เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย
แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย
ตอน: ตอนที่ 9
ผู้ชนะตำแหน่งเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนผ้าฝ้ายสีฟ้า เสื้อและกางเกงพิมพ์ลายตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลกอดหัวใจสีแดง หญิงสาวต้องรีบนอนพักผ่อนเตรียมพร้อมกับการฝึกซ้อมการแสดงในวันรุ่งขึ้น เธอมองไปรอบห้องซึ่งเต็มไปด้วยรูป
รูปถ่ายโปสเตอร์ของกีรดิตที่ติดอยู่ทุกด้านของผนังดูสมจริงราวกับมีชีวิตเมื่อบัดนี้เธอมีภาพจำเกี่ยวกับตัวเขานอกไปจากที่เคยได้พบเห็น เธอนึกถึงเสียงพูด ดวงตาดุคม การแสดงออกที่บางครั้งก็ดูเหมือนจะอ่อนโยนห่วงใย แต่บางครั้งแฝงไปด้วยอารมณ์ดุดันบ้าง ความเคลือบแคลงสงสัยบ้าง
เขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ
หญิงสาวคิดขณะที่เอื้อมมือไปปิดสวิตซ์โคมไฟหัวเตียง ภาพที่ติดอยู่รอบห้องเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ในความคิดเนิ่นนานกว่าเธอจะเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ได้
มนัญชยาตื่นนอนแต่เช้า หากยังคงไม่เช้าเท่า ‘พ่อเพื่อน’ หญิงสาวเพิ่งทราบเมื่อยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วว่าเขาส่งข้อความมาแต่เช้าตรู่
‘อยากมีเพื่อนกินอาหารมื้อเช้า ถ้าเป็นไปได้อย่าเพิ่งกินอะไรก่อนออกจากบ้านนะ’
แล้วจะให้บอกพ่อกับลุงยังไงล่ะ
เธอไม่ต้องคิดค้นหาคำตอบนานนักเพราะเสียงเตือนข้อความสั้น ๆ ของอุปกรณ์สื่อสารในมือดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอที่สว่างเรืองแสดงให้รู้ว่ามีข้อความใหม่เข้ามา
‘รอเวลาสักหน่อยค่อยรีบออกมาเหมือนกลัวไม่ทันเวลา คงไม่มีใครท้วงไว้ ผมรออยู่ที่เดิม’
จากคำแนะนำนั้น หญิงสาวต้องนั่งแกร่วอยู่ในห้องอีกราวยี่สิบนาทีก่อนจะเปิดประตูทำท่ารีบร้อนวิ่งลงบันไดไป พ่อกับลุงไม่ทันเอ่ยถามอะไรเธอก็รีบบอก
“วันนี้เกี๊ยวสายแล้ว ไม่กินข้าวนะจ๊ะ”
มนัญชยารีบเอ่ยแล้วยกมือกระพุ่มไหว้พ่อและลุง วิ่งอ้าวออกจากบริเวณหน้าค่ายมวยได้ก็มองหารถยนต์ของกีรดิต เดินตรงไปเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งทันที
“ถ้าจะแวะทานอะไรขอเป็นของง่าย ๆ นะคะ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”
หญิงสาวเอ่ยจบก็เพิ่งตระหนักถึงสัมผัสทางกลิ่นที่แตะปลายจมูกอยู่และที่มาของมันก็อยู่ที่เบาะหลัง ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปที่เบาะหลังหยิบถุงจากร้านสะดวกซื้อยื่นให้หญิงสาว
“คุณเลือกไปก่อนนะ เดี๋ยวคงต้องขับรถไปหาที่ที่ไม่พลุกพล่าน นั่งกินกันในรถที่แหละ”
มือเรียวยาวล้วงเข้าไปในถุงพลาสติกใบใหญ่ ซึ่งมีอาหารกล่องแบบแช่แข็งที่อุ่นไว้แล้วสองกล่อง ขนมปังแซนด์วิชอบร้อน ขนมปังตัดขอบ แยมส้ม แยมสตรอเบอร์รี่ แซนด์วิชสเปรด นมยู.เอช.ทีสารพัดรสชาติ และยังไม่หมดเพียงเท่านี้
“คุณเกม เหมามาหมดร้านเลยรึเปล่าคะ”
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะนำรถออกสู่ท้องถนนหัวเราะเบา ๆ
“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบกินอะไร ก็เลยให้แม่บ้านเขาซื้อมาให้หลาย ๆ อย่าง”
“แล้วทำไมเราไม่แวะ...” หญิงสาวเอ่ยแล้วนึกอะไรขึ้นได้ กีรดิตไม่อยู่ในฐานะที่จะพาเธอแวะรับประทานอาหารเช้าที่ไหนได้ ลำพังแค่ตัวเขาเองก็แทบจะไม่เคยมีใครจับภาพเขาออกมารับประทานอาหารในที่สาธารณะเลยสักครั้ง...ถ้าอย่างนั้นครั้งก่อนที่ชวนเธอไปรับประทานอาหารเย็น มันจะเป็นแบบไหนกันนะ หาที่เงียบ ๆ สั่งส้มตำดิลิเวอรี่มาจกกันสองคนหรืออย่างไร “เราจะไปจัดการกับของพวกนี้กันที่ไหนดีคะ”
“คุณเลือกว่าจะกินอะไรเถอะ เรื่องสถานที่ผมเลือกให้เอง” เขาเอ่ยตอบแล้วนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น “จริงสิ แล้วพ่อของคุณสบายดีแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ” มนัญชยารับคำขณะที่มือก็หยิบของในถุงขึ้นพิจารณา “โชคดีนะคะ ที่คุณกิ่งกับคุณเจตอยู่ด้วยแล้วก็อาสาพาพ่อส่งโรงพยาบาลให้ เกี๊ยวกลัวว่าจะเป็นอาการของโรคหัวใจน่ะค่ะ พ่อเคยเข้าโรงพยาบาลเพราะเครียดจนหัวใจทำงานหนักมาครั้งนึง”
คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเงียบไปไม่ตอบคำ คนที่ตรวจสอบของในถุงจนหมดแล้วจึงเอ่ยถามต่อ
“คุณเกมจะกินอะไรดีคะ ของเยอะแยะขนาดนี้กินทุกอย่างคงไม่ไหวแน่”
แม้ครั้งนี้หญิงสาวเอ่ยประโยคคำถามกับเขาโดยตรง กีรดิตก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นหันไปมองทางชายหนุ่ม ดวงตาดุดันของชายหนุ่มมีแววกร้าวจนทำให้เธอหวั่นใจ
จริงสิ...หรือเขาจะไม่พอใจที่น้องสาวเขามาที่ค่ายมวย
“คุณเกมคะ”
เธอเอ่ยเรียกเขาครั้งหนึ่งแต่เขายังคงนิ่ง และเมื่อเอ่ยเรียกซ้ำ เขาก็หันมามองจ้องด้วยสายตาที่ยังไม่คลายแววของความขุ่นเคือง
“มีอะไรเหรอหมี่เกี๊ยว”
“คุณเกม...” มนัญชยากลืนน้ำลายลงคอ “ไม่พอใจเรื่องที่คุณกิ่งมาหาพี่แหนมทอดที่ค่ายมวยรึเปล่าคะ...เรื่องนี้มันไม่มีอะไรนะคะ คุณกิ่งแค่อยากจะขอโทษเรื่องที่คุณเจต...”
“พอเถอะ ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไรคุณหรือเรื่องที่กิ่งเขาไปที่ค่ายมวยหรอก”
เขาพูดเพียงเท่านั้น หากไม่ขยายความต่อว่าเขาไม่พอใจอยู่หรือไม่และเป็นเรื่องอะไรกันแน่ และคงไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องสืบสาวให้รู้ความ คนที่โดยสารรถยนต์ไปด้วยจึงเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรต่อ
มนัญชยาเตรียมหยิบกระเป๋าลงจากรถเมื่อกีรดิตหยุดรถเทียบทางเท้าในจุดที่มาส่งเธอเป็นประจำหลังจากที่ทั้งคู่รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ที่จะดำเนินต่อไปดังเช่นทุกวันที่ผ่านมาก็คือหญิงสาวจะต้องเดินออกจากซอยเล็ก ๆ ใกล้อาคารทีโอพี ขณะที่ชายหนุ่มก็ต้องกลับรถออกไปสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง เว้นแต่ในบางวันที่มีคิวซ้อมในช่วงบ่ายยศวันต์จะเป็นผู้มาส่งหญิงสาว
อาหารในถุงจากร้านสะดวกซื้อยังเหลืออยู่อีกหลายอย่าง หญิงสาวเสนอให้กีรดิตรับประทานอาหารแช่แข็งซึ่งอุ่นเรียบร้อยแล้ว กับแซนด์วิชอบร้อน
‘อย่างอื่นเอาไว้กินวันหลังได้นะคะ มันยังไม่หมดอายุ’
‘แล้วคุณจะช่วยผมกินด้วยไหม’
เธอชะงักกับคำถามของเขา รู้สึกร้อนผ่าวที่พวงแก้มเมื่อเห็นแววละมุนที่ฉายขึ้นในดวงตาคมดุคู่นั้น
‘ถ้าคุณเกมกินคนเดียว อาจจะไม่ทันวันหมดอายุนะคะ อย่างขนมปังนี่อยู่ได้อีกสองวันเอง’
‘เป็นอันว่าคุณจะช่วยผมกิน’
แป๊น ๆ
เสียงแตรรถดังขึ้นจากทางเบื้องหลังขณะที่มนัญชยาเพิ่งจะเดินเลี้ยวออกจากซอยเล็ก ๆ และเดินมุ่งไปสู่อาคารทีโอพีได้เพียงไม่นาน ภาพเหตุการณ์หลังจากเธอรับประทานอาหารเช้าร่วมกับกีรดิตเลือนหายไปจากห้วงความคิด ทดแทนด้วยภาพที่เห็นผ่านโสตประสาทในปัจจุบัน รถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นกลางสีดำสนิทแล่นเข้ามาหยุดเทียบทางเท้าก่อนที่กระจกด้านที่นั่งข้างคนขับจะค่อย ๆ ลดลง
หญิงสาวลูกครึ่งวัยสามสิบกว่าชะโงกตัวมาผลักเปิดประตูพลางเอ่ย
“ขึ้นมาสิ ฉันกำลังจะไปทีโอพีเหมือนกัน”
“ฉัน...”
“ขึ้นมาเร็ว ๆ เข้าเถอะ ก่อนที่รถคันข้างหลังจะบีบแตรไล่ฉัน”
มนัญชยารับคำก่อนรีบก้าวขึ้นรถของสิรามล ชะงักมือที่เอื้อมไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยเมื่อผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ย
“ไปแค่นี้ไม่ต้องคาดก็คงไม่มีปัญหาหรอก”
“ฉันติดคาดเข็มขัดค่ะ ไม่ได้อึดอัดอะไร”
“ก็ตามใจ” น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนจะมีแววหงุดหงิดเจืออยู่ นานพักหนึ่งก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากขึ้น “เก่งเหมือนกัน ทั้งที่คะแนนโหวตก็ขึ้น ๆ ลง ๆ มาตลอด แต่คะแนนจากกรรมการก็ช่วยเอาไว้ได้หลายอาทิตย์เลยนิ...ใช่ไหม”
“ค่ะ...คุณซินดี้ติดตามรายการด้วยเหรอคะ”
“โอ๊ย! ฉันไม่ว่างขนาดนั้นหรอกนะ เพิ่งจะมาดูเอาตอนประกาศผลเพราะพอมีเวลาเท่านั้นแหละ แต่ถามพวกทีมงานเขาว่าคนชนะน่ะเป็นยังไงบ้าง”
คนได้ฟังนิ่งงันไปเพราะทั้งคำพูดและน้ำเสียงของอีกฝ่ายแสดงให้รู้ว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรเธอนัก...คนในวงการบันเทิงนี่มันเป็นยังไงกันนะ เข้าใจยากจริง ๆ ถ้าไม่สนใจเรื่องของเราสักนิด แล้วจะมาทำแสดงน้ำใจรับเราขึ้นรถทำไมกัน
“ว่าแต่เธอเถอะ ทำงานกับเกมเป็นยังไงบ้างล่ะ”
หญิงสาวหยุดคิดกับคำถามของสิรามล ไม่รู้ว่าคู่สนทนามีวัตถุประสงค์ใดในการตั้งคำถามและเมื่อมองไปเห็นอาคารทีโอพีตั้งตะหง่านอยู่ทางด้านซ้ายมือ มนัญชยาก็เลือกที่จะเลี่ยงตอบ
“ถึงตรงนี้ไม่ไกลแล้ว...ฉันเดินไปได้นะคะ ถ้าคุณซินดี้จะกรุณา หยุดรถส่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
“อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงแล้ว เธอไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้มั้ง ฉันก็แค่ถามว่าการร่วมงานกับเกมเป็นยังไงบ้าง มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะตอบสักนิด”
มนัญชยาต้องข่มอารมณ์อย่างมากก่อนจะตอบสิรามลด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติได้
“ฉันก็คิดว่าการร่วมงานกับคุณเกมไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกันค่ะ เคยไม่มีอะไรที่จะมาเล่าให้คุณซินดี้ฟังได้ ก็คงเหมือนกับเวลาคุณซินดี้ทำงานมั้งคะ ฉันเพิ่งมีประสบการณ์ในวงการคงจะรู้อะไรได้ไม่มากเท่า”
“เพิ่งเข้าวงการ แต่ก็ยอกย้อนได้ไม่เลวนี่”
“ฉันไม่ได้ยอกย้อนนะคะ แค่ตอบตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่คิดว่าเรื่องการร่วมงานกับคุณเกมจะมีปัญหาอะไร เว้นแต่ว่าคุณซินดี้จะคิดว่ามี”
“ปัญหาน่ะมีแน่” สิรามลใช้น้ำเสียงที่แสดงออกถึงการดูถูกชัดเจน “ยิ่งกับเด็กหน้าใหม่ในวงการที่ได้ร่วมงานกับเกมอย่างเธอ”
หากไม่เพราะความอยากรู้ เธอคงจะโต้ตอบอะไรออกไปไม่รอฟังคำของนักแสดงสาวรุ่นพี่
“เกมเขาคงดีกับเธอ เอาอกเอาใจเธอสารพัดล่ะสินะ”
“คุณซินดี้...”
“ถ้าเธอติดตามข่าวในวงการมาบ้าง คงไม่จำเป็นต้องถามหรอกมั้งว่าทำไมฉันถึงได้รู้ เกมเขาก็เคยดีกับฉันมากเหมือนกันตอนที่ฉันเข้าวงการใหม่ ๆ ไม่ใช่สิ...จะว่าไปตอนนี้เราก็ยังดีกันอยู่”
น้ำเสียงขณะพูดคำว่า ‘ดี’ ของสิรามลนั้นแฝงนัยที่ไม่อาจคาดเดาเป็นอื่นได้ นอกจากสัมพันธ์ฉันชู้สาว
“ระวังจะพลาดท่าเข้าก็แล้วกันนะ เกมเขาอาจจะเห็นเธอเป็นหน้าใหม่ถึงได้เข้าไปตีสนิทอย่างที่เคยทำ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนหรอกนะที่เขาจะคิดจริงจัง จนมีข่าวคราวหลุดลอดออกมา”
“คุณเกมก็มีข่าวกับดาราหญิงคนอื่นนอกจากคุณเหมือนกันนี่คะ”
มนัญชยาโต้เสียงอ่อน ไม่รู้ตัวว่าทำไมจึงหวังว่าสิ่งที่กีรดิตปฏิบัติต่อเธอจะพิเศษกว่าที่เขาทำกับคนอื่น ทำไมเธอจึงอยากให้สิ่งที่สิรามลเอ่ยนั้นไม่ใช่ความจริง
“พวกพยายามจะสร้างกระแสน่ะสิ คนที่จะเข้าถึงเกมได้จริง ๆ น่ะ ไม่ใช่ง่ายหรอกนะ” สิรามลเยาะ “แล้วถ้าถึงขั้นจะมีข่าวดีกันเร็ว ๆ นี้ด้วยล่ะก็ รับรองได้ว่าเกมเขาจริงจังแน่”
“ข่าวดี”
“ใช่...เธอควรจะยินดีกับฉันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะหมี่เกี๊ยว ฉันกับเกมอาจจะประกาศข่าวดีร่วมกันในเร็ววันนี้แหละ ก่อนที่มันจะไม่ทันการณ์”
หญิงสาวก้าวลงจากรถอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดถึงคำพูดของสิรามล ไม่นานก่อนที่สติจะช่วยปัดสิ่งรบกวนจิตใจได้...แค่คำพูดเท่านี้เอง เชื่ออะไรเป็นตุเป็นตะไปได้
มนัญชยาบอกกับตัวเองเช่นที่คิดไม่ได้เลยเมื่อได้เวลาซ้อมบทละคร ซึ่งในวันนี้ถึงฉากที่เธอจะต้องต่อบทซาบซึ้งระหว่างพระนาง พิธานให้เธอและกีรดิตมองสบตากันระหว่างที่อ่านบทและดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันแรกที่สมาธิของหญิงสาวกระเจิดกระเจิง ต่อบทผิด ๆ ถูก ๆ
“หมี่เกี๊ยว...วันนี้คุณเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมถึงต่อบทไม่ถูกเลย ตาลายรึเปล่า พระเอกถามอย่างทำไมถึงไปตอบอีกอย่างได้ล่ะ ตั้งสติหน่อยนะ วันนี้มีเวลาซ้อมน้อยเพราะช่วงบ่ายผมกับคุณเกมต้องให้คิวสัมภาษณ์รายการโทรทัศน์”
จะให้มีสมาธิได้ยังไงกัน ก็ได้จ้องตาพี่เกมแล้วพูดบทจั๊กจี้ ๆ แบบนี้ โอ๊ย...จะบ้าตาย
“ขอโทษค่ะ สงสัยวันนี้เกี๊ยวจะตาลายจริง ๆ เกี๊ยวจะพยายามให้มากขึ้นค่ะ”
“ใจเย็น ๆ นะหมี่เกี๊ยว เดี๋ยวก็ทำได้เอง”
“ค่ะ”
จะทำไม่ได้ก็เพราะพี่เกม มาทำท่าทางแบบนี้ด้วยนี่แหละ...แล้วทำไมนะ คำพูดของยัยคุณซินดี้นั่นก็...ไม่ได้น่าเชื่อสักหน่อย ทำไมต้องเก็บเอามาคิดด้วย ตั้งสติหน่อยยัยหมี่เกี๊ยว
เธอคงทำได้ตามที่หวังถ้าไม่เพราะจู่ ๆ สิรามลเปิดห้องซ้อมเข้ามา เดินเข้าไปหาพิธานแล้วกระซิบถามอะไรบางอย่าง กีรดิตซึ่งมองเธอด้วยสายตาอ่อนละมุนนั้นดูเปลี่ยนไปแทบจะทันที เขาหันขวับไปมองทางดาราสาวลูกครึ่ง ดวงตาดุนั่นสื่อถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่างออกมา
“เดี๋ยวผมขอพักสักสิบนาทีนะ ขอคุยธุระกับคุณซินดี้หน่อย”
พิธานกล่าวแล้วผละออกจากห้องไปพร้อมกับสิรามล กีรดิตดูจะยังไม่คลายจากอารมณ์ขุ่นมัว เขาขอทีมงานออกไปทำธุระส่วนตัวเช่นกัน มนัญชยาอดไม่ได้ที่จะสงสัยในพฤติกรรมของเขา
จู่ ๆ พอคุณซินดี้เข้ามาขอคุยกับคุณพิธาน พี่เกมก็เปลี่ยนไปเลย สองคนนั้นเขามีเรื่องอะไรกันนะ
บ่ายวันนั้นกีรดิตมีคิวให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกในรอบหลายปี และพิธานก็จะไปแนะนำเนื้อหาของละครเวทีเรื่องยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะเปิดแสดงในอีกราวหกเดือนข้างหน้า มนัญชยาจึงต้องเดินทางกลับบ้านเอง เมื่อเข้าไปถึงค่ายมวยเสียงแรกจากผู้มาเยือนก็ดังขึ้นทันที
“พี่หมี่เกี๊ยว”
กฤตินียืนยิ้มให้กับมนัญชาอยู่ที่มุมหนึ่ง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวคือยศวันต์ที่กำลังพันผ้ารอบหมัดของนักฝึกมวยไทยรุ่นจิ๋วซึ่งเขารับหน้าที่สอน การได้พบน้องสาวของกีรดิตทำให้เธอเกิดหวั่นใจขึ้นมาอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะดูเหมือนเมื่อใดที่น้องสาวของเขาเข้ามาพัวพันกับพี่ชายของเธอ ดาราหนุ่มก็มักจะมีท่าทางผิดสังเกตไปทันที
“น้องกิ่ง มาได้ยังไงคะ”
ผู้ที่มีอายุน้อยกว่าระบายลมหายใจยาวก่อนตอบด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนจะไม่มีความสุขเท่าใดนัก
“พ่อน่ะสิคะ ให้กิ่งมาคุยงานกับลูกค้าแทน กิ่งเครียดจะแย่ พอดีเห็นว่าไม่ต้องกลับไปเคลียร์งานขับรถผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณลุงน่ะค่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่เกี๊ยวด้วย นึกว่าเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสจะยุ่งจนไม่ว่างเสียอีก”
“วันนี้มีคิวซ้อมบทตอนเช้าน่ะค่ะ บ่ายงด แล้วก็ไม่มีคิวฝึกร้องเพลงกับเต้นด้วยเลยได้กลับบ้านเร็วกว่าทุกวัน”
ยศวันต์พันมือให้เด็กชายนักเรียนมวยเสร็จพอดี จึงเอ่ยขอตัวพาเจ้าหนูน้อยไปฝึกซ้อม ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองพูดคุยกันเพียงลำพัง
“พี่หมี่เกี๊ยวต้องทำงานที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ท่าทางจะเหนื่อยแย่นะคะ”
“เหนื่อยแต่ก็สนุกค่ะ ลองเป็นงานเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำก็ต้องทำให้สุดความสามารถ” เธอกล่าวอย่างตั้งใจจะสอนหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่า แม้จะเข้าใจว่าภาระในการรับผิดชอบดูแลกิจการนั้นค่อนข้างจะหนักไปสักนิดสำหรับผู้หญิงอายุยังไม่ถึงเบญจเพสอย่างกฤตินี จะว่าไปแล้วเรื่องการสืบทอดกิจการของครอบครัวก็ดูจะเป็นเรื่องของกีรดิตเรื่องหนึ่งที่คนตั้งคำถามกันมากว่าทำไมทายาทนักธุรกิจอย่างเขาจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องกิจการของครอบครัวเลยสักนิด ราวกับว่าหันหลังให้อย่างเด็ดขาดเสียอย่างนั้น “ถ้าน้องกิ่งเหนื่อยก็หาวิธีพักผ่อนสิคะ ที่ไหนที่ไปหรือว่าอะไรที่ทำแล้วสบายใจน่าจะช่วยได้นะ”
“ขอบคุณค่ะพี่หมี่เกี๊ยว กิ่งเห็นเด็ก ๆ ฝึกมวยวันก่อนรู้สึกว่าน่ารักดี เห็นเด็ก ๆ ได้ออกกำลังกาย เห็นท่าทางตลกของพวกเขาบางครั้ง ก็ขำดีนะคะ กิ่งก็เลยเลือกแวะมาที่นี่ไงคะ”
“น้องกิ่งนี่แปลกนะคะ พี่นึกว่าสาว ๆ จะชอบไปช้อปปิ้งซื้อของเสียอีก นี่กลับชอบมาดูเด็กฝึกมวยไทย”
“อาจจะเพราะปกติกิ่งไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้มั้งคะ ก็เลยรู้สึกว่าแปลกตาดี”
กฤตินีเอ่ยขณะที่สายตามองไปทางยศวันต์ซึ่งกำลังตั้งท่าแสดงการเตะจระเข้ฟาดหางให้นักมวยรุ่นจิ๋วดู แววเศร้าในดวงตาและอาการสั่นเล็กน้อยในน้ำเสียงนั้นทำให้มนัญชยาต้องหันไปสบตาอีกฝ่าย
“คุณกิ่งมีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ นอกเหนือจากเรื่องงาน”
“ไม่รู้สิคะพี่หมี่เกี๊ยว” เธอเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะขยับถามขึ้นในที่สุด “พี่หมี่เกี๊ยวเคยคิดว่าคนคนนึงเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเรา แต่แล้วก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างมาทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจบ้างไหมคะ”
ที่แท้ก็เรื่องความรักนี่เอง...วัยยี่สิบต้นอย่างกฤตินีก็คงไม่พ้นคิดวนเวียนถึงเรื่องความรักอย่างที่เธอเคยเป็น จะว่าไปเธอก็เพิ่งผ่านวัยของกฤตินีมาได้แค่สองสามปีเองนี่นะแต่จะทำตัวเป็นศิราณีเสียหน่อยก็คงไม่เสียหาย
“ของแบบนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะน้องกิ่ง”
“แล้วเราจะรู้เมื่อไหร่ล่ะคะ ว่าใครใช่หรือใครไม่ใช่สำหรับเรา”
“โอ๊ย...เรื่องนี้พี่ไม่มีคำตอบหรอกค่ะ พี่เองก็เอาตัวไม่รอด ครองตัวเป็นสาวโสดอยู่เลย ที่แนะน้องกิ่งไปก็จำ ๆ เขามาพูดเท่านั้นแหละ”
“ถึงจะอย่างนั้นแต่กิ่งว่ามันก็ให้ข้อคิดอะไรดีกับกิ่งเหมือนกันนะคะ” กฤตินีเอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุน “บางทีกิ่งอาจจะใจร้อนเกินไปอย่างที่พี่หมี่เกี๊ยวว่า คนไหนจะใช่หรือว่าคนไหนจะไม่ใช่ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาดีกว่า”
มนัญชยานิ่งไปกับคำของกฤตินีเพราะคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าเธอเองก็ไม่รู้จักกีรดิตดีพอที่จะสรุปว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ และเรื่องนี้คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบกับเธอได้
“พี่แหนมทอดเหนื่อยมากไหมคะ”
กฤตินีถามหลังจากที่ยศวันต์สอนมวยเด็กเสร็จและส่งให้ถึงมือผู้ปกครองที่มารอรับแล้ว เนื้อตัวของชายหนุ่มเปียกด้วยเหงื่อและดูไม่มั่นใจเมื่อเดินเข้ามาใกล้ เขาหยุดชะงัก ถอยหลังออกไปสองก้าวก่อนตอบ
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ พี่ต้องฝึกซ้อมตัวเองบ่อย ๆ เวลาขึ้นชกจะได้มีแรง”
“พี่แหนม เดี๋ยวเกี๊ยวเข้าบ้านก่อนนะ พี่คุยกับน้องกิ่งไปละกัน...พอดีปวดท้องน่ะ”
มนัญชยาเอ่ยแล้วรีบผละไปทันที ทิ้งให้พี่ชายยืนยิ้มแหยเมื่ออยู่ต่อหน้ากฤตินี หญิงสาววัยยี่สิบต้นยิ้มดวงตาเป็นประกายขณะที่เอ่ยกับเขาอย่างชื่นชม
“พี่แหนมทอดนี่ขยันนะคะ ทั้งชกมวย คุมลานจอดรถที่ร้านอาหาร แล้วเห็นพี่หมี่เกี๊ยวบอกว่าเช้าเย็นก็ไปวิ่งวินมอเตอร์ไซค์ด้วย”
“เอ่อ...เรื่องที่คุมลานจอดรถที่จริง พี่ไม่ได้ทำหรอกครับ”
ยศวันต์เอ่ยก่อนอธิบายเรื่องราวในวันที่เขาบังเอิญไปพบเธอและถิรเจตที่ลานจอดรถร้านอาหาร
“ตายจริง อย่างนี้ทั้งพี่เจต ทั้งกิ่งก็เข้าใจพี่แหนมทอดผิดสิคะ ใช้ให้พี่แหนมทอดมาเข็นรถให้เฉยเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันเข้าใจผิดกันได้”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพี่แหนมทอดก็แค่ชกมวยไทย แล้วก็วิ่งวินมอเตอร์ไซค์เป็นงานหลักใช่ไหมคะ” กฤตินีใช้นิ้วชี้เคาะเบา ๆ ที่ขมับของตัวเองก่อนเอ่ยต่อ “ไม่ใช่สิ ต้องมีฝึกมวยให้เด็กด้วยอีกอย่าง”
“ครับคงมีแค่นั้น”
“กิ่งอยากลองไปดูตอนพี่แหนมทอดชกบนเวทีมวยจริง ๆ จังคะ”
“ชกมวยนี่น่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ...กิ่งไม่เคยเห็นเลยสักที อยากไปลองสัมผัสดูเหมือนกันว่าบรรยากาศในสนามมวยเป็นยังไง”
“แต่...” ชายหนุ่มอึกอัก “พี่ชกไม่ค่อยชนะใครนะครับ จะขายหน้าน้องกิ่งเสียเปล่า ๆ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” หญิงสาวพูดแล้วขยับเดินเข้าใกล้ แตะมือลงบนบ่าที่ลื่นไปด้วยเหงื่อของเขา “ที่สำคัญคือกิ่งได้ไปเชียร์พี่แหนมทอดต่างหาก จะแพ้หรือชนะไม่สำคัญหรอกค่ะ กิ่งอยากไปเชียร์พี่ชายของเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสข้างเวทีมวยดูสักที หลังจากเชียร์พี่หมี่เกี๊ยวตั้งแต่ต้นจนได้รางวัลชนะเลิศมาแล้ว”
ยศวันต์เอ่ยคำขอบคุณต่อหญิงสาว หัวใจพองโตและห่อเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ตอนได้ยินว่าเธออยากเชียร์เขามันก็น่ายินดีอยู่ แต่พอบอกเหตุผลว่าเพราะเขาเป็นพี่ชายของมนัญชยาเท่านั้น ความปีติก็บินหนีไปเสียหมด
ตารางซ้อมของวันรุ่งขึ้นเป็นเวลาช่วงบ่ายดังนั้นมนัญชยาจึงมีเวลานั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกับครอบครัว เสียงจากรายการข่าวทางโทรทัศน์ดังไปทั่วห้องโถงขนาดย่อมซึ่งแบ่งส่วนหนึ่งวางโต๊ะรับประทานอาหาร มื้อเช้าวันนี้เป็นโจ๊กหมูและปาท่องโก๋
“เบา ๆ ก็ได้ไอ้แหนม เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
“เดี๋ยวไปวิ่งวินไม่ทันพ่อ ช่วงนี้คนกำลังเยอะ”
“ตอนนี้มีค่าเรียนของเด็ก ๆ มาช่วยได้มากแล้ว เอ็งไม่ต้องไปวิ่งวินแล้วก็ได้นา”
“โอ๊ย...ไม่เอาหรอกพ่อ เงินทั้งนั้น เงินค่าสอนก็ต้องเอาไปใช้จ่ายเลี้ยงนักมวย ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหารอีก สารพัด”
“เออ ๆ ยังไงก็อย่าให้มันหนักเกินไปก็แล้วกัน”
“พ่อไม่ต้องห่วงผมหรอก ห่วงตัวเองดีกว่า วันก่อนก็หน้ามืดไปแล้ว ผมยังหนุ่มยังแน่นไม่เป็นอะไรง่าย ๆ” ยศวันต์ก่อนตักจ้วงโจ๊กที่เหลือในถ้วยเข้าปากอย่างรวดเร็ว “ร้อน ๆ ๆ ผมไปนะพ่อ ลุง พี่ไปก่อนนะหมี่เกี๊ยว”
บุญช่วยและโชคชัยพากันบ่นพึมพำอะไรเกี่ยวกับยศวันต์หลังจากที่ชายหนุ่มพรวดพราดออกจากบ้านไปแล้ว มนัญชยาไม่ทันได้สนใจฟังลุงเนื่องจากภาพข่าวในเครื่องรับโทรทัศน์ทำให้เธอต้องลุกขึ้นไปยืนฟังติดหน้าจอ
“เจ้าหมี่เกี๊ยว กินข้าวอยู่ดี ๆ ทำไมถึงไปยืนอยู่หน้าจอทีวีได้ล่ะเนี่ย” บุญช่วยเอ่ยถามหลานสาว
เธอไม่ได้หันไปตอบผู้เป็นลุงทันทีเพราะพิธีกรรายการข่าวยังคงพูดถึงเนื้อความในข่าวไม่จบ เมื่อตัดเข้าสู่ช่วงของผู้สนับสนุนรายการ คนเป็นลุงก็ถามซ้ำอีกครั้ง และครั้งนี้มนัญชยาสรุปเนื้อข่าวให้ผู้เป็นลุงและพ่อฟังด้วยน้ำเสียงพร่าเล็กน้อย
“เกี๊ยวดูข่าวจ๊ะ ข่าวคุณซินดี้...เธอตกบันได ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
รูปถ่ายโปสเตอร์ของกีรดิตที่ติดอยู่ทุกด้านของผนังดูสมจริงราวกับมีชีวิตเมื่อบัดนี้เธอมีภาพจำเกี่ยวกับตัวเขานอกไปจากที่เคยได้พบเห็น เธอนึกถึงเสียงพูด ดวงตาดุคม การแสดงออกที่บางครั้งก็ดูเหมือนจะอ่อนโยนห่วงใย แต่บางครั้งแฝงไปด้วยอารมณ์ดุดันบ้าง ความเคลือบแคลงสงสัยบ้าง
เขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ
หญิงสาวคิดขณะที่เอื้อมมือไปปิดสวิตซ์โคมไฟหัวเตียง ภาพที่ติดอยู่รอบห้องเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ในความคิดเนิ่นนานกว่าเธอจะเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ได้
มนัญชยาตื่นนอนแต่เช้า หากยังคงไม่เช้าเท่า ‘พ่อเพื่อน’ หญิงสาวเพิ่งทราบเมื่อยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วว่าเขาส่งข้อความมาแต่เช้าตรู่
‘อยากมีเพื่อนกินอาหารมื้อเช้า ถ้าเป็นไปได้อย่าเพิ่งกินอะไรก่อนออกจากบ้านนะ’
แล้วจะให้บอกพ่อกับลุงยังไงล่ะ
เธอไม่ต้องคิดค้นหาคำตอบนานนักเพราะเสียงเตือนข้อความสั้น ๆ ของอุปกรณ์สื่อสารในมือดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอที่สว่างเรืองแสดงให้รู้ว่ามีข้อความใหม่เข้ามา
‘รอเวลาสักหน่อยค่อยรีบออกมาเหมือนกลัวไม่ทันเวลา คงไม่มีใครท้วงไว้ ผมรออยู่ที่เดิม’
จากคำแนะนำนั้น หญิงสาวต้องนั่งแกร่วอยู่ในห้องอีกราวยี่สิบนาทีก่อนจะเปิดประตูทำท่ารีบร้อนวิ่งลงบันไดไป พ่อกับลุงไม่ทันเอ่ยถามอะไรเธอก็รีบบอก
“วันนี้เกี๊ยวสายแล้ว ไม่กินข้าวนะจ๊ะ”
มนัญชยารีบเอ่ยแล้วยกมือกระพุ่มไหว้พ่อและลุง วิ่งอ้าวออกจากบริเวณหน้าค่ายมวยได้ก็มองหารถยนต์ของกีรดิต เดินตรงไปเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งทันที
“ถ้าจะแวะทานอะไรขอเป็นของง่าย ๆ นะคะ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”
หญิงสาวเอ่ยจบก็เพิ่งตระหนักถึงสัมผัสทางกลิ่นที่แตะปลายจมูกอยู่และที่มาของมันก็อยู่ที่เบาะหลัง ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปที่เบาะหลังหยิบถุงจากร้านสะดวกซื้อยื่นให้หญิงสาว
“คุณเลือกไปก่อนนะ เดี๋ยวคงต้องขับรถไปหาที่ที่ไม่พลุกพล่าน นั่งกินกันในรถที่แหละ”
มือเรียวยาวล้วงเข้าไปในถุงพลาสติกใบใหญ่ ซึ่งมีอาหารกล่องแบบแช่แข็งที่อุ่นไว้แล้วสองกล่อง ขนมปังแซนด์วิชอบร้อน ขนมปังตัดขอบ แยมส้ม แยมสตรอเบอร์รี่ แซนด์วิชสเปรด นมยู.เอช.ทีสารพัดรสชาติ และยังไม่หมดเพียงเท่านี้
“คุณเกม เหมามาหมดร้านเลยรึเปล่าคะ”
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะนำรถออกสู่ท้องถนนหัวเราะเบา ๆ
“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบกินอะไร ก็เลยให้แม่บ้านเขาซื้อมาให้หลาย ๆ อย่าง”
“แล้วทำไมเราไม่แวะ...” หญิงสาวเอ่ยแล้วนึกอะไรขึ้นได้ กีรดิตไม่อยู่ในฐานะที่จะพาเธอแวะรับประทานอาหารเช้าที่ไหนได้ ลำพังแค่ตัวเขาเองก็แทบจะไม่เคยมีใครจับภาพเขาออกมารับประทานอาหารในที่สาธารณะเลยสักครั้ง...ถ้าอย่างนั้นครั้งก่อนที่ชวนเธอไปรับประทานอาหารเย็น มันจะเป็นแบบไหนกันนะ หาที่เงียบ ๆ สั่งส้มตำดิลิเวอรี่มาจกกันสองคนหรืออย่างไร “เราจะไปจัดการกับของพวกนี้กันที่ไหนดีคะ”
“คุณเลือกว่าจะกินอะไรเถอะ เรื่องสถานที่ผมเลือกให้เอง” เขาเอ่ยตอบแล้วนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น “จริงสิ แล้วพ่อของคุณสบายดีแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ” มนัญชยารับคำขณะที่มือก็หยิบของในถุงขึ้นพิจารณา “โชคดีนะคะ ที่คุณกิ่งกับคุณเจตอยู่ด้วยแล้วก็อาสาพาพ่อส่งโรงพยาบาลให้ เกี๊ยวกลัวว่าจะเป็นอาการของโรคหัวใจน่ะค่ะ พ่อเคยเข้าโรงพยาบาลเพราะเครียดจนหัวใจทำงานหนักมาครั้งนึง”
คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเงียบไปไม่ตอบคำ คนที่ตรวจสอบของในถุงจนหมดแล้วจึงเอ่ยถามต่อ
“คุณเกมจะกินอะไรดีคะ ของเยอะแยะขนาดนี้กินทุกอย่างคงไม่ไหวแน่”
แม้ครั้งนี้หญิงสาวเอ่ยประโยคคำถามกับเขาโดยตรง กีรดิตก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นหันไปมองทางชายหนุ่ม ดวงตาดุดันของชายหนุ่มมีแววกร้าวจนทำให้เธอหวั่นใจ
จริงสิ...หรือเขาจะไม่พอใจที่น้องสาวเขามาที่ค่ายมวย
“คุณเกมคะ”
เธอเอ่ยเรียกเขาครั้งหนึ่งแต่เขายังคงนิ่ง และเมื่อเอ่ยเรียกซ้ำ เขาก็หันมามองจ้องด้วยสายตาที่ยังไม่คลายแววของความขุ่นเคือง
“มีอะไรเหรอหมี่เกี๊ยว”
“คุณเกม...” มนัญชยากลืนน้ำลายลงคอ “ไม่พอใจเรื่องที่คุณกิ่งมาหาพี่แหนมทอดที่ค่ายมวยรึเปล่าคะ...เรื่องนี้มันไม่มีอะไรนะคะ คุณกิ่งแค่อยากจะขอโทษเรื่องที่คุณเจต...”
“พอเถอะ ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไรคุณหรือเรื่องที่กิ่งเขาไปที่ค่ายมวยหรอก”
เขาพูดเพียงเท่านั้น หากไม่ขยายความต่อว่าเขาไม่พอใจอยู่หรือไม่และเป็นเรื่องอะไรกันแน่ และคงไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องสืบสาวให้รู้ความ คนที่โดยสารรถยนต์ไปด้วยจึงเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรต่อ
มนัญชยาเตรียมหยิบกระเป๋าลงจากรถเมื่อกีรดิตหยุดรถเทียบทางเท้าในจุดที่มาส่งเธอเป็นประจำหลังจากที่ทั้งคู่รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ที่จะดำเนินต่อไปดังเช่นทุกวันที่ผ่านมาก็คือหญิงสาวจะต้องเดินออกจากซอยเล็ก ๆ ใกล้อาคารทีโอพี ขณะที่ชายหนุ่มก็ต้องกลับรถออกไปสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง เว้นแต่ในบางวันที่มีคิวซ้อมในช่วงบ่ายยศวันต์จะเป็นผู้มาส่งหญิงสาว
อาหารในถุงจากร้านสะดวกซื้อยังเหลืออยู่อีกหลายอย่าง หญิงสาวเสนอให้กีรดิตรับประทานอาหารแช่แข็งซึ่งอุ่นเรียบร้อยแล้ว กับแซนด์วิชอบร้อน
‘อย่างอื่นเอาไว้กินวันหลังได้นะคะ มันยังไม่หมดอายุ’
‘แล้วคุณจะช่วยผมกินด้วยไหม’
เธอชะงักกับคำถามของเขา รู้สึกร้อนผ่าวที่พวงแก้มเมื่อเห็นแววละมุนที่ฉายขึ้นในดวงตาคมดุคู่นั้น
‘ถ้าคุณเกมกินคนเดียว อาจจะไม่ทันวันหมดอายุนะคะ อย่างขนมปังนี่อยู่ได้อีกสองวันเอง’
‘เป็นอันว่าคุณจะช่วยผมกิน’
แป๊น ๆ
เสียงแตรรถดังขึ้นจากทางเบื้องหลังขณะที่มนัญชยาเพิ่งจะเดินเลี้ยวออกจากซอยเล็ก ๆ และเดินมุ่งไปสู่อาคารทีโอพีได้เพียงไม่นาน ภาพเหตุการณ์หลังจากเธอรับประทานอาหารเช้าร่วมกับกีรดิตเลือนหายไปจากห้วงความคิด ทดแทนด้วยภาพที่เห็นผ่านโสตประสาทในปัจจุบัน รถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นกลางสีดำสนิทแล่นเข้ามาหยุดเทียบทางเท้าก่อนที่กระจกด้านที่นั่งข้างคนขับจะค่อย ๆ ลดลง
หญิงสาวลูกครึ่งวัยสามสิบกว่าชะโงกตัวมาผลักเปิดประตูพลางเอ่ย
“ขึ้นมาสิ ฉันกำลังจะไปทีโอพีเหมือนกัน”
“ฉัน...”
“ขึ้นมาเร็ว ๆ เข้าเถอะ ก่อนที่รถคันข้างหลังจะบีบแตรไล่ฉัน”
มนัญชยารับคำก่อนรีบก้าวขึ้นรถของสิรามล ชะงักมือที่เอื้อมไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยเมื่อผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ย
“ไปแค่นี้ไม่ต้องคาดก็คงไม่มีปัญหาหรอก”
“ฉันติดคาดเข็มขัดค่ะ ไม่ได้อึดอัดอะไร”
“ก็ตามใจ” น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนจะมีแววหงุดหงิดเจืออยู่ นานพักหนึ่งก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากขึ้น “เก่งเหมือนกัน ทั้งที่คะแนนโหวตก็ขึ้น ๆ ลง ๆ มาตลอด แต่คะแนนจากกรรมการก็ช่วยเอาไว้ได้หลายอาทิตย์เลยนิ...ใช่ไหม”
“ค่ะ...คุณซินดี้ติดตามรายการด้วยเหรอคะ”
“โอ๊ย! ฉันไม่ว่างขนาดนั้นหรอกนะ เพิ่งจะมาดูเอาตอนประกาศผลเพราะพอมีเวลาเท่านั้นแหละ แต่ถามพวกทีมงานเขาว่าคนชนะน่ะเป็นยังไงบ้าง”
คนได้ฟังนิ่งงันไปเพราะทั้งคำพูดและน้ำเสียงของอีกฝ่ายแสดงให้รู้ว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรเธอนัก...คนในวงการบันเทิงนี่มันเป็นยังไงกันนะ เข้าใจยากจริง ๆ ถ้าไม่สนใจเรื่องของเราสักนิด แล้วจะมาทำแสดงน้ำใจรับเราขึ้นรถทำไมกัน
“ว่าแต่เธอเถอะ ทำงานกับเกมเป็นยังไงบ้างล่ะ”
หญิงสาวหยุดคิดกับคำถามของสิรามล ไม่รู้ว่าคู่สนทนามีวัตถุประสงค์ใดในการตั้งคำถามและเมื่อมองไปเห็นอาคารทีโอพีตั้งตะหง่านอยู่ทางด้านซ้ายมือ มนัญชยาก็เลือกที่จะเลี่ยงตอบ
“ถึงตรงนี้ไม่ไกลแล้ว...ฉันเดินไปได้นะคะ ถ้าคุณซินดี้จะกรุณา หยุดรถส่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
“อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงแล้ว เธอไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้มั้ง ฉันก็แค่ถามว่าการร่วมงานกับเกมเป็นยังไงบ้าง มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะตอบสักนิด”
มนัญชยาต้องข่มอารมณ์อย่างมากก่อนจะตอบสิรามลด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติได้
“ฉันก็คิดว่าการร่วมงานกับคุณเกมไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกันค่ะ เคยไม่มีอะไรที่จะมาเล่าให้คุณซินดี้ฟังได้ ก็คงเหมือนกับเวลาคุณซินดี้ทำงานมั้งคะ ฉันเพิ่งมีประสบการณ์ในวงการคงจะรู้อะไรได้ไม่มากเท่า”
“เพิ่งเข้าวงการ แต่ก็ยอกย้อนได้ไม่เลวนี่”
“ฉันไม่ได้ยอกย้อนนะคะ แค่ตอบตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่คิดว่าเรื่องการร่วมงานกับคุณเกมจะมีปัญหาอะไร เว้นแต่ว่าคุณซินดี้จะคิดว่ามี”
“ปัญหาน่ะมีแน่” สิรามลใช้น้ำเสียงที่แสดงออกถึงการดูถูกชัดเจน “ยิ่งกับเด็กหน้าใหม่ในวงการที่ได้ร่วมงานกับเกมอย่างเธอ”
หากไม่เพราะความอยากรู้ เธอคงจะโต้ตอบอะไรออกไปไม่รอฟังคำของนักแสดงสาวรุ่นพี่
“เกมเขาคงดีกับเธอ เอาอกเอาใจเธอสารพัดล่ะสินะ”
“คุณซินดี้...”
“ถ้าเธอติดตามข่าวในวงการมาบ้าง คงไม่จำเป็นต้องถามหรอกมั้งว่าทำไมฉันถึงได้รู้ เกมเขาก็เคยดีกับฉันมากเหมือนกันตอนที่ฉันเข้าวงการใหม่ ๆ ไม่ใช่สิ...จะว่าไปตอนนี้เราก็ยังดีกันอยู่”
น้ำเสียงขณะพูดคำว่า ‘ดี’ ของสิรามลนั้นแฝงนัยที่ไม่อาจคาดเดาเป็นอื่นได้ นอกจากสัมพันธ์ฉันชู้สาว
“ระวังจะพลาดท่าเข้าก็แล้วกันนะ เกมเขาอาจจะเห็นเธอเป็นหน้าใหม่ถึงได้เข้าไปตีสนิทอย่างที่เคยทำ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนหรอกนะที่เขาจะคิดจริงจัง จนมีข่าวคราวหลุดลอดออกมา”
“คุณเกมก็มีข่าวกับดาราหญิงคนอื่นนอกจากคุณเหมือนกันนี่คะ”
มนัญชยาโต้เสียงอ่อน ไม่รู้ตัวว่าทำไมจึงหวังว่าสิ่งที่กีรดิตปฏิบัติต่อเธอจะพิเศษกว่าที่เขาทำกับคนอื่น ทำไมเธอจึงอยากให้สิ่งที่สิรามลเอ่ยนั้นไม่ใช่ความจริง
“พวกพยายามจะสร้างกระแสน่ะสิ คนที่จะเข้าถึงเกมได้จริง ๆ น่ะ ไม่ใช่ง่ายหรอกนะ” สิรามลเยาะ “แล้วถ้าถึงขั้นจะมีข่าวดีกันเร็ว ๆ นี้ด้วยล่ะก็ รับรองได้ว่าเกมเขาจริงจังแน่”
“ข่าวดี”
“ใช่...เธอควรจะยินดีกับฉันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะหมี่เกี๊ยว ฉันกับเกมอาจจะประกาศข่าวดีร่วมกันในเร็ววันนี้แหละ ก่อนที่มันจะไม่ทันการณ์”
หญิงสาวก้าวลงจากรถอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดถึงคำพูดของสิรามล ไม่นานก่อนที่สติจะช่วยปัดสิ่งรบกวนจิตใจได้...แค่คำพูดเท่านี้เอง เชื่ออะไรเป็นตุเป็นตะไปได้
มนัญชยาบอกกับตัวเองเช่นที่คิดไม่ได้เลยเมื่อได้เวลาซ้อมบทละคร ซึ่งในวันนี้ถึงฉากที่เธอจะต้องต่อบทซาบซึ้งระหว่างพระนาง พิธานให้เธอและกีรดิตมองสบตากันระหว่างที่อ่านบทและดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันแรกที่สมาธิของหญิงสาวกระเจิดกระเจิง ต่อบทผิด ๆ ถูก ๆ
“หมี่เกี๊ยว...วันนี้คุณเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมถึงต่อบทไม่ถูกเลย ตาลายรึเปล่า พระเอกถามอย่างทำไมถึงไปตอบอีกอย่างได้ล่ะ ตั้งสติหน่อยนะ วันนี้มีเวลาซ้อมน้อยเพราะช่วงบ่ายผมกับคุณเกมต้องให้คิวสัมภาษณ์รายการโทรทัศน์”
จะให้มีสมาธิได้ยังไงกัน ก็ได้จ้องตาพี่เกมแล้วพูดบทจั๊กจี้ ๆ แบบนี้ โอ๊ย...จะบ้าตาย
“ขอโทษค่ะ สงสัยวันนี้เกี๊ยวจะตาลายจริง ๆ เกี๊ยวจะพยายามให้มากขึ้นค่ะ”
“ใจเย็น ๆ นะหมี่เกี๊ยว เดี๋ยวก็ทำได้เอง”
“ค่ะ”
จะทำไม่ได้ก็เพราะพี่เกม มาทำท่าทางแบบนี้ด้วยนี่แหละ...แล้วทำไมนะ คำพูดของยัยคุณซินดี้นั่นก็...ไม่ได้น่าเชื่อสักหน่อย ทำไมต้องเก็บเอามาคิดด้วย ตั้งสติหน่อยยัยหมี่เกี๊ยว
เธอคงทำได้ตามที่หวังถ้าไม่เพราะจู่ ๆ สิรามลเปิดห้องซ้อมเข้ามา เดินเข้าไปหาพิธานแล้วกระซิบถามอะไรบางอย่าง กีรดิตซึ่งมองเธอด้วยสายตาอ่อนละมุนนั้นดูเปลี่ยนไปแทบจะทันที เขาหันขวับไปมองทางดาราสาวลูกครึ่ง ดวงตาดุนั่นสื่อถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่างออกมา
“เดี๋ยวผมขอพักสักสิบนาทีนะ ขอคุยธุระกับคุณซินดี้หน่อย”
พิธานกล่าวแล้วผละออกจากห้องไปพร้อมกับสิรามล กีรดิตดูจะยังไม่คลายจากอารมณ์ขุ่นมัว เขาขอทีมงานออกไปทำธุระส่วนตัวเช่นกัน มนัญชยาอดไม่ได้ที่จะสงสัยในพฤติกรรมของเขา
จู่ ๆ พอคุณซินดี้เข้ามาขอคุยกับคุณพิธาน พี่เกมก็เปลี่ยนไปเลย สองคนนั้นเขามีเรื่องอะไรกันนะ
บ่ายวันนั้นกีรดิตมีคิวให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกในรอบหลายปี และพิธานก็จะไปแนะนำเนื้อหาของละครเวทีเรื่องยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะเปิดแสดงในอีกราวหกเดือนข้างหน้า มนัญชยาจึงต้องเดินทางกลับบ้านเอง เมื่อเข้าไปถึงค่ายมวยเสียงแรกจากผู้มาเยือนก็ดังขึ้นทันที
“พี่หมี่เกี๊ยว”
กฤตินียืนยิ้มให้กับมนัญชาอยู่ที่มุมหนึ่ง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวคือยศวันต์ที่กำลังพันผ้ารอบหมัดของนักฝึกมวยไทยรุ่นจิ๋วซึ่งเขารับหน้าที่สอน การได้พบน้องสาวของกีรดิตทำให้เธอเกิดหวั่นใจขึ้นมาอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะดูเหมือนเมื่อใดที่น้องสาวของเขาเข้ามาพัวพันกับพี่ชายของเธอ ดาราหนุ่มก็มักจะมีท่าทางผิดสังเกตไปทันที
“น้องกิ่ง มาได้ยังไงคะ”
ผู้ที่มีอายุน้อยกว่าระบายลมหายใจยาวก่อนตอบด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนจะไม่มีความสุขเท่าใดนัก
“พ่อน่ะสิคะ ให้กิ่งมาคุยงานกับลูกค้าแทน กิ่งเครียดจะแย่ พอดีเห็นว่าไม่ต้องกลับไปเคลียร์งานขับรถผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณลุงน่ะค่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่เกี๊ยวด้วย นึกว่าเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสจะยุ่งจนไม่ว่างเสียอีก”
“วันนี้มีคิวซ้อมบทตอนเช้าน่ะค่ะ บ่ายงด แล้วก็ไม่มีคิวฝึกร้องเพลงกับเต้นด้วยเลยได้กลับบ้านเร็วกว่าทุกวัน”
ยศวันต์พันมือให้เด็กชายนักเรียนมวยเสร็จพอดี จึงเอ่ยขอตัวพาเจ้าหนูน้อยไปฝึกซ้อม ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองพูดคุยกันเพียงลำพัง
“พี่หมี่เกี๊ยวต้องทำงานที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ท่าทางจะเหนื่อยแย่นะคะ”
“เหนื่อยแต่ก็สนุกค่ะ ลองเป็นงานเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำก็ต้องทำให้สุดความสามารถ” เธอกล่าวอย่างตั้งใจจะสอนหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่า แม้จะเข้าใจว่าภาระในการรับผิดชอบดูแลกิจการนั้นค่อนข้างจะหนักไปสักนิดสำหรับผู้หญิงอายุยังไม่ถึงเบญจเพสอย่างกฤตินี จะว่าไปแล้วเรื่องการสืบทอดกิจการของครอบครัวก็ดูจะเป็นเรื่องของกีรดิตเรื่องหนึ่งที่คนตั้งคำถามกันมากว่าทำไมทายาทนักธุรกิจอย่างเขาจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องกิจการของครอบครัวเลยสักนิด ราวกับว่าหันหลังให้อย่างเด็ดขาดเสียอย่างนั้น “ถ้าน้องกิ่งเหนื่อยก็หาวิธีพักผ่อนสิคะ ที่ไหนที่ไปหรือว่าอะไรที่ทำแล้วสบายใจน่าจะช่วยได้นะ”
“ขอบคุณค่ะพี่หมี่เกี๊ยว กิ่งเห็นเด็ก ๆ ฝึกมวยวันก่อนรู้สึกว่าน่ารักดี เห็นเด็ก ๆ ได้ออกกำลังกาย เห็นท่าทางตลกของพวกเขาบางครั้ง ก็ขำดีนะคะ กิ่งก็เลยเลือกแวะมาที่นี่ไงคะ”
“น้องกิ่งนี่แปลกนะคะ พี่นึกว่าสาว ๆ จะชอบไปช้อปปิ้งซื้อของเสียอีก นี่กลับชอบมาดูเด็กฝึกมวยไทย”
“อาจจะเพราะปกติกิ่งไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้มั้งคะ ก็เลยรู้สึกว่าแปลกตาดี”
กฤตินีเอ่ยขณะที่สายตามองไปทางยศวันต์ซึ่งกำลังตั้งท่าแสดงการเตะจระเข้ฟาดหางให้นักมวยรุ่นจิ๋วดู แววเศร้าในดวงตาและอาการสั่นเล็กน้อยในน้ำเสียงนั้นทำให้มนัญชยาต้องหันไปสบตาอีกฝ่าย
“คุณกิ่งมีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ นอกเหนือจากเรื่องงาน”
“ไม่รู้สิคะพี่หมี่เกี๊ยว” เธอเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะขยับถามขึ้นในที่สุด “พี่หมี่เกี๊ยวเคยคิดว่าคนคนนึงเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเรา แต่แล้วก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างมาทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจบ้างไหมคะ”
ที่แท้ก็เรื่องความรักนี่เอง...วัยยี่สิบต้นอย่างกฤตินีก็คงไม่พ้นคิดวนเวียนถึงเรื่องความรักอย่างที่เธอเคยเป็น จะว่าไปเธอก็เพิ่งผ่านวัยของกฤตินีมาได้แค่สองสามปีเองนี่นะแต่จะทำตัวเป็นศิราณีเสียหน่อยก็คงไม่เสียหาย
“ของแบบนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะน้องกิ่ง”
“แล้วเราจะรู้เมื่อไหร่ล่ะคะ ว่าใครใช่หรือใครไม่ใช่สำหรับเรา”
“โอ๊ย...เรื่องนี้พี่ไม่มีคำตอบหรอกค่ะ พี่เองก็เอาตัวไม่รอด ครองตัวเป็นสาวโสดอยู่เลย ที่แนะน้องกิ่งไปก็จำ ๆ เขามาพูดเท่านั้นแหละ”
“ถึงจะอย่างนั้นแต่กิ่งว่ามันก็ให้ข้อคิดอะไรดีกับกิ่งเหมือนกันนะคะ” กฤตินีเอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุน “บางทีกิ่งอาจจะใจร้อนเกินไปอย่างที่พี่หมี่เกี๊ยวว่า คนไหนจะใช่หรือว่าคนไหนจะไม่ใช่ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาดีกว่า”
มนัญชยานิ่งไปกับคำของกฤตินีเพราะคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าเธอเองก็ไม่รู้จักกีรดิตดีพอที่จะสรุปว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ และเรื่องนี้คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบกับเธอได้
“พี่แหนมทอดเหนื่อยมากไหมคะ”
กฤตินีถามหลังจากที่ยศวันต์สอนมวยเด็กเสร็จและส่งให้ถึงมือผู้ปกครองที่มารอรับแล้ว เนื้อตัวของชายหนุ่มเปียกด้วยเหงื่อและดูไม่มั่นใจเมื่อเดินเข้ามาใกล้ เขาหยุดชะงัก ถอยหลังออกไปสองก้าวก่อนตอบ
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ พี่ต้องฝึกซ้อมตัวเองบ่อย ๆ เวลาขึ้นชกจะได้มีแรง”
“พี่แหนม เดี๋ยวเกี๊ยวเข้าบ้านก่อนนะ พี่คุยกับน้องกิ่งไปละกัน...พอดีปวดท้องน่ะ”
มนัญชยาเอ่ยแล้วรีบผละไปทันที ทิ้งให้พี่ชายยืนยิ้มแหยเมื่ออยู่ต่อหน้ากฤตินี หญิงสาววัยยี่สิบต้นยิ้มดวงตาเป็นประกายขณะที่เอ่ยกับเขาอย่างชื่นชม
“พี่แหนมทอดนี่ขยันนะคะ ทั้งชกมวย คุมลานจอดรถที่ร้านอาหาร แล้วเห็นพี่หมี่เกี๊ยวบอกว่าเช้าเย็นก็ไปวิ่งวินมอเตอร์ไซค์ด้วย”
“เอ่อ...เรื่องที่คุมลานจอดรถที่จริง พี่ไม่ได้ทำหรอกครับ”
ยศวันต์เอ่ยก่อนอธิบายเรื่องราวในวันที่เขาบังเอิญไปพบเธอและถิรเจตที่ลานจอดรถร้านอาหาร
“ตายจริง อย่างนี้ทั้งพี่เจต ทั้งกิ่งก็เข้าใจพี่แหนมทอดผิดสิคะ ใช้ให้พี่แหนมทอดมาเข็นรถให้เฉยเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันเข้าใจผิดกันได้”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพี่แหนมทอดก็แค่ชกมวยไทย แล้วก็วิ่งวินมอเตอร์ไซค์เป็นงานหลักใช่ไหมคะ” กฤตินีใช้นิ้วชี้เคาะเบา ๆ ที่ขมับของตัวเองก่อนเอ่ยต่อ “ไม่ใช่สิ ต้องมีฝึกมวยให้เด็กด้วยอีกอย่าง”
“ครับคงมีแค่นั้น”
“กิ่งอยากลองไปดูตอนพี่แหนมทอดชกบนเวทีมวยจริง ๆ จังคะ”
“ชกมวยนี่น่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ...กิ่งไม่เคยเห็นเลยสักที อยากไปลองสัมผัสดูเหมือนกันว่าบรรยากาศในสนามมวยเป็นยังไง”
“แต่...” ชายหนุ่มอึกอัก “พี่ชกไม่ค่อยชนะใครนะครับ จะขายหน้าน้องกิ่งเสียเปล่า ๆ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” หญิงสาวพูดแล้วขยับเดินเข้าใกล้ แตะมือลงบนบ่าที่ลื่นไปด้วยเหงื่อของเขา “ที่สำคัญคือกิ่งได้ไปเชียร์พี่แหนมทอดต่างหาก จะแพ้หรือชนะไม่สำคัญหรอกค่ะ กิ่งอยากไปเชียร์พี่ชายของเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสข้างเวทีมวยดูสักที หลังจากเชียร์พี่หมี่เกี๊ยวตั้งแต่ต้นจนได้รางวัลชนะเลิศมาแล้ว”
ยศวันต์เอ่ยคำขอบคุณต่อหญิงสาว หัวใจพองโตและห่อเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ตอนได้ยินว่าเธออยากเชียร์เขามันก็น่ายินดีอยู่ แต่พอบอกเหตุผลว่าเพราะเขาเป็นพี่ชายของมนัญชยาเท่านั้น ความปีติก็บินหนีไปเสียหมด
ตารางซ้อมของวันรุ่งขึ้นเป็นเวลาช่วงบ่ายดังนั้นมนัญชยาจึงมีเวลานั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกับครอบครัว เสียงจากรายการข่าวทางโทรทัศน์ดังไปทั่วห้องโถงขนาดย่อมซึ่งแบ่งส่วนหนึ่งวางโต๊ะรับประทานอาหาร มื้อเช้าวันนี้เป็นโจ๊กหมูและปาท่องโก๋
“เบา ๆ ก็ได้ไอ้แหนม เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
“เดี๋ยวไปวิ่งวินไม่ทันพ่อ ช่วงนี้คนกำลังเยอะ”
“ตอนนี้มีค่าเรียนของเด็ก ๆ มาช่วยได้มากแล้ว เอ็งไม่ต้องไปวิ่งวินแล้วก็ได้นา”
“โอ๊ย...ไม่เอาหรอกพ่อ เงินทั้งนั้น เงินค่าสอนก็ต้องเอาไปใช้จ่ายเลี้ยงนักมวย ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหารอีก สารพัด”
“เออ ๆ ยังไงก็อย่าให้มันหนักเกินไปก็แล้วกัน”
“พ่อไม่ต้องห่วงผมหรอก ห่วงตัวเองดีกว่า วันก่อนก็หน้ามืดไปแล้ว ผมยังหนุ่มยังแน่นไม่เป็นอะไรง่าย ๆ” ยศวันต์ก่อนตักจ้วงโจ๊กที่เหลือในถ้วยเข้าปากอย่างรวดเร็ว “ร้อน ๆ ๆ ผมไปนะพ่อ ลุง พี่ไปก่อนนะหมี่เกี๊ยว”
บุญช่วยและโชคชัยพากันบ่นพึมพำอะไรเกี่ยวกับยศวันต์หลังจากที่ชายหนุ่มพรวดพราดออกจากบ้านไปแล้ว มนัญชยาไม่ทันได้สนใจฟังลุงเนื่องจากภาพข่าวในเครื่องรับโทรทัศน์ทำให้เธอต้องลุกขึ้นไปยืนฟังติดหน้าจอ
“เจ้าหมี่เกี๊ยว กินข้าวอยู่ดี ๆ ทำไมถึงไปยืนอยู่หน้าจอทีวีได้ล่ะเนี่ย” บุญช่วยเอ่ยถามหลานสาว
เธอไม่ได้หันไปตอบผู้เป็นลุงทันทีเพราะพิธีกรรายการข่าวยังคงพูดถึงเนื้อความในข่าวไม่จบ เมื่อตัดเข้าสู่ช่วงของผู้สนับสนุนรายการ คนเป็นลุงก็ถามซ้ำอีกครั้ง และครั้งนี้มนัญชยาสรุปเนื้อข่าวให้ผู้เป็นลุงและพ่อฟังด้วยน้ำเสียงพร่าเล็กน้อย
“เกี๊ยวดูข่าวจ๊ะ ข่าวคุณซินดี้...เธอตกบันได ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 11:00:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 11:00:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 2198
<< ตอนที่ 8 | ตอนที่ 10 >> |