกมา

“อือ! ถ้าจะให้บอกตอนนี้ ฉันคงบอกเธอทั้งหมดไม่ได้หรอกนะ แต่ว่า...” พีรพัฒน์นิ่วหน้า ใช้ความคิดไตร่ตรองอยู่นิดก่อนจะเอ่ย “ก็...ตามจดหมายของยายเธอไง เขียนว่าอย่างไรบ้างล่ะ นั่นละฉันก็คงเอาตามนั้น”

สาวน้อยรู้สึกวูบๆไปทั่วร่าง คำตอบเขาแม้มิได้ชัดแจ้ง แต่สิ่งที่รู้แน่ๆก็คือ ถ้าตกลงไปเธอต้องกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาตามที่ยายเอ่ยยกให้ในจดหมาย

แล้วหลังจากนั้นชีวิตเธอใต้ลิขิตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างเล่า?!

“ฉันจะอยู่ทำไร่ค่ะ!” สาวน้อยประกาศออกมา ความร้อนวูบวาบที่แล่นอยู่ทั่วผิวหน้าและสรรพางค์ส่งผลให้ไม่อาจหาญพอจะเงยหน้าสบตาคู่สนทนาแม้แต่นิด “ฉัน...ฉันไม่กลัวความลำบากค่ะ ฉันแน่ใจว่าฉันสามารถทำไร่ได้ แล้วก็ส่งค่าเช่าให้คุณพีได้แน่ๆ ขอเพียงแค่คุณพีเมตตาให้ฉันทำไร่บนที่คุณอังกาบต่อไปได้เท่านั้น”

“อืม...” พีรพัฒน์พึมพำ “ถ้าเธอยังยืนยันความต้องการของตัวเองตามนั้น...งั้นก็...เอาตามแต่ที่เธอตัดสินใจก็แล้วกัน”

วริณสิตาเงยหน้ามองเขา เขาไม่ได้มีท่าทีผิดหวังหรือขัดใจอะไรแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำประหลาดกว่านั้นคือเขายิ้ม และก็เป็นยิ้มที่...ทำหัวใจสาวน้อยวูบไหวอย่างประหลาด

“ส่วนเรื่องค่าเช่า ฉันไม่ต้องการหรอกนะ แต่ถ้าเธออยากจะให้เพื่อความสบายใจของตัวเธอเอง ก็แล้วแต่กำลังความสามารถของเธอแล้วกัน ฉันไม่เคร่งครัดอะไร”

“ขะ...ขอบคุณค่ะ” วริณสิตากระพุ่มมือไหว้ขอบคุณเขาเป็นครั้งแรก

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ “เอาละ รบกวนเธอมาพักใหญ่แล้วฉันคงต้องกลับเสียที”
“ฉันเดินไปส่งนะคะ”

พีรพัฒน์หมุนตัวเดินกลับมาที่รถโดยมีสาวน้อยเดินตามหลังเขามาต้อยๆเพื่อคอยส่ง กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูรถตัวเองแล้วแม่สาวน้อยก็ยังคงก้มหน้าน้อยๆอยู่ตลอด ราวกับว่าเธอจะไม่กล้า ต้องคอยหลบตาเขาเสมออย่างนั้น พีรพัฒน์ได้แต่ยิ้มขันๆ

“อะไรกัน ฉันมันน่ากลัวขนาดนั้นเชียว” เพราะประโยคเชิงแหย่เย้านั่นเองที่ทำให้วริณสิตาต้องแข็งใจ ทำกล้าเงยหน้าสบตาชายหนุ่มเพื่อแก้ต่าง แต่ทว่าเมื่อพีรพัฒน์คลี่ยิ้มบางๆ ทั้งแววตาเอื้อเอ็นดู ทั้งน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่เอื้อนเอ่ยประโยคซึ่งทำให้หัวใจสาวน้อยหวิวไหวไปอีกครั้ง

“ตั้งใจทำในสิ่งที่เธอเลือกให้ดี ฉันเชื่อว่าเธอต้องประสบความสำเร็จแน่นอน ฉันไปล่ะนะ”

แล้วไม่เกินอึดใจรถยุโรปคันนั้นก็เคลื่อนห่างออกไปตามเส้นทางขรุขระที่เข้ามาในตอนแรก วริณสิตาได้แค่มองตามไปจนสุดตา

ดูท่าทางเขา...ก็เป็นคนดีไม่น้อยเลยเหมือนกันนะ หัวใจสาวน้อยยังคงหวิวไหววูบวาบ เมื่อหวนนึกถึงคำตอบที่ได้จากเขา ที่จริงคำตอบนั้นก็ไม่ได้ชี้ชัดเลยว่าเขาต้องการจะให้เธอตอบแทนเขาในลักษณะไหน ดูจากท่าทางเมื่อครู่ เขาอาจไม่ได้คิดอะไรกับเธอฉันชู้สาวอย่างที่วิตกจริตเลยสักนิดก็เป็นได้

แต่...จะมาไตร่ตรองคิดได้เอาตอนนี้มันก็จะสายไปแล้ว วริณสิตาผ่อนลมหายใจออกมา

“ยายจ๋า...” สาวน้อยพึมพำแผ่วๆ มือเล็กยกขึ้นกำสร้อยคอที่ห้อยล็อกเก็ตอันน้อยที่บรรจงใส่รูปยายติดตัวไว้เสมอ “จิ๊บขอโทษนะจ๊ะที่ตัดสินใจแบบนี้ ยายอย่าโกรธจิ๊บเลยนะจ๊ะ ต่อนี้ไปจิ๊บก็ต้องฝ่าฟันงานหนักไปลำพังคนเดียวแล้ว”

เด็กสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เรียกขานแรงใจให้ตนเองเมื่อนึกภาระงานหนักที่ตัดสินใจเลือก

“แต่ไม่ว่ายังไงจิ๊บก็จะสู้จ้ะ ยายเองต้องช่วยเป็นกำลังใจให้จิ๊บด้วยนะจ๊ะ” ปลุกปลอบใจตัวเองเสร็จวริณสิตาก็หันกลับมาเพียงเพื่อจะพบว่า ปัญหาใหญ่ปัญหาแรกกระโดดพรวดออกจากสวนครัวรกๆข้างบ้านมายืนจังก้าถมึงทึงขวางหน้าเธอเสียแล้ว

“โกหนุ่ย!”
.........................



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2554, 13:22:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2554, 13:22:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 4113





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
สะเรนี 12 เม.ย. 2554, 13:54:03 น.
จะเป็นไงต่อน้าาาา


ปูสีน้ำเงิน 12 เม.ย. 2554, 18:12:57 น.
จิ๊บสู้ๆ


ree 12 เม.ย. 2554, 22:39:03 น.
เรียกโกหนุ่ยว่าแซ๊บก็น่าจะได้มั๊ง


panon 13 เม.ย. 2554, 08:40:24 น.
มาให้กำลังใจค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account