มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 1 ดวงไฟในเงามืด

@Neferretti
เรื่องเป็นแนวลึกลับแบบพารานอมอลเหนือจริง ลองติดตามดูนะคะ^^

@หยกสีน้ำผึ้ง
ขอบคุณสำหรับรอยยิ้มและกำลังใจค่ะ

@ริญจน์ธร
สามพี่น้องคุปตะจินดา สู้ๆ

@ ameerahTaec
ตอนนี้มีชายหนุ่มน่าสงสัยออกมา (หุหุ ภูมิใจเสนอมากตัวละครนี้)

@ฮอบบิท
แรงดึงดูดที่เร้าใจยิ่งกว่ากำลังเริ่มขึ้นแล้ว

@หมูอ้วน
มาต่อแล้วค่าาา *-*

@บุลินทร
บทที่1มาแล้ว

@เบญจามินทร์
เรื่องนี้มีความลับมากมายเลย




มองผ่านมือที่เกร็งกำพวงมาลัยแน่นออกไปเบื้องหน้า บนกระจกหน้ารถ

...ฝนเม็ดหนึ่งหยาดลงมา เม็ดที่สอง สาม ค่อยๆ ตามติด ก่อนไหลรินลงเหมือน
หยาดน้ำตา เท้าของมัชฌิตาเหยียบคันเร่งรุดไปเบื้องหน้า พายุทะมึนกำลัง
ไล่ตามมาเบื้องหลัง

ทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน แต่เมฆซึ่งตั้งเค้าอยู่ข้างหลังนั้นราวกับฟ้าทั้งผืนกำลังจะ
ถล่มลงมา ตอนนี้หญิงสาวเริ่มไม่แน่ใจว่านั่นคือภาพที่เกิดขึ้นจริง หรือมีเพียงเธอ
เท่านั้นที่มองเห็นมันได้ ด้วยอำนาจแห่งดวงตา...

นอกจากเมฆ มัชฌิตาไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายชวนขนหัวลุกซึ่งตามจี้มาด้านหลัง
แบบตอนอยู่ในห้องย่าอีก ทว่าบรรยากาศก็เหมือนจะพาให้คิดว่าเจ้าสิ่งนั้น
ยังไม่หายไปไหนได้ไม่ยาก มัชฌิตากำลังหนีจากมัน แต่ถึงหนีไปไกลแค่ไหน
ก็คงไม่พ้น เธอบอกตัวเอง นี่คือการหนีไปตั้งหลัก

จุดหมายแรกของเธอคือที่นั่น... ดงพญาไฟ

วันนี้เธอแอบเข้าไปในบ้านโดยน้องสาวทั้งสองคนไม่มีใครอยู่ มุกดาได้
ย้ายออกไปแล้ว ด้วยทำใจที่จะอยู่คนเดียวไม่ได้เพราะขาดย่าไป ส่วนมาริณ
น้องสาวคนสุดท้องซึ่งใกล้เรียนจบก็ไปทำโปรเจคจบอยู่ถึงเชียงใหม่

มัชฌิตาแอบหยิบกุญแจห้องย่าที่น้องเธอเก็บไว้หลังรูปภาพบนชั้นสองไขเข้าไป
ในห้องเพื่อพบกับร่างของย่า คิดว่าอาจสื่อถึงกันได้มากกว่ายามเข้าใกล้ ตอนนี้
เธอรู้แล้วว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาสู่พลอยในมือ แต่ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด


ด้วยความที่ยังมึนตึงต่อกันมัชฌิตาจึงเลือกที่จะส่งข้อความไปบอกมุกดาว่า
ตนจะไปเที่ยวยาวแทนการโทรศัพท์ อาจไม่ได้ติดต่อมาเป็นเดือน...
นึกในใจว่าน้องคงเกลียดพี่น่าดูที่ไม่สนใจเรื่องย่าแต่ยังมีแก่ใจเที่ยวได้

จากบ้านย่าซึ่งตั้งอยู่รอบนอก เลยบางนาลงมา หญิงสาวบึ่งขึ้นไปทางรังสิต
ระหว่างที่ขับรถจิตใจอันร้อนรนก็พลันหวนระลึกไปถึงอดีต เรื่องที่ผ่านมาหลายปี
ยังไม่เลือนรางไปจากความทรงจำ ทั้งที่มัชฌิตาเองไม่ได้ตั้งใจอยากจะจดจำอะไร
เป็นพิเศษ แต่เธอยังคงเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนจนเหมือนแกล้ง

...บรรยากาศตามมุมซึ่งคุ้นตาภายในบ้านมืดๆ หากพูดตามภาษาฮวงจุ้ย
คงต้องบอกว่ามีพลังหยินมากกว่าหยาง ทั้งตัวบ้านจนถึงตัวคนผู้เป็นเจ้าของ
ย่าของเธอคลุกคลีกับพลังด้านมืด มีชีวิตอยู่กับมัน ในโลกที่ไม่มีใครเข้าถึง
และไม่อาจเข้าใจ บ้านหลังนั้นเองก็มีอายุยาวนาน พื้นที่ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยปู่
ยังมีชีวิต ช่วงเวลาก่อนที่มัชฌิตาจะเกิดตัวบ้านได้ถูกเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงมา
หลายหน จนมาจบที่ปัจุบัน ทรงเมดิเตอร์เรเนียน แต่ภายในตัวตึกสูงนั้นถูก
ประยุกต์ต่อเติมจนออกไปทางทึบทึมมากขึ้นทุกทีจนสมกับความต้องการของย่า
ทางเดินเล็กๆ แคบๆ กำแพงคดเคี้ยวราววงกตคลุมด้วยไม้เลื้อยหนาตา แม้ตัวบ้าน
จะไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนัก
แต่เรียกว่าถ้าใครมาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งแรกแล้วเดินเล่นไม่ดูตาม้าตาเรือ
เป็นต้องได้งงทุกรายว่าเริ่มจากทิศไหนมาโผล่ยังทิศไหนของบ้านกันแน่

มัชฌิตารู้ดีว่าย่าจงใจให้ทุกคนรู้สึกเช่นนั้น เหมือนกับที่ผู้คนรู้สึกกับตัวย่าเอง



อมินตา คุปตะจินดา ผู้เป็นย่าคือผู้มีชื่อเสียงอยู่ในวงสังคมชั้นสูง แม้ว่า
พวกเธอหลานๆ จะไม่รวมตัวเองอยู่ในชนชั้นที่ว่าก็ตาม ถึงย่าจะร่ำรวยก็กลับ
แปลกแยกไม่เข้าพวกกับใคร อาจเพราะเป็นคนต่างชาติอย่างหนึ่ง ทั้งยัง
ไม่ยอมคบหาสมาคมกับชาวบ้าน นอกเสียจากรับดูดวงให้พวกเศรษฐีมีเงิน
นานปีทีหน เรียกเก็บค่าดูทีละเหยียบแสนหรือบางรายอาจถึงล้าน
แต่คนหลายคนก็ยอมเสียเงินที่ว่า เพื่อเป็น “ค่ามองดูอนาคต”

ย่าได้ส่งเสียค่าเล่าเรียนพวกเธอสามพี่น้องมาตั้งแต่มัชฌิตาอยู่ชั้นมัธยมต้น
แม้ไม่ได้หยิ่งจนถึงขั้นไม่รับมือซึ่งยื่นมาอุ้มชูยามมารดาเสียชีวิตไป แต่ส่วนหนึ่ง
หญิงสาวคิดว่ามันคือการชดใช้...

เมื่อแรก ย่าพรากพ่อไปจากที่ควรจะมีกันพ่อแม่ลูก พอเธอไม่มีทั้งพ่อและแม่
เหลือย่าเพียงคนเดียวเป็นญาติผู้ใหญ่มัชฌิตาก็ตัดไม่ลง
แต่เหตุผลสำคัญที่สุดซึ่งยังทำให้เธออยากอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นกลับเป็น
เพราะไม่อยากห่างจากน้องสาวทั้งสองคน

อสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาเบื้องหลัง มัชฌิตารู้สึกถึงความสั่นสะเทือนเบาๆ
ของพสุธาที่ครั่นครืนตามแรงฟ้า ราวกับว่าเกิดฟ้าผ่าลงตรงที่ไหนสักแห่งเบื้องหลัง
ม่านน้ำฝันอันพร่างพรายที่เธอมองเห็นทางกระจกมองหลัง
ย่าเคยพูดเปรยๆ ถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งซุกซ่อนตัวในขุนเขาหลายครั้ง
แม้ตอนนั้นจะไม่ทราบจุดหมายแน่ชัดว่าผู้สูงอายุจะพูดขึ้นมาทำไม
แต่ตอนนี้มัชฌิตาคิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว ย่าจงใจจะบอกเธอให้ได้รู้
และจดจำเอาไว้ เธอจะต้องมุ่งไปให้ถึงที่นั่น

‘ต้องผ่านดงพญาไฟ ก่อนจะไปได้ถึงถ้ำ สถานที่อันเป็น...ที่สุดแห่งดวงตา’

อำนาจหยั่งรู้ของมัชฌิตายังไม่สมบูรณ์แม้จะมีพลอยตาเสือเม็ดนี้มาเพิ่มพลังให้
หากได้ความสามารถนั้นมาเธอคงไม่ต้องหวั่นกลัวอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา
อย่างน้อยก็คงหลบหนีจากมันไปได้จนถึงที่สุด หรือถึงขั้นหาวิธีจัดการกับมันได้
ความรู้สึกก้ำกึ่งนี้ไม่เชิงว่าเป็นความกลัว น่าจะบอกว่าเป็นความตื่นเต้นที่น่าพรั่นพรึง
ทั้งอยากจะถอยห่าง และแทบทนรอไม่ไหวที่จะเผชิญหน้ากับมัน แต่เธอเอง
จะต้องพร้อมเสียก่อนมันจะเข้ามาถึงตัว

รถจี๊ปทรงตู้ปลาสีชาเก่าๆ คันนี้เป็นสมบัติอย่างเดียวที่มัชฌิตาได้รับมาจากพ่อ
พูดให้ถูกกว่านั้น นอกจากชีวิตแล้ว นี่คือสิ่งเดียวที่พ่อได้มอบไว้ให้เป็นประโยชน์กับ
พวกเธอแม้แต่เงินเล็กๆ น้อยๆ คนเป็นบิดาก็ยังไม่เคยส่งมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
พ่อจึงตัดขาดกับพวกเธอโดยสิ้นเชิง ก็ไม่ใช่อะไร น่าจะเป็นประกาศิตจากย่า
อีกนั่นแหละ แล้วพ่อก็ทำตาม ความรู้สึกที่มีต่อบิดาไม่เชิงว่าเป็นไปในทางลบ

เพราะเธอรู้ว่าย่ามีบางอย่างแปลกๆ อะไรที่ว่านั้นมักจะบันดาลให้ผู้คนรอบข้าง
ทำตามใจย่าได้เสมอ มีเพียงเธอและน้องที่อยู่เหนือการควบคุม ไม่ทราบว่า
เพราะย่าไม่อยากครอบงำพวกเธอหรือด้วยเหตุใด

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดีสมัยนั้นน้องๆ ก็ยังเล็กมากเกินกว่าจะ
รู้สึกสงสัยในตัวย่า มัชฌิตาดูออกว่าน้องสาวทั้งสองของตนรักย่าจากใจริง
แต่เธอกังขังอยู่มิคลาย จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้จนถึงวันนี้
หากไปถึงที่สุดแห่งดวงตาก็คงตอบตนเองได้ทั้งเรื่องพลอยตาเสือเม็ดนี้และ
เรื่องอดีตที่ผ่านมา

ผ่านดงพญาไฟ... หมายถึงต้องไปไกลกว่านั้น หรือเข้าไปสู่ดงพญาไฟ
เธอตีความไม่ถูก แต่ยังไงก็ต้องไปเริ่มต้นที่นั่น คงมีแต่ทางนี้

เมื่อแรกหญิงสาวตั้งใจเลือกใช้เส้นทางด้านปราจีนบุรี แต่คล้ายรู้สึกไปเอง
ว่าจุดความร้อนเล็กๆ ที่กลางอกวูบผ่านมาก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวนึกฉุนกับสัมผัสพร่าเลือนไม่ชัดเจน แต่ก็ตัดสินใจกลับรถกะทันหัน
เปลี่ยนใจไปทางปากช่องซึ่งมีเมฆฝนตั้งเค้าทะมึนรออยู่ไม่ต่างจากเบื้องหลัง
แม้ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้พบเจอบนหนทางข้างหน้าจะดีขึ้นหรือเลวร้ายลงก็ตาม




ชามัล เมห์ฮรา หยิบตลับบุหรี่โลหะแบนๆ สีทองลงยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เขาไม่ค่อยสูบต่อหน้าใครง่ายนัก เหตุผลก็มีแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น คือ
เขาไม่พกไฟแช็ค...

ดวงตาสีน้ำตาลทองหรี่ปรือลงเมื่อชายหนุ่มยกมวนบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก
เปลวเพลิงเล็กๆ จุดขึ้นเองในช่วยเสี้ยววินาทีก่อนจะวูบหาย เขาสูบเพียงครั้งเดียว
นิ่ง และยาว อัดควันเข้าลึกในปอด ก่อนปล่อยมันเป็นอิสระอย่างช้าๆ ทางริมฝีปาก
สูดควันนั้นกลับเข้าไปอีกครั้งทางจมูก ซึมซับทุกอณูแห่งกำยานไฟซึ่งช่วยเปิด
ความรับรู้แห่งตาใน

ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อดำสนิทซึ่งพับไว้ลวกๆ
ยิ้มมุมปาก “แปลก เกิดเปลี่ยนใจไม่มาทางนี้สินะ ถ้างั้น...ผมคงต้องเป็นฝ่าย
ไปตามคุณ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะมาดักรอก่อนแท้ๆ ”

ชามัลขยุ้มกำมวนยาที่สูบไปเพียงแค่ครั้งเดียวไว้ในมือ ไม่ใช่เพื่อดับไฟ แต่เขา
จุดมันให้สลายกลายเป็นเถ้าด้วยกิริยาแสนจะเป็นธรรมชาติ เถ้านั้นถูกทิ้งปลิวไป
ตามสายลม ในขณะที่เจ้าตัวก้าวขึ้นรถจากัวร์สปอร์ตสีดำ กระทืบเท้าลงบนคันเร่ง
ทันทีที่บิดกุญแจ

งั้นพบกันตรงปลายทางก็แล้วกัน
เหยียบมิดขนาดนี้ ดูซิว่าจะไปถึงก่อนคุณไหม มัชฌิตา...




ก่อนที่ย่าของมัชฌิตาจะเสียชีวิต เธอได้รับโทรศัพท์จากมุกดาหรือยายมูน
น้องสาวคนรองกลางดึกของหลายคืนก่อน

‘คุณย่าจะไม่ไหวแล้วนะ พี่มิ้งค์รีบมาเถอะ’

‘หึ ยายมูน...พี่ว่าคนแก่หัวแข็งแบบนั้นไม่ตายง่ายๆ หรอก ย่าเป็นคนปกติ
เสียที่ไหนก็รู้ๆ กันอยู่’ เธอตัดบท คล้ายอยากจะนอนต่อ ทั้งที่ในใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ

‘ในเวลาแบบนี้พี่มิ้งค์ยังจะใจร้ายกับย่าได้อีกเหรอ’ คนเป็นน้องพ้อมาตามสาย
ด้วยเสียงที่ไม่อำพรางความน้อยใจ และเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว
มัชฌิตากดตัดสาย เธออยากมีเวลาคิด และเมื่อมุกดาพยายามโทรมาอีกครั้ง
สิ่งที่หญิงสาวเลือกทำก็คือการปิดโทรศัพท์หนี กังวลใจ หวั่นไหว รู้สึกผิดบาปอยู่ลึกๆ
ทั้งไม่เชื่อและไม่อยากเชื่อว่าหญิงชราเย่อหยิ่งแสนทระนงจนดูราวกับว่าไม่มีวันล้ม
จะต้องมาอยู่ในสภาพอ่อนแอ ไม่อยากเห็น และใจหนึ่งไม่อยากรับรู้ว่าย่ากำลังจะ
จากไปอย่างที่น้องสาวพูดจริงๆ อาจแค่เพิ่งมาเจ็บป่วยจนต้องถึงมือหมอตามประสา
คนแก่เหมือนคนปกติเขาบ้าง

ย่าที่เธอจำได้ แม้อายุอานามปาเข้าหลักร้อยแล้ว ยังคงแข็งแรง
แข็งกร้าว ราวกับไม่ใช่คนผู้มีความรู้สึกละเอียดอ่อนใดเลย
หลายวันต่อมา มัชฌิตาจึงได้ยอมเปิดโทรศัพท์

‘คุณย่าเสียแล้วนะ’

ข้อความสั้นๆ ซึ่งมุกดาน้องสาวของเธอส่งมาทิ้งไว้ทำเอามัชฌิตาชาวาบ
จรดปลายเท้า และเมื่อกลับไปพบหน้าอีกฝ่าย หญิงสาวก็รู้ว่าการที่เธอไม่ยอมกลับมา
ดูใจย่าได้ฝากรอยแผลบางอย่างเอาไว้ บอกได้จากดวงตาที่มองมาสบตา คนเป็นพี่
พยายามไม่มองความเจ็บปวดซึ่งฉายชัดออกมาให้เห็นนั้น เธอไม่อยากที่มาเสียน้ำตา
อะไรเอาตอนนี้หรอก

‘ไหนล่ะ ของอะไรที่ว่าสำคัญ ที่มูนบอกว่าย่าฝากไว้ให้น่ะ รีบๆ พูดมา พี่มีธุระต่อ’

‘พี่มิ้งค์...’

‘ย่าฝากอะไรไว้’ มัชฌิตากอดอก ตีหน้าบึ้งอย่างรำคาญนิดๆ ใส่น้องสาว
จากนั้นจะเรียกว่าดวงตาของเสือตัวหนึ่งได้มองมาสบตาเธอเป็นครั้งแรกก็คง
ไม่ผิดนัก เวลานั้นพลอยยังประดับอยู่บนเรือนแหวน เป็นแหวนซึ่งย่าอมินตาเคยหยิบ
มาใส่ร่วมกับแหวนประดับอัญมณีมีค่าวงอื่นๆ ที่ใส่ไว้ตลอดเวลาแทบจะเต็มครบทุกนิ้ว
เธอรู้ว่าของที่ย่าครอบครองย่อมไม่ธรรมดา แต่ไม่เคยอยากได้ รวมถึงไม่ได้สนใจมัน
เป็นพิเศษ
เพราะดวงตานี้ไม่เคยเหลือบมองเธออย่างที่มันกำลังมอง แววตาที่เห็น
ไม่ใช่แววตาของคน เป็นขีดเปล่งแสงเรืองรอง วาววาม สงบนิ่งอย่างตาของพยัคฆ์
ผู้กำลังชั่งใจว่าใช่เธอหรือไม่ที่คู่ควรครอบครองมัน และมัชฌิตาก็รู้ว่าเธอรอคอย
สิ่งนี้อยู่ ด้วยแรงดึงดูดเชื่อมโยงถึงกันบางอย่าง ยิ่งเมื่อเธอรับแหวนมาไว้ในมือ

‘แหวนวงนี้น่ะรึ ที่ย่าสั่งให้มูนส่งต่อให้พี่’ พลอยตาเสือ สื่อถึงพลังหยั่งรู้พิเศษ
ที่เรียกว่าตาที่สาม
...มัชฌิตาลองสวมมัน ภาพความฝันเมื่อนานแสนนานมาแล้วที่เธอ
ยังจำได้ดีแว่บผ่านเข้ามาในหัวสมอง เปลวไฟลุกไหม้ในความมืดมิด ร้อนแรง
จนน่าอึดอัด ในช่วงเวลานั้น เงาของใครบางคนได้ก้าวออกมา ดวงตาของเขา
วาวโรจน์ เป็นไฟที่ทรงอำนาจน่าสะพรึงยิ่งกว่าไฟซึ่งรายล้อมอยู่มากมายนัก

มัชฌิตาตัวสั่น เหงื่อแตกซิ่ก รู้สึกคล้ายหลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริงชั่วขณะ
จนเมื่อมุกดาจับแขนของเธอเขย่าแรงๆ ‘พี่มิ้งค์เป็นอะไรรึเปล่า’

‘มะ ไม่...’ ถึงจะตอบไปอย่างนั้น แต่มัชฌิตาก็รู้ได้ในทันทีว่าจะใส่แหวนเอาไว้
แบบนี้ไม่ได้ มันเตะตาเกินไป มีใครบางคน อะไรบางอย่างกำลังตามหาพลอยเม็ดนี้อยู่
แต่ใครล่ะ... ‘แล้วย่าบอกอะไรกับมูนบ้าง ตอนให้พลอยนี่มา’

‘คุณย่าบอกว่า พลอยสามเม็ดที่ย่าให้จะนำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาให้เรา
พลอยของพี่มิ้งค์จะต้องกลับไปอยู่กับเจ้าของที่แท้จริง’

‘แค่นั้นรึ’ มัชฌิตาขึงนัยน์ตามองอีกฝ่ายอย่างจะเอาความจริงให้ได้

‘เอ่อ...ค่ะ’

‘แล้วของมูนกับยายมีน ย่าให้อะไร’

‘ก็ เป็นแหวนเหมือนกัน...’

‘ไหนขอพี่ดูซิ’

มัชฌิตาได้เห็นแหวนที่ย่ามอบให้น้องทั้งสองคน ของมุกดาน้องสาวคนโตเป็น
มูนสโตนหรือมุกดาหาร ส่วนอความารีนพลอยแห่งน้ำ สำหรับมาริณน้องสาวคนสุดท้อง
มิ้งค์ มูน และมีน เป็นชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้
ส่วนชื่อจริง... มัชฌิตาเคยคิดว่ามารดาเป็นคนตั้งเช่นกัน
แต่เห็นจะไม่ใช่เช่นนั้นเสียแล้ว ย่าคิดจะให้หินนี้กับเราตั้งแต่พวกเราเกิด
หรือว่าเพิ่งจะมาคิดให้แหวนซึ่งเหมาะกับแต่ละคน คงจะใจดีอย่างนั้นหรอก
คนแก่เจ้าเล่ห์เย็นชา เห็นแก่ตัว น่าจะวางแผนมานานแล้วมากกว่าทั้งเรื่องชื่อ
และเรื่องที่จะมอบพลอยเหล่านี้ให้พวกเธอ แต่เพราะอะไร ทำไม หรือว่าย่า
มองเห็นอนาคตล่วงหน้าตั้งแต่ต้น ว่าพวกเธอจะโตขึ้นมาเป็นอย่างไร
และอะไรกันแน่ที่รอคอยอยู่ในหนทางข้างหน้า

มัชฌิตามองแหวนมูนสโตนของมุกดา เธอไม่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอะไรเลย
แต่กับอความารีนรูปหยดน้ำเม็ดนั้น เธอรีบฉวยมันมาไว้ในมือทันทีโดยที่น้องสาว
ได้แต่มองตาปริบๆ

‘ของยายมีนรึ หึ... งั้นพี่จะเป็นคนเอาให้มีนเอง’

‘พี่มิ้งค์จะเอาไปให้มีนยังไง’ มุกดาท้วงด้วยสีหน้าไม่วางใจนัก

‘นี่ไม่เชื่อใจกันหรือไงมูน’ มัชฌิตาเกือบหัวเราะ เมื่อแววตาของน้องสาว
ตอบเธอว่าใช่ แต่อีกฝ่ายก็ยังเกรงใจเกินกว่าจะพูดออกมาตรงๆ

‘มูนควรเป็นคนเอามันให้น้องเอง จะได้บอกเรื่องคำสั่งเสียของย่า
ย่าบอกว่า อความารีนเม็ดนี้จะช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากอดีตได้’

‘เรื่องนั้นพี่จะบอกต่อให้ มีธุระต้องไปเชียงใหม่...งานแต่งงานเพื่อนน่ะ
พอดีกับยายมีนไปทำงานที่นั่น เดี๋ยวจะได้แวะเอาพลอยนี่ไปให้มีนด้วยเลย’

‘แต่อีกไม่กี่วันน้องก็กลับมาแล้ว มูนจะให้น้องเอง’

‘ไม่เป็นไรน่า ไหนๆ พี่ก็ผ่านไปทางนั้นพอดี’ มัชฌิตายืนกรานหัวชนฝา
ถึงมุกดาจะไม่ค่อยเชื่อ และพยายามทัดทานอย่างเดียวแต่มัชฌิตาก็ชิงถอยห่าง
เดินลิ่วมาขึ้นรถ โดยมีน้องสาวส่งเสียงดังไล่หลังมาไม่วาย

จากนั้นเธอตรงไปยังร้านรับทำเครื่องประดับทำมือของเพื่อนซึ่งอยู่ในย่าน
ใจกลางเมือง เพื่อนเธอที่เป็นเจ้าของร้านค่อนข้างเชื่อมือได้เรื่องความประณีตและ
รสนิยม ทำให้มีลูกค้าประจำมากมายทั้งคนไทยและต่างประเทศแวะมาเยี่ยมเยือน
แต่ในวันที่มัชฌิตาไปถึง ร้านกลับเงียบสงัดจนน่าประหลาดใจ เธอขอให้เพื่อน
งัดเอาพลอยตาเสือและอความารีนออกมาจากเรือนแหวน ทั้งยังให้ช่วยออกแบบ
ลวดเงินโอบอุ้มพันรัดพลอยตาเสือเอาไว้ โยงปลายแหลมรีทั้งสองด้านเข้ากับ
สร้อยเงินเส้นยาวแข็งแรง เพื่อที่จะสามารถใส่ไว้ติดตัวได้สะดวก ส่วนอความารีน
มัชฌิตายังไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรกับมันดี

‘แหวนก็สวยอยู่แล้ว ทำไมถึงอยากจะแซะออกมาล่ะ’ คนเป็นเพื่อนเอ่ยถามลอยๆ
ระหว่างที่กำลังทำจี้ให้มัชฌิตาซึ่งสนใจจ้องมองดูตลอดขั้นตอนอย่างใกล้ชิด

‘อยากจะใส่ติดตัวไว้ใต้เสื้อน่ะ เป็นแหวนมันเตะตาเกินไป พลอยก็เม็ดใหญ่
เทอะทะ ยาวเกือบสองข้อนิ้วได้มั้งนี่’

‘พลอยตาเสือสวยหายากขนาดนี้ฉันยังไม่เคยเห็นเลย มันเหมือนดวงตาจริงๆ
แสงที่อยู่ในเนื้อก็เหมือนไฟ’

‘สวยเกินจนกลัวจะถูกจี้’ มัชฌิตาพูดติดตลก ‘พลังของพลอยตาเสือ
ถ้าจะให้ดีที่สุดต้องวางไว้กึ่งกลาง เหมือนกับดวงตาที่สาม ฉันเลยเลือกทำเป็นจี้’

‘อืม เรื่องนั้นก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่าแต่ย่าของเธอยังใช้พลังจากมันได้
โดยที่ยังเป็นแหวนเลยนี่นา’ เพื่อนของมัชฌิตาถามยิ้มๆ เป็นเรื่องปกติ
คนซึ่งทำงานคลุกคลีกับอัญมณีมักอดเชื่อในเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ไม่มากก็น้อย
เพราะบ้างก็ต้องท่องเอาไว้บรรยายสรรพคุณให้ลูกค้าฟัง บ้างก็ประสบพบเจอ
กับพลังประหลาดของหินธรรมชาติเข้ากับตัวจึงได้เชื่อ

‘ย่าของฉันอาจจะเก็บมันไว้ด้วยเหตุผลอื่น...’ มัชฌิตาพูดเรียบๆ ตอบไป

นั่นสินะ ย่าเก็บพลอยพวกนี้ไว้เพื่อส่งมอบต่อให้พวกเธอหลังจากตายไป
เรื่องนี้มันมีเบื้องหลังอะไรกันแน่
มัชฌิตา...ชื่อนี้เป็นของเธอมาตั้งแต่เกิด ถึงจะไม่ค่อยพอใจเรื่องที่มาอันลึกลับ
ของนามนั้นที่ย่าตั้งแต่เธอคงไม่มีวันคิดเปลี่ยนชื่อ หากว่ามันเป็นชะตา เป็นลิขิต
ของเธอ มัชฌิตาก็พร้อมจะประกาศว่าตนเป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์เพราะว่า
เธอเป็น... ไม่ใช่เพราะใครอยากให้เป็น




ฟ้าลั่นครืนปลุกมัชฌิตาขึ้นจากภวังค์บนถนนซึ่งมุ่งสู่ตัวเมืองสระบุรี ฝนที่
ตกกระหน่ำลงมาได้เปลี่ยนอุณหภูมิในรถให้หนาวจับใจ ตัวเธอเองเลือกจะมาทางนี้
โดยมุ่งหน้าเข้าหาเมฆฝนที่ดักรออยู่ หญิงสาวรู้สึกถึงแรงหน่วงซึ่งเพิ่มมากขึ้นของ
หินอความารีนในกระเป๋ากางเกงจึงหยิบมันออกมาดูอีกครั้งทั้งที่ขับรถอยู่ หินยัง
หนักอึ้งและเย็นชาดุจเดิม ไม่ตอบสนองต่อตัวเธอ แต่ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงบางอย่าง
อันตรายจะตามมาแน่ถ้ายังเก็บมันไว้ ทั้งกับตัวเธอและมาริณผู้เป็นน้องสาว

ย่ามองเห็นอะไรถึงคิดจะมอบมันให้เด็กอย่างมาริณได้ มัชฌิตาไม่อยากให้
น้องสาวเสี่ยงถึงขนาดนั้น และการแบกหินนี้เป็นภาระไว้กับตัวก็อาจจะยิ่งนำพา
สิ่งที่ยุ่งยากเข้ามาหาเธอได้อีก ควรจะต้องหาทางกำจัดมันไปโดยเร็วที่สุด
รถสะดุดเมื่อล้อหนึ่งกระแทกลงในหล่ม มัชฌิตารีบเก็บอความารีนเข้าไว้อย่างเดิม
ดีที่ไม่มีรถตามมา แต่เม็ดฝนหนาตาจนแทบจะมองอะไรไกลๆ ไม่เห็น หญิงสาวหัวเสีย
และหงุดหงิด ทั้งหิว ปวดหัว รู้สึกจนมุม ตอนนี้ล่วงเข้าตัวเมืองสระบุรีแล้ว บางที
เธอคงจะต้องจัดการอะไรลงไปสักอย่าง

หญิงสาวแวะเติมน้ำมันก่อนจะเดินทางต่อ ฝนยังไม่หยุดตกเมื่อมัชฌิตาจอดรถ
เทียบร้านก๋วยเตี๋ยวตรงตึกแถวข้างทาง รื้อเอาเสื้อกันฝนสีขาวขุ่นที่ตอนนี้แลดูไม่ค่อย
จะขาวเพราะถูกหมกไว้ใต้เก้าอี้คนขับนานจนฝุ่นจับออกมาสวม
น้ำซุปร้อนๆ จากเส้นหมี่ลูกชิ้นน้ำใสพอจะช่วยไล่ความหนาวและตึงเครียดไปได้บ้าง
มัชฌิตาชอบของร้อน และจะยิ่งดีถ้ามันเผ็ด แต่เวลาที่รู้สึกไม่ค่อยสบายแบบนี้
ก๋วยเตี๋ยวปรุงรสอ่อนๆ น่าจะทำให้รู้สึกดีมากกว่า

หญิงสาวรู้สึกตกใจ เมื่อตอนจะจ่ายเงินเธอควานหากระเป๋าสตางค์ไม่พบ
“ป้าคะ บังเอิญว่าหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอน่ะค่ะ ขอตัวไปดูที่รถก่อน เดี๋ยวค่อย
กลับมาจ่ายได้ไหมคะ” มัชฌิตารู้สึกละอายนิดๆ เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตากึ่งปลง
กึ่งตำหนิ แหม เธอไม่ใช่พวกที่จะมาชักดาบเอากับค่าก๋วยเตี๋ยวหรอกน่า แต่ยังไม่ทัน
หันหลังไป หูเจ้ากรรมก็ได้ยินเสียงบ่นตามหลัง

“หน้าตาก็ดูเป็นคนกรุงเทพฯ แค่ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวไม่มีเงินจ่าย”
หญิงสาวสะดุดเท้าหยุดกึก เลือดตีขึ้นหน้าทันควัน คนอย่างเธอไม่มีวันยอมโดนดูถูก
ทั้งต่อหน้า ลับหลัง หรือว่ายังไม่ทันคล้อยหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่...

“ขอโทษนะคะ ก็เมื่อกี้ฉันบอกว่าขอไปหยิบเงินที่รถแล้วจะกลับมาจ่าย”
มัชฌิตาเอ่ยเสียงเข้ม

“แล้วมีอะไรรับประกันได้ล่ะคู้ณ” ป้าเจ้าของร้านยังไม่ยอมแพ้
แต่ก่อนที่มัชฌิตาจะทันได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“ผมจ่ายแทนให้ก็ได้ครับ แค่นี้เอง”

เป็นที่กระแสเสียงทรงพลังอย่างประหลาดทำให้มัชฌิตาออกจะตกใจ แต่ยังไม่เท่า
ในยามเธอหันไปสบตาคนพูด ดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลทอง สวยพราว หากแต่
แลบประกายแกร่งกร้าว ดวงหน้าคมคายแปลกตาอย่างชาวต่างชาติ แต่เขาก็พูดไทย
ชัดทีเดียว หรือว่าจะเป็นดารามาเที่ยวแถวนี้

ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีดำสนิท ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาในร้านตอนไหน จำได้แต่ว่า
ตอนมาเธอไม่เห็นผู้ชายที่ดูสะดุดตาคนนี้ อาจจะเป็นขณะที่มัชฌิตากำลังก้มหน้าก้มตา
จัดการกับก๋วยเตี๋ยวด้วยความหิวก็เป็นได้

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลทองหลุบตามองต่ำคล้ายจะยั่วยิ้มด้วยแววตา แล้วเขาก็
เป็นฝ่ายผละจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก โดยมีมัชฌิตารวมถึงป้าเจ้าของร้านที่มองตามไป
ราวกับถูกสะกด

หญิงสาวกลับมายังรถ คุ้ยหากระเป๋าสตางค์อย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เมื่อใจคอยประหวัดไปถึงเจ้าของดวงตาลึกลับที่เธอได้พบเมื่อครู่ อยากคุยกับเขา
นานกว่านี้อีกนิด ดูว่าน่าจะอายุมากกว่ามัชฌิตา แต่คงไม่ถึงสามสิบ น่าเสียดาย...
สาวดุอย่างมัชฌิตาไม่ค่อยจะเคยถูกตาต้องใจเพศตรงข้ามง่ายๆ นัก เรียกว่าเป็นเรื่อง
นานปีทีหนจริงๆ จนเป็นเหตุให้สามารถครองความเป็นโสดมาจนอายุล่วงเข้ายี่สิบเจ็ด
ได้อย่างงดงาม

“มันหายไปไหนได้ยังไงนะ” เมื่อหาในรถเท่าไหร่ก็ไม่พบมัชฌิตาจึงเริ่มทบทวน
เธอเติมน้ำมันรถแล้ววางกระเป๋าสตางค์ไว้บนตัก เพราะคิดว่ากำลังจะแวะหาอะไรทาน
บางทีมันคงเลื่อนไปอยู่ข้างๆ ขา พอก้าวลงจากรถก็อาจร่วงลงไป แต่ก้มๆ เงยๆ ดูก็ยัง
หาไม่พบ อาจจะมีคนเดินผ่านมาหยิบไปแล้ว เธอมีกระเป๋าใส่บัตรแยกต่างหาก
แต่โชคร้าย บัตรเอทีเอ็มสองใบที่มีและบัตรประชาชนดันอยู่ในกระเป๋าสตางค์ด้วยความ
ชุ่ยและไม่รอบคอบของตนเอง ทีนี้จะทำอย่างไร อย่าว่าแต่แค่เรื่องไม่มีเงินจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยว
เลย ทางข้างหน้าที่กำลังจะมุ่งไปต้องใช้เงินอีกมาก จะให้ย้อนกลับไปกรุงเทพฯ ก็ยิ่งจะบ้า
ไปกันใหญ่ ตอนนี้ไม่มีเวลามากขนาดนั้นแล้ว

หลังจากโทรศัพท์ไประงับบัตรเอทีเอ็ม มัชฌิตาก็ออกมาหันรีหันขวางท่ามกลางสายฝน
อย่างกลัดกลุ้ม แต่จู่ๆ ทางออกของปัญหาทุกอย่างก็แว่บเข้ามาในห้วงความคิด เมื่อสายตา
พลันเหลือบไปเห็นป้ายร้านทองซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก อความารีนเม็ดนี้กับปัญหาเรื่องเงิน
อีกเปลาะที่เธอกำลังเผชิญ ยิงปืนนัดเดียวอาจจะช่วยแก้ปัญหาได้ถึงสองอย่าง
แม้ว่าการโยนอัญมณีแห่งน้ำทิ้งไปที่ไหนสักแห่งอาจจะเป็นการตัดขาดจากมัน
ได้ดีกว่า แต่เวลานี้เธอมีปัญหาหลายอย่างเกินไป มัชฌิตาจึงเลือกที่จะหาวิธีแก้ปัญหา
เรื่องเงินอย่างง่ายๆ การถือพลอยที่ตนเองไม่มีปัญญาใช้ไว้และถูกใครบางคนที่
อยากได้มันคืนไล่ล่าฟรีๆ ย่อมไม่ดีแน่ แต่ถ้าปล่อยให้คนอื่นพามันโลดลิ่วไปในกระแส
แห่งชะตากรรม เป้าหมายของผู้ที่ตามมาคงต้องเปลี่ยนไปจากตัวเธอแน่นอน

การตกลงราคากับเจ้าของร้านทองซึ่งรับซื้ออัญมณีด้วยในบางกรณีเป็นไปอย่าง
น่าพอใจเกินคาด มัชฌิตาใช้เวลาไม่นานนั่งรอเงินสดห้าหมื่น เธอรู้ว่าหากขายอความารีน
น้ำงามซึ่งมีสตาร์ประหลาดหายากเปล่งประกายในเนื้อที่กรุงเทพฯ ยิ่งถ้าเป็นร้านของเพื่อน
คนซื้อคงให้ราคามากกว่าที่เธอได้ตอนนี้หลายเท่าตัว แต่ในเวลาและทางเลือกอันจำกัด
แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว เธอแค่อยากจะหาทางกำจัดมันทิ้งไป และอีกอย่าง ไม่อยากให้
เพื่อนฝูงหรือคนใกล้ตัวต้องเข้าไปพัวพันกับมัน

หญิงสาวก้าวออกมาจากร้านทอง ไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตกับท้องฟ้าที่กลับกลายเป็น
ไร้รอยเมฆ ก็ในเมื่อเธอสลัดลางมรสุมแห่งน้ำให้พ้นตัวไปแล้ว เหลือแค่เรื่องของไฟเท่านั้น
ที่ยังหนักใจ ไม่รู้ว่าต้องหนีเท่าไหร่ถึงจะไปพ้นจากมัน


มัชฌิตาขับรถไปเรื่อยๆ แม้ว่าเค้าฝนจะจางหาย ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สลัวลงทุกที
เมื่อได้เวลาที่รัตติกาลกำลังย่างเท้ามาเยือน หญิงสาวตั้งใจไว้ว่าจะขึ้นเขาใหญ่
ในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นตอนนี้เธอจะทำอะไรดีล่ะ

ประการที่หนึ่งมัชฌิตาเป็นคนนอนดึก ประการที่สองเธอไม่ใช่ผู้หญิงจ๋าขนาดต้อง
นอนในรถเพราะตระเวนหาที่พักกลางดึกไม่ได้แล้วจะเป็นจะตาย ดังนั้นเมื่อความรู้สึก
หนักอึ้งซึ่งครอบงำอยู่หายไป คล้ายได้หนีจากอันตรายมาแล้ว อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง...
ค่ำคืนนี้หญิงสาวจึงคิดจะปล่อยใจไปกับโชคชะตา ตามแต่สัญชาตญาณจะนำพาเธอไป
ใครจะรู้สถานที่ซึ่งดูเหมือนปลอดภัยที่สุดอาจเป็นที่อันตรายกว่าก็เป็นได้
มีรีสอร์ทมากมายตามรายทางทั้งแพงและถูก ซึ่งเธอได้หาข้อมูลมาบ้างแล้ว
ก่อนหน้านี้ แต่มัชฌิตาก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะมุ่งไปที่ไหนเป็นพิเศษแม้ฟ้าจะมืดลง

หญิงสาวไม่สะดุดใจกับป้ายข้างทางไปมากกว่าจากัวร์สปอร์ตสีดำซึ่งขับนำอยู่ข้างหน้า
ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นรถลักษณะนี้มาวิ่งฉุยฉาย ยิ่งในเขตต่างจังหวัด ด้วยความชื่นชอบ
รถสวยๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มัชฌิตาจึงตัดสินใจลองขับตามรถข้างหน้าไปเล่นๆ ดูซิว่า
จุดมุ่งหมายของรถคันนี้จะไปสิ้นสุดลงตรงที่ใด หากว่าเป็นบ้านส่วนตัว หรือสถานที่ซึ่ง
แพงจนเธอไม่มีปัญญาจะตามเข้าไปก็ค่อยว่ากันทีหลัง

รถคันนั้นเลี้ยวเข้าไปยังบาร์กึ่งไนต์คลับ เธอเห็นจากการที่มองเข้าไปโดย
ยังไม่ได้อ่านป้าย ตัดสินเลี้ยวตามโดยแทบไม่ต้องคิด มัชฌิตาทำงาน
ออกแบบกราฟิคทั่วไป รับเป็นงานๆ บ้าง มีงานที่ออฟฟิศของเพื่อนเข้ามาบ้าง
และเธอก็ไปฉลองกับเพื่อนๆ ออกบ่อยหลังส่งโปรเจค ตอนนี้ชักเกิดอยากนั่ง
ดื่มอะไรสักนิด เพื่อระบายความเครียดที่สะสมมาตลอดหลายวัน แม้ไม่มี
เพื่อนมาด้วย แต่เพราะทำอะไรคนเดียวจนเคยหญิงสาวจึงไม่ได้รู้สึก
ประหม่าแต่อย่างใด

มัชฌิตาเลิกสนใจตามรถคันสวยนั้นแล้ว เธอจึงจอดรถโดยไม่ได้มองหา
จากัวร์สีดำอีก หญิงสาวเดินล้วงกระเป๋าขณะที่สาวเท้าเข้าไปในบาร์ซึ่งตกแต่ง
แบบป่าๆ แต่กลับให้ความรู้สึกว่าดูมีราคาและทันสมัยในขณะเดียวกัน
ตัวหนังสือเป็นลายเถาอ่านได้ว่า “ไพรมายา”
เปล่งแสงเรืองรองสีเขียวออกมา แลดูตัดกับพื้นหลังซึ่งคล้าย
พรมกำมะหยี่เขียวหม่น แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันคือหญ้ามอสที่มีชีวิต พรมฉ่ำ
ไปด้วยไอฝนและละอองน้ำค้างยามราตรี

เขามองร่างระหงที่ก้าวนำไปข้างหน้า เธอมิได้แลดูมาดมั่นถึงขนาดเสมอเหมือน
ผู้ชายหรืออะไรแบบนั้น ท่าเดินยังแฝงความอ่อนช้อยอย่างอิตถีเพศอยู่มาก
ราวกับนางเสือกำลังย่างเท้า แม้จะดูสบายๆ ในชุดธรรมดาที่เข้ารูปทะมัดทะแมง
แววแห่งอำนาจแฝงเร้นยังฉายชัด ผู้หญิงคนนี้มีบางอย่างที่คนอื่นไม่มี สมควรแล้ว
กับการได้ครอบครองพลอยเนตรราชินี แต่นั่น มันก็แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น...

บันไดหินขั้นเตี้ยหมาดด้วยหยาดพิรุณที่เพิ่งราไปไม่นาน แต่ดูจากจังหวะเดิน
ของเธอแล้ว แทบไม่มีทางที่จะพลาดได้ สองขาก้าวย่างฉับไว ทั้งยืดหยุ่น
มั่นคง ท่วงท่าของคนเรากำหนดด้วยจิตส่วนหนึ่ง เธอคงไม่มีทางลื่นล้มได้ง่ายๆ
แน่นอนว่าเธอต้องเป็นคนธาตุไฟอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ตัวเขาคือความมืดซึ่งสามารถควบคุมไฟ...

หากจะมีสายตาของบุคคลที่สามมองมาในเวลานั้นคงได้เห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ
ชายหนุ่มร่างสูงผู้กำลังก้าวตามหญิงสาวโดยทิ้งระยะห่างพอสมควรได้ยกแขน
เอื้อมคว้าไปข้างหน้า ราวจะเอื้อมไปแตะตัวหญิงสาวที่อยู่ห่างออกไป
แต่พริบตาเดียวกลับกระดิกปลายนิ้วมือคล้ายผลักเบาๆ ก่อนจะถลันพรวดเข้าไป
คว้าร่างที่กำลังสะดุดล้มไว้ได้ทันท่วงที มองเผินๆ คงจะดูเป็นว่าเขาแค่เข้าไป
รับตัวเจ้าของร่างบางไว้ได้ทันท่วงทีเท่านั้นเอง

ชามัลรู้สึกถึงความผิดปกติทันทีที่แตะต้องถูกตัวเธอ เขารีบร้อนปล่อยหญิงสาว
ออกจากวงแขนทันทีที่ฉุดอีกฝ่ายลุกขึ้นได้

มัชฌิตานั้นคิดว่าตนเองคงจะหัวกระแทกกับขั้นบันไดข้างหน้าแน่ๆ ถ้าไม่ได้
ชายหนุ่มแปลกหน้ามาช่วยเอาไว้ เอ๊ะ... แต่คนที่สะดุดตาอย่างผู้ชาย
ตรงหน้านี้ ใครเจอครั้งเดียวก็ต้องจำได้ เธอเพิ่งเจอเขาวันนี้เอง

“นี่คุณ...” มัชฌิตาพอตั้งหลักได้ก็ชี้ไปทางเขา แล้วหันนิ้วกลับมาชี้ตนเอง
ทำนองว่าจำเธอได้ไหม เป็นกิริยาที่ทำไปโดยอัตโนมัติ

“หากระเป๋าสตางค์เจอไหมครับ ตกลง” ดวงตาสีน้ำตาลทองพราวเป็นประกาย
คำถามตามคำพูดของเขา สีหน้าของชายหนุ่มบ่งบอกว่าจำเธอได้ดีพอๆ กับที่
มัชฌิตาจำเขาได้

“ไม่เจอค่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มตอบ ไม่แปลกใจ ถ้ามัชฌิตาบอกเจอก็คงแปลว่าโกหก เพราะ
กระเป๋าสตางค์ใบที่ว่านั่นเขาเป็นคนเก็บมาเอง แล้วก็ไม่ได้คิดจะคืนให้เธอ
ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน

“อืม เก่งนะ ไม่มีสตางค์แล้วยังเดินเข้าบาร์ได้”

“บังเอิญว่าฉันไม่เดือดร้อนเรื่องนั้น” มัชฌิตาตอบอย่างไว้เชิงทั้งยิ้มแฝงรอย
แห่งความเป็นมิตร “ขอบคุณนะคะที่ตอนนั้นช่วยจ่ายเงินให้ นี่ก็ยังได้คุณมาคว้าไว้อีก
ไม่งั้นได้ล้มหน้าทิ่มแน่เลย แปลกนะ ปกติฉันไม่เคย” หญิงสาวถึงมั่นใจในตัวเอง
เพียงใดก็ยังอดเขินไม่ได้เมื่อดวงตาสวยคมของชายหนุ่มตรงหน้าจับจ้องมายังเธอ
ไม่วางตา คล้ายกำลังตั้งอกตั้งใจรอว่ามัชฌิตาจะพูดอะไร “เอ่อ ถึงจะทำอะไรเร็ว
ฉันก็ไม่ค่อยพลาด...”

“คุณคงดวงไม่ค่อยดีน่ะครับวันนี้” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ

มัชฌิตายิ้มบางๆ หัวใจกระตุกนิดหนึ่งกับรอยยิ้มมีเสน่ห์ของเขา ยิ้มที่คล้ายช่วย
ปัดเป่าทุกอย่างให้โบยบินหนีไป แม้กระทั่งอันตรายใดๆ ที่กำลังจ่อติดหลังมาไม่ห่าง
ทำไมมันช่างบังเอิญได้ขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้แน่ที่เขาจะตามเธอมา คนอย่างนี้คงมี
ผู้หญิงสวยๆ มาวิ่งตามจนเบื่อมากกว่า คงเป็นความบังเอิญระดับสุดยอดเลยก็ว่าได้
หรือว่านี่จะเป็น พรหมลิขิต...

“มาคนเดียว หรือว่านัดใครไว้ครับ”

“ไม่ได้นัดหรอกค่ะ อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากนั่งดื่มอะไรสักหน่อย รู้ตัวอีกทีก็เดินเข้ามานี่แล้ว”

“ผมก็เหมือนกัน” เจ้าของดวงตาน้ำตาลทองยิ้มให้มัชฌิตาก่อนจะกล่าวติดตลก
“แบบนี้ต้องเรียกว่าเป็นพรหมลิขิต แน่ๆ เลย”
...



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2554, 15:10:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2554, 15:42:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 3103





<< บทนำ   บทที่ 1 ดวงไฟในเงามืด (ต่อถึงจบบท) >>
อสิตา 24 ธ.ค. 2554, 17:56:59 น.
*-*' คืนวันคริสต์มาสอีฟ จะมีคนมาอ่านไหมนะ
...ยังไงก็ขอให้สาวๆ(และอื่นๆ)ทุกคนสุขใจในวันคริสต์มาสนะคะ


Zephyr 24 ธ.ค. 2554, 18:08:03 น.
อ่านเรื่องพี่คนโตทีไรแอบขนลุกทุกทีเลยค่ะ เหมือนจะลึกลับและกระตุกขวัญแปลกๆ บอกไม่ถูกอ่ะ ตาชามัลนี่คงพระเอกสินะคะ แต่ว่าเรื่องนี้ดูปมเยอะเนอะ ทั้งย่า ทั้งมิ้งค์ รวมถึงผู้ชายตาน้ำตาลทองคนนี้อีก ตามต่อไปๆๆๆ


เบญจามินทร์ 24 ธ.ค. 2554, 19:10:20 น.
เห็นด้วยกับคนข้างบน บรรยากาศเรื่องดูขลังๆ เหมือนพวกหนังสยองขวัญที่พร้อมจะมีอะไรโผล่ออกมาให้ตกใจได้ตลอด ^^


หมูอ้วน 25 ธ.ค. 2554, 11:28:57 น.
ลุ้นตามค่ะ ลึกลับ ซับซ้อน


ameerahTaec 26 ธ.ค. 2554, 10:15:43 น.
พระเอกลึกลับมากกกก ถ้าเป็นหนังฝรั่งก็จะคิดว่าพระเอกเป็นซาตานแล้วนะคะ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account