14ปีฤารักนี้คือนิรันดร์
พรไพลิน หญิงสาวนัตย์ตาหวานอมเศร้าซึ่งเคยมองโลกในแง่ดีนั้น กลับต้องกลายเป็นคนที่หม่นหมองเพราะสูญเสียคนที่ตนรักไปในอุบัติเหตุถึงสองคน แต่เธอก็ยังมีกำลังใจเพราะยังมีผู้ชายที่ตนเองรักและผูกพันตั้งแต่วัยเด็กอย่างเตชินท์ คนที่เธอเปรียบเขาเหมือนกับเทพบุตรที่อยู่บนฟากฟ้า

ทว่าวันหนึ่งชะตากลับเล่นตลกกับคนทั้งคู่ เมื่อเตชินท์ไปเรียนต่อเมืองนอกจนจบปริญญาโท และกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง แต่สาวน้อยคนที่รักและบูชาเขาอยู่เสมอ สาวน้อยที่เขาบอกตัวเองว่าต้องคอยปกป้องเธอ กลับหนีไปอยู่ข้างๆ พี่ชายต่างมารดาของตนเองแทน

14 ปีแห่งความรักของคนทั้งคู่จึงดูเหมือนใกล้จะอับปางลง ทว่าอุปสรรคก็คือบทพิสูจน์รักแท้ เพราะในที่สุดเตชินท์ก็พบว่าการที่น้ำรินต้องมาอยู่ข้างๆ พี่ชายของเขาในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะเรื่องราวที่มีเงื่อนงำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ชายหนุ่มจึงทำทุกวิถีทางที่จะได้เธอคืนมา!

***อ่านเรื่องย่อคลิ๊กที่รูปค่ะ สั่งซื้อติดแพรพริมาทางจดหมายน้อยด้ายซ้ายมือนะคะ
Tags: โรแมนติกเข้มข้น ความรัก ความผูกพัน

ตอน: 3.

ตอนที่ 3…คนที่ถูกลืม



อีกครั้งที่กาลเวลาวิ่งผ่านทุกชีวิตไปอย่างรวดเร็ว...

นับแต่วันที่เตชินท์เดินทางออกจากดอยดอกไม้และไปประเทศอังกฤษนั้นก็เป็นเวลาหลายปีเลยทีเดียวกว่าที่เขาจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งและเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มอายุ 24 ที่มีเรือนร่างแกร่งสูงราว 180 ใบหน้าคมคร้าม คิ้วดกนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ผิวสองสีซึ่งติดไปทางขาวมากกว่าเพราะอยู่เมืองหนาวมานาน

หนุ่มนักเรียนนอกยืนนิ่งอยู่ภายในอาคารและอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ สนามบินแม้จะคิดอยู่แล้วว่าเวลาที่อยู่เมืองนอกมุมานะเรียนจนจบปริญญาโทนั้นคงไม่มีใครคิดถึงตนเองสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงพึมพำปลอบใจตัวเอง

“ก็คิดอยู่แล้ว...เดี๋ยวนี้นายมีแค่ตัวคนเดียวแล้วนี่เตชินท์”

ทว่าสิ่งที่ยังติดข้องอยู่ในใจของเขาก็คือ ‘พรไพลิน’ เด็กผู้หญิงที่มีดวงตาเศร้าๆ คนนั้นน่าจะยืนอยู่ที่นี่ด้วยยามเมื่อตนกลับมาถึงเมืองไทย พอคิดแบบนี้เรือนกายแกร่งจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่พักผู้โดยสารของสนามบินและหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาเพื่อเปิดเครื่อง นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยลืมอีกเลยหลังจากครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้ทำแบบนี้เมื่อสี่ปีที่แล้ว

“คิดจะโทรหาใครเหรอคะคุณเตชินท์”

เสียงเล็กๆ ที่ถามนั้นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนยกมุมปาก “คุณ...พี่นุส”

“ใช่ พี่เอง แปลกใจเหรอ หรือว่าชินกำลังรอใครอยู่” นุสราผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาของเตชินท์ซึ่งมีมาดของสาวมั่นไฮโซถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องโทรศัพท์อยู่

นุสรา นิวัฒน์กุล เป็นสาวโสดวัย 26 ซึ่งก็คือลูกคนที่สองของตระกูล และเป็นคนที่คุยกับเตชินท์มากที่สุดก็ว่าได้เนื่องจากชายหนุ่มเคยขอความช่วยเหลือให้เธอส่งโทรศัพท์ที่ลืมไว้ไปให้และอีกฝ่ายก็ยังเคยไปเที่ยวอังกฤษบ่อยๆ ซึ่งสาเหตุจริงๆ นั้นก็น่าจะมาจาก...

“หรือว่าคุณชินรอมิ้นท์คะ” สาวสวยไฮโซอีกคนที่แต่งหน้าแต่งตาตามสมัยรุ่นราวคราวเดียวกับนุสราพูดขึ้นก่อนยิ้มหวานทักทาย “สวัสดีค่ะคุณชิน”

“ครับ พี่มิ้นท์” ชายหนุ่มรับคำก่อนเก็บโทรศัพท์ของตนเองทำให้พี่สาวรีบดุ

“ทำไมเรียกมิ้นท์ว่าพี่ล่ะ แก่อ่อนกว่ากันแค่ปีสองปีเอง บอกกี่ครั้งแล้วชินเนี่ยว่าให้เรียกว่ามิ้นท์เฉยๆ”

“แต่ผมเรียกคุณนุสว่าพี่นุสนี่ครับ...คุณมิ้นท์ก็เป็นเพื่อนของพี่ ก็เลยติดจะเรียกแบบนั้นไปด้วย” เตชินท์ตอบตามเหตุผล

“ไม่รู้ล่ะ คราวหลังห้ามเรียกพี่นะคะคุณชิน ไม่งั้นโกรธจริงๆ ด้วย” มิ้นท์หรือมณิสรออกอาการงอน ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่อง

“ความจริงพี่นุสไม่ต้องลำบากมารับผมก็ได้” เตชินท์ลุกขึ้นพร้อมพูดอย่างเกรงใจเพราะอย่างไรเสียฐานะในตระกูล ‘นิวัฒน์กุล’ นั้นเขาก็เป็นแค่ลูกเมียน้อย แม้ว่าสิ่งนี้เขาจะเพิ่งรู้เมื่ออายุ 17 ตอนที่มารดาของตนเองเสียชีวิตและบิดาพาเข้ามาอยู่ที่บ้านใหญ่ในกรุงเทพฯ ก็ตาม

“แหมถึงอยากทำก็ทำไม่ได้หร๊อก!” นุสราร้องขึ้นพร้อมดันมณิสรให้มายืนข้างๆ ชายหนุ่ม “ก็ยัยมิ้นท์น่ะพอรู้ว่าชินจะมาวันไหนก็คอยเตือนพี่อยู่ทุกวัน”

คำพูดของนุสราทำให้เตชินท์เข้าใจมากขึ้นว่าพี่สาวต่างมารดานั้นคงไม่ได้มาเพราะดีใจที่เขากลับหรอก

“แหมนุสก็...” คงเป็นดังนั้นจริงๆ เพราะมณิสรรีบทำท่าเขินรับคำของเพื่อน

“โธ่เอ๊ยจะอายอะไรอีกล่ะ จริงไหมชิน” นุสราสัพยอกและพูดเหมือนให้เตชินท์ยอมรับมณิสรกลายๆ ซึ่งเธอมักจะเป็นแบบนี้เสมอ เตชินท์จึงยิ้มและเปลี่ยนเรื่องโดยการถามถึงคนอื่นแทน

“คุณพ่อกับพี่เชนทร์แล้วก็...แม่ของพี่ล่ะ สบายดีใช่ไหมครับ” เชนทร์หรือคเชนทร์นั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลนิวัฒน์กุลซึ่งเกิดจากคุณนุชจรีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของคุณคำนวณ

“คุณพ่อสบายดี ส่วน...พี่เชนทร์” นุสราพยักหน้าพลางนึกถึงพี่ชายแล้วจึงยิ้มก่อนพูดตามประสาคนชอบนินทา “ยิ่งกว่าสบายอีกเพราะตอนนี้พี่เชนทร์เขากำลังอุปการะเลี้ยงดูเด็กอยู่”

“เลี้ยงเด็ก?” เตชินท์พึมพำอย่างแปลกใจ นุสราเห็นแบบนั้นก็มองหน้าเพื่อนและทำท่าหัวเราะแบบมีเลศนัย มณิสรจึงยิ้มตอบก่อนสวมรอยเกาะแขนชายหนุ่มและอธิบายแทน

“คืองี้ค่ะชิน...พี่เชนทร์เค้าก็ทำงานนี่แหละค่ะ ส่วนเรื่องเด็กนั่นก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เด็กที่ร้านดอกไม้เก่าของนุสเค้าน่ะ...คือว่าพี่เชนทร์เค้าพาเด็กคนนี้มาฝากไว้แล้วก็ส่งเสียถึงเนื้อถึงตัวกันมานานแล้ว อืม...ตอนนี้ลมหายใจเข้าออกของพี่เชนทร์ก็เลยมีแต่เด็ก เอ๊ย แฟนคนนี้เท่านั้นแหละ”

“ร้านดอกไม้น่ะเหรอครับ” เตชินท์พยักหน้าน้อยๆ เพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องส่วนตัวของพี่ชายคนโตเท่าไหร่ เพียงแต่แปลกใจเนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนนุสราเคยเล่าเรื่องที่เปิดร้านดอกไม้ด้วยแรงยุและความเห่อตามเพื่อน แต่แล้วก็เบื่อและไม่สนใจมันอีกจนเขานึกว่าคงปิดกิจการไปแล้ว

“อืม แต่ตอนนี้พี่ขายต่อพี่เชนทร์ไปแล้วล่ะ ดูท่าทางเค้าคงยกให้เด็กนั่นล่ะมั๊ง” นุสราพยักหน้าอย่างไม่สนใจร้านของตนเองสักเท่าไหร่แต่เรื่องที่เธอสนใจคือเม้าท์เรื่องเด็กของพี่ชายต่างหาก

“เชอะ! จะเรียกว่าแฟนได้ยังไงกันล่ะมิ้นท์ เธอคิดว่าแม่จะยอมรับเด็กคนนั้นง่ายๆ หรือไง ดีนะที่เด็กนั่นเจียมตัวอยู่เงียบๆ มาตลอดเวลาหลายปีเนี่ย ก็เลยไม่มีปัญหา”

เอ่ยจบนุสราก็เห็นแนวทางที่จะส่งเสริมเพื่อน

“แต่ถ้าจะพูดถึงผู้หญิงที่เหมาะสมและคู่ควรจะเป็นคู่ครองมันต้องแบบเธอสิถึงถูก แต่เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ เพราะเธอคู่กับนายชินแล้วนี่นา”

คนพูดเหมารวมอีกตามเคยพร้อมยิ้มก่อนจะชวนกันเดินออกไปจากสนามบินและเมื่อทั้งหมดกลับมาถึงคฤหาสน์ ‘นิวัฒน์กุล’ ซึ่งอยู่ในย่านสุขุมวิทใจกลางเมือง เตชินท์ก็ปลีกตัวเพื่อกลับไปที่ห้องเดิมของตน ร่างแกร่งนั่งลงที่เตียงก่อนหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาและแตะหน้าจอทัชสกรีนเลื่อนไปจนถึงหมายเลขที่บันทึกชื่อไว้ว่า ‘น้ำริน’ ดวงตาสีน้ำตาลนิ่งลงและมองภาพนั้นอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จวบจนเจ้าเครื่องอีเล็คทรอนิคในมือสั่นและดังขึ้น

ฉับพลันชื่อของน้ำรินและรูปของสาวน้อยวัย 17 ซึ่งเตชินท์บันทึกไว้ก็โชว์ขึ้นมาเต็มหน้าจอทันทีและทำให้ดวงตาสีน้ำตาลนั้นหรี่ลงอย่างไม่อยากเชื่อก่อนรีบยกโทรศัพท์แนบหู

“สวัสดีค่ะคุณเตชินท์!”

เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเร็ว “เห็นโทรศัพท์โชว์ว่าเบอร์ของคุณเปิดเครื่องแล้ว นี่แสดงว่าคุณกลับมาถึงเมืองไทยแล้วใช่ไหมคะ”

“ครับ” เสียงที่ตอบนั้นเนือยลงอย่างเห็นได้ชัดและไม่ได้ออกอาการตื่นเต้นเหมือนเมื่อครั้งแรกที่กดรับเลย

“ดาดีใจจังเลยค่ะ แล้วนี่คุณชินจะมาเชียงใหม่เมื่อไหร่คะ คุณชินเคยบอกดาว่าจะมาดอยดอกไม้นี่คะ” ยลรดาถือโทรศัพท์อยู่ปลายสายและส่งเสียงดีใจจนออกนอกหน้า

“ผมยังไม่รู้เหมือนกัน” เตชินท์ตอบเรียบๆ และเม้มปากพลางคิดว่าเขาไม่น่าจะลืมเลยว่าพรไพลินไม่มีวันโทรมาหาตนเองแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนบอกเลิกการสนทนา

“แค่นี้ก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวสิคะคุณชิน” ยลรดารีบร้องขึ้นและรู้ว่ามีวิธีเดียวที่จะยืดเวลาให้อีกฝ่ายคุยกับตนเองนานๆ “คุณชินจะไม่ถามถึงน้ำรินหรอกเหรอคะ”

“ทำไม!” นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นมีแววเข้มขึ้น “ก็คุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่าเธอลืมผมไปแล้ว ทำไมต้องถามผมแบบนี้อีก”

“นั่นสิคะ” ยลรดายิ้มในสีหน้า “ดาขอโทษนะที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ที่จริงดาเองก็รู้ว่าคุณคงผิดหวังในตัวน้ำรินมาก ดาไม่น่าจี้ใจดำคุณเลยจริงๆ”

“พอเถอะ” ชายหนุ่มขัดขึ้น “ทางที่ดีคุณควรเปลี่ยนไปใช้เบอร์อื่นมากกว่า ผมว่าผมเคยบอกคุณมานานแล้วนะว่าจะตัดเบอร์นี้ทิ้ง”

“แต่คุณก็ไม่ทำนี่คะ แล้วดาก็ใช้มันมานานแล้วด้วย อีกอย่างเบอร์นี้ก็เป็นเบอร์ที่ทำให้เราสองคนรู้จักกันมากขึ้น ดาทิ้งมันไม่ลงหรอกค่ะ” ยลรดาตอบยิ้มๆ

“งั้นผมจะลบมันทิ้งเอง” เตชินท์ตอบพร้อมตัดสายสนทนาทันที เขาล้มตัวลงบนเตียงก่อนหลับตาลงและกัดฟันอย่างข่มความรู้สึก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมระยะเวลาที่ผ่านไป 4 ปีถึงทำให้เขาลืมสาวน้อยนัยน์ตาสวยคนนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นและทำท่าจะลบรูปกับเบอร์นี้ทิ้ง แต่สุดท้ายก็กลับโยนมันลงข้างๆ ตัวและนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

เมื่อสี่ปีที่แล้วนั้นหลังจากเตชินท์กลับมาจากเชียงใหม่เขาก็ลืมเปิดโทรศัพท์ของตัวเองและลืมมันทิ้งไว้ที่บ้านในเมืองไทย เพราะฉะนั้นพอถึงประเทศอังกฤษตนเองจึงรีบโทรทางไกลกลับมาหาพรไพลินแต่ว่าผู้ที่รับสายกลับกลายเป็นยลรดาญาติผู้พี่ของหญิงสาวซึ่งบอกแต่เพียงว่า

‘น้ำรินไม่อยู่หรอกค่ะ’ และพอโทรหลายๆ ครั้งเข้าอีกฝ่ายก็อ้ำอึ้งบอกว่า ‘รินเค้าไม่กลับมาแล้วล่ะ เค้าหนีตามผู้ชายไป แล้วก็ทิ้งโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ในห้องพร้อมกับจดหมาย ดาเห็นก็เลยเก็บไว้เผื่อจะตามหารินเจอ แล้วเผอิญคุณก็โทรเข้ามา’

‘อะไรนะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า รินจะทำแบบนั้นได้ยังไง’ เตชินท์ถามอย่างไม่เชื่อ

‘จะผิดอะไรกันล่ะคะคุณเตชินท์ ความจริงดาก็ไม่อยากเอาน้องมาเผาหรอกนะคะ แต่คุณลองถามพ่อหรือคนแถวนี้ดูก็ได้ เขาเห็นเขารู้กันทั้งนั้นว่ารินหนีตามผู้ชายไป แถมยังทำร้ายพ่อและก็ขโมยของด้วย ที่จริงดาก็ไม่อยากบอกนะคะว่าก่อนหน้าที่คุณจะมาน่ะมีผู้ชายคนหนึ่งมาหารินบ่อยๆ หน้าตาหล่อเชียว ท่าทางจะรวยมากด้วย คุณคงไม่รู้สินะคะ’

‘ไม่จริงหรอก......’

ชายหนุ่มพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ ซึ่งหลังจากนั้นญาติสาวของพรไพลินก็พูดว่าเธอให้เขาฟังอีกสารพัด และพูดกระทั่งว่าน้ำรินเคยบอกว่าคิดกับเขาแค่พี่ชาย ไม่เคยคิดอะไรเกินเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาลืมเธอเสีย

แม้คำพูดและน้ำเสียงของยลรดาจะกระแทกใจเขาอย่างจัง แต่เตชินท์ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ชายหนุ่มจึงทิ้งเมล์ไว้ให้ยลรดาและบอกว่าให้ติดต่อเขาทันทีที่พรไพลินกลับมา ทว่าตลอดเวลา 4 ปี เขากลับไม่เคยได้รับการติดต่อจากหญิงสาวเลย

นั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เตชินท์โหมเรียนอย่างหนักและตั้งใจว่าเขาจะต้องกลับมาหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ ทว่าแม้จะคิดแบบนั้นแต่หัวใจของเขาก็ยังถูกความเหงาและโดดเดี่ยวทำร้ายตลอดมา

เคยมีแม่ก็ไม่มีแล้ว เคยมีพ่อ เคยมีครอบครัวแต่ตอนนี้ถึงมีก็คล้ายจะไม่ เคยมีคนที่คิดว่าจริงใจด้วยที่สุดก็กลับกลายเป็นคนที่ทอดทิ้งเขาไป...



“น้ำริน”

เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังทำให้ร่างบางของหญิงสาวอายุ 21 ปี ในชุดนักศึกษาซึ่งกำลังเดินอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งหันหน้ากลับไปมองและยิ้มให้ ฝ่ายที่เรียกจึงวิ่งเข้ามาแตะแขนเพื่อนสาว

“สอบเสร็จก็คิดจะหนีกันเลยนะ”

“หนีที่ไหน” น้ำรินหรือพรไพลินยิ้มก่อนมองไปทางเพื่อนอีกสองสามคนที่วิ่งตามมา “จะรีบไปที่ร้านต่างหากล่ะ อย่าลืมสิว่ารินไม่ได้เรียนอย่างเดียว แล้วนิ้งก็บอกว่าสอบเสร็จจะไปฉลองไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่เพื่อนๆ ก็จะไปด้วยตั้งหลายคนนะ แล้วนิ้งก็นึกว่ารินจะไปด้วยซะอีก” สาวที่ชื่อนิ้งบอกเพื่อนก่อนชะงักเมื่อเห็นรถเก๋งรุ่นใหม่สีขาวขับมาจอดลงข้างๆ “อ๋อ! ที่แท้ก็นัดหนุ่มไว้นี่เอง”

“อะไรกัน” พรไพลินถามพร้อมหันมามองบ้างและพอเห็นรถคันนั้นก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “พี่เชนทร์น่ะเหรอ”

พี่เชนทร์หรือคเชนทร์ คือชายหนุ่มในชุดทำงานอายุประมาณ 28 ปี รูปร่างสูง ผมหยักศกสีดำตัดอย่างมีระเบียบผิวขาวอย่างคนมีเชื้อสายจีนและมีดวงตาสีเดียวกับเส้นผม ชายหนุ่มเดินมาหาและยิ้มเล็กน้อยก่อนบอก

“ขึ้นรถสิน้ำริน พี่มารับ”

“เห็นไหมล่ะ ที่แท้ก็ให้แฟนมารับนี่เอง เพื่อนๆ เลยแห้ว” นิ้งหรือนิรมล หันไปพยักเพยิดกับเพื่อน พรไพลินจึงต้องแก้คำพูดนั้นเบาๆ

“พูดแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ”

“นิ๊งก็อยากให้สิ่งที่พูดน่ะเป็นเรื่องโกหกเหมือนกันแหละ” นิรมลกระซิบตอบและถอนหายใจอย่างเสียดายก่อนถามชายหนุ่มที่เดินมา “คุณคเชนทร์มาตัดหน้าเพื่อนๆ อีกแล้วนะคะ รู้ไหมว่าวันนี้พวกเราจะชวนน้ำรินไปฉลองที่สอบวันสุดท้ายเสร็จกัน”

คเชนทร์มองบรรดาสาวๆ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยและบอก “งั้นก็ไปฉลองที่ร้านลอยแก้วสิ ฟรีค่าห้องวีไอพีด้วยนะครับ”

“อีกแล้วเหรอ” พรไพลินมองหน้าคเชนทร์เพราะร้านลอยแก้วนั้นก็คือร้านซึ่งเป็นกิจการในเครือของไทยนิวัฒน์และคเชนทร์ก็เป็นเจ้าของกิจการส่วนหนึ่งอยู่ เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าเขานั้นอำนวยความสะดวกแก่เพื่อนร่วมรุ่นของเธอมากเกินไปจนพวกนี้มักจะใช้เธอป็นข้ออ้างในการใช้ห้องวีไอพีของร้าน

“แบบนั้นไม่น่าจะดีเลยนะคะพี่เชนทร์”

“ถ้างั้นพี่ก็จะชิงตัวรินไปฉลองกับพี่แค่สองคน แบบนั้นแย่กว่าอีกนะ จริงไหมครับทุกคน” คเชนทร์บอกยิ้มๆ นิรมลจึงรีบเห็นด้วยทั้งๆ ที่ปกติพรไพลินก็ไม่ได้ร่วมสังสรรค์กับพวกเธอสักเท่าไหร่หรอกเพราะหญิงสาวนั้นต้องทำงานหาเงินควบคู่ไปด้วยจึงต้องอาศัยความพยายามมากกว่าคนอื่น

“ถ้าพี่เชนทร์บอกว่าจริงก็ต้องจริงอยู่แล้วล่ะค่ะ ใช่ไหมพวกเรา”

“ใช่” สาวๆ รีบตอบกันอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่าบางคนจะแอบส่งสายตากันอย่างอิจฉาเนื่องด้วยหนุ่มนักธุรกิจแต่งตัวภูมิฐานวัยใกล้ 30 กับสาวมหาลัยที่เห็นกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งนั้นทำให้บางคนอดแอบเอาไปนินทาไม่ได้ว่าพรไพลินมีเสี่ยเลี้ยง

“งั้นนิ้งไปส่งข่าวบอกเพื่อนๆ ก่อน เอาเป็นว่าทุ่มหนึ่งเจอกันที่ร้านลอยแก้ว ห้ามเบี้ยวนะรินเพราะงานนี้เธอต้องอยู่กับพวกเราจนกว่าจะเลิกงาน”

คเชนทร์มองร่างเล็กๆ ของหญิงสาวผมบ๊อบกับเพื่อนที่แยกตัวออกไปก่อนบอกกับพรไพลินยิ้มๆ “นิ้งเขาร่าเริงดีนะ”

“ค่ะ” พรไพลินยิ้มรับคนบอกแต่อย่างไรเสียคเชนทร์ก็เห็นว่าดวงตาของคนยิ้มนั้นยังแฝงด้วยรอยเจ็บปวดบางอย่างไม่จางหาย

“น้ำริน” ชายหนุ่มจึงเรียกขึ้นเสียงนุ่ม ซึ่งคนยืนอยู่ก็รีบขานรับทันที

“คะ พี่เชนทร์”

คเชนทร์มองหญิงสาวตรงหน้าและล้อเธอยิ้มๆ “รินรู้ไหมพี่ชอบเรียกรินเพราะไม่มีครั้งไหนเลยที่รินจะไม่ขานรับพี่” สิ่งที่เธอทำนั้นกลายเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าตนเองกำลังเสพติดมันและขาดไม่ได้ เขาบอกตัวเองในใจว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปในอดีตเลย

“ค่ะ” แต่พรไพลินกลับตอบสั้นๆ เพราะคำพูดของเขานั้นทำให้เธอเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้หญิงสาวจึงไม่ขยายความต่อ ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงพูดเรื่องอื่นเสีย

“เดี๋ยวพี่ขอแวะไปทำธุระที่สนามบินหน่อยนะริน”

“ค่ะ” พรไพลินพยักหน้า “แต่...ที่จริงรินไปร้านเองก็ได้ เย็นนี้มีลูกค้านัดรับดอกไม้สองสามราย” พรไพลินหมายถึงร้านเลิฟลี่ฟลาวเวอร์ ซึ่งเป็นร้านจัดดอกไม้และเป็นอีกกิจการที่คเชนทร์ซื้อต่อมาจากนุสราน้องสาวไฮโซของเขาและพรไพลินก็ทำงานและอาศัยอยู่ที่นี่มาร่วมสี่ปีแล้ว

“ไปร้านทำไม ก็รินนัดเพื่อนไว้ที่ลอยแก้วตอนทุ่มหนึ่ง นี่ก็บ่ายแล้วพี่ว่าเราแวะสนามบิน ต่อจากนั้นพี่ก็จะพาริ นไปซื้อของที่มอลล์แล้วค่อยส่งรินกลับร้านไปอาบน้ำแต่งตัวออกมาพร้อมกัน” คเชนทร์วางแผนทุกอย่างตามนิสัยผู้บริหารแต่พรไพลินก็ไม่เห็นด้วย

“ไม่ดีมั๊งค่ะ รินไปร้านก่อนดีกว่า เสร็จแล้วค่อยเลยไปที่ลอยแก้วเลย” ซึ่งเธอก็นึกอยู่แล้วว่าไม่เคยขัดแผนการที่วางไว้ของอีกฝ่ายได้

“อย่าดื้อสิ พี่ให้วุ้นเส้นจัดการเรื่องลูกค้าที่รินบอกหมดแล้วล่ะ พี่น่ะหาเวลาว่างยากมากเลยนะ วันนี้รินจะไม่ยอมไปซื้อของเป็นเพื่อนพี่หน่อยหรือไง” พอได้ยินแบบนี้พรไพลินก็ต้องยอมตามด้วยความเกรงใจ

“ก็ได้ค่ะ”

พรไพลินไม่รู้เหมือนกันว่าคเชนทร์มีธุระอะไรที่สนามบิน เห็นเพียงแต่เขาทำท่ารำคาญนิดหน่อยเมื่อหาใครไม่เจอและกดโทรศัพท์คุยกับนุสรา หญิงสาวจึงเลี่ยงไปทางหน้าต่างกระจกและมองเครื่องบินซึ่งกำลังทะยานขึ้นไปบนฟ้าแทน ดวงตาสีดำแวววาวอมเศร้านั้นเหม่ออยู่นานจนคเชนทร์มาเรียกให้ไปซื้อของด้วยกัน



คืนนั้นสาวๆ หนุ่มๆ เพื่อนของพรไพลินรวมถึงรุ่นน้องราวสิบกว่าคนไปฉลองจบการศึกษาปริญญาตรีในห้องวีไอพีของร้านอาหารลอยแก้วของคเชนทร์กันอย่างสนุกสนาน ส่วนคเชนทร์นั้นถูกลูกค้าคนสำคัญตามตัวด่วนตั้งแต่หัวค่ำจึงไม่ได้อยู่ด้วย

“นิดหนึ่งนะริน” เพื่อนคนหนึ่งยื่นแก้วเครื่องดื่มแองกอฮอล์ให้ “แหมมึนเมาก็อยู่ในร้านคุณคเชนทร์น่า เธอกับเขารู้จักกันมาตั้งนานแล้วนี่นา ใครจะปล่อยแฟนตัวเองมาสลบเหมือดอยู่ที่ร้านละเนอะ”

ทุกคนล้วนเชียร์ให้พรไพลินลิ้มลองน้ำสีอำพันแต่เจ้าตัวก็โบกมือปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ รินไม่เคยกิน”

“น่าๆ ริน” “นิดหนึ่งน่าริน”

ที่สุดแล้วหญิงสาวก็ไม่อาจทานแรงคะยั้นคะยอของเพื่อนๆ และน้องๆ ได้ ทว่าความที่ไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มชนิดนี้มาก่อนเลยทำให้ไม่นานเธอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนปั่นป่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พรไพลินจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และปลีกตัวออกมานอกห้องเพื่อจะไปห้องน้ำและหลังจากเสร็จกิจธุระก็เดินออกมาด้วยอาการที่ยังไม่ดีนัก แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนฉุดแขนอย่างแรง

“น้ำริน!”

ใจของพรไพลินกระตุกวูบหญิงสาวผงะหนีด้วยความตกใจดวงตาโตเบิกขึ้นพร้อมหัวใจเต้นระทึกจนเกือบจะกรี๊ดออกมา

“รินฉันเอง” นุสรารีบบอกอีกฝ่าย เธอรีบจนลืมไปเสียสนิทใจว่าพรไพลินนั้นเป็นคนตกใจง่าย “โทษที รีบไปหน่อย”

พรไพลินพิงผนังร้านหน้าอกไหวขึ้นลงด้วยแรงหายใจที่ถูกข่มให้สงบ “คุณนุส...”

“ใช่” นุสราถอนหายใจเพราะท่าทางตกใจของพรไพลินทำให้ตนเองผวาตามนิดหน่อยเหมือนกัน “มีเรื่องด่วนน่ะ พอดีพี่เชนทร์จะพาลูกค้าคนสำคัญมาที่ร้าน แล้วก็กำชับนักหนาว่าต้องให้เธอเป็นคนจัดดอกไม้ที่จะไปตกแต่ง”

“ค่ะ” หญิงสาวที่ยืนตอบรับพร้อมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น “แล้ว...ห้องไหนคะ...ขอดูห้องหน่อยได้ไหมคะ”

“ก็ห้องวีไอพีเหมือนกันนั่นแหละน่า” นุสราพูดเหมือนรำคาญ เธอเองก็ไม่ค่อยโปรดปรานพรไพลินนักเพราะรู้สึกหมั่นไส้ที่พี่ชายเหมือนจะโอ๋อีกฝ่ายจนเกินควรและคิดเสมอว่าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างพรไพลินมีแต่จะทำให้ตระกูลตนเองแปดเปื้อน

“งั้นใครจะเป็นคนไปเอาดอกไม้มาให้คะ รินจะได้สั่งถูก” พรไพลินหมายถึงเด็กในร้านนี้ซึ่งมีมากมายเธอจะได้บอกถูกว่าให้หยิบดอกอะไรที่ไหนบ้างระหว่างนั้นตนเองจะได้จัดสถานที่ไปพลางๆ เพื่อให้ทุกอย่างเสร็จโดยเร็ว

“ก็เธอนั่นแหละ” นุสราขมวดคิ้ว “ฉันไม่รู้จะไปหาคนรับใช้ที่ไหนให้เธอหรอกนะ หรือคิดจะให้ฉันไป!”

พรไพลินเม้มปากน้อยๆ แม้จะอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยปกตินักทั้งจากฤทธิ์แองกอฮอล์และความตกใจเมื่อครู่แต่หญิงสาวก็รับปาก “ก็ได้ค่ะ รินจะไปเอง”



**************************************************************









แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ม.ค. 2555, 12:59:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2555, 11:37:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1879





<< 2.    4. คนที่ถูกลืม >>
Siang 10 ม.ค. 2555, 13:25:36 น.
สงสัยว่าคุณเชนกับยลรดาจะต้องเป็นคนวางแผนทำให้น้ำรินกับเตชินทร์เข้าใจผิดกันแน่ๆเลย ปล. พี่แพรคะ อ่านตอนนี้แล้วมีแววว่าต้องเสียน้ำตามาแต่ไกลเลยค่ะ


ของขวัญ 10 ม.ค. 2555, 14:45:20 น.
เรื่องนี้ดูซับซ้อนนะคะเนี่ย


หมูอ้วน 10 ม.ค. 2555, 14:47:32 น.
รักสามเศร้าหรือป่าวค่ะเนี่ย


มุกมาดา 10 ม.ค. 2555, 15:32:30 น.
มาลงชื่ออ่านค่ะ แต่เป็นคนจ้องจอคอมนานๆ ไม่ได้ อ่านในจอจะตาลาย เดี๋ยวขอปรินซ์ใส่กระดาษไปอ่านนะคะ แล้วจะติดตามเป็นกำลังใจให้ค่ะ (ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามไปให้กำลังใจเวียงแก้ว)


หนอนฮับ 10 ม.ค. 2555, 16:17:12 น.
กลับมาแว้วววว...ไม่ได้อ่านิยาย เล่นเน็ตหลายวัน แทบขาดใจ อิอิ พี่แพรจ๋า...ดีแล้วเศร้ามากๆ ไม่ดี เดี๋ยวน้องหนอนคนสวย ร้องไห้ตาบวมไม่สวยคะ อิอิ


แว่นใส 10 ม.ค. 2555, 17:02:44 น.
ถ้าจบลงก็น่าเสียดายเนอะ


Zephyr 11 ม.ค. 2555, 02:06:09 น.
จะผิดไหมถ้า รู้สึกว่า....
...มิ้นท์ ไม่ชอบเลย ออกตัวแรงอ่ะ(พี่ชินของน้ำรินต่างหาก เธอน่ะ อด)
...นุส เสแสร้งไงไม่รู้ ตั้งแต่แรกเลย มาเจอตอนใกล้จบตอนนี่แบบ เธอดูถูกคนมาก ถ้าไม่มีพวกโลโซ เธอจะเป็นไฮโซได้ไง(วะ)คะ
...พี่เชน (ตกลงเขียนเชนหรือเชนทร์คะ) เทพบุตร(น่าจะช่วยน้ำรินจากเหตุการณ์ไรซักอย่าง แน่ๆ)หรือซาตาน(ตัวก่อปัญหาต่างๆนานา)
...ยลรดา พวกฉวยโอกาส ปั้นน้ำเป็นตัว สตอร์เบอแหล แน่นอน น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สี่ปีก่อนที่ทำให้น้ำรินหนีไป และยึดของแทนใจของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง และยังหวังจะยึด ของๆคนอื่นมาเป็นของตนเองเช่นกัน
...ชิน หูเบา แหงแซะ ฟังแล้วจิ้นเอง เออเอง คิดเองมาตลอดสี่ปี แน่ๆเลย พี่จบโทแล้วนะค้า ฉลาดหน่อย ^^
...น้ำริน คาดว่างานเข้าตลอดแน่ๆทั้งจากคนใกล้ตัวไกลหัวใจ และคนไกลตัวใกล้หัวใจ รวมถึงพวกแมลงหวี่แมลงวันทั้งหลายด้วย รันทดแน่นอน

เค้าลางน้ำตาเริ่มชัดเจนมากกว่าตอนที่แล้ว
ไม่เศร้าจริงเหรอคะ (เริ่มระแวง)
ปล.ที่เขียนมานั่นความรู้สึกเราหลังอ่านตอนนี้จบนะคะ เดาไว้เล่นๆ อย่าซีเรียสเลยคะ พวกเพ้อค่ะ ชอบจิ้นไปก่อน
...แอลกอฮอล์ค่ะ


วนัน 29 ก.พ. 2555, 15:17:50 น.
เพลินดีคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account