รักสุดท้าย...ที่ปลายดาว
เพราะความเข้าใจผิดในสัมพันธภาพระหว่างสาวสวย ปากจัด กัดเจ็บ อย่าง “ปลายดาว” กับ เพื่อนหนุ่มคาสโนว่า ทำให้เธอต้องตกเป็นจำเลยในสายตาของ “เตชิต” วิศวกรหนุ่มที่(เขาว่ากันว่า) ปากจัด ซ้ำยังกัดเจ็บยิ่งกว่า ผลที่ตามมาก็คือการปะทะคารมกันแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนทุกทีที่ประจันหน้า....เรื่องจะยอมเพลี่ยงพล้ำตกเป็นรองอีกฝ่ายน่ะรึ...ไม่มีทางซะหร้อกกกก

แต่เรื่องวุ่นๆชุลมุนหัวใจก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อสนามรบทำท่าจะเปลี่ยนเป็นสนามรัก(ตามสูตรนิยายคลาสสิค^^) ท่ามกลางความอึดอัดขัดใจของเพื่อนหนุ่มคาสโนว่าที่ยุยงส่งเสริมมาแต่ทีแรก แต่ดันเกิดอาการ “หวงของ” ขึ้นมาเสียอย่างนั้น งานนี้ก็เลยมี “ก้าง” ชิ้นใหญ่โผล่ขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

วิศวกรหนุ่มจะทำอย่างไร เมื่อหนทาง “สุดท้ายที่ปลายดาว” ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มิหนำซ้ำยังมีเรื่องรัก(ลึกลับ)ในอดีตโผล่ขึ้นมาให้ปวดหัวเพิ่มอีก...

งานนี้เห็นทีต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อยล่ะ!

Tags: กุ๊กกิ๊ก โรแมนติค ปลายดาว เตชิต

ตอน: ตอนที่ 12 << ขอเป็นคนสุดท้าย >>

12.

หลายวันถัดมา....

ใช้เวลากว่าสามชั่วโมง เครื่องบินโบอิ้ง 747 ก็พาปลายดาวและคุณลักษณามาถึงสนามบินนานาชาติปู่ตง ซึ่งเป็นสนามบินแห่งใหม่ของเซี่ยงไฮ้ในที่สุด อากาศปลายเดือนสิงหาคมร้อนและชื้นจนแทบไม่ต่างกันกับกรุงเทพมหานคร มีเพียงผู้คนและภาษาที่ใช้เท่านั้นที่ดูจะเป็นความแตกต่างหนึ่งเดียว

ทันทีที่ถึงโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ริมถนนหนานเกาหยาง ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก ปลายดาวก็หยิบสูจิบัตรของงานออกมาพลิกดูอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจเท่าที่ควร ค่าที่ว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมจนแทบไม่มีอะไรแตกต่างกับปีที่แล้วมากนักในความรู้สึก เพียงแค่หลับตาเธอก็นึกภาพออกเป็นฉากๆ ว่าวันพรุ่งนี้จะเริ่มต้นอย่างไร เดินไปทางไหน แล้วในแต่ละวันจะจบสิ้นอย่างไร ทุกอย่างดูขาดสีสันและความน่าตื่นเต้น(ไม่เหมือนกับการมาเที่ยวเลยจนสักนิดเดียว)

งาน Intertextile ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ กรุงเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนประมาณปลายเดือนสิงหาคม ถือการเป็นชิมลางก่อนที่งานใหญ่ของปีจะถูกจัดขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปี ณ กรุงแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ในชื่อ Heimtextile ซึ่งจะมีซัพพลายเออร์จากทุกมุมโลกมารวมตัวกันเหมือนเป็นมหกรรมยิ่งใหญ่แห่งปี แต่โดยวัตถุประสงค์ของทั้งสองงานนั้นก็ไม่ต่างกัน คือนอกจากจะเป็นแหล่งรวมสินค้าจำพวกผ้า และของแต่งบ้าน ยังใช้เป็นสถานที่สำหรับที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้มาพบปะเจอะเจอหรือเปิดโต๊ะเจรจาธุรกิจกันอีกด้วย

งานแสดงสินค้าเริ่มต้นในวันถัดมา และสองสาวก็เดินทางไปถึงอย่างไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรค การลงทะเบียนเข้าชมงานผ่านทางเว็บไซต์ล่วงหน้าทำให้ทุกอย่างราบรื่นและรวดเร็วกว่าที่คิด แต่กระนั้นปลายดาวก็ยังรู้สึกเนือยๆแปลกๆเพราะนอกเหนือจากสินค้าใหม่ที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายอาจนำมาวางแสดงเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ในงาน ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากทุกๆปีมากนัก ไม่ว่าจะเป็นรายชื่อบู้ทแสดงสินค้าต่างๆ หรือแม้กระทั่งการตกแต่งที่ล้วนแล้วแต่บ่งบอกเอกลักษณ์ของบู้ทนั้นๆ ทุกอย่างดูเดิมๆจนขาดสีสัน ก็ได้แต่หวังว่า “งานใหญ่” ที่เยอรมันนีตอนต้นปี คงจะมีอะไรน่าสนใจมากกว่านี้

จากที่ตั้งใจว่าจะอยู่ชมงานจนครบสี่วันตามกำหนด แต่สองสาวใช้เวลาเพียงสามวันก็เหลือเฟือ จึงคิดจะเปลี่ยนเที่ยวบินกลับให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งวัน แต่โชคไม่อำนวยที่ไม่มีเที่ยวบินไหนมีที่นั่งว่าง คุณลักษณาก็เลยเปลี่ยนแผนขึ้นมากะทันหันซะอย่างนั้น

“ตอนแรกว่าจะกลับเย็นนี้เลย แต่พี่เปลี่ยนใจแล้ว พี่คิดว่าจะขึ้นไปหาเพื่อนที่ปักกิ่งเสียหน่อย พรุ่งนี้ดาวกลับคนเดียวไปก่อนละกัน ส่วนพี่ถ้าได้ไฟลท์กลับวันไหน จะโทรไปบอกที่บริษัทเอง”

“เรื่องกลับคนเดียวไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แล้วพี่ลักษณ์จะไปเมื่อไหร่คะ”

“พี่เช็คไฟลท์แล้ว มีไฟลท์ประมาณห้าโมงเย็น” หล่อนเอื้อมมือมาตบไหล่ปลายดาวเบาๆ “วันนี้ว่าง ไม่ต้องเดินงานแล้ว ฟรีหนึ่งวัน ปลายดาวเที่ยวเซี่ยงไฮ้คนเดียวไปก่อนละกันนะ แล้วค่อยไปเจอกันที่กรุงเทพฯ...ดาวอยู่ได้หรือเปล่า”

“ได้ค่ะ พี่ลักษณ์ไม่ต้องห่วง เที่ยวให้สนุกนะ”

“ เดี๋ยวพอกลับไปที่โรงแรมพี่ว่าจะเช็คเอาท์เลย ดาวไม่ต้องไปส่งพี่นะ เดี๋ยวพี่เรียกแท็กซี่หน้าโรงแรมเลย สะดวกดี”

ปลายดาวไม่เซ้าซี้ต่อ การอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวไม่ใช่ปัญหาของเธอแต่อย่างใด สมัยก่อนที่ฐานะทางบ้านยังพอเข้าขั้น เธอกับพี่สาวหัดเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวตั้งแต่ยังไม่ทันจบประถมเสียด้วยซ้ำ แล้วเซี่ยงไฮ้...ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับกรุงเทพฯมากนัก ซ้ำภาษาจีนที่แม้ยังไม่เข้าขั้นเซียนแต่ก็พอสื่อสารได้งูๆปลาๆที่พอมีอยู่ติดตัว ก็คงไม่สร้างความลำบากใจให้เธอมากจนถึงกับต้องเป็นกังวล

หลังจากแบ่งสมบัติลงกระเป๋าเดินทางกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณลักษณาก็ลงมาเช็คเอาท์ด้านล่าง พร้อมกับขอให้พนักงานเรียกแท็กซี่ไปยังสนามบินต่อทันที แต่ก่อนแท็กซี่จะเคลื่อนออก หล่อนยังหันมาโบกมือบ๊ายบายให้อย่างขี้เล่น แววตาหล่อนซุกซนแจ่มใส

“เอ็นจอยเซี่ยงไฮ้นะดาว”

หญิงสาวโบกมือตอบ แต่ในใจนั้นอยากจะโพล่งออกไปว่า เธอคงเอ็นจอยหรอกนะ...มาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ทันทีที่เจ้านายสาวจากไป ปลายดาวก็ออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกโรงแรม บริเวณนั้นมีสวนหย่อมเต็มไปด้วยต้นไม้มากมายพอที่จะทำให้อากาศร้อนระอุยามบ่ายค่อยบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง ทว่าไม่นานนักหญิงสาวก็นึกเบื่ออยู่ดี จึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนออกไปเดินเล่นแถวๆถนนหนานจิงลู่ แหล่งช็อปปิ้งใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ที่เธอแสนจะคุ้นเคยในที่สุด

หนานจิงลู่หรือ ถนนหนานจิง เป็นถนนคนเดินและเป็นย่านช็อปปิ้งเก่าแก่ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ที่มีชื่อเสียงติดอันดับแหล่งช็อปปิ้งสำคัญของโลก ประกอบไปด้วยหนานจิงตะวันออกและตะวันตก ว่ากันว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาเที่ยวในแต่ละค่ำคืนทำให้ถนนหนานจิงแห่งนี้กลายเป็นสุดยอดมหานครแห่งเอเชียในศตวรรษที่ 21 นั่นทีเดียว

หนานจิงลู่ ในยามนี้สวยงามและเบ่งบานไปด้วยสีชมพูของดอกกุหลาบแทบจะทุกหนแห่งที่ปลายดาวเหยียบย่างไปถึง ร้านอาหารนานาชาติรวมทั้งจำพวกฟาสท์ฟู้ดคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายที่มายืนรอเข้าคิวกันแน่นขนัดยิ่งกว่าเข้าแถวซื้อคริสปี้ครีมเสียอีก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นหญิงชายที่ควงคู่กันมาพร้อมกุหลาบช่อโตในมือ ทุกคู่ล้วนแสดงความรักต่อกันอย่างเปิดเผย...ไม่มีอีกแล้ว หญิงสาวหัวโบราณ สงบเสงี่ยมเจียมตัว และเรียบร้อยเหมือนผ้าพับในชุดผ้าถุงยาวกรอมเท้าอย่างที่เคยเห็นในหนังจีนสมัยก่อน

อาจเป็นเทศกาลอะไรสักอย่างในจีนก็ได้ ปลายดาวนึกคร้านที่จะอยากรู้ เพราะแค่เห็นช่อกุหลาบช่อโตในมือสาวชาวจีนหลายๆคนที่เดินผ่านก็ทำเอาเธออิจฉาเสียจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ผู้หญิงอย่างเธอที่จะว่าไปแล้วก็สวยไม่หยอก ยังไม่เคยได้รับกุหลาบช่อโตๆแบบนั้นมาก่อนเลย(สงสัยคนตาถึงคนนั้นคงยังไม่เกิด) แล้วจะไม่ให้เธออิจฉาสาวๆพวกนั้นยังไงไหว

ก่อนสองทุ่มเล็กน้อย ปลายดาวก็ยอมจากลาหนานจิงลู่มาอย่างอาลัยอาวรณ์ เพราะยิ่งเริ่มดึกแสงไฟจากร้านรวงต่างๆในย่านนั้นก็พร้อมใจกันเปิดพรึ่บขึ้นจนสองข้างทางเต็มไปด้วยสีสันและแสงไฟสีฉูดฉาดละลานตาจนเหมือนอยู่ในความฝัน ทำเอาเธอแทบเคลิ้มไปเหมือนกัน แต่ด้วยเกรงว่าจะกลับถึงโรงแรมค่ำเกินไป เธอก็ยอมตัดใจในที่สุด

ขณะรอสัญญาณไฟข้ามถนน เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ก็ทำให้หญิงสาวสะดุ้งจนต้องหยิบมันขึ้นมาดู...คำว่า “Private Number” ที่ปรากฏอยู่หน้าจอทำให้เธอประหลาดใจไม่ใช่น้อย ...

ไม่โชว์เบอร์เสียด้วย...คงไม่ใช่สายจากเมืองไทยแน่ๆ ปลายดาวเดาว่าคงเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ที่เธอพบปะเจอะเจอมาตลอดสามวัน เพราะมีหลายรายที่เพียรชักชวนเธอไปเยี่ยมเยียนที่ออฟฟิศบ้าง บางรายก็ชวนไปดินเนอร์มื้อค่ำด้วย แต่ว่าเธอก็ปฏิเสธมาเรื่อยเพราะเกรงใจคุณลักษณา รู้งี้เธอรับปากไปเสียแต่แรกก็ดีหรอก อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมาเหงาคนเดียวอยู่อย่างนี้

“ฮัลโหล”

“ดาว...ผมเองนะ”

“คุณเตชิต”

ปลายดาวอุทานออกมาอย่างผิดคาด ไม่น่าเชื่อว่าน้ำเสียงอบอุ่นของเขาที่เพียงแต่เรียกชื่อเธอออกมา จะทำให้เธอรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจได้ถึงเพียงนี้ เขาต้องสัมผัสได้ถึงแรงคิดถึงของเธอแน่ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงนะ ขอบอก!

“คุณอยู่ไหนน่ะ”

“ยังอยู่ที่จีนอยู่เลยค่ะ” เธอยิ้มออกมากับตัวเอง ลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงหน้าเสียหน่อย “ตอนแรกว่าจะกลับวันนี้ แต่ไม่มีไฟลท์ คุณลักษณ์ก็หนีไปหาเพื่อนที่ปักกิ่งแล้ว ตอนนี้ดาวอยู่คนเดียวแถวๆ....ถนนอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่ มาเดินเล่นค่ะ”

“แล้วเมื่อไหร่คุณจะกลับ”

“ดาวกลับพรุ่งนี้ตามแผนเดิมค่ะ คงจะถึงกรุงเทพฯค่ำๆหน่อย สามทุ่มได้มั้งคะ”

“อยากเจอคุณเร็วๆจัง ผมคิดถึงคุณนะดาว”

“ดาวก็...” หญิงสาวละไว้แค่นั้น แล้วอมยิ้ม “อยากกลับไปเร็วๆเหมือนกัน นี่ก็เดินจนเมื่อยแล้ว ไม่รู้จะไปไหนแล้วล่ะ”

“รีบกลับโรงแรมได้แล้วสาวน้อย มัวแต่กินลมชมวิวอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ฝนตกกันพอดี”

“ค่ะๆ ดาวรู้แล้ว ก็กำลังจะรีบกลับนี่ล่ะ”

ปลายดาวสนทนากับเขาต่ออีกครู่หนึ่งก็วางสายลงด้วยหัวใจเปี่ยมสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนอดถามตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไรน้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนของเขาถึงได้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเต็มตื้นขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่เดือน เขายังเป็นคู่กัดกับเธออยู่เลย

หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง ยิ้มกับบรรยากาศลมโชยกลางกรุงเซี่ยงไฮ้...ถ้าความรู้สึกอบอุ่นวาบไหวอย่างที่ว่ามันจะแสดงถึงความรู้สึกพิเศษที่เธอมีต่อเขาได้จริงๆ ปลายดาวก็คงต้องยอมรับ...ว่าถึงตอนนี้เขากลายเป็นคนพิเศษสำหรับเธอไปเสียแล้ว

ปัดความคิดถึงที่มีต่อเขาออกไปได้ หญิงสาวก็เดินลัดเลาะเรื่อยมาตามถนนที่ลาดด้วยซีเมนต์ซึ่งเชื่อมต่อจากถนนสายหลักเรื่อยไปจนถึงทางเข้าโรงแรม ถนนสายนั้นไม่กว้างนัก มีเพียงผู้คนเดินสัญจรไปมากับจักรยานคันใหญ่แบบที่เธอเคยเห็นสมัยก่อน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของกินประเภทซาลาเปา เบเกอรี่และเครื่องดื่มผลไม้ สลับกับร้านขายเฟอร์นิเจอร์พวกเก้าอี้และโต๊ะเล็กๆที่มีอยู่ประปราย

เธอเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านขายขนมพื้นเมืองแห่งหนึ่ง ลักษณะแบนๆดูเหมือนแพนเค้กแต่รสชาติน่าจะใกล้เคียงกับขนมเปี๊ยะมากกว่า เธอยืนมองดูคนขายสาธิตวิธีการทำอยู่นานจนเพลิน จึงนึกอยากจะลองซื้อมาชิมดูบ้าง หน้าร้านเขียนป้ายราคาไว้ว่าห้าหยวน ซึ่งเมื่อแอบคูณด้วยห้าตามอัตราแลกเปลี่ยนแล้วก็นับว่าไม่แพงจนเกินไปนัก ควรค่าแก่การลองไม่ใช่น้อย

“One, please”
หญิงสาวยกนิ้วโป้งขึ้นประกอบคำว่า “หนึ่ง” แทนการยกนิ้วชี้อย่างที่เคย ทว่าในชั่วไม่ถึงอึดใจเสียงใครคนหนึ่งก็แทรกขึ้น

“Two, please!”

ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามายืนเบียดเธออยู่ทางด้านหลัง น้ำเสียงเขาคุ้นหูก็จริงแต่ยังไม่สำคัญเท่ากลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูกที่ทำให้เธอดันตัวเองออกมาจากร่างใหญ่กำยำที่ยืนเบียดอยู่ด้านหลังได้สำเร็จ

ท่ามกลางสายลมโบกโบยกลางกรุงเซี่ยงไฮ้ ร่างสูงใหญ่ของคุณเตชิตยืนเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้าเหมือนภาพฝัน เส้นผมที่เริ่มยาวลงมาปรกใบหูของเขาปลิวว่อน แม้ท่าทีจะดูอิดโรยแต่ดวงตาก็สว่างไสวตัดกับแสงไฟที่ส่องประกายฉูดฉาดอยู่เบื้องหลังราวกับเป็นภาพแบ็คกราวน์แสนสวย รอยยิ้มของคุณเตชิตคลี่ออก เมื่อมองเห็นความตื่นเต้นยินดีออกมาจากแววตาของอีกฝ่าย

“คุณเต้!”

เธออุทานออกมาอย่างตกใจและแปลกใจ ก็เธอเพิ่งวางสายจากเขามาหมาดๆ ไม่เห็นบอกเลยว่าเขาจะมาเซี่ยงไฮ้ เขาต้องตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เธอแน่ๆเลย โรแมนติกกับเขาก็เป็นด้วย

“กินคนเดียว ไม่เผื่อกันเลยนะ” เขาต่อว่าเธอยิ้มๆ มือข้างหนึ่งประคองพวงแก้มเธอไว้ด้วยความคิดถึง

“เมื่อกี้คุณโทรจากที่นี่เหรอคะ มิน่า ดาวถึงว่าเบอร์แปลกๆ คุณมาที่นี่ได้ไงคะ”

“ก็แอบตามคุณมา ผมหาไฟลท์แทบตายแน่ะกว่าจะมาวันนี้ได้”

“มีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”

“เปล่า ไม่ด่วนหรอก ผมแค่อยากมาเจอดาว”

“ก็รอดาวกลับไปก่อนก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลยนี่”

“ก็ผมอยากมาวันนี้”

เขาตอบเท่านั้น แล้วกุหลาบสีชมพูช่อโตที่ถูกซ่อนไว้ด้านหลังก็ยื่นมาตรงหน้า ราวกับว่าเขารู้ว่าเมื่อไม่กี้ชั่วโมงก่อนหน้านี้เธอคิดอะไร

“อะไรคะ?”

“ข้าวต้มกุ้งมั้ง” เขากวนประสาทเธอซะงั้น

“ขอบคุณค่ะ งั้นฉันจะกินให้หมดเลย” เมื่อโดนเธอกวนประสาทกลับ เขาก็หัวเราะร่วน “ทำไมถึงรู้ว่าฉันอยากได้ นี่ฉันคิดดังขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อ...”

“ชอบหรือเปล่า”

“ชอบสิคะ ดอกไม้กับผู้หญิงสวยน่ะมันของคู่กัน ว่าแต่นี่เนื่องในโอกาสอะไรคะ”

“อ้าว! ก็วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ของจีนไง”

“ฮ้า! จริงเหรอคะ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“จริงสิ วันนี้ใครๆก็ได้ดอกกุหลาบกัน คุณไม่เห็นเหรอ”

“เห็น แต่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน นึกว่าจะมีเฉพาะสิบสี่กุมภาแค่นั้นเสียอีก”

“คนจีนเขาพิเศษ...มีวันแห่งความรักสองวัน นอกจากวันที่สิบสี่กุมภา เขาก็จะถือว่าวันที่เจ็ด เดือนเจ็ดของทุกๆปี เป็นวันแห่งความรักด้วย”

“วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด...อ๋อ...วันที่โกโบริจะไปรออังศุมาลินที่ทางช้างเผือกนั่นเอง”

“คนละเรื่องแล้ว” เขาทำคิ้วย่น หากดวงตายิ้มพราย “วันที่เจ็ด เดือนเจ็ดในที่นี้คนจีนเขาจะนับตามปฏิทินดวงจันทร์ ไม่ได้นับตามสากล”

“เหมือนสิบห้าค่ำ เดือนสิบเอ็ดของบ้านเรา อะไรแบบนี้ใช่มั้ยคะ”

“ใช่แล้ว....” เขาตอบยิ้มๆ สบตาเธออย่างมีความหมาย “ก็เป็นเหตุผล ที่ผมต้องมาวันนี้ให้ได้ไงล่ะ”

“แค่ให้ดอกไม้นี่น่ะเหรอคะ”

“ไม่ใช่แค่ดอกไม้ แต่ผม...ผมแค่อยากมีเวลาอยู่กับคุณตามลำพังบ้าง เรายังไม่เคยออกเดทกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ”

“แต่ฉันมาทำงานนะ”

“ก็คุณเสร็จงานแล้วนี่”

เขาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ แล้วฉวยข้อมือเธอออกมาจากที่ตรงนั้นก่อนที่สายฝนจะโปรยปรายลงมา อุ้งมืออบอุ่นกุมมือเธอไว้แน่น ซ้ำยังไม่มีทีว่าจะปล่อย จนกระทั่งเมื่อมาถึงโรงแรมในท้ายที่สุดเขาจึงได้คลายมือออกอย่างอาลัยอาวรณ์ ปลายดาวยืนหันหลังให้ประตูประจันหน้ากับเขาในรัศมีที่ห่างกันเพียงแค่ลมหายใจกั้น เขาทำให้หัวใจเธอเต้นตุบตับอีกแล้วสิ

“หนาวจัง...ขอกอดคุณหน่อยได้มั้ย”

เขาทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ แถมสุ้มเสียงก็ยังดูกรุ้มกริ่มร้ายกาจ ปลายดาวอมยิ้ม...แต่ในใจนั้นอยากตอบเขาไปว่า ของพรรค์นี้ใครเขาขอกันตาบ้า!

“คุณเต้คะ ฉัน...ไม่รู้จะพูดยังไง ฉันรู้สึกดีนะ แล้วก็ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง แต่ฉันอยากให้มันค่อยๆพัฒนาไปได้มั้ยคะ ฉันไม่ได้จะว่าคุณฉวยโอกาส แต่คุณชอบ...ชอบใช้หลักสูตรเร่งรัดกับฉันตลอดเลย”

เขาเลิกคิ้ว แต่แววตาคู่นั้นบอกว่าเขายังไม่เข้าใจดีนัก

“คุณไม่เชื่อใจผมหรือ”

“มันคนละเรื่องกันค่ะ...ฉันหมายถึงว่าเรายังรู้จักกันไม่นาน ฉันยัง...”

“ผมจะเข้าใจ ก็เอาเถอะ...ถ้าคุณต้องการเวลา ผมก็จะให้” แม้เขาจะมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตาม แต่ก็ถือโอกาสจุ๊บแก้มเธอไปหนึ่งทีอีกจนได้ “งั้นคุณก็เข้านอนซะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกัน”

แล้วเขาก็ค่อยๆเปิดประตูห้อง แล้วดันเธอเข้าประตูไปอย่างอ้อยสร้อย...แม้ประตูจะถูกปิดลงในอีกไม่กี่นาทีถัดมา แต่แววตาอ่อนเชื่อมชวนฝันคู่นั้น ก็ยังตามไปหลอกหลอนปลายดาวตลอดทั้งคืน...

วันรุ่งขึ้นคุณเตชิตมายืนรอเธออยู่ที่หน้าประตูห้องแต่เช้าตามสัญญา เสื้อโปโลสีขาวสะอาดกับกางเกงยีนส์สีเข้มชุดนั้นทำให้เขาดูเท่ห์สะอาดสะอ้านและอ่อนวัยกว่าชุดทำงานสีเข้มทึมทึบอย่างที่ปลายดาวเคยเห็นมาจนชินตา กลิ่นกายของเขายังคงหอมกรุ่น จนปลายดาวยังต้องแอบเชยชมอยู่ในใจเงียบๆ เช่นเดียวกันกับชุดกระโปรงแส็กสั้นเหนือเข่าสีเหลืองคาดเทาแขนกุดส่งผลให้ผิวของเธอดูงามผ่องมากขึ้น ใบหน้าที่แต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆยิ่งทำให้เธอดูเปล่งปลั่งมีเลือดฝาดสดใส จนทุกความเคลื่อนไหวของเธอตกอยู่ในสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว

“คุณอยากไปเที่ยวไหน”

เขาถามยิ้มๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปมันมีสีอ่อนๆ จนหญิงสาวนึกกระดาก

“ถ้าคุณไม่ติดธุระอะไรที่ไหน เราไปไท่คังลู่กันดีมั้ยคะ”

เขาทำท่านึกตาม แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยในที่สุด

“ได้สิ...แต่ก่อนไป ขอผมแวะซื้อของ...แป๊บนึงนะ แล้วเราค่อยไปไท่คังลู่กัน”

ไท่คังลู่ หรือถนนไท่คังที่ปลายดาวหมายถึง เป็นถนนศิลปะที่ทางการจีนเพิ่งเปิดได้ไม่นานเพื่อหวังเรียกเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ความจริงแล้วมันแทบไม่ต่างอะไรกับตึกแถวเก่าๆหรือตรอกข้าวสารในกรุงเทพฯ จะแตกต่างกันก็ตรงที่ทุกบ้านพร้อมใจกันเปิดร้านขายของจนดูคึกคักมีชีวิตชีวา ซึ่งมีตั้งแต่ของราคาถูกประเภทตุ๊กตาตัวเล็กๆราคาไม่กี่หยวนที่แทรกอยู่ตามทุกมุมตึกไปจนถึงร้านอาหารหรูหราราคาแพง ทว่าทุกอย่างก็อยู่รวมกันได้ภายใต้ห้องแถวที่วางเรียงกันเป็นล็อคๆอย่างไร้ซึ่งระเบียบได้อย่างน่าอัศจรรย์

แน่นอนล่ะ...ว่ามันเป็นเพียงถนนสายเล็กๆที่อาจไม่มีข้าวของราคาแพงลิบที่เหมาะสมจะเป็นของฝากสำหรับคนสำคัญ จึงไม่แปลกที่เขาจะเลือกกลับไปยังหนานจิงลู่อีกครั้งเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้น อย่างยอมรับ...แววตาและท่าทีกระตือรือร้นของเขามันทำให้ปลายดาวรู้สึกตะขิดตะขวงปนน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก...
เขาอยู่กับเธอแท้ๆ แต่ก็ยังมีแก่ใจนึกหาของขวัญของฝากให้คนอื่น และอาจเป็นคนสำคัญชนิดที่ว่าเขาจะต้องลงทุนลงแรงจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง...นี่เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่านะ

เมื่อกลับมายังหนานจิงลู่อีกครั้ง เขาก็พาเธอเดินชมนั่นชมนี่ด้วยความคล่องแคล่วราวกับคุ้นเคยกับถนนสายนี้ไม่ต่างจากสุขุมวิท เข้าร้านนั้นออกร้านนี้อยู่ครู่ใหญ่ๆ จนสุดท้ายเขาก็พาเธอมาหยุดที่ร้านแบรนด์เนมชื่อดังร้านหนึ่ง ภายในร้านแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่างพากันเลือกซื้อสินค้าอยู่อย่างสนอกสนใจ ทุกชิ้นล้วนราคาแพงจนเธอดูไม่ออกว่าสินค้าจำพวกแว่นตา นาฬิกา และปากกายี่ห้อดังเหล่านี้ สำคัญกับชีวิตขนาดไหนกันเชียว

น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เธอก็เคยเออออห่อหมก สมัยก่อนที่พ่อเคยใช้ปากกด้ามละหลายๆหมื่น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ใช้เซ็นชื่อได้ไม่ต่างอะไรกับปากกาด้ามละห้าบาท

“ร้านนี้ของแท้น่ะ ไม่ต้องห่วง”

เขาหัวเราะเมื่ออ่านรหัสในนัยน์ตาเธอออก ก่อนจะเดินปะปนหายไปกับผู้คนเหล่านั้นทิ้งปลายดาวให้เดินวนเวียนอยู่รอบๆ เคาน์เตอร์ปากกายี่ห้อดังอยู่คนเดียว จนเวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ๆ เขาก็เดินกลับออกมาพร้อมถุงหิ้วใบเล็กแต่ดูออกว่ามีของมีค่าอยู่ข้างใน ใบหน้าเขาดูแย้มยิ้มอารมณ์ดีก่อนที่เขาจะหยิบกล่องแว่นกันแดดจากถุงนั้นส่งให้เธอช่วยดูอันหนึ่ง

“คุณว่าอันนี้สวยมั้ย”

“สวยค่ะ ดูดีมากทีเดียว ผู้หญิงคนไหนได้รับก็คงถูกใจ”

คิ้วหนาเข้มของเขากระตุกเข้าหากัน แต่เพียงครู่เดียวมันก็คลายจากกันอย่างรวดเร็ว

“ทำไมคุณรู้ล่ะ ว่าผมจะซื้อให้ผู้หญิง”

“ฉันมีเซนส์ไง”

เธอตอบสั้นๆ พยายามเก็บซ่อนความน้อยใจเอาไว้อย่างมิดชิด ชายหนุ่มยักไหล่ แต่ดูออกว่าไม่ได้อินังขังขอบกับคำตอบของเธอมากนัก...ที่เขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงเซี่ยงไฮ้ ก็เพราะอยากมาซื้อของให้ผู้หญิงคนอื่นเองหรอกเหรอเนี่ย...ก็อุตส่าห์ดีใจ รู้อย่างนี้เธอไม่ยิ้มให้เมื่อยขากรรไกรแต่แรกหรอก!

ไม่มีทางอื่น...ปลายดาวจึงตัดความว้าวุ่นกังวลใจออกไปได้ เรื่องของเขากับคุณฝนมันผูกพันลึกซึ้งมานาน ชนิดที่ว่าเธอเองก็คงไม่มีทางแทรกแซงได้จนแล้วจนรอด ดังนั้นอิจฉาไปก็เสียพลังงานเปล่า เปลืองน้ำย่อยในตับไตไส้พุงเธออีกต่างหาก...เลิกคิดดีกว่า

แท็กซี่จอดลงที่ตรงหัวถนนไท่คังซึ่งเกือบจะแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวเป็นส่วนมาก ปลายดาวซึ่งตัดขาดจากความว้าวุ่นใจเมื่อสักครู่นี้ได้แล้วก็เพลิดเพลินไปกับการช็อปปิ้งสินค้าจำพวกตุ๊กตาพื้นเมือง และผ้าพันคอทอมือ รวมถึงเทียนหอมหน้าตาแปลกๆไว้มากมายหลายถุงจนเกือบถือไม่หมด โชคดีจริงๆที่งานนี้มีคนมาช่วย ฮิฮิ

ช็อปปิ้งกันพอหอมปากหอมคอพอเหมาะพอควรกับเงินในกระเป๋า คุณเตชิตก็พาปลายดาวมาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เขาเลือกห้องวีไอพีซึ่งอยู่บนชั้นสองและมีผนังเป็นไม้ไผ่แฝกกั้นเป็นสัดเป็นส่วนไม่ปะปนกับแขกคนอื่น ภายในห้องตกแต่งด้วยของใช้แบบญี่ปุ่นสมัยโบราณ ดูเข้ากันดิบดีกับโต๊ะอาหารที่เป็นไม้เก่าคร่ำคร่า และเบาะนั่งที่เป็นแบบเจาะลงไปใต้พื้นให้ห้อยขาไปได้โดยสะดวก

คุณเตชิตหยิบถุงของขวัญจากหนานจิงลู่ขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเขาก็หยิบแว่นตาอันเดิมออกมาอีกราวกับต้องการจะกระตุกต่อมน้อยใจเธอกระนั้น

“คุณว่าคนได้เขาจะชอบจริงๆเหรอ”

“จริงสิ...ฉันยังชอบเลย”

เธอตอบแบบขอไปที แล้วหยิบเมนูมาพลิกไปทีละหน้าอย่างกะจะให้ผ่านสายตาไปเฉยๆ

“จริงนะ...ผมเลือกตั้งนานแน่ะ หวังว่าคงจะถูกใจพี่เดือน พี่สาวคุณนะ ผมฝากคุณไปได้มั้ย”

“อ้าว! ซื้อให้พี่เดือนหรอกเหรอ” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างคาดไม่ถึง “ซื้อให้ทำไม ไม่ได้สนิทกันซะหน่อย คุณไม่เห็นต้องลำบากเลย”

“อ้าว! ก็เค้าเป็นพี่สาวคุณ ผมก็อยากซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปฝากบ้าง ทำไมทำหน้ายังงั้นล่ะ นี่คุณน้อยใจที่ผมไม่ซื้อให้คุณหรือเปล่า”

ปลายดาวถอนหายใจเมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้...

คนบ้า! เรื่องแบบนี้จะให้ตอบตรงๆได้ไง...ช่างไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลยหมอนี่!

“เปล่าค่ะ ฉันจะน้อยใจทำไมล่ะ”

“ผมก็คิดว่ายังงั้น...คุณจะน้อยใจทำไม ในเมื่อคุณไม่ได้อยากได้แว่นตาสักหน่อย คุณอยากได้เวลาต่างหาก”

คำพูดของเขาทำให้เธอต้องกระตุกคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก จนกระทั่งเขาวางกล่องนาฬิกาแบรนด์เนมสุดหรูลงตรงหน้าอย่างต้องการจะเซอร์ไพรส์ แต่แทนที่เธอจะตื่นเต้นดีใจ มันกลับทำให้เธอหน้าเสียกว่าเดิม

“นาฬิกา...เอามาให้ฉันทำไมคะ”

"ก็คุณชอบพูดว่าขอเวลาๆ จนผมเบื่อที่จะฟัง นี่ไงล่ะ...ผมก็เลยซื้อนาฬิกาให้คุณซะเลย”

“แต่มันไม่เหมือนกันนะคะ”

“ผมรู้...ผมล้อเล่นน่ะ ผมก็แค่เห็นว่ามันสวยดี ก็เลยอยากซื้อให้คุณ ทุกเวลาของคุณจะได้มีผมอยู่ด้วยไง”

คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกดีก็จริง แต่เหตุผลลึกๆจากความเชื่อส่วนตัวก็ทำให้เธอยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูกอยู่ดี

“ฉันขอบคุณค่ะ...แต่ว่า...”

“ทำไมล่ะ คุณไม่ชอบเหรอ”

“ชอบค่ะ แต่ว่า...”

“มีอะไรหรือเปล่า...หรือคุณกลัวความเชื่อที่ว่าเราจะต้องเลิกกันเพราะว่าผมซื้อนาฬิกาให้คุณงั้นเหรอ คุณเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ผมไม่ยักรู้”

“เชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย...”

“ถ้าคุณห่วงเรื่องนั้น ยิ่งไม่มีปัญหาเข้าไปใหญ่ ผมจัดการได้”

เขาหัวเราะ เมื่อเธอยื่นฝ่ามืออรหันต์ข้ามฝั่งมาจนได้

“บ้า! ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นซะหน่อย คุณนี่!”

“ผมล้อเล่นน่ะดาว...คุณนี่ซีเรียสจัง”

“ก็ฉันซีเรียสกับเรื่องนี้นี่”

“เอาล่ะ ซีเรียสก็ซีเรียส งั้นผมจะบอกว่าไม่มีทางที่ผมจะไปจากคุณได้หรอก นอกจากว่าคุณจะไม่ได้รักผม นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่าแต่คุณรักผมหรือเปล่าล่ะ”

ปลายดาวมีให้เขาเพียงความเงียบ...เธอไม่แปลกใจในคำถาม แต่กลับกลัวคำตอบขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ผมจะรอคำนั้นจากคุณนะ จำได้มั้ย...ผมเคยบอกคุณว่าถ้าผมรอได้ ก็ไม่มีทางที่ผมจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นคุณไม่ต้องรีบเพราะยังไงผมก็รอได้อยู่แล้ว...แล้วตกลงว่าคุณจะเอามั้ยนาฬิกาเนี่ย”

“แหม...” เธอลากเสียงยาวยิ้มกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องนาฬิการาวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ “ก็ฉันเกรงใจ มันราคาตั้งแพง แต่ก็เอาเถอะคุณอุตส่าห์ซื้อให้ทั้งที ฉันคงต้องรับไว้ เดี๋ยวคุณเอาไปให้คนอื่นก็เสียดายแย่”

“ผมตั้งใจซื้อให้คุณ ไม่ได้จะให้คนอื่น ผมพูดจริงๆนะดาว ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน ไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครมาก่อน คุณเป็นคนแรก...”

“แต่ฉันเกรงใจ ขอฉันเป็นคนสุดท้ายแทนเถอะนะ” เธอต่อรองอย่างติดตลก

“คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้” เขาดันรับมุกเธอเสียด้วย “ไม่ว่าจะเป็นคนแรกหรือคนสุดท้าย...แต่คำตอบของผมก็อยู่ที่ปลายดาวนี่แหละ คุณจะเชื่อใจผมได้หรือยัง

คราวนี้ปลายดาวยิ้มกว้าง...
มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมาถามอะไรกันอีกเล่าพ่อคู้น....



สิริเสาวภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2554, 21:31:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ต.ค. 2554, 21:31:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1966





<< ตอนที่ 11 << การมาของ "ก้าง" ชิ้นใหญ่ >>   ตอนที่ 13 << พรีฮันนีมูน หรือจุดเริ่มต้นของรอยร้าว??? >> >>
violette 18 ต.ค. 2554, 22:08:02 น.
แอบมาหวานกันซะไกลนายหนอนเลยนะคะเนี่ย อิอิ


wane 18 ต.ค. 2554, 22:37:27 น.
แหม แหม นายเต้ หวานเจงๆ


pseudolife 18 ต.ค. 2554, 23:43:08 น.
^______^


กานต์นวีร์ 19 ต.ค. 2554, 01:33:45 น.
ก็คุณเต้เขาโรแมนติคซ้าาขนาดนี้ นายหนอนเอ้ย เทียบไม่ติด


anOO 19 ต.ค. 2554, 12:02:37 น.
นายหนอนแห้วถาวรแน่ ยังไงดาวก็ยกใจให้คุณเต้อยู่แล้วล่ะ
อะไรก็ห้ามไม่อยู่แล้ว หวานซะขนาดนี้


Canopus 19 ต.ค. 2554, 19:51:11 น.
หวานกันขนาดนี้ หนอนช้ำในแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account