กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ

ตอน: ตอนที่ 23 ตามล่า หาความรัก

บทที่ 23
ตามล่า หาความรัก

“วันนี้ก็จะออกไปข้างนอกอีกเหรอคะคุณหนูปิ่น” แม่บ้านร่างเล็กกล่าวถาม หลังจากที่เห็นปิ่นแก้วสวมกระโปรงสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้ สะพายกระเป๋าเดินลงบันไดมายังบริเวณห้องโถงชั้นล่าง

“จ้ะ”

หลายวันมานี้ปิ่นแก้วค่อนข้างทุ่มเทเวลาให้กับงานเป็นพิเศษ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรับชอบที่เธอมีต่อบริษัทด้วย แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็เนื่องจากไม่อยากปล่อยเวลาว่างไปกับเรื่องรกสมอง

“เดี๋ยวหวานจะรีบไปตามคนขับรถมาให้นะคะคุณหนู” อีกฝ่ายทำท่าจะเดินเลี่ยงไปตามคนขับรถมาทำหน้าที่ แต่ปิ่นแก้วเอ่ยขัดขึ้นเบา ๆ

“ไม่ต้องหรอก ฉันขับรถไปเองได้ เย็น ๆ ว่าจะขับรถเลยไปทำธุระหน่อย”

“จะดีเหรอคะคุณหนู”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันขออนุญาตคุณพ่อเอาไว้แล้ว ท่านไม่ได้ว่าอะไร” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “ไปก่อนนะ สายมากแล้ว”

กล่าวจบปิ่นแก้วก็สะพายกระเป๋า เดินตรงไปยังหน้าคฤหาสน์ที่มีรถยนต์จอดคอยอยู่แล้ว ร่างบางเปิดประตูรถก้าวเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์ขับเคลื่อนออกไปสู่ท้องถนนด้านหน้าประตูรั้วอย่างไม่เร่งรีบ

ทว่า ยังไม่ทันที่ปิ่นแก้วจะขับรถพ้นออกมาจากถนนด้านในซอย รถยนต์สีเข้มติดฟิล์มดำสนิทก็แล่นปราดเข้ามาประชิดรถยนต์คันที่เธอกำลังขับอยู่ ทำเอาหญิงสาวถึงกับตกใจเหยียบเบรกกะทันหัน เมื่อตั้งสติได้ก็เลื่อนกระจกรถยนต์ลงโผล่หน้าออกไปดูด้วยความโมโห

“ขับรถประสาอะไร มองไม่เห็นรถยนต์เลยเหรอ” ปิ่นแก้วตั้งท่าโวยวาย แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าเจ้าของรถยนต์คันหรูที่ส่งยิ้มให้เธอชัด ๆ ขณะเลื่อนกระจกลง หญิงสาวก็ถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออก

“สวัสดีครับคนสวย” ราเมศสวมแว่นตาดำ เผยรอยยิ้มกระชากใจให้แก่เธอ

“ราเมศ”

ปิ่นแก้วอุทานแผ่ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิธีขับรถมาดักที่หน้าปากทางเข้าบ้านของเธอ มือเล็กกำพวงมาลัยแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“นายมาทำอะไรที่นี่ หลีกไปฉันจะรีบออกไปทำงาน” เธอพูดเสียงดังฟังชัด

ราเมศเปิดประตูรถเดินตรงมาหาเธอ ร่างสูงสมส่วนมีสไตล์ด้วยเสื้อแจกเกตสีน้ำเงินเข้ม สวมทับด้วยเสื้อยืดสีขาวพอดีลำตัวข้างใน เส้นผมดำขลับตัดกับสีผิวขาว ช่วยให้ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นชวนมองยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มเดินถือช่อดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ ตรงเข้ามาหาปิ่นแก้วที่นั่งนิ่งอยู่บนรถ ยกข้อศอกขึ้นท้าวแขนลงบนขอบประตูรถพร้อมทั้งก้มหน้าลงไปหา

“ดอกไม้สำหรับคุณครับ” ราเมศยิ้มชวนมองบนเรียวปาก พร้อมทั้งยื่นช่อดอกไม้สีสวยให้แก่เธอ

“เอามาให้ฉันทำไมไม่ทราบ” ปิ่นแก้วถามกลับ ไม่ยอมยื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้แห่งมิตรภาพที่เขาอุตส่าห์นำมามอบให้

“ใจร้ายจังเลยคุณปิ่น ทั้งที่ผมอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตา ติดต่อคุณตั้งหลายวันแล้วแท้ ๆ แต่กลับไม่ยอมรับสาย พอเจอหน้ากันก็ไม่ยอมรับดอกไม้แทนใจจากผมซะอย่างนั้น” ราเมศกล่าวเป็นทำนองตัดพ้อ แต่คนฟังไม่รู้สึกเห็นใจสักนิด

“นั่นมันเรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉัน”

ฟังจากน้ำเสียงของเธอ ราเมศก็เดาได้ทันทีว่าหญิงสาวยังไม่หายโกรธเรื่องที่เกิดขึ้นที่ชะอำ

“ขอเวลาลงมาคุยกับผมสักครู่ได้ไหม” ราเมศเอ่ยเสียงเรียบ รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า แม้มองไม่เห็นดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำ แต่หญิงสาวก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมองมานิ่ง

“ไม่”

“คุณปิ่น”

“ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว เชิญนายกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ”

คำว่า ‘หน้าที่’ ที่เธอกำลังพูดถึง คงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากแววดาว นางแบบสาวสุดไฮโซคนนั้น ยิ่งฟังก็ยิ่งแน่ใจว่าเธอกำลังหึงอยู่ ดูจากสีหน้าแววตาดุ ๆ คู่นั้นแล้ว ก็ยิ่งทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลยจริง ๆ

“อย่าบอกนะ ว่าคุณกำลังหึงผมกับคุณแววดาว” ราเมศยิ้มยั่ว แต่คนฟังกลับสะอึก

“บ้า ทำไมฉันต้องหึงคนอย่างนายด้วย” ปิ่นแก้วแหวเสียงดัง แต่เมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้ หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นรัวขึ้นมาอีก “ถอยไปนะ”

“ผมไม่ถอย แล้วก็ไม่คิดจะไปไหนด้วย จนกว่าจะคุยกับคุณให้รู้เรื่อง” ร่างสูงทำท่าจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ แต่หญิงสาวกดล็อกเอาไว้ทั้งยังกดสวิตช์เลื่อนกระจกรถขึ้นอีกด้วย “ลงมาคุยกับผมก่อนได้ไหม”

ราเมศยกหลังมือขึ้นเคาะกระจกรถเบา ๆ

“ไปให้พ้นนะ”

“คุณปิ่น”

“หลีกไป ไม่งั้นฉันจะขับรถชนนายจริง ๆ ด้วย”

คำตอบของปิ่นแก้ว ส่งผลให้ราเมศต้องผิวปากหวือ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด เรียวปากปราศจากรอยยิ้มอารมณ์ดีเหมือนเช่นเคย แน่นอนล่ะว่าเขาทำให้เธอโกรธ แต่อย่างน้อยเธอเองก็ควรที่จะฟังคำอธิบายของเขาก่อนจะตัดสินใจไม่ใช่หรือ ใบหน้าหวานกับดวงตาดุ ๆ นั่นก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะมองดูสักกี่ครั้งก็ทำให้นึกถึงแมวที่กำลังทำตัวพองขู่ฟ่อจริง ๆ

อยากจะรู้นัก ว่าถ้าเขาไม่หลบเธอจะทำยังไง

“ก็เอาสิ ถ้าคุณคิดว่ากล้าขับรถชนผมได้ลงคอก็เอาเลย” ราเมศเผยรอยยิ้มท้าทาย ทั้งยังเดินถอยห่างออกไปยืนอยู่กลางถนน ด้วยท่าทางกวนประสาทอีกด้วย

ปิ่นแก้วโกรธจนแก้มใสแดงจัด

“คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ” เธอแหวใส่ นึกอยากเข้าเกียร์เดินหน้า เหยียบชายหนุ่มเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ผมรู้ว่าคุณกล้า แต่ได้แต่แอบหวังว่าคงจะไม่ใจดำเกินไปนัก” ราเมศจงใจรวนต่อ

แต่นั่นนับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างสูงก็ต้องกระโดดหลบเข้าข้างทางแทบไม่ทัน เนื่องจากปิ่นแก้วตัดสินใจบังคับรถให้เดินหน้า โดยไม่สนใจว่าจะมีใครหน้าไหนยืนขวางอยู่หรือไม่

บรืน

“เฮ้ มันอันตรายนะคุณ” ราเมศเอี้ยวตัวหลบกันชนหน้าไปได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะพุ่งเฉี่ยวออกสู่ท้องถนนด้านหน้าโดยไม่คิดจะหยุดรถ หันมาดูดำดูดีเลยแม้แต่น้อย

“ให้ตายสิ...กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรือไง”

ราเมศพ่นลมหายใจแรง ๆ ออกมาทางปาก ยกมือขึ้นท้าวเอวมองตามสาวน้อยขี้โมโหที่ขับรถยนต์ห่างออกไปอย่างหนักอกหนักใจ ดูท่าว่าครั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปิ่นแก้ว คงจะไม่ราบรื่นง่ายดายเหมือนที่คิดซะแล้ว…


ทันที่เตชิตเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้องทำงานขนาดใหญ่ ใบหน้าคมคายก็มีอันต้องขมวดคิ้วหลังจากที่มองเห็นสภาพอันไม่เป็นระเบียบภายในห้อง ตลอดจนสีหน้าแววตาบอกบุญไม่รับของราเมศ ที่กำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีช่อดอกกุหลาบสีแดงสดวางอยู่

หลังจากที่เพิ่งได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายว่ามีเรื่องด่วนจะปรึกษา และให้ตนขับรถแวะเข้ามาหาหน่อย

ร่างสูงสวมชุดสูทสีเข้มเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าไปหาเพื่อนสนิทช้า ๆ พลางชำเลืองสายตามองไปยังดอกกุหลาบช่อใหญ่ด้วยความประหลาดใจ

“ดอกไม้สวยดีนี่ ไม่ยักรู้นะว่านายมีอารมณ์โรแมนติกกับเขาเป็นด้วย”

ราเมศได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงาน

“ฉันยังนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน” คาสโนว่าหนุ่มรำพึงแผ่ว เตชิตจึงเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้โซฟาอย่างเป็นการเป็นงานมากขึ้น

“เห็นนายโทรศัพท์ไปบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา ไหนลองบอกมาซิเผื่อว่าฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง” เตชิตถามเสียงเรียบ

“นายมองไม่เห็นของที่อยู่บนโต๊ะหรือยังไง”

“แล้วยังไง นายอย่าบอกนะว่าที่เรียกฉันมา ก็เพราะเรื่องช่อดอกกุหลาบที่วางอยู่บนโต๊ะนั่น”

“ฉันหมายถึงของที่วางอยู่ข้าง ๆ นั่นต่างหาก ให้ตายเถอะ”

ใบหน้าคมคายเลิกคิ้วสูง หลังจากเพิ่งสังเกตเห็นกล่องกำมะหยี่ที่วางติดอยู่ใกล้ ๆ ดอกกุหลาบสีแดงสด ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมามองดูช้า ๆ อย่างอดนึกแปลกใจไม่ได้

“แหวนแต่งงาน” เตชิตมองดูมันอย่างพินิจพิจารณา “นี่นายยังไม่ได้เอาไปมอบให้เธอคนนั้นอีกหรือ”

ราเมศขมวดคิ้ว ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

“ฉันไปมาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้มอบให้เธอ ก็ถูกปฏิเสธเสียก่อน”

คำตอบจากปากเพื่อนรัก ทำเอาเตชิตไม่อยากเชื่อหู

“ล้อเล่นใช่หรือเปล่า”

“เรื่องแบบนี้คิดว่าฉันจะกล้าเอามาพูดล้อเล่น ให้นายหัวเราะเยาะหรือยังไง”

ราเมศตอบเสียงห้วน คำว่า ‘โลกกลับตาลปัตร’ อาจฟังดูน้อยไปด้วยซ้ำ สำหรับสถานการณ์ที่ชายหนุ่มกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ กับความผิดหวังที่เขาได้รับจากหญิงสาวที่หมายตา ซ้ำยังเป็นคนที่เขาวาดหวังจะให้เป็นเจ้าสาวในงานแต่งงานอีกด้วย ภายหลังจากที่เจอกันเมื่อเช้า ราเมศก็พยายามโทรศัพท์ติดต่อไปหาเธออีกหลายครั้ง แต่ปิ่นแก้วไม่ยอมรับสาย ทั้งยังไม่ยอมรับช่อดอกกุหลาบที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจนำไปมอบให้เธอพร้อมแหวนแต่งงานอีกด้วย

“เมื่อเช้านี้...ฉันหอบช่อดอกกุหลาบขับรถไปหาเธอที่บ้าน ตั้งใจว่าจะลองเอ่ยปากขอแต่งงาน แต่เธอยังไม่หายโกรธ แถมยังไม่ยอมรับแม้กระทั่งช่อดอกไม้ที่ฉันนำไปให้”

เตชิตอึ้งไปเล็กน้อย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าผู้ชายอย่างราเมศจะรู้จักกับคำว่าผิดหวังกับเขาด้วย โดยเฉพาะเรื่อง ‘ผู้หญิง’

“นายแน่ใจนะว่าไม่ได้ไปทำเรื่องร้ายแรงเอาไว้ให้เธอโกรธ” เตชิตถามตรงไปตรงมา เชื่อว่าผู้หญิงมีเหตุผลอยู่ไม่กี่อย่าง ที่ทำให้ปฏิเสธการขอคืนดีอย่างไร้เยื่อใย

“เปล่า”

“นายแน่ใจแล้วหรือ อย่าหาว่าฉันสอดไม่เข้าเรื่องเลยนะ เรื่องคุณแววดาวล่ะนายจัดการเคลียร์ตัวเองเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

คราวนี้ราเมศตอบได้ไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“ฉันเคยบอกกับคุณแววดาวแล้ว...ว่าเราสองคนไปด้วยกันไม่ได้”

“แล้วคุณแววดาวเธอยอมหรือเปล่า”

“ก็ตามอย่างที่นายเห็นนั่นแหละ” ราเมศยกมือขึ้นกุมขมับ ไม่รู้จะแก้ปัญญายุ่งยากยังไงดี

เตชิตเดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนรักแรง ๆ สองสามครั้ง

“ถ้าจะให้ฉันพูดละก็...ตราบใดที่นายยังเคลียร์ตัวเอง หรือทำอะไรให้มันเด็ดขาดเรื่องคุณแววดาวไม่ได้ภายในวันสองวันนี้ละก็ เตรียมตัวเตรียมใจสละโสดกับเจ้าสาวที่คุณหญิงป้ามาหาให้ได้เลย”

ราเมศตวัดสายตาคม ๆ มองเพื่อนอย่างหงุดหงิด

“มีความสุขนักนะ เวลาที่เห็นเพื่อนเป็นทุกข์นี่”

“ใครว่า ฉันกำลังสะใจที่เห็นนายจนแต้มเรื่องผู้หญิงอยู่ต่างหาก” เตชิตกระตุกยิ้มบนเรียวปาก ดวงตาเป็นประกาย

“ไอ้บ้าเอ้ย” ราเมศทำท่าจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ แต่อีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบพร้อมทั้งยกมือขึ้นรับกำปั้นหนัก ๆ นั้นแทน

“ใจเย็น ๆ น่า ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นโมโหไปได้” เตชิตหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “เอาเป็นว่าตอนนี้นายรีบหาทางขอคืนดีกับสาวน้อยคนนั้นให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาหาเรื่องทะเลาะกับฉันดีกว่า”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายแนะนำ ราเมศก็นั่งคิดหาวิธีร้อยแปดตลบมาพักใหญ่อยู่แล้ว

“ฝากไว้ก่อนเถอะ เอาไว้ฉันหาทางคืนดีกับคุณปิ่นแก้วได้เมื่อไหร่ จะกลับมาคิดบัญชีกับเพื่อนทรยศให้น่าดู” ชายหนุ่มแค่นเสียงรอดไรฟัน

ชื่อที่อีกฝ่ายหลุดปากออกมาเป็นครั้งแรก สะดุดหูเตชิตจนเจ้าตัวถึงกับขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันทันที

“เมื่อกี้นายพูดว่ายังไงนะ”

“เพื่อนทรยศ”

“เรื่องนั้นฉันได้ยินแล้ว แต่กำลังหมายถึงชื่อสาวน้อยคนนั้นต่างหาก”

ราเมศชำเลืองสายตาคม ๆ ไปยังเพื่อนรักที่นั่งปั้นหน้าอยู่บนเก้าอี้โซฟาอย่างไม่วายสงสัย

“เธอชื่อ ‘ปิ่นแก้ว’ ทำไมหรือ”

“นามสกุลล่ะ”

“ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าจะนามสกุลวัฒนะอะไรสักอย่าง”

“วัฒนะเอกดำรง” เตชิตทวนประโยค

“คิดว่าคงใช่ นายรู้จักเธอด้วยหรือ” ราเมศถามอย่างแปลกใจ

.....ขณะที่เตชิตได้แต่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่


“หมายความว่ายังไงคะ ครูวิภา”

ม่านนทีถามเหมือนไม่อยากเชื่อ หลังจากที่พยายามรวบรวมเงินนานนับเดือน เพื่อนำมามอบให้แก่ครูผู้ดูแลเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าร่มเกล้าเพื่อนำไปผ่อนผันการชำระหนี้ แต่อีกฝ่ายปฏิเสธที่จะรับเอาไว้โดยให้เหตุผลว่ามีผู้นำเงินมาบริจาคและเตรียมที่จะไถ่ถอนที่ดินคืนเรียบร้อยแล้ว

“ขอบใจมากนะหนูน้ำ แต่ครูรับเอาไว้ไม่ได้จริง ๆ เก็บเอาไว้เป็นทุนสำรองทำอย่างอื่นเถอะหนู ครูไม่อยากรบกวนเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว” ครูวิภาปฏิเสธน้ำเสียงอ่อนโยน แต่หญิงสาวไม่เข้าใจสิ่งที่พูด

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะครู เงินนี่เป็นเงินที่น้ำอุตส่าห์เก็บหอมหอมริบเพื่อนำมาไถ่ถอนที่ดินคืนมา แล้วทำไมถึงได้...”

“ใจเย็น ๆ สิ ครูเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน วันก่อนมีผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานขับรถยนต์มาที่นี่พร้อมกับนำเช็คใบนี้มามอบให้ แถมยังบอกอีกด้วยว่าให้เอาไปไถ่ถอนที่ดินคืนมา แต่ครูยังไม่กล้าทำอะไรนอกเสียจากรอให้เธอมาก่อน”

ครูวิภายื่นเช็คให้แก่ม่านนที หญิงสาวรีบหยิบมันขึ้นมามองดูชัด ๆ แล้วก็ต้องตกใจหลังจากที่มองเห็นจำนวนเงินบนกระดาษ

“หนึ่งล้านสองแสนบาท” เธอกระซิบแผ่ว

หัวใจของม่านนทีเต้นแรง ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสพบเจอกับผู้ใจบุญใจกุศลที่เสียสละเงินจำนวนมากขนาดนี้ให้แก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจน ๆ ใจหนึ่งม่านนทีปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกซาบซึ้งและปิติมากแค่ไหนที่จะได้ไถ่ถอนที่ดินกลับคืนมา

ทว่า อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

“คนที่นำเช็คฉบับนี้มาให้ เขาบอกหรือเปล่าคะว่าชื่ออะไร”

ครูพี่เลี้ยงวัยกลางคนส่ายหน้าปฏิเสธ

“ครูพยายามถามแล้ว แต่เขาไม่ยอมบอก บอกแต่เพียงว่าเจ้านายเป็นคนสั่งให้นำมามอบให้แก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าร่มเกล้า”

ม่านนทีครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คน ๆ หนึ่งจะนำเงินบริจาคจำนวนมากมายขนาดนี้มามอบให้แก่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งตัวเลขที่ระบุในเช็ค ยังตรงกับจำนวนเงินที่เธอจะนำไปไถ่ถอนที่ดินคืนมาจากบริษัทเงินกู้รายใหญ่อีกด้วย ดวงหน้างามเม้มปากเข้าหากันอย่างไม่วายเป็นกังวล และตัดสินใจแล้วว่าจะไม่นำเงินดังกล่าวออกมาใช้จนกว่าจะรู้ความจริง

“ขอโทษนะคะครูวิภา แต่เช็คใบนี้น้ำขออนุญาตเก็บเอาไว้ จนกว่าจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของก่อนดีกว่า”

“ดีเหมือนกันหนูน้ำ ครูเองก็ยังกลัว ๆ อยู่เกรงว่าจะเป็นการเข้าใจผิด”

“คุยอะไรกันอยู่จ้ะครูวิภา...อ้าวน้ำวันนี้เธอก็มาเยี่ยมเด็ก ๆ เหมือนกันเหรอ” เสียงจีบปากจีบคอพูดดังมาจากหญิงร่างเล็ก แต่งหน้าจัดจ้างเดินนวยนาดผ่านประตูรั้วเข้าหาอย่างอารมณ์ดี

วันนี้มาลัยยังคงเดินเฉิดฉายอยู่ในซอยให้หนุ่ม ๆ มองตามเหมือนเช่นเคย นับตั้งแต่ช่วงที่เตชิตแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มาลัยก็พลอยแต่งตัวรอคอยพบหน้าชายหนุ่มอยู่ทุกวัน

“ว่ายังไงจ้ะน้ำ หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลยนะ ดูโทรมไปนิดหรือเปล่า ท่าทางไม่ค่อยสดใสเลย”

ม่านนทีเพียงแต่ยิ้มรับตามมารยาท

“ขอบใจที่เป็นห่วงนะมาลัย ช่วงนี้งานยุ่งมากทำให้ไม่ค่อยมีเวลาแวะมาเท่าไหร่”

“วันนี้มีธุระอะไรหรือมาลัย วันนี้คุณเตชิตเขาไม่ได้มาด้วยกับหนูน้ำหรอกนะ” ครูวิภาดักคออย่างรู้ทัน

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันครูมาลัย ฉันเองก็เป็นคนในชุมชนร่มเกล้าเหมือนกันนะ จะมาเยี่ยมเยียนเด็ก ๆ บ้างไม่ได้เชียวหรือ” เธอย้อนถาม

“งั้นก็ดีแล้ว ขอให้คิดได้แบบนั้นนาน ๆ เถอะ”

ครูพี่เลี้ยงวัยกลางคนพูดประชด เนื่องจากรู้นิสัยมาลัยดี คนอย่างเธออย่าว่าแต่จะมาเหยียบที่นี่เลย แค่เห็นหน้าเด็กสกปรกพวกนี้ก็นึกรังเกียจจะแย่อยู่แล้ว ถ้าไม่นึกว่าเตชิตอาจมาด้วยล่ะก็ คนอย่างมาลัยมีหรือจะยอมเฉียดเข้ามาใกล้

“ชิ น่าเบื่อชะมัด” มาลัยยกมือขึ้นกอดอกลอบบ่นเบา ๆ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นกระดาษสีขาวในมือของม่านนที จึงฉวยโอกาสตอนที่เธอเผลอหยิบเอาเช็คใบนั้นขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะ

“นี่กระดาษอะไรเอ่ย จดหมายรักจากคุณเตชิตเหรอยายน้ำ ไหนขอดูหน่อยซิ”

“มาลัย เอาคืนมานะ”

ม่านนทีทำท่าจะเอาคืน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมง่าย ๆ ทันทีที่มาลัยมองเห็นตัวเลขระบุจำนวนเงินในกระดาษเช็ค หญิงสาวก็ถึงกับเบิกตาโตอุทานออกมาเสียงดัง

“หนึ่งล้านสองแสน” มาลัยทวนตัวเลขอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่มันเช็คระบุจำนวนเงินนี่ บอกมานะยายน้ำว่าเธอกับครูวิภาไปเอาเงินจำนวนมากมายขนาดนี้มาได้ยังไง”

“นี่มันไม่เกี่ยวกับเธอนะ เอาคืนมา”

“ไม่คืน บอกมาก่อนสิ ว่าเธอไปเอาเงินนี่มาจากไหน”

“พอได้แล้ว”

ครูวิภาอดทนรนไม่ไหวเดินเข้ามาฉวยเอาเช็คออกไปจากมือของมาลัย ตอนที่สองสาวกำลังชุลมุนวุ่นวาย ก่อนยื่นส่งมันคืนให้กับม่านนทีท่ามกลางความไม่พอใจของหญิงสาวร่างเล็ก ที่เก็บอาการอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่

“อะไรกัน บอกแค่นี้ก็ไม่ได้” เธอแหวเสียงดัง

“เช็คฉบับนี้ยังไม่รู้ที่มา คนฝากเขาเพียงแต่บอกให้เอาไปไถ่ถอนที่ดินคืนมาเท่านั้น อยากรู้อะไรก็รอให้หนูน้ำสืบหาความจริงให้ได้ก่อนก็แล้วกัน” ครูวิภาตอบเสียงกระด้าง

มาลัยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ตอนแรกทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าจะมีใครที่ไหนใจบุญมากมายขนาดนั้น แต่หลังจากที่หันไปเห็นสีหน้าของเพื่อนสาววัยเด็กที่ยืนอยู่ด้านข้าง ความสงสัยของเธอก็พลันกระจ่างในเวลาต่อมา

“โธ่เอ้ย...ไอ้เราก็นึกว่าถูกหวยรวยเบอร์ที่ไหน ที่แท้ก็เงินในกระเป๋าคุณเตชิตนี่เอง ทำเป็นพูดอ้อมค้อมอยู่ได้”

ครูวิภาหันไปมองหน้าม่านนทีที่กำลังยืนอึ้ง ก่อนหันมาแก้ต่างแทน

“พูดอะไรน่ะมาลัย เรื่องมันยังไม่กระจ่างเสียหน่อย”

“ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำขนาดนั้นก็ได้ครู ฉันเองก็พอรู้ทันคนอยู่บ้างไม่ได้โง่เสียหน่อย เงินตั้งมากมายขนาดนั้นคิดว่าหล่นลงมาเองจากบนฟ้าหรือยังไง จะบอกอะไรให้นะงานนี้คนที่ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คือยายน้ำนั่นแหละ”

มาลัยจีบปากจีบคอพูดแกมอิจฉา เดินนวยนาดเข้ามาใกล้ม่านนทีพลางเอ่ยปากประชดประชน

“เธอนี่ร้ายไม่เบาเลยนะน้ำ เห็นหน้าตาท่าทางเรียบร้อยแบบนี้ แต่ก็มารยาสาไถพอตัวเลยนี่นา คบหากับผู้ชายรวย ๆ ได้ไม่เท่าไหร่ก็หลอกเอาเงินมาได้ตั้งเป็นล้านแบบนี้ ขนาดฉันเองยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ

“พูดอะไรของเธอ ฉันไม่เคยขอร้องคุณเตชิตเลยนะ เงินนี่ก็ไม่ใช่เงินของฉันแต่เป็นเงินบริจาคให้แก่สถานเลี้ยงเด็กพร้าร่มเกล้าต่างหาก” เธอย้อนตอบ

มาลัยหัวเราะเสียงพลิ้วหวานในลำคอเบา ๆ

“ตายจริง ฉันไม่ได้โง่หลงเชื่อคำพูดของเธอเหมือนครูวิภาหรอกนะจ้ะน้ำ บอกมาตรง ๆ ดีกว่าว่าคุณเตชิตเขาจ่ายให้เธอครั้งละเท่าไหร่ เวลาที่หิ้วเธอไปนอนค้างอ้างแรมด้วยกัน”

ม่านนทีโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เรียวปากสั่นระริกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ เสียงหัวเราะจากปากของมาลัย ทำให้เธอนึกหยาดเดินตรงเข้าไปตบหน้าสวย ๆ นั่นให้หน้าหัน

“พูดพอหรือยังมาลัย...” ม่านนทีเค้นเสียงถาม มือไม้สั่น

“ทำไม พูดความจริงทำเป็นรับไม่ได้งั้นสิ”

“เปล่าหรอก ฉันรับตัวเองได้เสมอและรู้ดีว่าฉันเกิดและเติบโตมาในฐานะอะไร แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันภูมิใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ผิดกับเธอ...ที่ทำตัวตกต่ำไร้ค่า ไม่เคยมีเรื่องอะไรอยู่ในสมองนอกจากเงินและความคิดสกปรก ขอบใจนะที่ช่วยเตือนสติ แต่เธอควรเก็บคำพูดเหล่านั้นไว้สอนตัวเองให้ดีก่อน แล้วค่อยมาสอนคนอื่นเถอะ”

“กรี้ด นี่แกกล้าว่าฉันเหรอ กลับมานะยายน้ำ กลับมาพูดกันให้รู้เรื่อง”

มาลัยกรีดร้องด้วยความโมโห แต่ม่านนทีไม่สนใจที่จะหยุดฟัง ร่างบางเก็บเช็คยัดใส่กระเป๋าสะพายเดินตรงไปยังรถยนต์ที่จอดรถอยู่ ก่อนเข้าไปนั่งและสตาร์ทเครื่องมุ่งหน้าออกสู่ท้องถนนท่ามกลางเสียงหัวใจอันรุ่มร้อน...

เตชิตหยิบเอาภาพถ่ายที่นำมาจากโทรศัพท์มือถือของราเมศ นำมาเทียบกับบรรดารูปถ่ายหญิงสาวคู่ดูตัวของชายหนุ่ม ที่ร้องขอเอามาจากคุณหญิงวิมลชื่น ขึ้นมาพิจารณาอย่างนักขัน

“ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าโลกมันจะกลมถึงขนาดนี้” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

ดูเหมือนว่าความเข้าใจของชายหนุ่มจะไม่ผิดไปจากที่คิดเอาไว้ ทั้งราเมศและปิ่นแก้วต่างคบหาดูใจกันอยู่ โดยเจ้าตัวที่ไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายคือคู่หมั้นหมาย ที่ทางผู้หลักผู้ใหญ่เคยวางแผนนัดดูตัวให้เมื่อคราวก่อน แต่ผิดฝาผิดตัวเมื่อทั้งคู่วางแผนสลับตัว ให้เพื่อนสนิทไปตามนัดแทน

แต่ใครเล่าจะคิดว่า...โชคชะตาเล่นตลก พาให้ทั้งสองตกหลุมรักซึ่งกันและกันเข้าจนได้

“ถ้าคุณน้ำรู้เรื่องนี้เข้า...จะทำหน้ายังไงนะ” ใบหน้าคมคายยิ้มขัน

จู่ ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นจากหน้าประตูห้องทำงาน ทำให้เตชิตเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ไม่ช้าประตูบานใหญ่ก็เปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาวหน้าตางดงาม สวมชุดกระโปรงแซกสีเหลืองอ่อนเดินเข้ามาในห้อง โดยมีเลขานุการฯส่วนตัววิ่งตามเข้ามาติด ๆ

“คุณน้ำ” คิ้วเข้มเลิกสูงอย่างแปลกใจ

“ขอโทษค่ะท่านประธาน แต่ดิฉันพยายามห้ามแล้วแต่คุณคนนี้รั้นที่จะเข้ามาพบคุณให้ได้” เลขานุการสาวสวยออกปากขอโทษ

ม่านนทีเม้มเรียวปากเข้าหากันนิ่ง ไม่ยอมแสดงทีท่าใด ๆ ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากับเตชิตรู้จักกัน ชายหนุ่มระบายรอยยิ้มออกมาอย่างสุภาพ

“ไม่เป็นไร เขาเป็นแขกพิเศษของผมเอง คุณออกไปเถอะ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ หญิงสาวจึงรีบทำทำตามแต่โดยดี

ทันที่ในห้องเหลือเธอกับเขาอยู่กันตามลำพัง เตชิตก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเดินตรงมาหาเธอพร้อมกับรอยยิ้ม ร่างสูงสมส่วนภายใต้ชุดสูทสีดำสนิทแลดูภูมิฐาน แตกต่างไปจากเตชิตคนเดิมที่เธอเคยเห็นตลอดเวลาที่เจอกันข้างนอก

“ไม่คิดเลย ว่าคุณจะบุกมาหาผมถึงที่นี่” เขาเอ่ยปากมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยน “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณน้ำ”

ม่านนทีไม่ตอบคำถาม รู้สึกเจ็บแปลกทุกครั้งเวลาที่เห็นความแตกต่างระหว่างเขาและเธอ ร่างบางไม่พูดว่าอย่างไร เพียงแต่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าพร้อมกับหยิบเอาแผ่นกระดาษยื่นส่งคืนให้กับเจ้าของ

“ฉันเอามาคืนคุณค่ะ”

ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองเช็คในมือของหญิงสาวนิดหนึ่ง

“ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่ต้องปิดบังหรอกค่ะคุณเตชิต ฉันรู้เรื่องที่คุณใช้ให้คนนำเช็คฉบับนี้ให้มอบให้แก่ครูวิภาหมดแล้ว ตัวเลขขนาดนี้ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ กรุณาเอาคืนไปด้วย” เธอย้ำชัดทุกถ้อยคำ สีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากเขา

ร่างสูงถอนหายใจยาว คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าม่านนทีคงไม่ยอมรับน้ำใจจากเขาโดยง่าย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เขาควรรับเช็คคืนจากเธอ

“คุณรังเกียจความช่วยเหลือจากผมหรือ” เขาถามเสียงทุ้มลึกยิ่งกว่าเดิม แต่ม่านนทีก็ยังไม่ยอมตอบ

“คุณน้ำ”

“เปล่าค่ะ แต่ฉันรังเกียจตัวเองต่างหากที่เอาแค่สร้างภาระให้คุณ” ม่านนทีตัดสินใจตอบออกไปอย่างที่ใจคิด ส่งผลให้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้ง ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายระริกไหวโดยที่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็น และยังคงตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธเสียงแข็ง

“รู้หรือเปล่าคะ ว่าการกระทำของคุณสร้างความหนักใจให้แก่ฉันมากแค่ไหน ทุกคนต่างเอาแต่คิดว่าฉันคอยพึ่งพาคุณตลอด เก็บน้ำใจของคุณไว้เถอะค่ะ ถึงคุณจะใช้ให้คนนำไปมอบให้อีกสักกี่ครั้ง ฉันก็จะนำมันมาคืนให้คุณอยู่ดี”

เตชิตไม่ตอบว่าอย่างไร เพียงแต่ยกมือล้วงกระเป๋าเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่มช้า ๆ อย่างใช้ความคิด

“ดูเหมือนคุณยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะบอกสินะครับคุณน้ำ”

“คะ” ม่านนทีหันไปมองอย่างสงสัย

“สิ่งที่ผมทำลงไปทุกอย่าง นอกเหนือไปจากการทำให้คุณคลายความกังวลแล้ว ยังเป็นการทำเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ภายใต้การดูแลของครูวิภาอีกด้วย” เตชิตเว้นจังหวะ “บอกตามตรงเงินจำนวนนั้น ผมตั้งใจจะยกให้พวกคุณนำเช็คไปไถ่ถอนที่ดินคืนมาตั้งแต่แรกแล้ว”

ม่านนทีพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนกับเงินที่ตัวเองอุตส่าห์ทำงานเก็บเงินมาไร้ค่ายิ่งกว่าเศษกระดาษ

“คุณเตชิต”

“คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ ว่ายินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคืนมา พวกเด็ก ๆ จะได้มีที่อยู่อาศัย แต่พอผมนำเงินไปให้ คุณกลับปฏิเสธ โดยอ้างแต่เหตุผลของตนเองเป็นที่ตั้ง ทำแบบนี้คุณคิดว่าทำถูกแล้วหรือ”

เตชิตกล่าวเสียงเรียบ แต่เจือไปด้วยความกรุ่นโกรธชัดเจน ร่างสูงยกปลายนิ้วขึ้นล็อกกลอนประตูช้า ๆ โดยที่ม่านนทีไม่ทันได้สังเกตเห็น

“สิ่งที่ทำให้คุณไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผม ไม่ใช่เพราะความเกรงใจ แต่คุณกำลังกลัวว่าผมจะฉวยโอกาสใช้อำนาจเงินซื้อหัวใจคุณต่างหาก ใช่หรือเปล่า” ร่างสูงภายใต้ชุดสูทหันกลับมาจ้องหน้าเธอตรง ๆ

คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ม่านนทีเถียงไม่ออก

“ฉัน...เอ่อ”

“บอกผมสิคุณน้ำ ว่าคุณกำลังกลัวอะไรอยู่”

“....”

“คุณกลัวว่าผมจะหลอกลวง ไม่คิดจริงจังกับคุณ เหมือนอย่างที่คนอื่นพูดเป่าหูมาอย่างนั้นใช่ไหม”

“ไม่ใช่” ม่านนทีปฏิเสธเสียงดังเท่ากระซิบ ไม่เคยรู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุมมากขนาดนี้มาก่อน มาลัยพูดถูกเตชิตไม่ใช่คนโง่ เขามองความคิดของเธอออกทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของหัวใจ

ใบหน้าคมคายไม่มีรอยยิ้มให้เห็นเหมือนเคย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องหญิงสาวเนิ่นนาน ราวกับต้องการเค้นหาคำตอบที่ซ่อนลึกอยู่ภายในหัวใจเธอ ร่างสูงสมส่วนขยับปลายเท้าเข้าใกล้ม่านนที พร้อมแรงกดดันที่บังคับให้เธอต้องก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“ถ้างั้นทำไมถึงเอาเช็คมาคืนผมล่ะ“

ม่านนทีเลือกที่จะไม่ตอบ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างคำพูดนั้นได้

เตชิตถอนหายใจหนักหน่วง นึกอยากปล่อยมือจากหญิงสาวให้เธอได้เลือกทำตามความต้องการของตัวเอง ทว่า...ชายหนุ่มไม่ใช่ผู้ชายที่ใจดีขนาดนั้น เพราะสิ่งไหนที่เขาตัดสินใจเลือกแล้ว...

จะไม่มีวันยอมปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด

เขาไม่สนใจหรอก ว่าม่านนทีจะมีความรู้สึกแง่ลบต่อเขามากแค่ไหน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเตชิตได้แต่เฝ้ารออย่างอดทน โดยหวังว่าสักวันหนึ่ง ความรู้สึกที่เขาเพียรมอบให้แก่เธอ จะทำให้ม่านนทีเปิดใจยอมรับ ลดทิฐิช่องว่างระหว่างเขาและเธอ ให้ใกล้ชิดสนิทกันมากยิ่งขึ้น

ทว่า ยิ่งเขารอนานมากเท่าไหร่ ม่านนทีเอง ก็ดูเหมือนจะพยายามวิ่งหนีห่างออกไปมากเท่านั้น

“ผมยินดีอดทนรอคุณเสมอคุณน้ำ และมั่นใจด้วยว่าสักวันหนึ่ง คุณเองก็คงจะยอมเปิดใจรับผมในฐานะคนรักเช่นกัน” เตชิตเอ่ยเสียงกระด้างขึ้นตามอารมณ์ สืบเข้าเข้าประชิดร่างบางจนเธอหลังติดผนัง พร้อมทั้งยกแขนขึ้นกันไม่ให้อีกฝ่ายได้ถอยหนี

“คุณเตชิต” ม่านนทีลืมตาโต

“แต่ตอนนี้...ผมเปลี่ยนใจแล้ว”

************************
ตอนนี้เขียนไป อยากตบมาลัยอย่างบอกไม่ถูกค่ะ -*-
ตอนหน้าคู่นี้ หวานสุดๆ ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนิยาย เรื่องนี้นะคะ

เบลินญา




เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2554, 14:52:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2554, 14:52:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 2665





<< ตอนที่ 22 เงินตราแลกหัวใจ   ตอนที่ 24 เงื่อนไขของความรัก >>
ameerahTaec 17 พ.ย. 2554, 15:17:08 น.
แอร๊ย คุณเตชิตมีสองร่าง เทวดากะซาตาน แต่ชอบบทซาตานมากกว่า คิคิ


เบลินญา 17 พ.ย. 2554, 15:29:39 น.
555 แอบชอบเหมือนกันค่ะ


anOO 17 พ.ย. 2554, 16:16:35 น.
อ้าว คุณเตชิตกะจะรวบหัวรวบหางยัยน้ำเลยเหรอเนี้ย
ไม่รอก้าวไปพร้อมๆ กับนายราเมศล่ะ ร้ายเหมือนกันนะ


เบลินญา 17 พ.ย. 2554, 16:19:23 น.
ร้ายเพราะรักค่ะ ^^


pattisa 17 พ.ย. 2554, 17:40:02 น.
ว้ายๆ นายเตชิตจะทำอะไรนำ้ ส่วนมาลัยนี่อิชั้นจะช่วยคนแต่งตบด้วย 5555


nunoi 17 พ.ย. 2554, 18:11:07 น.
อ๊ายยย คุณเตชิต จะทำอะไรหนูน้ำน่ะ รอตอนหน้านะจ๊ะ


ลิขิตรา 17 พ.ย. 2554, 20:38:23 น.
อร๊าย...คุณเต้...


Zephyr 18 พ.ย. 2554, 00:16:33 น.
เอร๊ยย ค้างอ่ะ คุณเบลินญาเอาไม้มาสอยเค้าลงไปนะ ปล่อยให้ค้างอ่าา
แองเจิ้ลเตชิตหายไปแล้ว ตอนนี้เดวิลเตชิตกำลังมีอำนาจสูงส่ง เค้าล็อคห้องจะทำไรกันอ่ะ ไปเกาะขอบเตียง เอ้ยย ประตูดูดีป่ะ...เมนท์ส่อมากมาย
ช่วงแรกนี่แอบคิดว่าคุณเตจะตอบนายเมศไปว่า เจ้าสาวนายก็ชื่อนั้นแหละ แต่แหม ให้นายเมศไม่รู้ก็ดีจะได้พยายามเอาปิ่นกลับมา ไม่ใช่งอมืองอเท้ารอวันแต่งงาน หึหึ ^^


violette 18 พ.ย. 2554, 02:25:37 น.
กรี๊ดดดดดดดดดด ตุณเตชิตเวอรชันโหดเท่จังเลยค่ะ แอร๊ยยย
ส่วนนายราเมศก็รอแห้วกินต่อไป ให้ปิ่นหนีการแต่งงานซะเลย เฮอะหมั่นไส้


เบลินญา 18 พ.ย. 2554, 09:16:26 น.
หนุ่มหล่อ แอบโหดค่ะตอนนี้


Alcoholic 20 พ.ย. 2554, 11:26:36 น.
Omg อยากเป็นหนูน้ำบ้าง กริ๊ดๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account