มายาไฟในดวงตา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ
เมื่อพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาตั้งใจจะเก็บมรดกทั้งของตนเองและน้องสาวเอาไว้
อันตรายบางอย่างกลับคืบคลานเข้ามา หญิงสาวจึงทำได้เพียงหนี !
ก่อนที่ “เขา” เจ้าของพลอยที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงจะมาทวงมันคืนไปจากเธอ
Tags: อสิตา มนตรามุกจันทรา ม่านธาราเร้นดาว พลอยตาเสือ มัชฌิตา ชามัล อัคนิวรา

ตอน: บทที่ 1 ดวงไฟในเงามืด (ต่อถึงจบบท)

น้องๆนำไปหลายตอนแล้ว พี่มิ้งค์เลยรีบตามมาหน่อย
กลัวจะรักกันไม่ทันชาวบ้านเขา55
...

@Neferretti
อยากทำให้ขนลุกอีกเรื่อยๆค่ะ แต่ฉากหวานก็มีน้า ^^

@เบญจามินทร์
หุหุ เค้าชอบเรื่องหักมุม

@หมูอ้วน
คนเขียนได้แรงบันดาลใจจากเพชรพระอุมานิดๆ ชอบอะไรป่าๆ ลึกลับ
และพระเอกเท่ๆ(อันหลังนี่น่าจะชอบกันทุกคน)

@ ameerahTaec
ชอบพระเอกร้ายๆ น่ะค่ะ แหะๆ ...ตัวร้ายก็ชอบร้ายๆ (-.-‘ สรุปว่าแข่งกันร้าย)


ในบาร์แห่งนี้ล้วนแล้วไปด้วยหนุ่มสาวที่แต่งเนื้อแต่งตัวและมีท่วงท่าดูดีจนเหมือน
หลุดออกมาจากหน้าหนังสือแฟชั่น มัชฌิตาคิดว่าราคาของอะไรต่างๆ คงแพงระยับสมตัว
แต่ความตื่นใจทำให้เธอไม่อาจก้าวถอยหลัง เฉดสีดำและเขียวทั้งอ่อนแก่ถูกนำมาใช้
อย่างลงตัว ธารน้ำแคบๆ เล่นเส้นสายเป็นลายหลอกตาถูกวางเลื้อยเลาะผ่านไปตาม
กลุ่มที่นั่งซึ่งจัดไว้เป็นกลุ่มใหญ่บ้าง เล็กบ้าง สำหรับสองคนบ้างตามความต้องการ
ของผู้มาเยี่ยมเยือน แขกทั้งหลายกำลังอยู่ในภวังค์ของความรื่นรมย์ แต่ก็มีบางอย่าง
เคลือบคลุมราวกับเป็นปาร์ตี้สนุกสนานโทนสีเทาดำมืดหม่นอย่างบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ดีเพลงแจ๊สกึ่งอิเล็คโทรนิกซึ่งดังคลอเคล้ายังสามารถปลุกจิตวิญญาณ
แห่งดนตรีที่หลับใหลให้ฟื้นตื่นขึ้นในราตรี ช่วยขับกล่อมให้อารมณ์ดีได้อย่างประหลาด
หญิงสาวนั่งลงที่เคาน์เตอร์บาร์ มองไปรอบๆ เห็นมีโต๊ะหนึ่งเต็มไปด้วยคนต่างชาติ
ผมทอง ความทรงจำเก่าๆ ก็ผุดขึ้นมา

“ฉันเคยไปช่วยเพื่อนทำงานที่บาร์พักหนึ่ง วันดีคืนดีมีฝรั่งเดินเข้ามานั่งกันโต๊ะใหญ่
ด้วยความอยากทดสอบภาษาของตัวเองไงคะ เดินเข้าไปแบบหน้าชื่นมาก สั่งกันมาทีงี้
เป็นชื่อเหล้ายาวๆ ทั้งนั้น แถมแข่งกันสั่ง ไอ้เราก็พยายามทวนในใจของแต่ละคน เลยจด
ไม่ทันเกือบทั้งโต๊ะ ก็ไม่ได้บอกเขานะคะกลัวร้านจะเสียชื่อที่หาพนักงานไม่เอาไหน
มาทำงาน แต่พอเดินเข้ามาถึงก็บอกเพื่อน ช่วยหาคนไปรับออร์เดอใหม่ทีเถอะ
ไม่รู้แบบไหนจะน่าหงุดหงิดสำหรับลูกค้ามากกว่ากัน...”

“แปลว่าคุณไม่ค่อยได้ดื่ม”

“ก็ไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียวค่ะ ดื่มน่ะดื่มกับเพื่อนหนุ่มๆ สาวๆ ทั่วไป คนทำงานปกติ
ไม่ได้ดื่มอะไรหรูหรามากกว่า” มัชฌิตายิ้มเมื่อนึกถึงว่าย่าของเธอร่ำรวย มีสมบัติ
มากมายก่ายกอง และก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะให้หลานๆ ได้กินดีอยู่ดี เพียงแต่เธออยาก
สลัดตัวหลุดออกมาจากวงจรนั้นเองมากกว่า

ทั้งคู่นั่งคุยกันถูกคอ ดูเหมือนเขาและเธอใจตรงกันอย่างประหลาด ตอนกลางวัน
คนมีเงินอย่างชามัลก็เกิดจะมาแวะร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเดียวกับมัชฌิตา แต่คนรวยก็ใช่ว่า
ต้องชอบกินของแพงเสมอไป หนุ่มมาดเซอร์ติดดินที่ไม่เรื่องมากดูจะมีเสน่ห์ในสายตา
หญิงสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นี่อะไร พอตกกลางคืนก็ได้มาพบกันอีกในคลับลึกลับชื่อ
ไพรมายา ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะเป็นใจเสียเหลือเกิน

มัชฌิตารู้สึกเลือดฉีดขึ้นหน้าบ่อยๆ จนเริ่มจำได้ว่าสมัยแตกเนื้อสาวตนเองเคยมี
ความรู้สึกวูบไหวเช่นนี้ หลังๆ มาชีวิตเธอมีแต่งาน งาน งาน และงานจนแทบไม่มีเวลาพัก
ก็สนุกกับงานอยู่หรอก อีกเหตุผลคงเห็นจะไม่พ้นความรู้สึกที่อยากอยู่ให้ได้และเป็นที่พึ่ง
ให้น้องๆ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ใบบุญของย่าตลอดไป แต่เวลานี้ เมื่อไม่มีย่า
เหมือนอย่างเดิมแล้วหญิงสาวกลับเหงาอย่างประหลาด เหงาจนอยากคุยกับใครสักคน
แล้วเธอก็ได้พบเขา...

“ชามัล เมห์ฮรา เป็นชื่อที่เพราะดี... ” มัชฌิตาช้อนสายตามองคนเคียงกันบนบาร์
อย่างเริ่มกึ่มนิดๆ เธอไม่ใช่พวกคอแข็งอะไรเท่าไหร่ แต่พอเขาชวนดื่มเหล้าแรงๆ
มัชฌิตาก็ไม่ปฏิเสธเพราะคิดว่าหากดื่มไม่มากก็ยังสามารถรักษาท่าทีให้เหมือน
คนไม่เมาได้ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ปลดปล่อยความรู้สึกออกไป

ชายหนุ่มหัวเราะ นึกอยากเขี่ยขนตายาวเป็นแพหนาของหญิงสาวข้างกายเล่นเบาๆ
ขนตาของเธอดำสนิทเหมือนกับผมดัดอ่อนๆ ยาวเลยบ่าที่เคลียอยู่ข้างแก้ม ดูยุ่งนิดๆ
อย่างน่ารัก ด้วยความที่หญิงสาวชอบเสยผมจนดูเป็นกิริยาที่ทำจนเป็นนิสัย

เขาอยากจะเข้าใกล้เธอยิ่งกว่านี้ แปลกที่ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะแค่เรื่องงานซึ่งต้อง
มาจัดการ แต่มีความรู้สึกอย่างใหม่เพิ่มเติมมา ความยั่วยวนของเธอ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่
แต่ชามัลรู้สึกเหมือนมีไฟที่ส่องประกายวาววามประหลาดจุดขึ้นในอก เขาไม่สนใจรู้ว่า
มันคืออะไร แค่อยากเล่นไปตามเพลงความร้อนของไฟก็เท่านั้น และคนอย่างชามัล
เมห์ฮรา ลองต้องตาผู้หญิงคนใดไม่เคยมีที่จะไม่ได้มา แต่กับเธอคนนี้ มันติดตรงที่ว่า...

“ชื่อคุณแปลว่าอะไร บอกได้หรือเปล่า” ไม่ใช่แค่เพียงถามไปเรื่อยเปื่อย หญิงสาวถาม
อย่างสนใจในนามนั้นจริงๆ แต่พอเขาตอบมาแล้วเธอกลับไม่ได้สะกิดใจอันใด

“ความมืดและแสงสว่าง...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ ซ่อนรอยยิ้มไว้ในดวงตาซึ่งหลุบลงมอง
แก้วเหล้าทรงเตี้ยในกำมือ

“น่าสนใจ แล้วคุณจะเลือกข้างไหน” มัชฌิตายิ้ม แม้ดวงตาเขาจะเป็นสีน้ำตาลทอง
ชวนให้นึกถึงแสงสว่าง แต่ผมหยักศกน้อยๆ อย่างมีจังหวะจะโคนของชามัลที่ยาว
เสมอไหล่นั้นดำสนิท

“ก็แค่ เป็นตัวเอง...” ชายหนุ่มตอบกำกวมด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่ใส่ใจจริงจัง ก่อนจะ
ชวนมัชฌิตาคุยเรื่องของเธอบ้าง “ว่าแต่คุณ รู้สึกไหมว่าเรามีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน”

“เอาอย่างไหนล่ะคะ”

“งั้นก็แปลว่าเราเหมือนกันหลายอย่าง” ชามัลยื่นแก้วมาตรงหน้าทั้งคู่ มัชฌิตาชนแก้ว
กับเขา มองลึกลงในดวงตาคู่นั้น รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เขาคือ
ความลึกลับ คือคำถามที่อาจไม่มีคำตอบ และคงจะเกินเอื้อมเกินไปสำหรับคนอย่างเธอ
เธอคิดว่าตัวเองรู้จักผู้ชาย ด้วยอายุขนาดนี้ แต่ไม่เคยได้สัมผัสหรือได้ใกล้ชิดจริงจัง
กับคนที่ดูเจนโลกอย่างเขา แม้อยู่ใกล้ แต่ในความเป็นจริงก็คงเปรียบได้กับคนละฟ้าเดียวกัน

“ผมมองเห็นความเศร้าในดวงตาคุณ”

พอเขาพูดอย่างนั้นมัชฌิตาก็เลยหลุบตาลงมองต่ำ ยิ้มเขินๆ “แล้วเหมือนกันยังไง
คุณเศร้าหรือเปล่า ฉันไม่ยักกะมองเห็นความเศร้าของคุณเลย”

“อาจจะเรียกว่าเป็นพวกเศร้าลึก”
ชามัลยิ้มยั่ว น้ำเสียงของเขาดึงดูดจนมัชฌิตาแทบลืมหายใจ

“ฉันคงไม่ถึงกับเศร้า แค่ใจหายเพราะชีวิตมันเปลี่ยนไปค่อนข้างมากช่วงนี้
เหมือนกับวันพรุ่งนี้ในแบบที่เคยคิดว่าจะมีถูกใครขโมยเอาไป”

“ไม่มีใครขโมยวันพรุ่งนี้ของเราไปได้ นอกจากตัวเราเองที่ไม่มั่นคงพอ... วันนี้คุณจาก
หนทางเดิมๆ มา วันหนึ่งคุณจะหาทางกลับไปได้ ถ้าคุณไม่ลืมวันที่อยากให้มาถึง”

“เข้าใจพูดดีนี่คะ”

“เพราะผมอยากพูดให้กินใจคุณไง มัชฌิตา” ชามัลแย้มยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับ

“เรียกฉันมิ้งค์ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวบอกดื้อๆ

ใจหนึ่งเธอนึกอยากจะเล่นเกมกับเขา เล่นกับไฟ แม้ว่ากำลังหนีจากอันตราย แต่
แค่คืนนี้ ตื่นเช้าก็คงต้องจากไป อาจจะไม่เหมือนซินเดอเรลล่า เพราะนั่นเป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างน้อยก็ในโลกนิทาน ส่วนเธอ...คงเหมือนแค่หลับตา
แล้วก็นึกฝันไป เพียงเท่านั้น

พลอยตาเสือที่กลางอกของหญิงสาวสั่นสะเทือนน้อยๆ จนมัชฌิตาคิดว่าเธอรู้สึกไปเอง
เธอไม่ได้ลืมเรื่องอันตรายที่ใกล้เข้ามา แต่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะเช้า อีกอย่าง
อยู่กับเขาแล้วเธอไม่มีสมาธิจะคิดเรื่องอื่นเลยให้ตายสิ...

“คุณว่าคุณมาทำธุรกิจที่เมืองไทยหลายปีแล้ว แต่ก่อนนั้นคุณอยู่อินเดีย ทำอะไรคะ”

“ตระกูลของผมที่นั่น...เราทำหลายอย่าง”

“หน้าตาคุณไม่บ่งบอกเท่าไหร่ ว่าเป็นคนแขก ถ้าไม่ดูจากสีผิว ไม่ขาว แต่ก็ไม่คล้ำ”
มัชฌิตาวิจารณ์ตรงๆ เพราะคิดว่าเขาคงไม่ถือเรื่องลักษณะผิวพรรณเป็นปมด้อยแต่อย่างใด
เพราะเท่านี้ชายหนุ่มข้างๆ เธอก็ดูดีเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถดูดีได้แล้ว

“แองโกล อินเดียนส์” ชายหนุ่มยักไหล่ “แม่ผมเป็นคนอังกฤษ สงสัยเชื้อแม่จะแรง...
ว่าแต่คุณก็ดูมีอะไรแปลกไปจากสาวไทยทั่วไปนะครับมัชฌิตา หรือว่าผมมองผิด”

“...” หญิงสาวลังเลนิดหนึ่งว่าจะบอกเขาดีไหม แต่แล้วเธอก็พูดออกไป “ไม่ผิดหรอก
ย่าฉันเป็นคนต่างชาติ คงผสมๆ มาหลายทาง ดีอยู่อย่าง ทำให้หน้าไม่โหลนะคะ”

ชายหนุ่มเอียงหน้ามามองคนข้างกาย พยายามเพ่งพิศเธออย่างลึกซึ้ง ผมดัดอ่อนๆ
ยีทรงไว้ให้ยุ่งนิดๆ ยาวเคลียไหล่ดำสนิทเหมือนกับดวงตาคมงาม ขนตาหนาเป็นแพ
คิ้วเรียวเรียงตัวสวยออกจะเข้มกว่าหญิงสาวทั่วไป และคิ้วที่ชามัลกำลังจ้องอยู่ก็ค่อยๆ
เลิกขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะเอี้ยวมาสบตาตอบ
“ทำไมเราถึงบังเอิญเจอกันบ่อยนัก”

“อาจเป็นความหิวที่พาเรามาเจอกัน”

หญิงสาวโคลงศีรษะ เขาคงรู้ว่าเธอเริ่มมึนเลยแกล้งยวนเล่นอย่างนี้

“จริงนี่ครับ หิวข้าว หิวเหล้า แล้วก็อาจจะหิวอย่างอื่นด้วย สำหรับผม...
เพราะกระเพาะแห่งความต้องการของมนุษย์นั้น เติมเท่าไหร่ก็ย่อยสลายไปหมดเร็วนัก
เติมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม” ชามัลปรายตามองคนที่นั่งข้างๆ อย่างมีความหมาย
ชายหนุ่มเอาตลับบุหรี่โลหะออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หยิบบุหรี่มาตัวหนึ่ง ยื่นให้มัชฌิตา
แต่เธอส่ายหน้าและหันหนีไปทางอื่น

“แค่ของบางคนหรอกที่ไม่เต็ม” มัชฌิตาแอบย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นยาสูบฉุนๆ
“ถ้าคุณมองหาคนแบบนั้นอยู่ นั่นก็คงไม่ใช่ฉัน” ทั้งที่อยากลองเล่นเกมกับเขา
แต่พออีกฝ่ายรุก มัชฌิตาก็รีบชิงถอยหลบวูบ เธอไม่แน่จริง และก็คงไม่กล้าจริง
อยากเล่นเกมที่ตัวเองได้ โดยไม่ต้องเสียอะไร เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบเขา
แต่ความสัมพันธ์แค่ชั่วคราวนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยต้องการ ไม่ว่ากับเขาหรือใคร

“อย่าเดาไปเองเลย ผมไม่ได้ต้องการเพียงแค่นั้นจากคุณหรอก”

ชามัลคุยกับมัชฌิตาทุกเรื่อง อย่างสนอกสนใจในเรื่องราวของเธอจริงจัง ราวกับว่า
ทั้งบาร์นี้ไม่มีใครนอกจากเขาและเธอ วงดนตรีเล่นเพลงเบาๆ และร้องครวญคลอ
ไปกับดนตรี เพลงใหม่เริ่มขึ้นพอดิบพอดีในจังหวะที่ทั้งคู่กำลังสบตากันนิ่ง นาน...

“เพลงโปรดของฉันเลย Here in my room ของอินคิวบัส”
มัชฌิตาพึมพำเมื่อได้ยินเสียงดนตรี หันไปมองนักร้องและวงที่อยู่ในชุดดำฉาบ
กลมกลืนกับเงาหม่นสลัวราง มองไม่เห็นว่าเป็นคนชาติไหน แต่ฟังจากสำเนียง
และการร้องแล้วต้องยอมรับว่าไม่ด้อยไปกว่าต้นฉบับ เพลงนั้นราวกับจะหยุด
ทุกอย่างไว้กับที่จริงๆ ด้วยความหมายซึ่งซ่อนอยู่

This party is old and uninviting
Participants all in black and white
ในงานเลี้ยงหนึ่งซึ่งราวภาพมายา คนมากหน้ารายล้อมไร้ชีวิตชีวา

You enter in fullblown Technicolor
...Nothing is the same after tonight
เธอเข้ามาพร้อมสีสัน ...คืนนี้ มีอะไรแปลกจากเดิม

If the world would fall apart
In a fiction worthy wind
หากแม้โลกปลิดปลิวสลายสิ้น

I wouldn't change a thing Now that you're here...
ยังยินดี ขอเพียงแค่มีเธอ...

Yeah, love is a verb Here in my room…
Here in my room…
Here in my room…

“เพลงโปรดของผมเหมือนกัน คุณรู้หรือเปล่า ว่าเพลงนี้จริงๆ แล้วพูดถึงอะไร”
ชามัลถามอย่างหยั่งเชิง

มัชฌิตาหันไปซ่อนหน้าอีกทาง ยิ้มมุมปาก รู้ดีว่าคำตอบคือเซ็กส์ แต่เธอไม่ได้พูดออกไป
“ฉันชอบ...เพราะว่ามันเพราะดี ก็แค่นั้น”

บรรยากาศเงียบลง ความล่อยลอยของดนตรีที่รินไหลผ่านไปเรื่อยๆ ก็คล้ายจะพลัน
สะดุดลงพร้อมกันด้วย มัชฌิตาก้มมองแก้วเหล้าในมือ นี่เขาคิดไปถึงไหน คิดว่าเธอ
เชิญชวนหรืออะไร มันยากนักหรือที่จะหาผู้ชายน่ารัก ดูดี และมีหัวใจแท้จริงสักคน
บนโลกใบนี้ ที่จะอยากรู้ว่าเธอชอบดูหนังเรื่องไหน ฟังเพลงอะไร ชอบไปที่ไหน
เรียนรู้ว่าเวลาอยู่ด้วยกันควรพูดหรือเงียบเมื่อไหร่ ไม่ใช่อยากรู้แค่ว่าเธอคิดยังไง
กับเรื่องบนเตียง

...อะไรบางอย่างบอกหญิงสาวว่าคนในบาร์กำลังหยุดเต้นเนิบช้าตามเสียงเพลง
หยุดส่งเสียงพูดคุยตามปกติ คล้ายจะกระซิบกระซาบกันมากขึ้น เพ่งความสนใจ
มายังเธอและชามัลอย่างน่าแปลกใจ

“ในนี้มีกลิ่นหอมแปลกๆ ” หญิงสาวพูดเหมือนละเมอ

“ใช่ เพราะว่าตอนนี้ในอากาศมีสมุนไพรที่ใช้ทั้งกล่อมกับหลอนประสาทอยู่”

หญิงสาวหันมองชามัล ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เร็วอย่างใจสั่ง เห็นเขาอัดควันเข้าลึก
ก่อนจะค่อยๆ ระบายมันออกมาเป็นสาย ควันนั้นวนเวียนอ้อยอิ่ง
รายล้อมไปรอบๆ ตัวเธอ

“แล้วทำไมทุกคนในนี้ถึงมองมาทางพวกเรา”

“เพราะว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นคนของผม”

“คุณ...” โลกของมัชฌิตาเริ่มหมุน
เธอเห็นชามัลแยกออกเป็นคนที่สอง สาม และสี่

“ผมเป็นเจ้าของที่นี่ ไพรมายาคลับแอนด์รีสอร์ท แต่เหนือกว่านั้น ผมเป็นเจ้าของ
สิ่งที่คุณครอบครองอยู่ ...ทั้งหมดที่ผมสร้างความประทับใจ มานั่งคุยกับคุณ
ก็เพราะอยากรู้จักกันให้มากขึ้น ไม่อยากจะเอา ‘มัน’ มาเฉยๆ ตอนนี้ก็คิดว่า
รู้จักคุณในระดับหนึ่งแล้ว สมควรแก่เวลา คุณล่ะพร้อมจะมอบสิ่งนั้นให้ผมรึยัง”

มัชฌิตาได้ยินเพียงเท่านั้นก็ฟุบลงกับเคาน์เตอร์บาร์

“พาเธอไปไว้ที่ห้องฉัน” ชามัลยิ้มมุมปากขณะที่ชายหญิงซึ่งแลดูเหมือนนักท่องราตรี
ผู้เดินทางมาจากเมืองหลวงแต่แท้จริงแล้วเป็นคนของเขาพาตัวมัชฌิตาออกไป
โดยตนเองยังไม่ละสายตาไปจากแก้วในมือ “บอกแล้ว ว่ากับคุณ...
ผมไม่ได้ต้องการแค่เพียงอย่างเดียว”




ณ ห้องที่ดีที่สุดของรีสอร์ท แน่นอน รวมถึงมันต้องมืดที่สุดด้วยตามเจตนาของผู้เป็นเจ้าของ

เวลานี้ชามัลได้แต่ยืนกำมือแน่น โกรธกรุ่นอยู่ในความมืด เขามองเห็นมัชฌิตานอนหลับพริ้ม
ระทดระทวยอยู่บนเตียง คล้ายพร้อมรับชะตากรรมทุกอย่างที่เขาหมายจะยัดเยียดให้
ทั้งความปรารถนาในตัวเธอ และสิ่งล้ำค่าที่เธอครอบครอง

หญิงสาวผู้นี้สวยมากในสายตาของชามัล ดวงหน้าสวยคมซึ่งแลดูเก๋ในขณะเดียวกัน
การวางท่าของเธอผยองมากกว่ายิ้มแย้มอ่อนหวาน ท้าทาย เล่นกับไฟ ไม่ยอมทุ่มเททั้งตัว
คล้ายว่าไม่อยากถูกเปลวร้อนๆ แห่งอัคคีแลบเลีย แต่ยังอยากชื่นชมความงามของไฟที่ตาเห็น
เวลาหลับ ก็ดูไม่เชิงว่าไร้เดียงสา มุมปากที่ยกขึ้นทั้งไม่รู้ตัวนั้นทำให้รู้สึกเหมือนเจ้าหล่อน
กำลังยิ้มเย้ยเขาที่ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้

อะไรๆ ไม่เป็นอย่างใจจนน่าหงุดหงิด เพราะเมื่อใดที่ชามัลมุ่งจะแตะต้องกายหรือกระทั่ง
สร้อยซึ่งมัชฌิตาสวมอยู่ คลื่นกระแสความร้อนอันไม่อาจทัดทานจะต้องพลุ่งพล่านออกมา
จนเขาไม่สามารถทนเข้าใกล้เธอได้ คล้ายความรู้สึกเมื่อตอนเขาผลักเธอล้มแล้วรับไว้
...มากยิ่งกว่า เหมือนความร้อนซึ่งสะท้อนกลับจะทวีความร้ายกาจขึ้นตามความคิด
ที่เขามุ่งจะกระทำต่อมัชฌิตา แม้ใช้คนอื่นมาทำแทนก็ไม่สำเร็จเช่นกัน เป็นเหตุให้
ชามัลฉุนเฉียวจนตะเพิดคนของตนออกไปจากห้องหมดสิ้น

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ชามัล เมห์ฮรา เป็นผู้ควบคุมไฟ ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกกับคำว่าร้อน
เพราะไม่มีอะไรร้อนกว่าไฟในมือนี้...แล้วเราคงต้องได้รู้กัน มัชฌิตา”



หญิงสาวลืมตา รู้สึกปวดหัวจับใจ กระนั้นก็ยังพยายามยันตัวขึ้นนั่งบนเตียงกว้างรูปแบบ
เก่าแก่ทั้งที่น่าจะเป็นของใหม่ กวาดสายตาไปทั่วห้องอันตกแต่งขรึมขลังสไตล์อินเดีย
อย่างไม่คุ้นเคย อากาศเย็นเยียบด้วยเครื่องปรับอากาศซึ่งซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่ง
ในห้องยังมืดสลัวคล้ายเป็นเวลาค่ำคืน แต่เมื่อมองไปยังผนัง เข็มนาฬิกาโบราณกลับชี้
ไปยังเที่ยงตรง มัชฌิตาไม่คิดว่ามันจะเป็นเที่ยงคืน เพราะเมื่อคืนที่เธอนั่งดื่มกับชามัล
ก็เลยเวลานั้นไปไกลโขแล้ว อ๊ะ ชามัล ใช่สิ เมื่อคืนเขา...

พนักงานในโถงต้อนรับของรีสอร์ททุกคนรวมถึงแขกที่มีอยู่ประปรายหันไปมองเป็นจุดเดียว
เมื่อหญิงสาวร่างสูงเพรียวคนหนึ่งลิ่วออกมาจากส่วนพักซึ่งต้องผ่านโถงนี้ไปสู่ทางออก

“ฉันจะไป ไม่รอให้คุณชามัลอะไรนั่นของพวกคุณกลับมาหรอก” มัชฌิตาที่ยังเดินเซน้อยๆ
พยายามก้าวเดินเร็วแทบเป็นวิ่งโดยไม่สนใจพนักงานบริการหญิงสองคนและชายอีกหนึ่ง
ที่พยายามตามมาเพราะกลัวว่าเธอจะพับลงไปกับพื้น ด้วยความมึนงงคล้ายเมาค้าง
มัชฌิตาจึงไม่วายสะดุดขาตัวเองล้มลงไปคุกเข่าอยู่แทบพื้น พอดีกับชามัลที่อยู่ใน
บริเวณนั้นราวกับกำลังรอท่ารีบเข้าไปพยุงเธอให้ลุกขึ้นมา

“ชามัล ! ”

“ผมทำไมครับ ? ”

“เมื่อคืนคุณพยายามจะทำอะไร !! ”

“ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่เห็นว่าคุณเมามาก ก็เลยพาไปพักในห้อง”

“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกว่าคุณเป็นเจ้าของไพรมายา”

“ผมไม่ใช่พวกชอบอวดรวย ตอนหลังผมก็บอกคุณแล้วไง มัชฌิตา…คุณมิ้งค์”

มัชฌิตาปัดมือที่ช่วยพยุงเธอไว้ออก เม้มปากแน่น เธอจำได้ แม้จะไม่ชัดเจนนัก
เมื่อคืนเขาพูดว่าต้องการมัน แต่ถ้าหากหมายถึงพลอยตาเสือละก็ ทำไมมันยังอยู่ดี
และถ้าเขาหมายถึงอย่างอื่น ตัวเธอก็ไม่มีอะไรบุบสลายเลย คล้ายกับว่าชามัลแค่
จัดการเรื่องที่หลับที่นอนให้จริงดังว่า ก็แค่นั้น ที่สำคัญเมื่ออยู่ใกล้เขาเธอก็ไม่ได้
รู้สึกถึงอันตรายซึ่งติดตามไล่หลังมาอีก ไม่แม้แต่นิดเดียว

“เมื่อคืนคุณใช้ควันบุหรี่ทำให้ฉันหลับไป ควันลอยมาวนๆ อยู่รอบตัว ฉันจำได้”
มัชฌิตายังหน้านิ่ว

ชามัลหลุดหัวเราะพรืดออกมาเหมือนขำเต็มประดา
“มีบุหรี่แบบนั้นในโลกด้วยหรือ เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ”

มัชฌิตาเอื้อมเปะปะไปแตะอกเสื้อสีดำของชามัล ไม่พบซองบุหรี่โลหะที่เห็นเมื่อวาน
ซึ่งคาดว่าเขาน่าจะพกมันติดตัวไว้ หญิงสาวตีหน้าไม่ถูก แต่ชายหนุ่มก็เย้าเธอ
คล้ายอยากให้บรรยากาศคลายลง

“ผมไม่สูบบุหรี่ แล้วก็ถ้าคุณมิ้งค์อยากค้นตัวผมละก็ เราไปที่ลับตาคนกว่านี้หน่อยดีกว่าไหม”

มัชฌิตารีบชักมือกลับ หันไปเห็นพนักงานต้อนรับและคนส่วนใหญ่ซึ่งยังมองมายังเธอ
และชามัลด้วยสีหน้ายิ้มๆ คงคิดว่าเป็นคู่หนุ่มสาวน่ารักที่งอนกันเอิกเกริกหรืออะไรแบบนั้น

“ไม่ต้องเรียกชื่อเล่นซะสนิทสนมขนาดนั้นก็ได้”

“คุณมิ้งค์นี่ก็แปลกดี ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนบอกชื่อมาเองผมคงจะเรียกถูกหรอกนะ”

มัชฌิตาออกจะทึ่งเรื่องความสามารถในการยอกย้อนของชามัล เขาพูดภาษาไทยได้ดี
เทียบเท่ากับคนไทยแท้ๆ คงต้องเรียกว่ามีเซนส์เรื่องภาษาเป็นพิเศษ หรือไม่ก็อาจ
เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงไทย ถึงได้ติวมาเสียเข้ม แต่จะเป็นมายังไงก็ช่างเถอะ เธอจะไป
สนใจเรื่องเขาอีกทำไมกัน “ถ้าอยากเรียกแบบนั้นก็ตามใจ แต่ฉันคงต้องไปแล้ว
คงไม่ได้อยู่สนิทสนมกับคุณนานนักหรอก”

“เอายาแก้เมาค้างไหมครับ”

“ฉันไม่กินอะไรที่คุณให้อีกแล้วละ อย่าหลอกล่อกันเลย” มัชฌิตาว่า พยายามสะกดใจ
ที่คอยจะเต้นแรงขึ้นมาให้ได้เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ...เฮ้อ เราหนอเรา จะถูกใจหนุ่ม
ขึ้นมาสักคนก็แสนยาก เรียกว่าชามัลเป็นคนแรกในรอบห้าปีเลยก็เห็นจะได้ แค่หล่อ
กินขาดดารายังไม่พอ ยังเป็นเจ้าของรีสอร์ทหรู แถมยังมาโผล่ในสถานการณ์ที่เธอ
ไว้ใจใครไม่ได้อีก ยิ่งบวกกับความทรงจำครึ่งๆ กลางๆ เมื่อคืน
นอกจากถอยกับถอยแล้วจะทำอะไรได้ เมื่อจากไปแล้วเธอคงไม่มีวันเจอคนอย่างเขาอีก
มีแต่ต้องตัดใจอย่างเดียวเท่านั้น

หญิงสาวปัดป้องมือที่พยายามยื่นมาช่วยเหลือของชายหนุ่ม
เมื่อชามัลยังคงเดินตามเธอมาจนถึงที่จอดรถ

“มิ้งค์ รับนี่ไปสิครับ ที่อยู่รีสอร์ท เบอร์โทรศัพท์ ผมยังอยู่แถวนี้ เผื่อคุณอยากมาพัก
หรือว่ามีอะไรอยากให้ช่วย ต่อสายถึงผมได้โดยตรง...” ชามัลเอ่ยอย่างไว้เชิงนิดๆ
สีหน้าของเขาบ่งบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่เคยต้องง้อผู้หญิงมาก่อน

“ไม่ละค่ะ ขอบคุณมาก” มัชฌิตาปฏิเสธ ทั้งที่อยากรับใจแทบขาด เธอเคยเป็นคน
ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเสมอ ไม่เคยต้องวิ่งหนีจากสิ่งตัวเองสนใจ
แต่ตอนนี้จะมีชื่อชามัลบันทึกไว้เป็นรายการแรก

“งั้นนี่ นามบัตรส่วนตัวผม” ชามัลยื่นนามบัตรทันสมัยพิมพ์ด้วยตัวหนังสือ
ภาษาอังกฤษให้มัชฌิตา “ไม่เกี่ยวกับรีสอร์ท เอาไว้ให้กับคนสนิทกันจริงๆ เท่านั้น”
น้ำเสียงของชายหนุ่มทอดอ่อนอย่างมีเยื่อใย รั้งแขนเธอไว้เบาๆ ในขณะที่หญิงสาว
เปิดประตู จนถึงตอนที่เธอปีนขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว

“ฉัน...”

“เก็บไว้ โทรมาเวลานึกผม ถ้าไม่อยากโทร จะเอาไปทิ้งเสียก็ได้
รอให้ลับหลังผมก่อนแล้วกัน”

มัชฌิตาจ้องตาเขา เล่นไม้นี้จนได้สินะ สบตากันแบบนี้เขาคงเข้าใจว่าเธอรู้สึกยังไง
ก็รู้ทั้งรู้ว่ารับมาแล้วจะไม่สามารถตัดใจโยนมันทิ้งง่ายๆ

หญิงสาวยื่นมือไปรับนามบัตรนั้นไว้ เก็บมันเข้ากระเป๋า
“ลาก่อนค่ะ”

“แล้วพบกันใหม่ครับ” ชามัลพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกจะมั่นใจจนน่าหมั่นไส้

อย่างน้อยมัชฌิตาเองก็ไม่อยากลืมว่าครั้งหนึ่งเคยได้พบเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลทองคนนี้
คนที่ชื่อของเขามีความหมายว่าความมืดและแสงสว่าง ...ชามัล เมห์ฮรา...



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2555, 18:10:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2555, 18:10:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 2711





<< บทที่ 1 ดวงไฟในเงามืด   บทที่ 2 ลิขิตของสองเรา 2/2(ต่อถึงจบบท) >>
Zephyr 4 ม.ค. 2555, 00:33:55 น.
เหมือนจะเข้าป่าตามพี่มิ้งค์ไปติดๆ หึหึ เรื่องนี้ออกแนวตบจูบป่ะคะ อ่านแล้วได้ฟีลนั้นจริงๆ จริงๆนะ ออกเซ็กซี่ๆนิดๆ ไงไม่รู้อ่ะ พี่มิ้งค์ออกตัวแรงแต่เช้าเชียว ตาชามัลก็ซึนไปเรื่อยเนอะ พี่มิ้งค์จะไปแล้วอ่ะ ไม่รั้งเลยเหรอ หรือชัวร์ว่าเค้าต้องกลับมาแน่นอนกันนะ


อสิตา 4 ม.ค. 2555, 11:01:18 น.
>.< ไม่ตบ แต่จูบเฉยๆได้ไหมคะ หุหุหุ


เบญจามินทร์ 4 ม.ค. 2555, 14:00:48 น.
แล้วพบกันใหม่ จะรอการพบกันใหม่อีกครั้งด้วย ^^


ameerahTaec 4 ม.ค. 2555, 14:07:09 น.
อิอิ มิ้งค์แย่แล้วเกือบตกหลุมพระเอก อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account