เปลวไฟกามเทพ
เธอ...คือผู้ก่อสุมความแค้น
เขา...คือผู้แค้นเธอด้วยหัวใจ
เมื่อไฟแค้นเริ่มจะคุกโชนสิ่งไหนก็ยากที่จะยับยั้งได้
เขา...คือผู้แค้นเธอด้วยหัวใจ
เมื่อไฟแค้นเริ่มจะคุกโชนสิ่งไหนก็ยากที่จะยับยั้งได้
Tags: รักปนเศร้า
ตอน: ตอนที่ 8 เจ็บปวด
ตอนที่ 8
กัญจนาพาร่างบางโซซัดโซเซมาตามทางเดินที่ทอดยาวไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย บัดนี้แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ได้หมดลงไปแล้ว หญิงสาวยังคงร้องไห้ฟูมฟายกับความเศร้าเสียใจและกับคำปรามาสของเขา ผู้ชายคนเดียวที่เธอแอบหลงรัก และคนที่เธอคิดว่าเขา คือคนที่สุภาพมากที่สุด หญิงสาวไม่เคยคิดว่าคนอย่างภาวสุทธิ์จะเป็นได้มากถึงขนาดนี้ เมื่อเขาต้องสูญเสียความรักและพี่สาวของเธอ
“-คุณภาวสุทธิ์ฉันไม่เข้าใจเลยว่าการที่คุณได้สูญเสียพี่แก้วไปจะทำให้คุณเป็นได้ถึงขนาดนี้ คุณจะไม่ยอมหันมามองฉันบ้างเลยหรือยังไง คนที่รักคุณจนหมดหัวใจอย่างฉัน ฉันจะแทนพี่แก้วไม่ได้จริงๆ หรือ คุณภาวสุทธิ์ทำไมคุณถึงได้ใจร้ายเช่นนี้”
เด็กสาวต่อว่าเขาด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำและแหละสลายไปกับคำพูดที่เขาหยิบยื่นให้แบบถากถาง น้ำตาใสๆ ยังไหลอาบนองสองแก้มนวล ดวงตาสวยอมเศร้ามองทอดไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เช่นเดียวกับสองเท้าที่ได้เดินฝ่าไปข้างหน้า โดยไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยหรือเมื่อยล้าสักนิด
กัญจนาเดินมาหยุดอยู่ตรงสะพานข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ตรงกลางสะพานว่างเปล่าไร้ผู้คน ความมืดที่โรยตัวลงมาพาให้เหล่าผู้คนต่างเข้าบ้านเพื่อจะพักผ่อนหลังจากที่ได้เหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน และเพื่อที่จะต่อสู้กับอุปสรรคในวันต่อไป โดยมีแสงไฟดวงเล็กๆ และเสียงหัวเราะพูดคุยจากคนในครอบครัวที่คอยสร้างความสุขและผ่อนคลายให้ความเหน็ดเหนื่อยเบาบางลง
สองมือบางของหญิงสาวจับอยู่กับขอบราวสะพานที่เป็นเหล็กและเย็นเจี๊ยบด้วยอุณหภูมิที่ปรับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นแสงตะวัน ลมเย็นพัดพาเอาไอเย็นจากแม่น้ำใหญ่มากระทบร่างบางจนรู้สึกหนาวสะท้าน หากแต่มันก็ยังไม่หนาวเท่ากับหัวใจของหญิงสาวที่ลดอุณหภูมิของร่างกายภายในลงอย่างรวดเร็วจนหัวใจของหญิงสาวในเวลานี้กลับไม่รู้สึกอะไรได้อีกแล้ว
มันเจ็บปวดจนบัดนี้เธอเริ่มจะชาชินกับมันเสียแล้วล่ะ
ผืนน้ำสีดำในความมืดพะยับเพยิบตามแรงลมที่พัดผ่าน จันทร์สีเหลืองนวลสาดสาดทอแสงสุขสกาวและลอยเด่นอยู่กลางห้วงนภาห่างไกลออกไปทางปลายน้ำ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานถึงแม้ว่าภาพตรงหน้าจะสวยงามมากแค่ไหน หากแต่เธอกลับไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นเพราะบัดนี้ในหัวใจของเธอมีแต่คำเย้ยหยันถากถางจากคนที่เธอรักหมดหัวใจ ก้องสะท้อนไปมาให้เธอได้คิด และเจ็บช้ำ
“-คนอย่างเธอร้องไห้กับเขาเป็นด้วยหรือ สำหรับเธอคำปรามาสพวกนี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกันเกรา”
“คุณภาวสุทธิ์คุณจะรู้ไหมว่าคุณได้ทำให้ฉันเจ็บปวดมากแค่ไหนกับคำถากถางของคุณ”
เด็กสาวตะโกนออกไปยังความว่างเปล่าข้างหน้าด้วยเสียงที่สั่นเครือ เธอตะโกนอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหวังจะให้ได้รับคำตอบจากผืนน้ำกว้างและดวงจันทร์ที่สวยงาม หากแต่คำถามเหล่านั้นกลับมอดดับไปกับสายลมและความว่างเปล่าเท่านั้น
“-เธอมันนังแพศยา เธอมันก็แค่นังฆาตกร จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่สาวของตัวเองที่ดีกับตัวเสมอมา คำว่าแพศยามันยังน้อยไปด้วยซ้ำหากจะเทียบกับการกระทำของเธอ”
ทุกประโยคทุกคำพูดของภาวสุทธิ์ยังดังก้องสะท้อนสองหู กัญจนาสะบัดหัวไปมาและยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองเพื่อจะให้ตนไม่ได้ยินคำเหล่านั้นอีก ได้ยินแล้วหัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บช้ำ ได้ยินแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกผิด
“ไม่นะ ไม่จริง!! ฉันไม่อยากได้ยิน ไม่!!!”
“นังแพศยา นังฆาตกร นังสารเลว ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่สาวของตัวเอง-”
ถึงแม้จะทำวิธีไหน หากแต่เธอก็ยังหลีกหนีไม่พ้นกับคำพูดถากถางเหล่านั้นที่ลอยกลับไปกลับมาอยู่ในหัวของเธออยู่ตลอดเวลาคล้ายดังกับจะตอกย้ำให้เธอคิดถึงแต่เรื่องราวเหล่านี้และเหมือนว่ามันจะพยายามฉุดดึงให้เธอจองจมอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดไป
“ฆาตกร!! แพศยา!!! กันเกราเธอมันก็แค่นังแพศยา เธอมันก็แค่นังสารเลวคนหนึ่งที่ไม่มีใครเห็นค่าอีกต่อไป สายน้ำจงเป็นพยาน ท้องฟ้าจ๋าจงเป็นพยาน นังกันเกราคนนี้คือฆาตกร เธอมันนังแพศยา กระโดดลงไปเสียสิ เพื่อที่จะให้ทุกอย่างมันจบลงเพียงแค่นี้ และให้ร่างของนังสารเลวคนนี้มันจมอยู่ใต้สายน้ำแห่งนี้ตลอดไป”
จู่ๆ หญิงสาวก็เอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย แววตาที่มองทอดไปข้างหน้าว่างเปล่า เธอพร้อมที่จะหนีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เธอพร้อมที่จะจมลงไปกับมลทินที่ตนไม่ได้ก่อแล้ว กระโดกลงไปเลย มันถึงเวลาของเธอแล้วล่ะ
โดยไม่ทันคาดคิด หญิงสาวได้ใช้สองมือจับราวสะพานจนแน่น แล้วจึงข่มความเจ็บปวดที่ตามมาอย่างทารุณเบี่ยงตัวเองขึ้นไปนั่งตรงขอบราวสะพานอย่างหมิ่นเหม่ บัดนี้ไม่มีน้ำตาจากเธอแล้ว มันไม่มีแม้กระทั่งความอาลัยทั้งสิ้นทั้งปวง ใบหน้าของเธอเรียบเฉย หากแต่ที่มุมปากนั้นกลับจุดรอยยิ้มเอาไว้อย่างจางๆ
“มันถึงเวลาของเธอบ้างแล้วล่ะกันเกรา มันถึงเวลาตายของเธอสักที”
เธอหลุบเปลือกตาลงมองผิวน้ำสีดำเบื้องล่างที่ไหลเชี่ยวกราก เธอสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก่อนจะตัดสินใจรวมพลังที่มีอยู่ผลักร่างของตัวเองออกไปข้างหน้าที่ว่างเปล่าในทันที
“กันเกรา!!”
แต่ก่อนที่ร่างของเธอจะทันได้ตกลงไปก็ได้มีใครคนหนึ่งได้วิ่งมาถึงแล้วฉุดรั้งเธอเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากอดอย่างห่วงใย
“คุณทำอย่างนี้ทำไม” น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย
“คุณฐติวัธน์”
กันเกราดูจะตกใจและแปลกใจไม่แพ้กันที่เห็นชายหนุ่ม และบัดนี้เธอก็ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว จนเธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
“กันเกรา คุณรู้ไหมว่าคุณทำอะไรลงไป คุณกำลังจะทำให้ใครหลายๆ คนเสียใจ และอีกข้อหนึ่งคุณกำลังจะสร้างรอยบาปให้กับตัวเองไปทุกชาติทุกภพเลยนะครับ ก็น่าจะรู้ว่าการฆ่าตัวเองมันเป็นบาปแค่ไหน”
ฐติวัธน์กระชับร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอดจนแน่น ไม่อยากจะปล่อยให้เธอทำอย่างเมื่อสักครู่อีก
“เสียใจ แล้วใครมันจะมาเสียใจกับการตายของกันเกราล่ะคะ บางคนเขาอาจจะดีใจเสียด้วยซ้ำ”
ระหว่างที่ระบายอารมณ์ที่มันอัดอั้นตันใจออกมานั้น ใบหน้าของภาวสุทธิ์ก็ยังลอยวนเวียนหลอกหลอนในห้วงมโนนึกจนทำให้เธอไม่อาจจะกลั้นก้อนสะอื้นไว้ได้ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
“คุณอย่าคิดโทษตัวเองสิครับกันเกรา ถึงจะไม่มีใครเขาเสียใจแต่คุณก็จงรู้เอาไว้นะครับว่ายังมีผมอีกคนหนึ่งที่ห่วงใยคุณ”
เขาเลี่ยงที่จะพูดคำว่า “รัก” ในตอนนี้เพราะคิดว่ามันคงจะเร็วจนเกินไปกับคำว่าเจอกับเธอ
“ขอบคุณ มากนะคะ”
หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองเขาอีกครั้งด้วยความซึ้งใจรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอเริ่มจะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัยจากเขา
“ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคอีกมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีคนตราหน้าให้กับคุณว่าเป็นคนบาปมากเพียงไร แต่คุณก็จะต้องสู้ สู้เพื่อจะให้เขาเห็นว่าคุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น คุณจะต้องเข้มแข็งเพื่อจะพิสูจน์ให้คนพวกนั้นรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนชั่วช้าอะไร จำไว้นะครับกันเกรา คุณอย่าคิดสั้นเป็นอันขาด สัญญากับผมได้มั้ยครับ”
ชายหนุ่มจับหัวไหล่ของหญิงสาวเบาๆ เป็นการเตือนสติของเธอให้คืนกลับมา ขณะที่หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งและคิดทบทวนถึงคำของเขา ใช่ เธอจะต้องเข้มแข็ง ชีวิตมีให้ต่อสู้ เธอลืมเรื่องนี้ไปได้แล้วหรือ กันเกราเปิดยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างมั่นใจในตัวเองก่อนจะตอบออกไปอย่างฉะฉาน
“ค่ะ กันเกราจะสู้ ฉันขอสัญญาค่ะ”
เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง น้อมรับความจริงใจของเขาที่ผ่านเข้ามา
ห่างออกไปจากตรงนั้นไม่ไกลกันนัก ภายใต้เงามืดของหมู่แมกไม้ร่างของชัชนันท์ยืนนิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ ชายหนุ่มเม้มปากสนิทและกำหมัดแน่น ดวงตาสีเหล็กจ้องมองใบหน้าของฐติวัธน์ที่กำลังยิ้มระรื่นอย่างมาดหมาย
“คุณฐติวัธน์ เราสองคนสักวันจะได้เห็นดีกัน!!”
TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT
ภาวสุทธิ์เดินกลับเข้าบ้านอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาพาร่างกายที่อ่อนโรยเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ทำงานอย่างอ่อนล้าเต็มที
นัยน์ตาสีเหล็กเขม่นมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ใบหน้าคมเข้มยังเรียบเฉย หากแต่ภายในหัวใจของเขากลับเต้นแรงและสับสนไปพร้อมๆ กัน
“มันเกิดอะไรขึ้นนายภาวสุทธิ์ นายกำลังเป็นอะไร”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตัวเองอย่างไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเอง นายกำลังเกลียดเธอไม่ใช่หรือ นังแพศยาคนนั้น สมควรแล้วกับคำด่าเหล่านั้น แต่ทำไมนะ เมื่อเห็นนัยน์ตาของเธอแล้วทำไมนายถึงได้รู้สึกเช่นนั้นไปได้ นายภาวสุทธิ์เตือนตัวเองเอาไว้สิว่านายเกลียดเธอ และจะต้องเกลียดเธอตลอดไป นังคนนั้นมันทำให้ความรักของนายต้องจบลง นายต้องสูญเสียคนที่นายรัก และกำลังจะได้แต่งงานกัน หล่อนฆ่าเจ้าสาวของนาย ได้ยินไหมภาวสุทธิ์ เธอฆ่าแก้วกาญจน์เจ้าสาวของนาย
เกลียด!! เกลียด!! ชายหนุ่มพยายามเตือนใจตัวเองถึงเรื่องที่นังเด็กโสโครกคนนั้นทำให้เขาต้องเจ็บช้ำอย่างในเวลานี้
“เธอมันนังแพศยา นังผู้หญิงจิตใจต่ำทราม กันเกราเธอจะต้องได้รับบทเรียนจากฉันอย่างสาสม คอยดู!!!”
ริมฝีปากได้รูปเม้มสนิท สองมือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานค่อยๆ ถูกรวบกำเอาไว้จนแน่น ก่อนจะให้พลังคลั่งแค้นทั้งหมดยกมือขึ้นแล้วทุบลงไปที่โต๊ะตัวนั้นเสียงดังปัง!!
ทว่าหากแต่เสียงเหล่านั้นกลับไม่ทำให้เขาสะทกสะท้าน ตรงข้ามการกระทำเหล่านั้นคล้ายดั่งจะกลายเป็นการระบายอารมณ์ที่มันคุกโชนอยู่ในหัวใจ ริมฝีปากที่เม้มสนิทก็ยิ่งสนิทเข้าไปอีกจนกลายเป็นการขบริมฝีปาก ใบหน้าที่เรียบเฉยค่อยๆ เข้มขึ้นทุกขณะ และยิ่งไปกว่านั้นแววตาของเขาก็ยิ่งวาวโรจน์อย่างน่ากลัว หากใครจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเขาก็จะเห็นเพลิงแค้นที่มันคุกโชนอยู่ในนั้น
“กันเกรา นังคนแพศยา!!!”
TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT
ขณะที่อีกคนกำลังก่อสุมไฟแค้นและความเกลียดชังที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่ง หากแต่อีกด้านกลับมีใครอีกคนหนึ่งที่ผิดหวังในความรักของเธอผู้นั้นที่ไม่เคยแสดงออกมาให้เขาได้เห็นเลยสักนิด หากแต่กับใครอีกคนที่เพิ่งรู้จักกันเธอกลับมอบหัวใจทั้งดวงให้
ชัชนันท์คิดเช่นนั้น จากภาพที่เขาเห็นเต็มสองตาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
ความกลัดกลุ้มในหัวใจจึงทำให้ชายหนุ่มปลีกตัวเองมานั่งดื่มปรับทุกข์ตัวเองในบาร์เหล่าแห่งหนึ่ง
ดื่มทั้งเหล้าและเบียร์ผสมกันจนบนโต๊ะในเวลานี้มีแต่ขวดเหล้าที่วางระเกะระกะ ส่วนสภาพของชายหนุ่มไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคำว่าเมาหัวราน้ำเป็นเช่นไร หากแต่ส่วนหนึ่งเขาก็ยังมีสติพอที่จะคิดถึงเรื่องต่างๆ ได้
“อกหักมาหรือคะ”
เห็นชายหนุ่มมาคนเดียว และนั่งดื่มอยู่คนเดียวเป็นนานสองนาน สาวสวยคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟของที่นั่นจึงตัดสินใจเดินเข้ามาหาเขาเพื่อจะสานสัมพันธ์
ชายหนุ่มที่กำลังกลัดกลุ้มต่อเรื่องในหัวใจค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ ก็พบกับสาวสวยคนหนึ่งที่อยู่ในชุดที่เซ็กซี่ยืนมองอยู่ เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับน้ำย้อมใจของตนต่อ
“ให้ฉันนั่งเป็นเพื่อนได้มั้ยคะ”
“ตามใจสิ ที่นั่งไม่ได้มีชื่อใครติดเอาไว้นี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงห้วน แต่กระนั้นก็ยังขยับที่ให้
“ดื่มหนักแบบนี้ไม่กลัวเมาหรือคะ”
เสียงหวานใสดังขึ้นใกล้ๆ หูจนชายหนุ่มรู้สึกเสียวสะท้านไปทั่วร่างกาย เขาจึงหันมองที่ใบหน้าของเธออีกครั้งอย่างรู้สึกรำคาญ
“ถ้ากลัวผมก็คงจะไม่ดื่ม อ้อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
เขาเอ่ยเสียงสะบัด ไม่ชอบใจที่จู่ๆ ก็มีใครไม่รู้เข้ามาจ้ำจี้จ้ำชัยอย่างกับเขาเป็นคนในอาณัติยังไงอย่างนั้นแหละ
“คุณเป็นแม่ของผมหรือ”
เจอประโยคนี้เข้านริษาก็ถึงกับใบ้กิน อะไรกันเค้าอุตส่าห์มาบอกด้วยความเป็นห่วงและหวังดีแท้ๆ กลับมาว่าประชดกัน หญิงสาวแบะปากแล้วร้องชิเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอีกครั้งและลองเชิงถาม
“ถามจริงๆ เถอะนายชัช นายจำเราไม่ได้จริงๆ หรือยะ”
เธอเอ่ยเสียงสะบัด ส่งค้อนให้อย่างประหลับประเหลือก ขณะชัชนันท์หยุดควงแก้วในมือก่อนจะก้มหน้าลงมองใบหน้าเนียนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างท้าทาย
“สา”
เขาอุทานเบาๆ ก่อนรอยยิ้มจะผุดขึ้นอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับชายหนุ่มในสถานที่แห่งนี้เช่นกัน
“เธอมาที่นี่ได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อเลย”
“ชิ นึกว่าจะจำกันไม่ได้ชะแล้ว ฉันทำงานที่นี่ และฉันต่างหากที่จะต้องถามนายว่านายมาที่นี่ได้ยังไง”
นริษาเปิดปากถามชายหนุ่มในทันที่ ถึงจะแปลกอยู่ไม่น้อยที่เห็นเด็กเรียนอย่างนายชัชนันท์มาเที่ยวผับเที่ยวบาร์เป็นกับเขาด้วย
“เปล่า เราแค่เบื่อและมาเที่ยวเฉยๆ ก็เท่านั้น”
“มาเที่ยว ฮึ” อีกฝ่ายทำเสียงสูง “ ไม่เชื่อหรอกเจ้าค่ะ คู้ณ นายอกหักมาล่ะซี้ถึงได้มานั่งดื่มเหล้าย้อมใจอย่างนี้” หญิงสาวเอ่ยอย่างรู้ทัน
“ไม่ เราไม่ได้เป็นอย่างที่เธอว่าสักหน่อย”
เขาเอ่ยปฏิเสธ หากแต่มันก็ถูกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ใช่เขาอกหัก อกหักทั้งๆ ที่ยังไม่บอกรักเธอด้วยซ้ำ
“อย่ามาโกหกคนอย่างฉัน สายตาของนายมันฟ้องอยู่แล้วว่านายกำลังเศร้าเพราะอกหัก”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยฮึสา ถึงฉันจะอกหักหรือเป็นอะไรมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวอะไรกับเธอเลย เธอจะเดือนร้อนไปทำไม”
“แต่ฉัน”
เจอประโยคนี้หญิงสาวถึงกับสะอึกและพูดไม่ออกมาในทันที คำพูดแก้ตัวของเธอที่มีอยู่มีอันจุกอยู่แค่ลำคอ เชอะ!! ไม่เกี่ยวหรือ เออใช่สิ แต่ทำไม๊ ทำไมนะเธอถึงได้ชอบไปยุ่งกับเขาอยู่เรื่อยนะ หญิงสาวนิ่งคิดถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านมา และในเวลานี้ ไม่นะยายสา เธออย่าบอกนะว่าเธอชอบนายชัชนันท์ ไม่จริง ไม่จริ๊ง!!!
“ไม่จริง!!”
จากห้วงภวังค์ที่เธอคิดอยู่ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดหนึ่งคำที่เธอก็ไม่คิดว่าทำไมถึงได้หลุดออกมาได้
“อะไรนะ นริษา เมื่อกี้เธอพูดอะไร”
ชัชนันท์เอียงหน้าถามหญิงสาวถึงคำที่เธอหลุดออกมาอย่างไม่ทันได้คาดคิด
“ไม่ ไม่มีอะไร”
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอุตลุด พยายามอย่างที่สุดที่จะหลบเลี่ยงสายตาของเขาที่จ้องมองมาเขม็งอย่างเอาเรื่อง
“ไม่เชื่อ เมื่อกี้เธอพูดอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นโดนแน่”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วโถมตัวพุ่งเข้าไปหาหญิงสาวอย่างเอาเรื่อง มือของเขารีบคว้าเอวขอดกิ่วของนริษาเพื่อกันไม่ให้เธอหลีกหนีไปไหน
“ไม่ นะ นายจะทำอะไรชัชนันท์”
นริษาปกปิดตัวเองเป็นพัลวันเมื่อเจอสายตาลวนลามของอีกฝ่าย ถึงจะรู้จักกับผู้ชายหลายๆ คนจนชิน แต่สำหรับผู้ชายคนนี้แล้วหัวใจของเธอกลับเต้นแรงและต่อต้าน ชัชนันท์นึกกระหยิ่มต่อการกระทำของหญิงสาว จึงได้ใจขยับใบหน้าคมเข้าแนบชิดจนกลิ่นเหล้าเคล้าคลุ้ง ขณะที่หญิงสาวรีบเบือนหน้าหนี
“เรารู้นะว่าเธอชอบเรา บอกเรามานะว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ไม่อย่างนั้นเธอเสร็จแน่”
ชัชนันท์เอ่ยบอกเสียงกระเส่า ขณะที่หญิงสาวไม่เคยคิดว่าเด็กเรียนอย่างนายชัชนันท์จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้
“ไม่นะ ชัชนันท์นายจะทำอะไร ไม่นะ ม้ายยยยย!!!!” เธอหลับตาปี๋หัวใจเต้นรัวแรง
TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT
รถจอดสนิทบนสะพานพระรามเก้าที่พาดผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาอันกว้างใหญ่ นริษาและชัชนันท์ต่างรีบลงจากรถ หญิงสาวรีบกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจก่อนจะวิ่งไปเกาะที่ราวสะพานแล้วตะโกนออกไปสุดเสียง
“ยะฮู้!!! สวัสดีกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน”
ภาพเบื้องหน้าของเธอนอกจากผืนน้ำสีดำสนิทที่ทอดยาวไปข้างหน้าโดยมีผืนน้ำพัดสะบัดเป็นระลอกตามแรงลมแล้ว ยังมีแสงสีของพระนครที่สาดส่องอวดสีสันอย่างสวยงามจากตัวอาคารบ้านเรือนของชาวบ้านและตึกธุรกิจต่างๆ
ชัชนันท์เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กับเธอแล้วเอ่ยบอกเสียงห้วน
“จะตะโกนให้คอแหกหรือยังไงแม่คุณ หัดเกรงอกเกรงใจคนอื่นที่เขากำลังจะหลับกันบ้าง เดี๋ยวก็พากันสะดุ้งตื่น นึกว่าเปรตบุกเมืองซะหรอก”
หญิงสาวค่อยๆ หันมาทางเขาด้วยใบหน้าแหยนิดๆ ก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ เป็นการแก้เก้อ
“เอ่อจ๊ะ ฉันขอโทษนะ มันดีใจนะที่ได้มายืนเล่นบนนี้ บอกตรงๆ นี่เป็นครั้งแรกของฉันเลยนะ”
“ยายบ้า ทำงานกลางคืนทุกวัน ไม่เคยมายืนอยู่ตรงนี้ ฉันไม่เชื่อหรอก”
ชัชนันท์ทำเสียงหยัน อย่างไม่เชื่อในน้ำเสียงของอีกฝ่าย หากแต่หญิงสาวกลับคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและมันก็เป็นยิ้มที่จริงใจจนเขาเห็นแล้วรู้สึกสะท้าน
“จริง เอ้าไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน คราวนี้เรามาเข้าเรื่องสักที ถามจริงนายอกหักมาใช่ม๊า”
เธอเปิดประเด็นถามไปแบบตรงๆ ขณะที่ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งช่างใจมองไปที่หญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ
“ยายนี่มันเป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ฉันไม่ตอบยังอุตส่าห์ดันทุรังถามอีก ยายบ้าเอ้ย”
“แล้วเธอจะรู้ไปทำไมกันฮึ”
เขาไม่ยอมตอบแต่ถามกลับเสียงห้วน ถามเรื่องนี้ทีไรรู้สึกว่าอารมณ์จะไม่เข้าที่ซะแล้ว
“แหะ ในฐานะเพื่อนร่วมคณะ เราก็ถามดูเท่านั้นเผื่อนายเป็นอะไรไปเราจะได้ช่วยเหลือเอาไว้ทัน”
หญิงสาวแก้ตัวไปอย่างน้ำขุ่นๆ หากแต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยสักนิด ชัชนันท์ก็ยังยืนนิ่งไม่ตอบคำถามใดๆ
“ก็ได้ๆ เมื่อนายไม่ตอบก็ไม่เป็นไร นี่แหละน้าเขาถึงว่าคนอ่อนแอ อกหักแค่เนี้ยเล่นออกมาดื่มเหล้าจนเมาหัวราน้ำแบบนี้ แล้วนี่จะไม่คิดแก้ปัญหาเลยหรือยังไง สู้สิยะ ใครต่างก็ว่าเอาไว้ว่าชีวิตมีไว้ให้เราสู้ นายจะจมปลักอยู่กับกองทุกข์ไปทำไมกัน”
หญิงสาวให้ข้อคิดอย่างมีเหตุผล ชัชนันท์ยืนทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างทบทวน นัยน์ตาของเขาเป็นประกายอย่างคนมีหวัง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างดีใจและอยากจะกระโดดเข้าไปโอบกอดคนข้างๆ เป็นยิ่งนัก หากแต่เขาก็ต้องหยุดความคิดเหล่านั้นเอาไว้แค่นั้น
“ขอบใจเธอมากนะสา ขอบใจเธอมากที่เตือนสติเรา”
TTTTTTTTTTTTTTTTTTT
หลายวันผ่านไปรอยแผลจากการถูกแทงของกันเกราก็ทุเลาลงจนอาการของเธอดีขึ้นมากในเวลาต่อมา หากแต่ความว้าวุ่นในหัวใจมันก็ยังมิอาจหมดไปเหมือนกับบาดแผล ตรงข้ามมันกลับยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเมื่อคำพูดของภาวสุทธิ์เข้ามาตอกย้ำกระทบใจของเธอ และยิ่งมาเจอคำพูดถากถางจากมารดาเข้าไปอีกจึงยิ่งทำให้หญิงสาวทุกข์ใจเข้าไปใหญ่
ดังนั้นวันนี้ทั้งวันเธอจึงนั่งเศร้าอยู่แต่ในห้องของตัวเอง เก็บตัวไม่ไปไหนและไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ที่ผ่านมาถ้าเธอเป็นเช่นนี้ก็จะมีแต่แก้วกาญจน์เท่านั้นที่เข้ามาปลอบโยน หากแต่ในเวลานี้ไม่มีพี่สาวของเธออีกแล้ว กันเกราจึงได้แต่ซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มอยู่เช่นนั้น
นานเท่านาน เธอไม่รู้เวลามันผ่านไปเท่าใดแล้วจึงเริ่มขยับตัวด้วยความเมื่อยขบ และความหิวที่มันจู่โจมเข้ามาอย่างไม่ปราณีเธอจึงตัดสินใจออกจากห้องอีกครั้ง
เดินไปมาอยู่ในบ้านสักพักเธอก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยความเหนื่อยหน่ายในจิตใจก็ในเมื่อเวลานี้ทั้งบ้านของเธอไม่มีอะไรที่จะใช้ประทังความหิวได้เลย แม้กระทั่งน้ำสักหยดหนึ่งก็ไม่มี
คราวนี้กันเกราจึงตัดสินใจว่าจะออกไปหาอะไรกินจากข้างนอก เธอก้มลงดูเงินในมือก็เศร้าใจ เกือบเดือนแล้วสินะที่เธอไม่ได้ทำงาน เงินที่เก็บอยู่ถูกใช้ไปทุกวันจนบัดนี้มันเริ่มจะร่อยหรอลงแล้ว
“อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้วเธอจะต้องหาเงินเก็บไว้นะ กันเกรา”
หญิงสาวเตือนใจตัวเองก่อนจะเดินออกจากบ้านไป จุดหมายแรกคือร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย เธอจัดการกินอาหารมื้อนี้อย่างรวดเร็วและไม่ประณีตสักเท่าไร ก่อนจะรีบออกจากร้านแห่งนั้นเพื่อจะไปในสถานที่อันคุ้นเคย
“เฮ้ยพวกเรา นั่นพี่กันเกรานี่”
เป็นเด็กชายสุพจน์ที่เห็นก่อนใคร ก่อนจะตะโกนบอกเหล่าผองเพื่อนที่นั่งอยู่ตามจุดต่างๆ ด้วยความเมื่อยล้า หากแต่พวกเขาก็สู้
กันเกราเปิดยิ้มกว้างอย่างคุ้นเคย แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทุกคน โดยมีเจ้าเด็กชายตัวน้อยที่พวกเธอต่างตั้งชื่อให้ว่า “เจ้าตี๋เล็ก” กระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าอย่างดีใจมากกว่าใคร
“เย้ พี่กันเกรามาแล้ว”
“ใช่พี่กันเกรากลับมาขายพวงมาลัยกับพวกเราแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
พะแพงเด็กหญิงตัวน้อยก็ดีใจไม่แพ้กัน เธอเข้ามาจับมือจับแขนพี่สาวคนสวยของเธอเอาไว้แน่น ปานว่าทั้งสองจะเคยจากกันมานานแล้วกลับมาพบกันอีกครั้ง
“อือ ว่าแต่พวกเธอเถอะ เห็นพี่ป่วยทำไมไม่ไปเยี่ยมกันบ้าง นี่เล่นหายต๋อมกันไปทั้งก๊กเลย”
กันเกราทำเสียงเง้างอด ขณะที่เหล่าเด็กๆ ต่างพร้อมใจกันตอบเสียงดังฟังชัด
“ไปแล้ว”
“ไป แล้วทำไมไม่เข้าไปหาพี่ล่ะ” เธอถามเหล่าน้องๆ ในสังกัดอย่างแปลกใจ เมื่อไปแล้วทำไมเธอไม่เห็น
“จะเข้าไปได้ยังไงล่ะพี่กันเกรา พวกเราไปทุกครั้งก็เจอแต่ป้ากระเพรา แล้วป้าเค้าก็พูดว่า จะมาอะไรกันนักกันหนาไอ้เด็กพวกนี้ งานการไม่มีจะทำกันเลยหรือไง นังกันเกรามันหายแล้ว มันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ไปไป้ ออกไปให้พ้นจากบ้านของกู!!”
เด็กชายนนท์เอ่ยบอกพร้อมกับทำท่าทางให้เหมือนกับมารดาของกันเกรามากที่สุด โดยการทำเสียงเข้มและยืนเท้าเอวประกอบ
“ใช่ๆ แล้วป้ากระเพรายังพูดอีกว่า ต่อไปนี้พวกเอ็งก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก ข้าเบื่อขี้หน้าของพวกเอ็งเต็มทีแล้ว เห็นแล้วรำคาญว่ะ” เด็กหญิงพะแพงช่วยเสริมอีกคน
ขณะที่กันเกราได้แต่ทำหน้าฉงน มองกิริยาของเหล่าเด็กๆ ที่พยายามจะเล่าความจริงให้กับเธอฟัง เธอเชื่อเด็กพวกนี้อย่างสนิทใจเพราะพวกมันไม่เคยโกหกเธอและก็ยังรู้ด้วยว่ามารดาจองเธอมีนิสัยเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“อือ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป”
“รู้สึกว่าช่วงนี้พี่กันเกราจะผอมไปนะ แต่ก็หุ่นดีไปอีกแบบ พะแพงอยากจะมีหุ่นอย่างพี่บ้างจัง”
เด็กหญิงตัวน้อยวาดฝันรูปร่างของตัวเองในอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร จะมีหุ่นสวยอย่างพี่กันเกราหรือเปล่านะ
“อือ คนป่วยจะให้เหมือนเดิมมันก็ยังไงอยู่นะ ดีนะที่พี่ผอม เห็นหลายคนแล้วอ้วนยังกับหมูเลยแหละ”
หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะหันไปสำรวจกับทุกคน
“เอ้อ ว่าแต่พวงมาลัยของใครเหลือเยอะบ้าง วันนี้พี่จะมาช่วยขาย”
“นี่จ๊ะ ของเจ้าตี๋เลย มันตัวเล็กรู้สึกว่าช่วงนี้จะวิ่งไม่ทันพวกฉันสักเท่าไร”
เด็กชายนนท์เอ่ยบอกพร้อมกับหิ้วกระติกใส่พวงมาลัยของเจ้าตี๋เล็กมาวางไว้ตรงหน้า พร้อมกับเสียงท้วงของเจ้าตัวเล็กที่ว่า เพราะพวกเธอน่ะแหละที่แย่งลูกค้าของฉัน ฉันเลยขายไม่ทัน แล้วเสียงฮาครืนก็ดังขึ้นตามมา
“เอ้อดี งั้นวันนี้พี่จะช่วยเธอขายนะเจ้าตี๋ เอ้า ไฟแดงมาพอดีเราไปกันเถอะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบคว้าพวงมาลัยจากกระติกของเจ้าตี๋น้อยแล้ววิ่งนำเหล่าผองเพื่อนตัวน้อยของเธอออกไปในทันที
จุดหมายแรกของเธอก็คือรถยนต์ทรงยุโรปติดฟิล์มสีดำสนิทหมดสิทธิเห็นคนด้านในได้ ที่จอดอยู่แถวหน้าสุดติดกับริมถนน เธอเลือกคันนี้เพราะเป็นคันแรกที่จอดอยู่ด้านหน้า เมื่อไปถึงแล้วหญิงสาวจึงเคาะประตูเรียก เสนอขายสินค้าของตนในทันที
“พี่ค่ะพี่ เอาพวงมาลัยหอมๆ มั้ยจ๊ะ”
กระจกสีดำค่อยๆ เลื่อนลงก่อนที่เสียงจากในรถจะดังขึ้น
“พวงมาลัยเสี่ยงรักหรือเปล่าครับ”
“คุณฐติวัธน์” หญิงสาวเรียกชื่อเขาอย่างดีใจ
กัญจนาพาร่างบางโซซัดโซเซมาตามทางเดินที่ทอดยาวไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย บัดนี้แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ได้หมดลงไปแล้ว หญิงสาวยังคงร้องไห้ฟูมฟายกับความเศร้าเสียใจและกับคำปรามาสของเขา ผู้ชายคนเดียวที่เธอแอบหลงรัก และคนที่เธอคิดว่าเขา คือคนที่สุภาพมากที่สุด หญิงสาวไม่เคยคิดว่าคนอย่างภาวสุทธิ์จะเป็นได้มากถึงขนาดนี้ เมื่อเขาต้องสูญเสียความรักและพี่สาวของเธอ
“-คุณภาวสุทธิ์ฉันไม่เข้าใจเลยว่าการที่คุณได้สูญเสียพี่แก้วไปจะทำให้คุณเป็นได้ถึงขนาดนี้ คุณจะไม่ยอมหันมามองฉันบ้างเลยหรือยังไง คนที่รักคุณจนหมดหัวใจอย่างฉัน ฉันจะแทนพี่แก้วไม่ได้จริงๆ หรือ คุณภาวสุทธิ์ทำไมคุณถึงได้ใจร้ายเช่นนี้”
เด็กสาวต่อว่าเขาด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำและแหละสลายไปกับคำพูดที่เขาหยิบยื่นให้แบบถากถาง น้ำตาใสๆ ยังไหลอาบนองสองแก้มนวล ดวงตาสวยอมเศร้ามองทอดไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เช่นเดียวกับสองเท้าที่ได้เดินฝ่าไปข้างหน้า โดยไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยหรือเมื่อยล้าสักนิด
กัญจนาเดินมาหยุดอยู่ตรงสะพานข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ตรงกลางสะพานว่างเปล่าไร้ผู้คน ความมืดที่โรยตัวลงมาพาให้เหล่าผู้คนต่างเข้าบ้านเพื่อจะพักผ่อนหลังจากที่ได้เหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน และเพื่อที่จะต่อสู้กับอุปสรรคในวันต่อไป โดยมีแสงไฟดวงเล็กๆ และเสียงหัวเราะพูดคุยจากคนในครอบครัวที่คอยสร้างความสุขและผ่อนคลายให้ความเหน็ดเหนื่อยเบาบางลง
สองมือบางของหญิงสาวจับอยู่กับขอบราวสะพานที่เป็นเหล็กและเย็นเจี๊ยบด้วยอุณหภูมิที่ปรับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นแสงตะวัน ลมเย็นพัดพาเอาไอเย็นจากแม่น้ำใหญ่มากระทบร่างบางจนรู้สึกหนาวสะท้าน หากแต่มันก็ยังไม่หนาวเท่ากับหัวใจของหญิงสาวที่ลดอุณหภูมิของร่างกายภายในลงอย่างรวดเร็วจนหัวใจของหญิงสาวในเวลานี้กลับไม่รู้สึกอะไรได้อีกแล้ว
มันเจ็บปวดจนบัดนี้เธอเริ่มจะชาชินกับมันเสียแล้วล่ะ
ผืนน้ำสีดำในความมืดพะยับเพยิบตามแรงลมที่พัดผ่าน จันทร์สีเหลืองนวลสาดสาดทอแสงสุขสกาวและลอยเด่นอยู่กลางห้วงนภาห่างไกลออกไปทางปลายน้ำ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานถึงแม้ว่าภาพตรงหน้าจะสวยงามมากแค่ไหน หากแต่เธอกลับไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นเพราะบัดนี้ในหัวใจของเธอมีแต่คำเย้ยหยันถากถางจากคนที่เธอรักหมดหัวใจ ก้องสะท้อนไปมาให้เธอได้คิด และเจ็บช้ำ
“-คนอย่างเธอร้องไห้กับเขาเป็นด้วยหรือ สำหรับเธอคำปรามาสพวกนี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกันเกรา”
“คุณภาวสุทธิ์คุณจะรู้ไหมว่าคุณได้ทำให้ฉันเจ็บปวดมากแค่ไหนกับคำถากถางของคุณ”
เด็กสาวตะโกนออกไปยังความว่างเปล่าข้างหน้าด้วยเสียงที่สั่นเครือ เธอตะโกนอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหวังจะให้ได้รับคำตอบจากผืนน้ำกว้างและดวงจันทร์ที่สวยงาม หากแต่คำถามเหล่านั้นกลับมอดดับไปกับสายลมและความว่างเปล่าเท่านั้น
“-เธอมันนังแพศยา เธอมันก็แค่นังฆาตกร จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่สาวของตัวเองที่ดีกับตัวเสมอมา คำว่าแพศยามันยังน้อยไปด้วยซ้ำหากจะเทียบกับการกระทำของเธอ”
ทุกประโยคทุกคำพูดของภาวสุทธิ์ยังดังก้องสะท้อนสองหู กัญจนาสะบัดหัวไปมาและยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองเพื่อจะให้ตนไม่ได้ยินคำเหล่านั้นอีก ได้ยินแล้วหัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บช้ำ ได้ยินแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกผิด
“ไม่นะ ไม่จริง!! ฉันไม่อยากได้ยิน ไม่!!!”
“นังแพศยา นังฆาตกร นังสารเลว ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่สาวของตัวเอง-”
ถึงแม้จะทำวิธีไหน หากแต่เธอก็ยังหลีกหนีไม่พ้นกับคำพูดถากถางเหล่านั้นที่ลอยกลับไปกลับมาอยู่ในหัวของเธออยู่ตลอดเวลาคล้ายดังกับจะตอกย้ำให้เธอคิดถึงแต่เรื่องราวเหล่านี้และเหมือนว่ามันจะพยายามฉุดดึงให้เธอจองจมอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดไป
“ฆาตกร!! แพศยา!!! กันเกราเธอมันก็แค่นังแพศยา เธอมันก็แค่นังสารเลวคนหนึ่งที่ไม่มีใครเห็นค่าอีกต่อไป สายน้ำจงเป็นพยาน ท้องฟ้าจ๋าจงเป็นพยาน นังกันเกราคนนี้คือฆาตกร เธอมันนังแพศยา กระโดดลงไปเสียสิ เพื่อที่จะให้ทุกอย่างมันจบลงเพียงแค่นี้ และให้ร่างของนังสารเลวคนนี้มันจมอยู่ใต้สายน้ำแห่งนี้ตลอดไป”
จู่ๆ หญิงสาวก็เอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย แววตาที่มองทอดไปข้างหน้าว่างเปล่า เธอพร้อมที่จะหนีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เธอพร้อมที่จะจมลงไปกับมลทินที่ตนไม่ได้ก่อแล้ว กระโดกลงไปเลย มันถึงเวลาของเธอแล้วล่ะ
โดยไม่ทันคาดคิด หญิงสาวได้ใช้สองมือจับราวสะพานจนแน่น แล้วจึงข่มความเจ็บปวดที่ตามมาอย่างทารุณเบี่ยงตัวเองขึ้นไปนั่งตรงขอบราวสะพานอย่างหมิ่นเหม่ บัดนี้ไม่มีน้ำตาจากเธอแล้ว มันไม่มีแม้กระทั่งความอาลัยทั้งสิ้นทั้งปวง ใบหน้าของเธอเรียบเฉย หากแต่ที่มุมปากนั้นกลับจุดรอยยิ้มเอาไว้อย่างจางๆ
“มันถึงเวลาของเธอบ้างแล้วล่ะกันเกรา มันถึงเวลาตายของเธอสักที”
เธอหลุบเปลือกตาลงมองผิวน้ำสีดำเบื้องล่างที่ไหลเชี่ยวกราก เธอสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก่อนจะตัดสินใจรวมพลังที่มีอยู่ผลักร่างของตัวเองออกไปข้างหน้าที่ว่างเปล่าในทันที
“กันเกรา!!”
แต่ก่อนที่ร่างของเธอจะทันได้ตกลงไปก็ได้มีใครคนหนึ่งได้วิ่งมาถึงแล้วฉุดรั้งเธอเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากอดอย่างห่วงใย
“คุณทำอย่างนี้ทำไม” น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย
“คุณฐติวัธน์”
กันเกราดูจะตกใจและแปลกใจไม่แพ้กันที่เห็นชายหนุ่ม และบัดนี้เธอก็ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว จนเธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
“กันเกรา คุณรู้ไหมว่าคุณทำอะไรลงไป คุณกำลังจะทำให้ใครหลายๆ คนเสียใจ และอีกข้อหนึ่งคุณกำลังจะสร้างรอยบาปให้กับตัวเองไปทุกชาติทุกภพเลยนะครับ ก็น่าจะรู้ว่าการฆ่าตัวเองมันเป็นบาปแค่ไหน”
ฐติวัธน์กระชับร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอดจนแน่น ไม่อยากจะปล่อยให้เธอทำอย่างเมื่อสักครู่อีก
“เสียใจ แล้วใครมันจะมาเสียใจกับการตายของกันเกราล่ะคะ บางคนเขาอาจจะดีใจเสียด้วยซ้ำ”
ระหว่างที่ระบายอารมณ์ที่มันอัดอั้นตันใจออกมานั้น ใบหน้าของภาวสุทธิ์ก็ยังลอยวนเวียนหลอกหลอนในห้วงมโนนึกจนทำให้เธอไม่อาจจะกลั้นก้อนสะอื้นไว้ได้ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
“คุณอย่าคิดโทษตัวเองสิครับกันเกรา ถึงจะไม่มีใครเขาเสียใจแต่คุณก็จงรู้เอาไว้นะครับว่ายังมีผมอีกคนหนึ่งที่ห่วงใยคุณ”
เขาเลี่ยงที่จะพูดคำว่า “รัก” ในตอนนี้เพราะคิดว่ามันคงจะเร็วจนเกินไปกับคำว่าเจอกับเธอ
“ขอบคุณ มากนะคะ”
หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองเขาอีกครั้งด้วยความซึ้งใจรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอเริ่มจะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัยจากเขา
“ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคอีกมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีคนตราหน้าให้กับคุณว่าเป็นคนบาปมากเพียงไร แต่คุณก็จะต้องสู้ สู้เพื่อจะให้เขาเห็นว่าคุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น คุณจะต้องเข้มแข็งเพื่อจะพิสูจน์ให้คนพวกนั้นรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนชั่วช้าอะไร จำไว้นะครับกันเกรา คุณอย่าคิดสั้นเป็นอันขาด สัญญากับผมได้มั้ยครับ”
ชายหนุ่มจับหัวไหล่ของหญิงสาวเบาๆ เป็นการเตือนสติของเธอให้คืนกลับมา ขณะที่หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งและคิดทบทวนถึงคำของเขา ใช่ เธอจะต้องเข้มแข็ง ชีวิตมีให้ต่อสู้ เธอลืมเรื่องนี้ไปได้แล้วหรือ กันเกราเปิดยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างมั่นใจในตัวเองก่อนจะตอบออกไปอย่างฉะฉาน
“ค่ะ กันเกราจะสู้ ฉันขอสัญญาค่ะ”
เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง น้อมรับความจริงใจของเขาที่ผ่านเข้ามา
ห่างออกไปจากตรงนั้นไม่ไกลกันนัก ภายใต้เงามืดของหมู่แมกไม้ร่างของชัชนันท์ยืนนิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ ชายหนุ่มเม้มปากสนิทและกำหมัดแน่น ดวงตาสีเหล็กจ้องมองใบหน้าของฐติวัธน์ที่กำลังยิ้มระรื่นอย่างมาดหมาย
“คุณฐติวัธน์ เราสองคนสักวันจะได้เห็นดีกัน!!”
TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT
ภาวสุทธิ์เดินกลับเข้าบ้านอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาพาร่างกายที่อ่อนโรยเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ทำงานอย่างอ่อนล้าเต็มที
นัยน์ตาสีเหล็กเขม่นมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ใบหน้าคมเข้มยังเรียบเฉย หากแต่ภายในหัวใจของเขากลับเต้นแรงและสับสนไปพร้อมๆ กัน
“มันเกิดอะไรขึ้นนายภาวสุทธิ์ นายกำลังเป็นอะไร”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตัวเองอย่างไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเอง นายกำลังเกลียดเธอไม่ใช่หรือ นังแพศยาคนนั้น สมควรแล้วกับคำด่าเหล่านั้น แต่ทำไมนะ เมื่อเห็นนัยน์ตาของเธอแล้วทำไมนายถึงได้รู้สึกเช่นนั้นไปได้ นายภาวสุทธิ์เตือนตัวเองเอาไว้สิว่านายเกลียดเธอ และจะต้องเกลียดเธอตลอดไป นังคนนั้นมันทำให้ความรักของนายต้องจบลง นายต้องสูญเสียคนที่นายรัก และกำลังจะได้แต่งงานกัน หล่อนฆ่าเจ้าสาวของนาย ได้ยินไหมภาวสุทธิ์ เธอฆ่าแก้วกาญจน์เจ้าสาวของนาย
เกลียด!! เกลียด!! ชายหนุ่มพยายามเตือนใจตัวเองถึงเรื่องที่นังเด็กโสโครกคนนั้นทำให้เขาต้องเจ็บช้ำอย่างในเวลานี้
“เธอมันนังแพศยา นังผู้หญิงจิตใจต่ำทราม กันเกราเธอจะต้องได้รับบทเรียนจากฉันอย่างสาสม คอยดู!!!”
ริมฝีปากได้รูปเม้มสนิท สองมือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานค่อยๆ ถูกรวบกำเอาไว้จนแน่น ก่อนจะให้พลังคลั่งแค้นทั้งหมดยกมือขึ้นแล้วทุบลงไปที่โต๊ะตัวนั้นเสียงดังปัง!!
ทว่าหากแต่เสียงเหล่านั้นกลับไม่ทำให้เขาสะทกสะท้าน ตรงข้ามการกระทำเหล่านั้นคล้ายดั่งจะกลายเป็นการระบายอารมณ์ที่มันคุกโชนอยู่ในหัวใจ ริมฝีปากที่เม้มสนิทก็ยิ่งสนิทเข้าไปอีกจนกลายเป็นการขบริมฝีปาก ใบหน้าที่เรียบเฉยค่อยๆ เข้มขึ้นทุกขณะ และยิ่งไปกว่านั้นแววตาของเขาก็ยิ่งวาวโรจน์อย่างน่ากลัว หากใครจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเขาก็จะเห็นเพลิงแค้นที่มันคุกโชนอยู่ในนั้น
“กันเกรา นังคนแพศยา!!!”
TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT
ขณะที่อีกคนกำลังก่อสุมไฟแค้นและความเกลียดชังที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่ง หากแต่อีกด้านกลับมีใครอีกคนหนึ่งที่ผิดหวังในความรักของเธอผู้นั้นที่ไม่เคยแสดงออกมาให้เขาได้เห็นเลยสักนิด หากแต่กับใครอีกคนที่เพิ่งรู้จักกันเธอกลับมอบหัวใจทั้งดวงให้
ชัชนันท์คิดเช่นนั้น จากภาพที่เขาเห็นเต็มสองตาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
ความกลัดกลุ้มในหัวใจจึงทำให้ชายหนุ่มปลีกตัวเองมานั่งดื่มปรับทุกข์ตัวเองในบาร์เหล่าแห่งหนึ่ง
ดื่มทั้งเหล้าและเบียร์ผสมกันจนบนโต๊ะในเวลานี้มีแต่ขวดเหล้าที่วางระเกะระกะ ส่วนสภาพของชายหนุ่มไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคำว่าเมาหัวราน้ำเป็นเช่นไร หากแต่ส่วนหนึ่งเขาก็ยังมีสติพอที่จะคิดถึงเรื่องต่างๆ ได้
“อกหักมาหรือคะ”
เห็นชายหนุ่มมาคนเดียว และนั่งดื่มอยู่คนเดียวเป็นนานสองนาน สาวสวยคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟของที่นั่นจึงตัดสินใจเดินเข้ามาหาเขาเพื่อจะสานสัมพันธ์
ชายหนุ่มที่กำลังกลัดกลุ้มต่อเรื่องในหัวใจค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ ก็พบกับสาวสวยคนหนึ่งที่อยู่ในชุดที่เซ็กซี่ยืนมองอยู่ เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับน้ำย้อมใจของตนต่อ
“ให้ฉันนั่งเป็นเพื่อนได้มั้ยคะ”
“ตามใจสิ ที่นั่งไม่ได้มีชื่อใครติดเอาไว้นี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงห้วน แต่กระนั้นก็ยังขยับที่ให้
“ดื่มหนักแบบนี้ไม่กลัวเมาหรือคะ”
เสียงหวานใสดังขึ้นใกล้ๆ หูจนชายหนุ่มรู้สึกเสียวสะท้านไปทั่วร่างกาย เขาจึงหันมองที่ใบหน้าของเธออีกครั้งอย่างรู้สึกรำคาญ
“ถ้ากลัวผมก็คงจะไม่ดื่ม อ้อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
เขาเอ่ยเสียงสะบัด ไม่ชอบใจที่จู่ๆ ก็มีใครไม่รู้เข้ามาจ้ำจี้จ้ำชัยอย่างกับเขาเป็นคนในอาณัติยังไงอย่างนั้นแหละ
“คุณเป็นแม่ของผมหรือ”
เจอประโยคนี้เข้านริษาก็ถึงกับใบ้กิน อะไรกันเค้าอุตส่าห์มาบอกด้วยความเป็นห่วงและหวังดีแท้ๆ กลับมาว่าประชดกัน หญิงสาวแบะปากแล้วร้องชิเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอีกครั้งและลองเชิงถาม
“ถามจริงๆ เถอะนายชัช นายจำเราไม่ได้จริงๆ หรือยะ”
เธอเอ่ยเสียงสะบัด ส่งค้อนให้อย่างประหลับประเหลือก ขณะชัชนันท์หยุดควงแก้วในมือก่อนจะก้มหน้าลงมองใบหน้าเนียนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างท้าทาย
“สา”
เขาอุทานเบาๆ ก่อนรอยยิ้มจะผุดขึ้นอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับชายหนุ่มในสถานที่แห่งนี้เช่นกัน
“เธอมาที่นี่ได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อเลย”
“ชิ นึกว่าจะจำกันไม่ได้ชะแล้ว ฉันทำงานที่นี่ และฉันต่างหากที่จะต้องถามนายว่านายมาที่นี่ได้ยังไง”
นริษาเปิดปากถามชายหนุ่มในทันที่ ถึงจะแปลกอยู่ไม่น้อยที่เห็นเด็กเรียนอย่างนายชัชนันท์มาเที่ยวผับเที่ยวบาร์เป็นกับเขาด้วย
“เปล่า เราแค่เบื่อและมาเที่ยวเฉยๆ ก็เท่านั้น”
“มาเที่ยว ฮึ” อีกฝ่ายทำเสียงสูง “ ไม่เชื่อหรอกเจ้าค่ะ คู้ณ นายอกหักมาล่ะซี้ถึงได้มานั่งดื่มเหล้าย้อมใจอย่างนี้” หญิงสาวเอ่ยอย่างรู้ทัน
“ไม่ เราไม่ได้เป็นอย่างที่เธอว่าสักหน่อย”
เขาเอ่ยปฏิเสธ หากแต่มันก็ถูกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ใช่เขาอกหัก อกหักทั้งๆ ที่ยังไม่บอกรักเธอด้วยซ้ำ
“อย่ามาโกหกคนอย่างฉัน สายตาของนายมันฟ้องอยู่แล้วว่านายกำลังเศร้าเพราะอกหัก”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยฮึสา ถึงฉันจะอกหักหรือเป็นอะไรมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวอะไรกับเธอเลย เธอจะเดือนร้อนไปทำไม”
“แต่ฉัน”
เจอประโยคนี้หญิงสาวถึงกับสะอึกและพูดไม่ออกมาในทันที คำพูดแก้ตัวของเธอที่มีอยู่มีอันจุกอยู่แค่ลำคอ เชอะ!! ไม่เกี่ยวหรือ เออใช่สิ แต่ทำไม๊ ทำไมนะเธอถึงได้ชอบไปยุ่งกับเขาอยู่เรื่อยนะ หญิงสาวนิ่งคิดถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านมา และในเวลานี้ ไม่นะยายสา เธออย่าบอกนะว่าเธอชอบนายชัชนันท์ ไม่จริง ไม่จริ๊ง!!!
“ไม่จริง!!”
จากห้วงภวังค์ที่เธอคิดอยู่ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดหนึ่งคำที่เธอก็ไม่คิดว่าทำไมถึงได้หลุดออกมาได้
“อะไรนะ นริษา เมื่อกี้เธอพูดอะไร”
ชัชนันท์เอียงหน้าถามหญิงสาวถึงคำที่เธอหลุดออกมาอย่างไม่ทันได้คาดคิด
“ไม่ ไม่มีอะไร”
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอุตลุด พยายามอย่างที่สุดที่จะหลบเลี่ยงสายตาของเขาที่จ้องมองมาเขม็งอย่างเอาเรื่อง
“ไม่เชื่อ เมื่อกี้เธอพูดอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นโดนแน่”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วโถมตัวพุ่งเข้าไปหาหญิงสาวอย่างเอาเรื่อง มือของเขารีบคว้าเอวขอดกิ่วของนริษาเพื่อกันไม่ให้เธอหลีกหนีไปไหน
“ไม่ นะ นายจะทำอะไรชัชนันท์”
นริษาปกปิดตัวเองเป็นพัลวันเมื่อเจอสายตาลวนลามของอีกฝ่าย ถึงจะรู้จักกับผู้ชายหลายๆ คนจนชิน แต่สำหรับผู้ชายคนนี้แล้วหัวใจของเธอกลับเต้นแรงและต่อต้าน ชัชนันท์นึกกระหยิ่มต่อการกระทำของหญิงสาว จึงได้ใจขยับใบหน้าคมเข้าแนบชิดจนกลิ่นเหล้าเคล้าคลุ้ง ขณะที่หญิงสาวรีบเบือนหน้าหนี
“เรารู้นะว่าเธอชอบเรา บอกเรามานะว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ไม่อย่างนั้นเธอเสร็จแน่”
ชัชนันท์เอ่ยบอกเสียงกระเส่า ขณะที่หญิงสาวไม่เคยคิดว่าเด็กเรียนอย่างนายชัชนันท์จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้
“ไม่นะ ชัชนันท์นายจะทำอะไร ไม่นะ ม้ายยยยย!!!!” เธอหลับตาปี๋หัวใจเต้นรัวแรง
TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT
รถจอดสนิทบนสะพานพระรามเก้าที่พาดผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาอันกว้างใหญ่ นริษาและชัชนันท์ต่างรีบลงจากรถ หญิงสาวรีบกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจก่อนจะวิ่งไปเกาะที่ราวสะพานแล้วตะโกนออกไปสุดเสียง
“ยะฮู้!!! สวัสดีกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน”
ภาพเบื้องหน้าของเธอนอกจากผืนน้ำสีดำสนิทที่ทอดยาวไปข้างหน้าโดยมีผืนน้ำพัดสะบัดเป็นระลอกตามแรงลมแล้ว ยังมีแสงสีของพระนครที่สาดส่องอวดสีสันอย่างสวยงามจากตัวอาคารบ้านเรือนของชาวบ้านและตึกธุรกิจต่างๆ
ชัชนันท์เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กับเธอแล้วเอ่ยบอกเสียงห้วน
“จะตะโกนให้คอแหกหรือยังไงแม่คุณ หัดเกรงอกเกรงใจคนอื่นที่เขากำลังจะหลับกันบ้าง เดี๋ยวก็พากันสะดุ้งตื่น นึกว่าเปรตบุกเมืองซะหรอก”
หญิงสาวค่อยๆ หันมาทางเขาด้วยใบหน้าแหยนิดๆ ก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ เป็นการแก้เก้อ
“เอ่อจ๊ะ ฉันขอโทษนะ มันดีใจนะที่ได้มายืนเล่นบนนี้ บอกตรงๆ นี่เป็นครั้งแรกของฉันเลยนะ”
“ยายบ้า ทำงานกลางคืนทุกวัน ไม่เคยมายืนอยู่ตรงนี้ ฉันไม่เชื่อหรอก”
ชัชนันท์ทำเสียงหยัน อย่างไม่เชื่อในน้ำเสียงของอีกฝ่าย หากแต่หญิงสาวกลับคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและมันก็เป็นยิ้มที่จริงใจจนเขาเห็นแล้วรู้สึกสะท้าน
“จริง เอ้าไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน คราวนี้เรามาเข้าเรื่องสักที ถามจริงนายอกหักมาใช่ม๊า”
เธอเปิดประเด็นถามไปแบบตรงๆ ขณะที่ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งช่างใจมองไปที่หญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ
“ยายนี่มันเป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ฉันไม่ตอบยังอุตส่าห์ดันทุรังถามอีก ยายบ้าเอ้ย”
“แล้วเธอจะรู้ไปทำไมกันฮึ”
เขาไม่ยอมตอบแต่ถามกลับเสียงห้วน ถามเรื่องนี้ทีไรรู้สึกว่าอารมณ์จะไม่เข้าที่ซะแล้ว
“แหะ ในฐานะเพื่อนร่วมคณะ เราก็ถามดูเท่านั้นเผื่อนายเป็นอะไรไปเราจะได้ช่วยเหลือเอาไว้ทัน”
หญิงสาวแก้ตัวไปอย่างน้ำขุ่นๆ หากแต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยสักนิด ชัชนันท์ก็ยังยืนนิ่งไม่ตอบคำถามใดๆ
“ก็ได้ๆ เมื่อนายไม่ตอบก็ไม่เป็นไร นี่แหละน้าเขาถึงว่าคนอ่อนแอ อกหักแค่เนี้ยเล่นออกมาดื่มเหล้าจนเมาหัวราน้ำแบบนี้ แล้วนี่จะไม่คิดแก้ปัญหาเลยหรือยังไง สู้สิยะ ใครต่างก็ว่าเอาไว้ว่าชีวิตมีไว้ให้เราสู้ นายจะจมปลักอยู่กับกองทุกข์ไปทำไมกัน”
หญิงสาวให้ข้อคิดอย่างมีเหตุผล ชัชนันท์ยืนทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างทบทวน นัยน์ตาของเขาเป็นประกายอย่างคนมีหวัง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างดีใจและอยากจะกระโดดเข้าไปโอบกอดคนข้างๆ เป็นยิ่งนัก หากแต่เขาก็ต้องหยุดความคิดเหล่านั้นเอาไว้แค่นั้น
“ขอบใจเธอมากนะสา ขอบใจเธอมากที่เตือนสติเรา”
TTTTTTTTTTTTTTTTTTT
หลายวันผ่านไปรอยแผลจากการถูกแทงของกันเกราก็ทุเลาลงจนอาการของเธอดีขึ้นมากในเวลาต่อมา หากแต่ความว้าวุ่นในหัวใจมันก็ยังมิอาจหมดไปเหมือนกับบาดแผล ตรงข้ามมันกลับยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเมื่อคำพูดของภาวสุทธิ์เข้ามาตอกย้ำกระทบใจของเธอ และยิ่งมาเจอคำพูดถากถางจากมารดาเข้าไปอีกจึงยิ่งทำให้หญิงสาวทุกข์ใจเข้าไปใหญ่
ดังนั้นวันนี้ทั้งวันเธอจึงนั่งเศร้าอยู่แต่ในห้องของตัวเอง เก็บตัวไม่ไปไหนและไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ที่ผ่านมาถ้าเธอเป็นเช่นนี้ก็จะมีแต่แก้วกาญจน์เท่านั้นที่เข้ามาปลอบโยน หากแต่ในเวลานี้ไม่มีพี่สาวของเธออีกแล้ว กันเกราจึงได้แต่ซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มอยู่เช่นนั้น
นานเท่านาน เธอไม่รู้เวลามันผ่านไปเท่าใดแล้วจึงเริ่มขยับตัวด้วยความเมื่อยขบ และความหิวที่มันจู่โจมเข้ามาอย่างไม่ปราณีเธอจึงตัดสินใจออกจากห้องอีกครั้ง
เดินไปมาอยู่ในบ้านสักพักเธอก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยความเหนื่อยหน่ายในจิตใจก็ในเมื่อเวลานี้ทั้งบ้านของเธอไม่มีอะไรที่จะใช้ประทังความหิวได้เลย แม้กระทั่งน้ำสักหยดหนึ่งก็ไม่มี
คราวนี้กันเกราจึงตัดสินใจว่าจะออกไปหาอะไรกินจากข้างนอก เธอก้มลงดูเงินในมือก็เศร้าใจ เกือบเดือนแล้วสินะที่เธอไม่ได้ทำงาน เงินที่เก็บอยู่ถูกใช้ไปทุกวันจนบัดนี้มันเริ่มจะร่อยหรอลงแล้ว
“อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้วเธอจะต้องหาเงินเก็บไว้นะ กันเกรา”
หญิงสาวเตือนใจตัวเองก่อนจะเดินออกจากบ้านไป จุดหมายแรกคือร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย เธอจัดการกินอาหารมื้อนี้อย่างรวดเร็วและไม่ประณีตสักเท่าไร ก่อนจะรีบออกจากร้านแห่งนั้นเพื่อจะไปในสถานที่อันคุ้นเคย
“เฮ้ยพวกเรา นั่นพี่กันเกรานี่”
เป็นเด็กชายสุพจน์ที่เห็นก่อนใคร ก่อนจะตะโกนบอกเหล่าผองเพื่อนที่นั่งอยู่ตามจุดต่างๆ ด้วยความเมื่อยล้า หากแต่พวกเขาก็สู้
กันเกราเปิดยิ้มกว้างอย่างคุ้นเคย แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทุกคน โดยมีเจ้าเด็กชายตัวน้อยที่พวกเธอต่างตั้งชื่อให้ว่า “เจ้าตี๋เล็ก” กระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าอย่างดีใจมากกว่าใคร
“เย้ พี่กันเกรามาแล้ว”
“ใช่พี่กันเกรากลับมาขายพวงมาลัยกับพวกเราแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
พะแพงเด็กหญิงตัวน้อยก็ดีใจไม่แพ้กัน เธอเข้ามาจับมือจับแขนพี่สาวคนสวยของเธอเอาไว้แน่น ปานว่าทั้งสองจะเคยจากกันมานานแล้วกลับมาพบกันอีกครั้ง
“อือ ว่าแต่พวกเธอเถอะ เห็นพี่ป่วยทำไมไม่ไปเยี่ยมกันบ้าง นี่เล่นหายต๋อมกันไปทั้งก๊กเลย”
กันเกราทำเสียงเง้างอด ขณะที่เหล่าเด็กๆ ต่างพร้อมใจกันตอบเสียงดังฟังชัด
“ไปแล้ว”
“ไป แล้วทำไมไม่เข้าไปหาพี่ล่ะ” เธอถามเหล่าน้องๆ ในสังกัดอย่างแปลกใจ เมื่อไปแล้วทำไมเธอไม่เห็น
“จะเข้าไปได้ยังไงล่ะพี่กันเกรา พวกเราไปทุกครั้งก็เจอแต่ป้ากระเพรา แล้วป้าเค้าก็พูดว่า จะมาอะไรกันนักกันหนาไอ้เด็กพวกนี้ งานการไม่มีจะทำกันเลยหรือไง นังกันเกรามันหายแล้ว มันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ไปไป้ ออกไปให้พ้นจากบ้านของกู!!”
เด็กชายนนท์เอ่ยบอกพร้อมกับทำท่าทางให้เหมือนกับมารดาของกันเกรามากที่สุด โดยการทำเสียงเข้มและยืนเท้าเอวประกอบ
“ใช่ๆ แล้วป้ากระเพรายังพูดอีกว่า ต่อไปนี้พวกเอ็งก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก ข้าเบื่อขี้หน้าของพวกเอ็งเต็มทีแล้ว เห็นแล้วรำคาญว่ะ” เด็กหญิงพะแพงช่วยเสริมอีกคน
ขณะที่กันเกราได้แต่ทำหน้าฉงน มองกิริยาของเหล่าเด็กๆ ที่พยายามจะเล่าความจริงให้กับเธอฟัง เธอเชื่อเด็กพวกนี้อย่างสนิทใจเพราะพวกมันไม่เคยโกหกเธอและก็ยังรู้ด้วยว่ามารดาจองเธอมีนิสัยเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“อือ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป”
“รู้สึกว่าช่วงนี้พี่กันเกราจะผอมไปนะ แต่ก็หุ่นดีไปอีกแบบ พะแพงอยากจะมีหุ่นอย่างพี่บ้างจัง”
เด็กหญิงตัวน้อยวาดฝันรูปร่างของตัวเองในอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร จะมีหุ่นสวยอย่างพี่กันเกราหรือเปล่านะ
“อือ คนป่วยจะให้เหมือนเดิมมันก็ยังไงอยู่นะ ดีนะที่พี่ผอม เห็นหลายคนแล้วอ้วนยังกับหมูเลยแหละ”
หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะหันไปสำรวจกับทุกคน
“เอ้อ ว่าแต่พวงมาลัยของใครเหลือเยอะบ้าง วันนี้พี่จะมาช่วยขาย”
“นี่จ๊ะ ของเจ้าตี๋เลย มันตัวเล็กรู้สึกว่าช่วงนี้จะวิ่งไม่ทันพวกฉันสักเท่าไร”
เด็กชายนนท์เอ่ยบอกพร้อมกับหิ้วกระติกใส่พวงมาลัยของเจ้าตี๋เล็กมาวางไว้ตรงหน้า พร้อมกับเสียงท้วงของเจ้าตัวเล็กที่ว่า เพราะพวกเธอน่ะแหละที่แย่งลูกค้าของฉัน ฉันเลยขายไม่ทัน แล้วเสียงฮาครืนก็ดังขึ้นตามมา
“เอ้อดี งั้นวันนี้พี่จะช่วยเธอขายนะเจ้าตี๋ เอ้า ไฟแดงมาพอดีเราไปกันเถอะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบคว้าพวงมาลัยจากกระติกของเจ้าตี๋น้อยแล้ววิ่งนำเหล่าผองเพื่อนตัวน้อยของเธอออกไปในทันที
จุดหมายแรกของเธอก็คือรถยนต์ทรงยุโรปติดฟิล์มสีดำสนิทหมดสิทธิเห็นคนด้านในได้ ที่จอดอยู่แถวหน้าสุดติดกับริมถนน เธอเลือกคันนี้เพราะเป็นคันแรกที่จอดอยู่ด้านหน้า เมื่อไปถึงแล้วหญิงสาวจึงเคาะประตูเรียก เสนอขายสินค้าของตนในทันที
“พี่ค่ะพี่ เอาพวงมาลัยหอมๆ มั้ยจ๊ะ”
กระจกสีดำค่อยๆ เลื่อนลงก่อนที่เสียงจากในรถจะดังขึ้น
“พวงมาลัยเสี่ยงรักหรือเปล่าครับ”
“คุณฐติวัธน์” หญิงสาวเรียกชื่อเขาอย่างดีใจ
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 เม.ย. 2554, 19:11:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 เม.ย. 2554, 19:11:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 1974
<< ตอนที่ 7 การสูญเสียกับความผิดบาปที่ตามมา |
kungandpolice 7 เม.ย. 2555, 14:54:37 น.
มาต่อเมื่อไหร่ค่ะไรเตอร์ อยากอ่านมากๆค่ะ กดlikeeeeeeeeeให้เลย
มาต่อเมื่อไหร่ค่ะไรเตอร์ อยากอ่านมากๆค่ะ กดlikeeeeeeeeeให้เลย