ม่านธาราเร้นดาว {ชุดมนตราอัญมณี} สนพ.อรุณ วางแผงแล้ว
เรื่องชุดมนตราอัญมณี : พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน

มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ

สำหรับชลธิศแล้ว มาริณเปรียบเสมือนดวงดาวที่เร้นอยู่ภายใต้ม่านธาราอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นดาวดวงน้อยที่งดงามและมีค่า ใช่จะหาพบได้ง่ายๆ แต่โชคชะตาก็นำพาให้เขามาเจอกับดาวดวงนี้…เขาสัญญาว่าจะโอบกอดดาวไว้ ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงดวงดาวอันล้ำค่าไปจากหัวใจได้โดยเด็ดขาด
Tags: มาริณ, ชลธิศ, ไตร, ชลันธร, มัชฌิตา, มุกดา, มายาไฟในดวงตา, มนตรามุกจันทรา, นิยาย, บุลินทร

ตอน: ตอนที่ 4 มาไม้ไหน



มาไม้ไหน

เมื่อกลับมายังโต๊ะอาหาร เก๋เล่าเรื่องที่พบมาริณและหนุ่มปริศนาระหว่างทางไปห้องน้ำให้เพื่อนๆอีกสองคนฟังอย่างเฮฮา เมื่อทุกคนรู้ก็แซวใหญ่

“ที่แท้แกรู้จักเขาเหรอเนี่ย” เพื่อนสาวอีกคนในกลุ่มเอ่ยอย่างประหลาดใจ เพราะตอนอยู่ร้านกาแฟเมื่อหลายวันก่อน มาริณไม่มีท่าทีว่ารู้จักผู้ชายคนนั้นเลย

“ฉันไม่เคยรู้จักเขา และไม่อยากรู้จักด้วย มันก็แค่…” ขณะกำลังอธิบาย มาริณก็อึกอัก เพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร

“แค่อะไร แค่คนที่ฟ้าส่งมาให้เจอกันเหรอ” เก๋หัวเราะคิกคัก ทำตาเคลิ้มฝันราวกับเป็นนางเอกนิยายรักโรแมนติก

“นี่ ฉันไม่รู้จักเขาจริงๆนะ ก็แค่บังเอิญเจอกัน” หล่อนไม่อยากอธิบายอะไรมากกว่านี้ เพราะรู้ว่าพูดไปเพื่อนๆคงไม่เข้าใจ

“แต่ฉันว่าแกกับเขาเหมาะกันดีนะ แกก็น่ารัก ส่วนเขาก็หล่อ แถมยังบึกบึน ท่าทางจะปกป้องแกได้ดีเลยละ”

“หยุดเลยนะยายเก๋ ถ้าแกแซวอีก ฉันกลับแน่” หญิงสาวเอ่ยเสียงเข้ม นั่นละ…แกนนำอย่างเก๋ถึงพาเปลี่ยนเรื่อง

หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนๆแล้ว มาริณขับรถกลับมาถึงบ้านตอนห้าทุ่ม เพราะร้านสเต๊กอยู่ไม่ไกลนัก ป่านออกมาเปิดประตูให้และถามว่าจะรับอะไรหรือเปล่าเช่นเคย ด้วยความที่เพิ่งทานมาใหม่ๆ มาริณจึงปฏิเสธไป

เมื่อมาถึงห้องนอน หล่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมสีครีม เดินเข้าไปนอนแช่น้ำอุ่นๆในห้องน้ำอยู่เกือบสิบนาที ก่อนกลับออกมาในชุดลำลองสบายๆ

มาริณยังไม่อยากนอน เพราะมีเรื่องค้างคาใจเต็มไปหมด หล่อนจึงเปิดโน้ตบุ๊กสีขาวคู่ใจขึ้น ระหว่างรอก็นึกถึงประโยคที่ชลธิศพูดเมื่อตอนหัวค่ำอย่างสงสัย

แน่ใจเหรอว่าหินแห่งธารดาวเป็นของของตระกูลคุณจริงๆ

ถ้าไม่ใช่ของของตระกูลหล่อน แล้วมันจะอยู่กับย่าอมินตามาได้ยังไงตั้งหลายสิบปี นายชลธิศต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ถึงพูดแบบนี้

หล่อนตัดสินใจเข้าเว็บค้นหาข้อมูล ซึ่งว่ากันว่าเข้าเว็บนี้จะค้นเจอทุกอย่าง หลังจากใส่คำค้นหาว่า ชลธิศ อิสระธารา แววตาก็ทอประกายหมายมาดอย่างรอคอย

“นายชลธิศ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่านายเป็นใคร” ขอให้มีข้อมูลอะไรบ้างเถอะ นิดเดียวก็ยังดี
ไม่ถึงห้าวินาที หน้าเว็บก็แสดงผลการค้นหาขึ้นมา มาริณกวาดสายตาอ่านคร่าวๆแล้วต้องพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่พบข้อมูลที่ตรงกับคำค้นหาเลย

หล่อนลองตัดชื่อชายหนุ่มออก เหลือไว้เพียงนามสกุล เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไร

“เฮ้อ ทำไมถึงไม่มีซักเว็บเลย” เมื่อพยายามแล้วไม่เป็นผล หล่อนจึงปิดโน้ตบุ๊กทั้งที่ยังค้างคา ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ครุ่นคิดเรื่องเมื่อครู่อยู่อีกเกือบครึ่งชั่วโมงทีเดียว สุดท้ายจึงหลับไปพร้อมกับคิ้วที่ยังขมวดเข้าหากัน

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงฟ้าร้องครืนครางขึ้น ก่อนที่สายฝนจะเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักพร้อมกับแสงแปลบปลาบของสายฟ้า ซึ่งดูราวกับจะฟาดฟันลงที่ใครสักคน น่าหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้คนนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงรู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่บรรยากาศภายนอกกำลังเกรี้ยวกราดนั้น ณ มุมหนึ่งของห้องนอนขนาดกลางสีฟ้าอ่อน มีเงาดำค่อยๆก่อตัวขึ้นจนมองเห็นเป็นรูปร่างสูงทะมึน ซึ่งดูผาดๆแล้วสูงกว่าคนธรรมดาถึงสองเท่า มันเคลื่อนตรงเข้ามาหามาริณซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หยุดอยู่ปลายเตียงคล้ายกำลังจ้องมองหญิงสาว ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น เงาร่างปริศนาก็หายวับไป!






ตลอดหลายวันที่ผ่านมา มาริณรู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะไม่ได้เจอชลธิศเลย สงสัยเขาจะยอมแพ้ที่หล่อนไม่ยอมขายอความารีนให้จึงถอยทัพกลับไป ทั้งที่วางแผนมาเสียดิบดี

สาธุ ขอให้ไปแล้วไปลับ อย่ากลับมาอีกเลย

เช้าวันหยุดอันแสนสดใส หญิงสาวลงมาจากบ้านในชุดเสื้อชีฟองจับจีบแบบเรียบหรูสีฟ้าอ่อนและกางเกงขาสี่ส่วนสีขาวคาดด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาลเส้นเล็กดูเก๋ไก๋

วันนี้หล่อนตั้งใจจะออกไปหามุกดาที่คอนโดฯและชวนไปทานข้าวกันที่ห้างสรรพสินค้า จากนั้นอาจจะต่อด้วยร้านเบเกอรี่โปรดเป็นการตบท้าย

“ดูแลบ้านดีๆนะป่าน” หญิงสาวฝากฝังสาวใช้ ก่อนขับรถซีดานสีน้ำเงินออกมาจากบ้านสีเบจโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีรถปิ๊กอัพสีเทายกสูงของใครคนหนึ่งขับตามมาห่างๆ

เมื่อมาถึงคอนโดฯของพี่สาว มาริณทักทายพนักงานรักษาความปลอดภัยรูปร่างท้วมที่ยืนอยู่ตรงป้อมยามของคอนโดฯอย่างคุ้นเคย เพราะมาที่นี่บ่อยๆจนอีกฝ่ายจำได้

พอขึ้นมาถึงห้องมุกดา หญิงสาวเคาะประตูเรียกเบาๆ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากด้านใน

“แปลก ปกติวันหยุดพี่มูนไม่น่าจะไปไหน” หล่อนพึมพำกับตัวเอง

เพราะคิดอย่างนั้นละ ตอนออกมาจากบ้านถึงไม่ได้โทร.บอกพี่สาวก่อนว่าวันนี้จะมาหา

มาริณลองเคาะประตูห้องอีกครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับเช่นเคย หล่อนจึงแน่ใจว่ามุกดาไม่อยู่ห้อง เพราะปกติพี่สาวไม่ใช่คนตื่นนอนสาย

หล่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพาย ก่อนจะกดติดต่อหาพี่สาว ไม่นานก็มีสัญญาณตอบรับกลับมา

“ว่าไงมีน”

“พี่มูนคะ ตอนนี้มีนอยู่หน้าห้องพี่มูนนะ แต่เคาะประตูแล้วเงียบๆ พี่มูนไม่ได้อยู่ห้องเหรอ”

“อ้าว ไม่เห็นโทร.บอกพี่เลย” ฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“ก็มีนนึกว่าพี่มูนจะอยู่ห้องนี่นา”

“เปล่า นี่พี่เข้ามาที่บ้าน กำลังจะขึ้นไปห้องย่า พี่ก็คิดว่ามีนอยู่บ้าน”

“สวนทางกันซะงั้น” มาริณส่ายหน้ายิ้มๆ นอกจากจะสวนทางกันแล้ว ต่างคนต่างก็ไม่ได้โทร.บอกกันอีกต่างหาก

“แล้วเอาไงดี”

“เดี๋ยวมีนกลับไปที่บ้านก็ได้ค่ะ” หญิงสาวสรุปและคุยกับพี่สาวต่ออีกครู่ ก่อนวางสายและกลับลงมายังชั้นล่างของคอนโดฯ

“เมื่อกี้ผมกำลังจะบอกพอดีเลยครับว่าคุณมูนออกไปข้างนอก แต่บอกไม่ทัน” รปภ.ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหามาริณและแจ้งให้ทราบ

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะเดินกลับมายังรถของตัวเอง

ไม่รู้ว่าหล่อนคิดไปเองหรือเปล่าเมื่อรู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ มาริณมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในลานจอดรถของคอนโดฯนอกจากหล่อน

หญิงสาวส่ายหน้าพลางถอนหายใจ สงสัยจะคิดมากไปเอง ว่าแล้วจึงเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ ก่อนออกมาจากคอนโดฯของมุกดาเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านสีเบจ

ขากลับการจราจรบนท้องถนนยังเคลื่อนตัวไปได้อย่างสะดวก มาริณเลือกใช้ความเร็วปานกลาง เพราะไม่ได้รีบร้อน แต่แล้วจู่ๆรถก็เกิดอาการเครื่องกระตุก

เห็นอย่างนั้น หญิงสาวรู้ทันทีว่าในไม่ช้าหล่อนจะต้องเจอกับอะไร จึงค่อยๆบังคับรถเข้าไปจอดเทียบข้างทาง ก่อนที่มันจะดับในที่สุด

“เป็นไรของแกเนี่ย” มาริณบ่นให้รถคู่ใจอย่างหงุดหงิดเล็กๆ ด้วยความที่เป็นผู้หญิงจึงไม่ได้มีความรู้ด้านการบำรุงรักษารถมากนัก นอกจากขับไปวันๆ ซึ่งตั้งแต่ซื้อมา รถคันนี้ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยจนวันนี้เป็นครั้งแรกที่มันดับไปเฉยๆ

หญิงสาวกดปุ่มเลื่อนกระจกรถลงครึ่งหนึ่ง ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพาย โทร.ไปสอบถามหมายเลขอู่ซ่อมรถจากบริการสายด่วนข้อมูล

ขณะกำลังยกเครื่องมือสื่อสารแนบหูอยู่นั้นก็สะดุ้งเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกดังขึ้น

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” เจ้าของร่างใหญ่ก้มหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มลงมาถาม น้ำเสียงแม้จะแข็งกระด้างไปบ้าง แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย

“นายชลธิศ” หล่อนแอบตกใจเล็กๆ เพราะนึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆเขาจะโผล่มาหลังจากหายไปหลายวัน

“ใช่ ผมเอง จริงๆเรียกผมว่าเชนก็ได้นะ…คุณมีน” รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่มุมปาก เขาชอบจริงๆเวลาที่เห็นหล่อนทำตาโตอย่างประหลาดใจแบบนี้ มันดูน่ารักดี

“นี่รู้จักชื่อเล่นฉันด้วยเหรอ”

“แค่ได้ยินเพื่อนคุณเรียกแบบนี้ ผมเลยเรียกบ้าง”

“ฉันอนุญาตให้คนสนิทเรียกเท่านั้น”

“ถึงตอนนี้เราจะยังไม่สนิทกัน แต่อนาคตมันต้องพัฒนามากกว่านั้นแน่นอน เชื่อผมสิ” น้ำเสียงของเขาออกจะมั่นใจ ประกายระยิบระยับปรากฏในดวงตาคมแวบหนึ่ง แต่ถึงแม้จะไม่นานก็ทำให้คนถูกมองหัวใจไหวสั่นได้

หล่อนยอมรับว่าชลธิศเป็นผู้ชายที่ดูดีโดยไม่ต้องทำอะไรกับตัวเองเลย แค่เขายืนอยู่เฉยๆ ทำหน้านิ่งๆก็ทำให้ผู้หญิงหลายคนหยุดมองโดยไม่รู้ตัวได้แล้ว แต่เพราะการพบกันครั้งแรกไม่น่าประทับใจนัก มาริณจึงไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้หญิงพวกนั้นเท่าไหร่ อีกอย่างเวลาเจอเขาทีไรต้องมีเรื่องให้หงุดหงิดใจทุกทีสิน่า

“นี่คงจะมาคุยเรื่องเดิมๆอีกใช่ไหม”

“เฮ้ นี่คุณเห็นหน้าผมเป็นอความารีนไปแล้วเหรอ” เขามองสาวน้อยหน้าหวานใสด้วยความเอ็นดู

“หรือไม่จริง”

“งั้นวันนี้ผมไม่คุยเรื่องนั้นก็ได้” ชลธิศยักคิ้วหนา ดวงตาคมกริบคล้ายกำลังคิดอะไรในใจ

มาริณรู้สึกว่าเวลาเขายิ้มหรือยักคิ้วหลิ่วตา มันดูน่ารักกว่าตอนทำท่าหยิ่งยโสตั้งเยอะ

“ไม่ว่าเรื่องอะไรฉันก็ไม่คุย” หล่อนปฏิเสธเสียงหนักแน่น ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ “เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าคุณสะกดรอยตามฉันมา” หญิงสาวว่าพลางหันไปมองรถปิ๊กอัพสีเทายกสูงที่จอดอยู่ด้านหลัง

“ทำไมคิดแบบนั้น” ชายหนุ่มถามกลับ แม้รู้ดีว่าหล่อนเดาถูก ใช่ เขาสะกดรอยตามมาริณมา แต่ชลธิศคิดว่าเขาทำได้แนบเนียนมากแล้ว หล่อนไม่น่าจะรู้สึกผิดสังเกต ที่ถามมาก็คงแค่เดาไปเรื่อยเปื่อย

“ก็…” มาริณยอมรับว่าแค่สงสัย เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชลธิศทำอย่างนั้นจริงๆ

“คิดไปเอง?” เขาเลิกคิ้วหนาขึ้นเป็นเชิงถาม

“ฉัน…”

“คุณนี่เหมือนเด็กๆที่พยายามหาเหตุผลเถียงผู้ใหญ่เลยเนอะ” ชลธิศยิ้มด้วยความชอบใจมากกว่าจะเป็นการล้อเลียน

“โอ๊ย ทำไมฉันต้องเจอคุณตลอดด้วย น่าเบื่อชะมัด” เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร มาริณก็แกล้งโวยวายขึ้น

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ใช่สิ ฉันไม่เคยเจอผู้ชายที่ไหนแปลกแบบคุณมาก่อนเลย” พูดแล้วเขายังยิ้มอย่างไม่ยี่หระ น่าหมั่นไส้นัก

“ขอบคุณที่มองว่าผมเป็นผู้ชายมีค่า ของมีค่ามักจะหายาก คุณเคยได้ยินใช่ไหม” ชลธิศพูดด้วยน้ำเสียงโอ่นิดๆ

“ขอโทษ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันบอกว่าคุณแปลก แปลกประหลาด เคยได้ยินไหม แปลกจนไม่มีใครเปรียบ”

“ไม่มีใครเปรียบ งั้นก็แสดงว่าผมยอดเยี่ยมที่สุด” ไม่พูดเปล่า เขาทำหน้าภูมิใจเสียเต็มประดา ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดขึ้นหลายเท่า

มาริณพ่นลมหายใจฮึดฮัดและเอ่ยอย่างขัดใจ คนบ้า ไม่รู้ตัวเลยหรือไงนะว่าหล่อนกำลังด่า

“นี่คุณจะแถไปถึงไหน อยากเอาชนะฉันมากนักเหรอ”

“ไม่รู้สิ มันสนุกดี” เขาตอบหน้าตาย

“ฉันไม่สนุกกับคุณหรอกนะ เจอกันแต่ละครั้งประสาทจะเสียมากกว่า ขอร้องเถอะ ช่วยออกไปจากชีวิตฉันสักทีได้ไหม ฉันไม่อยากเจอคุณอีกแล้ว” มาริณแทบจะยกมือไหว้

“พูดเหมือนไล่แฟนไปให้พ้นๆ”

“นอกจากใช้ไล่แฟนแล้ว คุณคงไม่รู้ว่ามันใช้ไล่ผีร้ายด้วย” หวังว่าตาหมีป่าจอมโอหังคงเข้าใจว่าผีร้ายที่หล่อนพูดหมายถึงใคร

“เอาล่ะ ไปทานข้าวกันดีกว่า ผมเริ่มหิวแล้ว” ชลธิศว่าพลางชี้ชวนให้หล่อนมองร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่ข้างหน้าไม่ไกล

“อะไรนะ?” ความคิดของมาริณสะดุดกึก แทบจะตั้งตัวไม่ทันเมื่อจู่ๆฝ่ายนั้นชวนขึ้นมา นึกจะเปลี่ยนเรื่องก็ไม่ให้สัญญาณอะไรบ้างเลย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้หล่อนพูดว่าเขาเป็นคนแปลกได้อย่างไร

“ไม่ต้องตัดสินใจนานหรอกน่า ไปเถอะ มื้อนี้ผมเลี้ยง ผมรู้นะว่าคุณยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน” สายตาคมกริบจ้องมองใบหน้าใสอย่างโน้มน้าว

เชอะ…นอกจากจะกล้าชวนหล่อนไปทานข้าวอย่างอุกอาจแล้วยังทำเป็นรู้ใจอีกต่างหาก

“ฉันไม่หิว” มาริณปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด

“แต่กว่าคุณจะโทร.ไปเรียกช่าง กว่ารถจะซ่อมเสร็จคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ผมว่าคุณทนไม่ไหวหรอก”

“นั่นมันเรื่องของฉัน ฉันไม่ได้ใช้กระเพาะร่วมกับคุณสักหน่อย ถ้าฉันหิวแล้วไง มันทำให้คุณเดือดร้อนเหรอ” หญิงสาวเชิดจมูกน้อยๆ

“ไปเถอะน่า คุณยังอยากรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับผมไม่ใช่เหรอ ไปทานข้าวกัน แล้วผมจะเล่าให้ฟัง” ชลธิศยื่นหน้าเข้ามาใกล้หล่อนมากขึ้น ดวงตาสีนิลคมกริบเป็นประกายแฝงไปด้วยเลศนัย ซึ่งมาริณบอกตรงๆว่าไม่ไว้ใจเลยสักนิด

หญิงสาวหรี่ตามองเจ้าของใบหน้าคมคายอย่างพิจารณา พยายามค้นให้ลึกลงไปในหัวใจอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้ชลธิศจะมาไม้ไหนกันแน่

“แน่ใจนะว่าจะเล่าทุกอย่าง”

“ครับ” เขาพยักหน้ายิ้ม เห็นฟันขาวที่เรียงตัวสวย ดวงตาพราวระยิบ บอกด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ “แต่ตอนนี้…คุณต้องตกลงไปกับผมก่อน”

โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ธ.ค. 2554, 17:03:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ธ.ค. 2554, 17:21:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 2274





<< ตอนที่ 3 เหตุผลที่แท้จริง   ตอนที่ 5 อีกด้านของคนแปลกหน้า >>
บุลินทร 28 ธ.ค. 2554, 17:10:39 น.
คุณ หมูอ้วน
ขอบคุณที่ติดตามเซ็ทนี้นะครับ อย่าเพิ่งสับสนน้า เดี๋ยวจะค่อยๆกระจ่างขึ้นละ ^^

คุณ ameerahTaec
มาต่อให้อย่างรวดเร็วครับ อยากให้ติดตามต่อไปเรื่อยๆเลยน้า ^^

คุณ Neferretti
มีคนสงสัยพระเอกซะแล้ว ฮ่าๆ ท่าทางหลานสาวสามคนจะปวดหัวเพราะคุณย่าจริงๆครับ เจอเรื่องน่าตื่นเต้นกันหมดเลย แถมยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ยังไงเป็นกำลังใจให้พี่ๆทั้งสอง และน้องสุดท้องอย่างยายมีนด้วยนะครับ ^^

คุณ lovemuay
ฮ่าๆ เรื่องนี้มีที่ไม่ใช่คนแน่ๆครับ แต่จะเป็นพระเอกรึเปล่า อันนี้ต้องติดตาม ^^


ตอนต่อไปจะมาอีกครั้งหลังจากปีใหม่เลยนะครับ ให้คนอ่านไปเที่ยวกันก่อน อิอิ ยังไงขอสวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่านเลยครับที่ให้เกียรติเข้ามาติดตามนิยายเรื่องนี้ และเรื่องอื่นๆในชุดมนตราอัญมณี... สวัสดีปีใหม่ครับ


Zephyr 28 ธ.ค. 2554, 18:19:18 น.
สวัสดีปีใหม่ 2555 (เหมือนหัวเราะไงไม่รู้) ทั้งคุณบุลินทรและเพื่อนๆรีดเดอร์ทั้งหลายด้วยนะคะ ^^
ตอนนี้ขอบอกว่านายเชนนี่ แถ ได้โล่ห์ กวน ได้ใจ จริงๆ
เงาดำนั่น คุณย่าป่าวเอ่ย ตอนนี้พระเอกดูธรรมดาหน่อยแล้วค่ะ ไม่แว้บไปแว้บมา


lovemuay 28 ธ.ค. 2554, 19:28:44 น.
สวัสดีปีใหม่ไรเตอร์นะคะ ขอให้เป็นอีกปีที่มีแต่สิ่งดีๆและความสุข ^^
นายเชนยังลึกลับเหมือนเคย ที่จริงแล้วอาจเป็นฝ่ายปกป้องนางเอกอยู่ก็ได้ อิอิ


หมูอ้วน 29 ธ.ค. 2554, 00:02:13 น.
นายเชนเปลี่ยนแผนใหม่แน่ ๆ เลย
สวัสดีปีใหม่นะค่ะ


ameerahTaec 29 ธ.ค. 2554, 08:34:07 น.
กี้สสสสส เจอคนหล่อแบบนี้เป็นเราเราใจอ่อนไปนานละ ฮ่าฮ่าฮ่า


ณยฎา 6 ม.ค. 2555, 12:31:02 น.
นายชลธิศนี่ร้ายไม่เบา ... ชอบ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account