กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 10

ตอนที่ ๑๐

“อ๊าย!” หทัยรักร้อง ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นเลิศบูดบี้เพราะความเคืองใจเมื่อกดมือถือต่อสายกลับไปอีกครั้งก็ดันกลายเป็น ‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่คุณเรียก’ ไปเสียแล้ว!

“อ๊าย! อ๊าย!ๆๆ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย!” แล้วก็ส่งเสียงแหลมอีกหลายครั้งให้สากับความขัดใจทำเอาหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบสามที่เพิ่งเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาถึงกับมุ่นคิ้วอย่างสงสัย

“อะไรกันน่ะลูก? เอะอะเสียงดัง”
“คุณพ่อ!”

ไม่จำเป็นที่คุณอมรจะต้องถามอะไรอีก หทัยรักก็ลุกพรวดจากโต๊ะทำงาน เม้มริมฝีปากจนบางเฉียบแบบคนอัดอั้นยามจ้องหน้าบิดา

“ก็ท่านประธานกรรมการใหญ่ของคุณพ่อน่ะสิคะ ทำตัวแย่ แย่! แย่ที่สุด!”

“เฮ้ย...” คุณอมรลากเสียงยาว ก้าวพรวดๆเข้ามาหาลูกสาวที่ยืนหน้าหงิกชนิดไม่ห่วงจะหมดสวย ทั้งสีหน้าและบุคคลิกของคุณอมรที่มักจะวางเรียบเฉยต่อหน้าบุคคลอื่นได้เสมอ กลับอันตรธานไปได้ ง่ายดายยิ่งกว่าแสงแวบวับของฟ้าแลบเสียอีก แม้จะเป็นนักธุรกิจมากประสบการณ์ ผ่านอุปสรรคมาโชกโชน ทว่าคุณอมรกลับแพ้ราบคาบอยู่อย่างเดียว...ลูกสาว...

“ทำไมถึงไปพูดอย่างนั้นเล่าลูก?” คุณอมรถาม

“ก็มันจริงนี่คะ!” หทัยรักเถียง “คุณพ่อทราบมั้ยคะ ว่าจู่ๆอีตา...อีตาบ้านั่นก็บอกว่าคงเข้ามาประชุมบอร์ดไม่ทัน!”

“โธ่! ไม่เอาน่าลูก เรื่องแค่นี้ รถมันอาจจะติดก็ได้ เขามาไม่ทัน งั้นเดี๋ยวพ่อก็แจ้งเลื่อนการประชุมเป็นตอนบ่ายก็ได้”

“มันไม่อย่างงั้นสิคะคุณพ่อ รักยังไม่ทันพูดอะไรเลย เขาก็บอกว่า เขาไม่ต้องการให้การประชุมต้องเลื่อนหรือล้มเลิก ให้กรรมการคนอื่นประชุมไปได้เลยโดยไม่มีเขา นี่แหละค่ะ ประสาทที่สุด!” หทัยรักพ่นออกไปเป็นชุดอย่างสุดทน แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าที่พีรพัฒน์บอกมาจริงๆก็สามารถทำได้! การประชุมวิสามัญสามารถดำเนินได้ถ้ามีผู้ถือหุ้นมาเข้าประชุมกันแทนหุ้นได้เกินจำนวนหนึ่งในสี่แห่งทุนของบริษัท!

แต่...แต่มันจะเรื่องบ้าอะไรกันเล่า ในเมื่อเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด! เขาก็น่าจะรู้สิว่าตัวเองสำคัญที่สุด แล้วนี่อะไร ไม่ใส่ใจเลย! และที่น่าคลั่งแค้นกว่านั้นน่ะหรือ...

“ฮึ! แล้วมากกว่านั้นนะคะคุณพ่อมากว่านั้น” หทัยรักยังพ่นต่อไปอย่างอัดอั้น “เขากล้าปิดมือถือใส่รักค่ะคุณพ่อ เขาปิดมือถือใส่รัก!” ดูเหมือนจะเรื่องนี้เองที่ทำให้หทัยรักหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนแทบกรี๊ด

“เฮอะ! ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าของมรดกนับพันล้านของคุณป้าอังล่ะก็ แค่หางตา อย่านึกว่ารักจะแล!”

ใช่! และนั่นก็เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่คุณอมรอยากให้หทัยรักสนิทชิดเชื้อกับพีรพัฒน์ แม้ความจริงหลังสิ้นคุณอังกาบ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับคนอย่างอมร วรโชติที่จะทำให้เอพีกรุ๊ปเปลี่ยนจากมือพีรพัฒน์มาอยู่ในมือเขาแทน แต่นั่นไม่ใช่การวางแผนชีวิตที่ดี ฐานะเขาตอนนี้ก็ร่ำรวยสุขสบายอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าคนที่เขาอยากให้ร่ำรวย และสุขสบายยิ่งกว่าก็คือแก้วตาดวงใจที่ชื่อหทัยรักนั่นแหละ!

“โธ่! ใจเย็นๆน่าลูกสาวคนสวยของพ่อ” คุณอมรปลอบประโลม ลูบผมหทัยรักเบาๆ สิ่งที่เขาอยากให้หทัยรักได้ครอบครองไม่ใช่แค่เอพีกรุ๊ป แต่รวมถึงคฤหาสน์ ที่ดินและทรัพย์สินทุกอย่างของคุณอังกาบ นาทีนี้การเข้าไปครอบครองด้วยสิทธิของภรรยาของทายาทคุรอังกาบดูจะเป็นวิธีที่ดี ถูกต้องและสง่างามต่อลูกสาวของเขาที่สุด

พอมีคนเอาใจแสดงความรักใคร่ หทัยรักก็ค่อยอารมณ์ดีขึ้น แต่ถ้าว่ากันแล้วความโทโสต่อผู้ชายบ้าๆที่บังอาจปิดโทรศัพท์ใส่สาวสวยอย่างเธอ อารมณ์ขึ้งๆก็ยากจะหายไปได้ปุบปับเหมือนกัน!

หทัยรักจ้องมองบิดา เมื่อยี่สิบห้านาทีที่แล้ว ทั้งเธอและคุณอมรต่างก็นั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยกันทั้งคู่ แต่หลังจากที่ไม่มีวี่แววว่าพีรพัฒน์จะโผล่มาสักที หทัยรักจึงได้เลี่ยงออกมาแล้วจัดการโทร.ตามเขา แต่แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ!

“คุณพ่อคะ เดี๋ยวรบกวนคุณพ่อแจ้งเลือนการประชุมเลยนะคะ” หทัยรักพูดขณะที่หันไปคว้ากระเป๋าถือผ้าไหมทอแสนหรูยี่ห้อ JIM THOMSON เปิดออก แล้วจัดการหย่อนมือถือใส่ลงไป

“ได้สิ ว่าแต่...รักจะออกไปไหนล่ะลูก”

หทัยรักเงยหน้าขึ้นมา

“จะไปไหนงั้นหรือคะ” หทัยรักย้อนคำถาม มือขาวๆหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าก่อนสวมเข้ากับใบหน้าด้วยทีท่าของสาวมั่น “รักก็จะไปจัดการผู้ชายบ้าตาถั่วที่บังอาจปิดมือถือใส่รักน่ะสิคะ!”


หลังจากได้พบหมอ รอรับยาและชำระค่ารักษาพยาบาลซึ่งทั้งหมดนั่นกินเวลาเข้าไปถึงเกือบสิบโมงสี่สิบห้า ดังนั้นกว่าที่พีรพัฒน์จะพาวริณสิตากลับมาถึงบ้านจึงล่วงเลยมากว่าสิบเอ็ดโมงสิบห้าเลยทีเดียว

“เอาละถึงแล้ว” ชายหนุ่มบอกเบาๆขณะวนรถเข้าจอดเทียบตรงบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน

“ขอบพระคุณคุณพีมากค่ะ” สาวน้อยที่นั่งข้างๆกระพุ่มมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ถ้อยประโยคที่ตอบกลับมาดูจะเบากว่าของเขาหลายเท่านัก แต่ดวงตาของสาวน้อยค่อนข้างแดงจัด พีรพัฒน์ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพราะพิษไข้ ฤทธิ์ของยาแก้ไข้ หรือความดื้อของคนไข้กันแน่ที่เอาแต่ทนฝืนอาการจะหลับมิหลับแหล่มาตลอดทางถึงเพียงนั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะเสียใจ โมโห หรือท้ายสุดคือนึกขำ ว่าจนถึงขนาดนี้แล้วเด็กคนนี้ก็ยังไม่ยอมจะไว้ใจเขาสักที

คิดๆก็น่าตีพิลึก!

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มตอบ นางบัวศรีนั้นออกมายืนคอยอยู่ตรงบันไดหน้าอย่างใจจดใจจ่อก็ได้แต่ชะเง้อคอน้อยๆตามวิสัยใคร่รู้ วริณสิตาค่อยๆเปิดประตูรถออกมา มีถุงใส่ยาสีขาวถือติดอยู่ในมือ แต่ก่อนที่สาวน้อยจะดันประตูรถปิดให้ พีรพัฒน์ก็ไม่วาย เอียงหน้าลงมา จ้องตาสาวน้อยแล้วก็...

“เดี๋ยวทานข้าว ทานยา แล้วก็นอนพักเสียนะ” เขาออกคำสั่ง ส่วนคนถูกสั่งก็ได้แต่พยักหน้าและรับคำ ‘ค่ะ’ เสียงแผ่วๆ ทว่าอากัปกิริยาเจี๋ยมๆสุดแสนจะเจียมเนื้อเจียมตัวแบบนั้นทำให้พีรพัฒน์นึกจับทางได้อีก

“อ่อ! แล้วก็นอนพักน่ะ บนเตียงนะ ไม่ใช่บนพื้นเข้าใจไหม”

หนนี้คงรับคำออกมาเป็นคำพูดไม่ไหว วริณสิตาได้แต่ก้มหน้าลงไปมองพื้น พีรพัฒน์จึงไปเอ่ยกับนางบัวศรีที่ยืนชะเง้อคออยู่แทน

“ป้าบัวศรี”
“ขะ...คะ คุณพี” นางบัวศรีกระวีกระวาดเข้ามาใกล้ๆประตูรถทันที พีรพัฒน์เลยเอียงหน้าลงอีกนิดก่อนออกคำสั่ง

“ดูแลวริณสิตาด้วย ผมต้องไปทำงานละ”

“ค่ะๆ” นางบัวศรีรีบรับคำก่อนจัดการปิดประตูรถให้พีรพัฒน์อย่างไว


พีรพัฒน์เปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้งเมื่อตอนที่เขาหักพวงมาลัยรถเข้าสู่ถนนเส้นหลักเรียบร้อยแล้ว ไม่ทันจะถึงนาทีที่เปิดให้ติดต่อได้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องเดาหรอกมั้งว่าใครโทร.มา พีรพัฒน์จัดการสวมหูฟังบลูทูธก่อนกดรับสาย

“ครับ ว่ายังไงครับ?”
“เฮอะ! จะว่างงว่าไงกันล่ะครับไอ้คุณพี” เสียงห้าวๆคุ้นหูพร้อมสรรพนามไอ้ที่สุดแสนจะคุ้นเคยทำให้พีรพัฒน์ถึงกับหัวเราะขำ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดอย่างงั้น

“ขำ! ขำ!” คนปลายสายได้แต่ประชด “เอ็งรู้บ้างมั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับข้าบ้าง ฮะ?”
“อ้าว!” พีรพัฒน์ร้อง “ก็ถ้าเอ็งไม่บอก จะรู้ได้ยังไงล่ะครับ ไอ้คุณซ้ง”
คนถูกเรียก ‘ไอ้คุณซ้ง’ ได้แต่ทำเสียงชิชะมาตามสัญญาณคลื่นโทรศัพท์ก่อนจะบอกในสิ่งที่พีรพัฒน์พอจะเดาได้อยู่แล้ว

“คุณรักเขามาที่นี่” เสียงของชายหนุ่มนามว่า ‘ซ้ง’ หรือ ‘สมศักดิ์’ บอกกล่าว “เขามาตามหาท่านประธานกรรมการใหญ่ของเอพีกรุ๊ป แต่บังเอิ๊ญเบ้จำเป็นของพีแอลเอสไม่รู้ว่ะว่าท่านประธานหายหัวไปไหน เท่านั้นแหละเอ็งเอ๊ย! รู้รึเปล่า คุณรักเขาเกือบฉีกอกข้าแหกเป็นชิ้นๆ”

พีรพัฒน์หัวเราะขำ เบ้จำเป็น ใช่ สมศักดิ์ใช้คำได้ถูกทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็คงจะเดือนนี้ทั้งเดือนนั่นแหละที่เขาต้องขอให้สมศักดิ์แบ่งเวลามาช่วยดูแลพีแอลเอสอย่างเต็มเวลาแทนเขาก่อน

“แล้วทำไมเอ็งถึงไม่ยอมให้เขาฉีกไปเล่า” พีรพัฒน์ว่า “เขาจะได้เห็นถึงหัวใจของเอ็งสักทีไง”

“เฮอะ! ตลกฝืดแล้วไอ้พี” สมศักดิ์สวน แต่ต่างคนต่างก็รู้ดี ว่าในคำพูดที่คล้ายจะเย้าเล่นของพีรพัฒน์มีความจริงเจืออยู่ สมศักดิ์นั้นเป็นเพื่อนสนิทของเขา เป็นหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนที่ช่วยกันสร้าง พีแอลเอส ซิเคียวริตี้ ซิสเต็มส์ ขึ้นมา เขากับสมศักดิ์เรียนวิศวะด้วยกันมาสี่ปี ซึ่งตลอดสี่ปีที่ผ่าน ไม่ใช่แค่เพียงพีรพัฒน์ แต่เป็นทุกคนในรุ่นต่างหากที่รู้ว่าสมศักดิ์นั้นแอบชอบสาวสวยเชียร์ลีดเดอร์ ดาวเด่นของมหาวิทยาลัยที่ชื่อ...หทัยรัก

ทว่าด้วยความเป็นหนุ่มตี๋ขี้อายและเจ้าเนื้อ ทำให้สมศักดิ์มองว่าตัวเองต่ำต้อยไม่คู่ควรพอจะจีบคนสวยไฮโซระดับดาวมหาวิทยาลัยแม้แต่นิด! กระทั่งตอนนี้ ตอนที่สมศักดิ์เป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัทรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์อย่างพีแอลเอส และเป็นเจ้าของกิจการร้านทองอันใหญ่โตของครอบครัวที่เยาวราช เขาก็ยังคงคิดว่าตัวเองต่ำต้อยอยู่นั่นเอง!

“ว่าแต่ เอ็งไม่คิดจะแจกแจงแถลงไขให้รู้หน่อยหรือไง ว่าทำไมข้าถึงต้องมาโดนคุณรักด่าแทนเอ็งด้วยฮึ?” สมศักดิ์ถาม ใจจริงพีรพัฒน์ก็อยากตอบ ว่าเป็นคราวซวยของสมศักดิ์เองที่หทัยรักคิดว่าเขาจะหายไปอยู่ที่พีแอลเอส แต่ตรองดูแล้วคิดว่ามันออกจะกวนบาทาเพื่อนซี้ไปสักหน่อย ไหนๆสมศักดิ์ก็เจอลูกวีนของหทัยรักแทนเขาไปอย่างช่วยไม่ได้แล้ว

“เออ! โทษทีเพื่อน กับเรื่องนั้น มันเป็นเหตุสุดวิสัย”
“ก็แล้วมันสุดวิสัยยังไงเล่าโว้ย เล่ามาสิวะ”

พีรพัฒน์หรี่ตา สะระตะแล้วคิดว่าเขาน่าจะเหลือเวลามื้อกลางวันอีกสักพักก่อนจะต้องเข้าไปที่เอพีกรุ๊ปตามคำที่บอกไว้ และในความรู้สึกของพีรพัฒน์ตอนนี้ มื้อกลางวันกับเพื่อนอย่างสมศักดิ์น่ะเข้าท่ากว่ามื้อกลางวันกับอดีตดาวมหาวิทยาลัยที่เกือบแหกอกเพื่อนเขาไปแน่นอน

“งั้น...เอ็งออกมากินข้าวกลางวันด้วยกันสิซ้ง แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”


“อะไรนะ!” สมศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองพีรพัฒน์ มืออูมๆเผลอค้างตะเกียบคีบเส้นบะหมี่สีเหลืองซึ่งเกือบจะเอาเข้าปากแล้วถ้าหูดันไม่ได้ยินอะไรเสียก่อน
“อุปการะเด็ก?” สมศักดิ์ถามอีกครั้งแต่พีรพัฒน์ไม่ได้ตอบ เขาไม่ใช่คนชอบย้ำอะไรนักหนา หากพูดครั้งเดียวแล้วฟังไม่รู้เรื่องคนฟังก็หมดโอกาสเสียแล้ว แต่แน่ละ เพื่อนซี้อย่างสมศักดิ์รู้นิสัยข้อนี้ของเขาดี และที่ถามย้ำไม่ใช่ไม่แน่ใจ แต่ไม่อยากจะเชื่อมากกว่า

“ฮ่าๆ” แล้วสมศักดิ์ก็หัวเราะออกมา “นี่เอ็งนึกยังไงของเอ็งเนี่ยถึงเอาเด็กมาอุปการะ นึกอยากจะมีลูกโดยไม่ต้องหาแม่ของลูกรึไงวะ” สมศักดิ์ว่าอย่างติดตลก เพราะอายุอานามพวกเขาตอนนี้ ก็ ๓๒-๓๓ นั่นล่ะ เพื่อนในรุ่นก็เริ่มทยอยแต่งงานมีลูกมีเต้าเข้าสู่สภาพสร้างครอบครัวกันไปแยะ ไอ้คนตรงหน้านี่ก็อาจจะอยากเอาอย่างบ้างก็เป็นได้ แต่จะตลกในความคิดก็ตรงที่ ไอ้พีมันดันไปหาลูกแทนที่จะหาเมียเท่านั้นเอง!

สมศักดิ์หัวเราะขำ

“ไม่ใช่อย่างงั้นโว้ย มันเป็นเรื่อง...เรื่องที่ช่วยไม่ได้ต่างหาก” พีรพัฒน์พยายามบอก แต่เหมือนคนตรงหน้าไม่ได้สนใจประโยคเขาสักนิด สมศักดิ์ดูสนุกสนานกับความคิดของตัวเองมาก ตาที่หยีเล็กอยู่แล้วยิ่งหยีเล็กลงไปอีกเมื่อถามต่อไปอย่างสำราญอารมณ์

“แล้วเด็กที่เอ็งไปเอามาอุปการะเนี่ย ผู้หญิงผู้ชายวะ”
“ผู้หญิง”

“โฮ้! ลูกสาวเว้ย เหอๆ” ครั้งนี้หนุ่มตี๋หัวเราะต่ำๆ ในหัวสมศักดิ์นั้นจินตนาการพีรพัฒน์ในมาดคุณพ่อหวงลูกสาวไปแล้วอย่างขบขัน

“แล้วกี่ขวบวะลูกสาวเอ็งเนี่ย” ถามต่อขณะส่งเส้นบะหมี่ที่ค้างในอากาศอยู่นานเข้าปากเสียที อาจจะชืดๆไปสักนิดแล้ว แต่เมื่อซดน้ำซุปตามพร้อมๆกับแกล้มด้วยเรื่องขำๆของไอ้พี รสชาติบะหมี่หมูแดงร้านประจำที่อยู่ห่างจากพีแอลเอสมาสองตึกนี่ก็อร่อยพอถูไถละ

“สิบเจ็ด”

พรืด!!! สมศักดิ์แทบพ่นบะหมี่ออกทางจมูก แต่คนที่ซวยเพราะน้ำซุปกระเด็นใส่สูทกลับเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“เฮ้ย!ๆ ขอโทษๆ”

พีรพัฒน์ข่มอารมณ์หลับตาขณะสมศักดิ์ละล่ำละลัก ลนลานคว้ากระดาษทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดเศษบะหมี่ออกจากไหล่ให้

“แต่...แต่ว่าเมื่อกี้ เมื่อกี้เอ็งว่าเอ็งอุปการะเด็กอายุเท่าไหร่นะ” สมศักดิ์ถาม

“สิบเจ็ด” ชายหนุ่มกัดฟันตอบ

“โหย! ไอ้พี” สมศักดิ์คราง ทำหน้าเหมือนตัวเองพานพบสมบัติล้ำค่าของมวลมนุษยชาติไม่มีผิด “เอ็งนี่สุดยอด!”

“หยุดเลยนะไอ้ซ้ง” พีรพัฒน์ชี้หน้า “หยุดความคิดอกุศลของเอ็งไปเลย” เขาว่าขณะดึงกระดาษทิชชูอีกแผ่นออกมาปัดเศษหมี่ที่ยังค้างอยู่ให้หลุดไป

“ยายของเด็กคนนี้เขียนจดหมายมาขอความอุปการะจากป้าอังโดยที่ไม่รู้ว่าป้าเสียไปแล้ว” พีรพัฒน์บอก

“อือฮึ” หนนี้สมศักดิ์นั้นตั้งใจฟัง ถึงขั้นจดจ่อตาไม่กะพริบ

“เขาป่วยหนัก” พีรพัฒน์ว่าต่อไป “ก็เลยขอร้องให้ป้าอังช่วยอุปการะเลี้ยงดูหลานสาวของเขาหน่อย โดยที่เขาจะยกหลานสาวให้เป็นสิทธิ์ขาดของป้าอัง”

“ฮือฮึ แล้ว?”

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจก่อนเอ่ยต่อไปอีก

“ช่วงที่จดหมายมาถึงเป็นช่วงงานศพป้าอังพอดี ป้าบัวศรีเขาเห็นข้ายุ่งๆก็เลยไม่ได้เอาจดหมายให้ทันที กระทั่งจัดการเรื่องวุ่นๆทุกอย่างเสร็จนั่นแหละถึงได้รู้ พอมีโอกาสไปดูก็ปรากฏว่ายายของเขาตายไปแล้วสองอาทิตย์”

“ฮื้อ!” สมศักดิ์ร้อง “น่าสงสาร”

“อือ” พีรพัฒน์เผลอพยักหน้า ความรู้สึกไม่ดียังติดอยู่ในใจว่าเขานั้นละเลยเรื่องนี้เกินไป แต่จมอยู่กับความรู้สึกผิดไม่เท่าไหร่ คนอีกฝ่ายก็ดั๊นหัวเราะออกมา!

“หึๆ หน้าตาเป็นไงวะเด็กเอ็งเนี่ย” สมศักดิ์ถาม

“หึ…หึๆ” พีรพัฒน์เองก็แค่นยิ้มเหมือนจะขำ ก่อนจะขยำทิชชูที่อยู่ในมือแล้วปาใส่สมศักดิ์ทันทีทันใด “คิดอกุศลไม่เลิกนะไอ้ซ้ง!”

“เฮ้ย!” คนถูกประทุษร้ายร้องเสียงดัง เอี้ยวตัวหลบขวับแต่ก็ไม่ทัน ก้อนกระดาษทิชชูเลยยังพุ่งเข้าหน้าไปอยู่ดี
“โธ่!ๆ ไอ้พี เอ็งน่ะซีที่คิดอกุศล ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”

“แต่สีหน้าเอ็งมันฟ้อง รู้เอาไว้นะโว้ย ที่อุปการะเด็กนั่น ข้าไม่ได้คิดนอกคิดในอะไรทั้งนั้นนอกจากไอ้ที่เขาวอนขอความเมตตาจากป้าอัง แค่นั้น เข้าใจ๋?”

“ไม่กินเด็กว่างั้น?”
“เอ๊ะ! ไอ้นี่”
“เฮ้ย!ๆ เออ เอาน่าๆ ข้าก็ล้อเล่น จริงๆก็รู้อยู่ว่าคนอย่างเอ็งมันไม่เจ้าชู้ แต่ว่า...ถามตรงๆหน่อยเถอะนะ” สมศักดิ์หรี่ตา

“เด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดน่ะไอ้พี โตขนาดนั้น แล้วเอ็งจะบอกคนอื่นว่าอุปการะเขาในฐานะอะไรไหนบอกซิ?” เจอประโยคนั้นเข้าไปพีรพัฒน์ก็ได้แต่อึ้ง เพราะถ้าจะเอาแบบใจจริง นั่นก็เป็นคำถามที่เขายังหาคำตอบที่เหมาะไม่ได้เหมือนกัน!
.......................



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 14:37:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 14:37:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 3128





<< ตอนที่ 9   ตอนที่ 11 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account