พิศวาสสายน้ำ
"เนื้อตัวไม่เคยให้ใคร แต่หัวใจขอรับจ้าง...เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำผิดไป"
Tags: กระโดดตบ กระหน่ำจูบ

ตอน: ๒ หน้าซอยเปลี่ยว

...


๒ หน้าซอยเปลี่ยว



“ไปกับเราเถอะลษา...นะ ไม่ต้องกลับบ้านหรอก บ้านเราค้างได้ แม่เราไม่อยู่ พ่อก็ไปต่างประเทศแล้ว บ้านเราสบาย รับรองเลย ลษาต้องชอบ”

น้ำเสียงเร่งเร้า แต่ดวงตาของคนพูดยิ้มเยาะ ซ่อนนัยบางประการภายใต้ม่านมืดของยามราตรี แม้จะมีแสดงไฟจากข้างทางสีส้มเรืองๆ ส่องมาพอให้เห็น แต่ก็ไม่ทำให้ลษาเห็นสีหน้าที่แท้จริงได้เลย

แต่ก็เถอะ ถึงจะไม่เห็นใบหน้าที่ปรากฏเล่ห์เหลี่ยมอะไร แต่สุ้มเสียงที่เอ่ยและเจตนาที่แอบแฝงก็บอกให้เธอรู้ละว่า ...เขาต้องการตัวเธอ...

พลันที่คิดได้ดังนั้น ลษาก็บิดข้อมือ หวังจะสลัดข้อแขนที่ถูกกำแน่นจนเจ็บร้าวให้เป็นอิสระ แต่แรงเขามากเหลือเกิน หญิงสาวพยายามปลดออกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล

“ปล่อยเรานะ...โอม วันนี้เราจะไปค้างบ้านจี๊ดดีกว่า ไม่อยากรบกวน”

“โฮ้ย” เพื่อนชายที่ชื่อโอมร้องออกมาอย่างอารมณ์เสีย ทั้งหน้าตาก็บอกความรำคาญในความมากเรื่องอย่างไม่ปิดบัง “จะไปรบกวนจี๊ดมันทำไม ไปค้างกับเราแหละ ถ้าไม่อยากกลับบ้านไปเจอยัยแม่เลี้ยงใจร้ายกับพ่อจอมดุของเธอน่ะ จี๊ดมันไม่พร้อมต้อนรับเธอหรอกน่าลษา พ่อแม่มันก็อยู่ เห็นว่ากำลังยุ่งๆ เหมือนกัน ถ้าขืนเธอไปค้างตอนนี้ เราว่า เธอจะพลอยโดนพ่อกับแม่ของจี๊ดมันเฉ่งเอานะ”

คำที่เอ่ยฟังดูดี ให้กำลังใจ และหวังดี แต่สำหรับยามกลางคืนและทางเปลี่ยวอยู่ห่างจากถนนใหญ่อย่างนี้แล้ว ลษากลับไม่ซาบซึ้งน้ำใจที่อีกฝ่ายยื่นให้เลย ในหัวเธอตอนนี้ มีกระดิ่งสั่นดังอยู่ เตือนภัยให้รู้ว่า นายโอมคนที่เธอคบหาจากการไปเที่ยวผับบาร์คนนี้ ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง

“ไป ขึ้นรถดีๆ เถอะน่า เราไม่เอาเธอไปขายหรอก”

ลษาตาโตเมื่อได้ยินคำว่า ขาย ที่จริงไม่ได้กลัวหรอกว่า เขาจะผิดคำพูดดังว่า แต่กลัวว่าเขาจะพาไปปู้ยี่ปู้ยำยิ่งกว่าขายเสียมากกว่า

เขาบุ้ยใบ้ให้เธอขึ้นรถสปอร์ตสีแดงคันหรูที่จอดอยู่ข้างทางด้วยแล้ว คนตกอยู่ในภาวะคับขับ ก็พยายามจะเบี่ยงตัวหนี ไม่ยอมตกไปอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ อยู่ด้านนอกนี้น่าจะปลอดภัยกว่า อย่างน้อย เธอก็ยังมีปาก ร้องเรียกเสียงดังก็หวังใจว่าจะมีคนมาช่วยได้

หญิงสาวตั้งสติ แต่ก็ควบคุมไม่ให้มันเตลิดไปได้ยาก เธอกดเสียงลงหนัก เพื่อไม่ให้น้ำเสียงบอกอีกฝ่ายให้รู้ว่าตกใจ ทั้งยังสะกดให้ชายหนุ่มได้คิดด้วยว่าเธอไม่ปรารถนาสิ่งที่เขาหวังดีแต่ประสงค์ร้าย

“ไม่ไปนะโอม วันนี้เราอยากกลับบ้าน”

“อะไรกัน เมื่อตอนเย็นยังบอกอยู่เลยว่า เบื่อพ่อ เบื่อนังยักษ์แม่เลี้ยง”

“ฉันเปลี่ยนใจแล้วนี่”

“ไม่หรอกมั้ง เราว่า ลษาเกรงใจเรา” ไม่ว่าเปล่า ชายผู้นี้ยังพยายามใช้มืออีกด้างโอบตัวหญิงสาวเข้าประชิดตัว ลษาเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ไม่พ้น “ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก เรายินดีเทคแคร์ลษานะ”

มือข้างที่เป็นอิสระผลักที่อกชายหนุ่มอย่างแรง แต่แรงเธอกลับน้อยเท่าน้อย คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปด้วยละมัง มือไม้ถึงได้อ่อนไปหมด

เธอจะทำยังไงดี... เพราะอารมณ์น้อยใจพ่อแท้ๆ เชียว ทำให้เธอประชดด้วยการนัดเจอเพื่อนที่เพิ่งพบกันไม่กี่สัปดาห์ผ่านเพื่อนหญิงที่ชื่อจี๊ด เขาพามายังผับผ่านซอยทองหล่อ

หลุมพรางที่เธอจงใจกระโดดลงมาเอง กำลังทำร้ายเธออยู่ตอนนี้

“ปล่อยนะ ฉันจะกลับบ้าน” เสียงของหญิงสาวเริ่มดังขึ้น ทั้งแววตาก็ประกาศว่าจะเอาจริง อีกฝ่ายจึงชะงักไปครู่ แต่เหมือนจะดักทางถูก เขาจึงเปลี่ยนท่าทีให้อ่อนลง แล้วพูดว่า

“งั้นขึ้นรถเถอะ เราจะไปส่งบ้าน”

“ไม่เป็นไร ฉันกลับแท็กซี่เอง”

“อย่าดื้อไปหน่อยเลยน่าลษา เราไปส่งให้ กลับแท็กซี่ดึกๆ น่ากลัว”

นายนะสิน่ากลัวกว่าแท็กซี่อีก... ลษาได้แต่ร้องคำนี้อยู่ในใจ หากหญิงสาวก็บอกไปด้วยความสงบ หวังพูดจากันดีๆ

“ไม่เป็นไร ฉันดูแลตัวเองได้”

“ขึ้นรถมาซะดีๆ เถอะลษา อย่ามากเรื่องไปเลย”

พร้อมกับเสียงที่แข็งขึ้น มือของเขาอีกข้างก็คว้าแขนของหญิงสาวที่ดันอก จากนั้นก็ออกแรงฉุดจนเธอปลิวติดมือไปยังรถคันที่จอดนิ่งอยู่ข้างทาง

เนื่องจากลษาเป็นคนตัวเล็ก และนายโอมก็ตัวสูงใหญ่กว่ามาก คนถูกกระชากแขนจึงไม่มีทางเลยที่จะขัดขืน ปากได้แต่ร้องบอกให้ปล่อยเท่านั้น หญิงสาวอดโทษตัวเองไม่ได้ น้ำตาซึมออกมาเพราะหวาดกลัวจับจิต เธอไม่น่าดื้อรั้นไปผับบาร์เพื่อประชดพ่อ แล้วออกมากับเขาอย่างนี้เลย

ด้วยแรงอันน้อยนิดและกำลังที่เขาข่มเธอดุจแรงช้าง ลษาจึงหล่นเข้าไปอยู่บนเบาะตอนหน้าของรถเปิดประทุนอย่างง่ายดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลัก ปากก็ยังส่งเสียงดังอย่าไม่ยอมง่ายๆ ฝ่ายชายทั้งปลอบทั้งขู่

“นายจะทำอะไรนายโอม...”

“ก็จะไปส่งเธอไง” พูดจบ เขาก็กระโดดข้ามตัวเอง อาศัยว่าตัวยาวจึงหย่อนตัวลงไปนั่งฝั่งคนขับได้สบาย ก่อนจะรีบสตาร์ตรถในจังหวะที่หญิงสาวกำลังตกตะลึง

“ฉันบอกว่ากลับเองได้” หญิงสาวถูกรั้งไว้ด้วยเข็มขัดนิรภัย อารามตกใจทำให้เธอลนลาน หญิงสาวไม่อาจปลดสายเข็มขัดได้อย่างใจนึก ได้แต่มะงุมมะงาหราในเงามืดของแสงไฟสีซีดข้างทาง

เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ลษาสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นระทึก ปอยน้ำตาแรกตกลงข้างแก้ม

ทำไมชะล่าใจอย่างนี้นะ ปล่อยตัวปล่อยใจเอาความน้อยเนื้อตำใจที่มีต่อพ่อมาเล่น จนไม่นึกว่าอันตรายรอบกายนั้นมีอยู่ตลอด ย่ามใจกระทั่งออกมากับชายคนนี้

ทว่าโชคดีเข้าข้าง จังหวะที่รถยนต์กระชากตัวพุ่งไปด้านหน้านั้นเอง เจ้าของรถก็ต้องเบรกรถกะทันหัน จนศีรษะของลษาคะม้ำไปถูกคอนโซลหน้ารถ

“ฉิบหาย ใครวะ แม่...ง...ขับรถตัดหน้ากู”

ไม่ทันที่คำบริภาษจะหลุดปากจากนายโอมได้ครบประโยค กระจกรถสีบรอนซ์ยี่ห้อยุโรปที่ปาดหน้ารถสปอร์ต ก็ค่อยเปิดออก หญิงสาวทันเห็นคนขับที่หันมามอง เธอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาคือคนในผับที่ตนเพิ่งจากมานั่นเอง

ความคิดที่จะหนีแล่นพรวด เป็นจังหวะเดียวกับที่มือเรียวควานหาตัวล็อคเข็มขัดนิรภัยเจอ ลษาผลักประตูรถออก แล้วพุ่งตัวให้พ้นรถจนหัวเกือบทิ่มฟุตปาธ เคราะห์ดีที่นายโอมยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อรู้ตัวแล้วเอื้อมมือมาคว้าตัวหญิงสาวก็ไม่ทันเสียแล้ว

ลษากลั้นใจวิ่งไปยังรถสีบรอนซ์คันนั้นทันที ไม่สนใจกระเป๋าสะพายที่หล่นอยู่เบาะตอนหน้าของรถนายโอม

“ลษากลับมาก่อน...” ว่าพลางนายโอมก็ปลดสายเข็มขัด พร้อมสบถคำหยาบซ้ำไปซ้ำมา “กลับมานี่นะลษา เธอจะไปกับคนแปลกหน้าได้ยังไง”

ลษาที่กำลังจะหย่อนตัวลงไปนั่นคู่กับคนมาช่วยชีวิต หันมาโต้ตอบ จังหวะหายใจปนหอบอย่างฟังได้ชัด จนทำให้ประโยคที่โต้ตอบออกมากระท่อนกระแท่น “นายนั่นแหละแปลกหน้าสำหรับฉันไปแล้ว ไม่นึกนะว่านายจะทำอย่างไรกับฉันได้”

ว่าแล้วเธอก็หันไปหาชายผู้มาช่วยชีวิต จะว่าไปเขาก็แปลกหน้าจริงๆ นั่นแหละ แต่ประกายตาอบอุ่นบางอย่างจากหน่วยตากว้างนั้นบอกกับเธอให้รู้ว่า เขาไม่มีเจตนาร้ายกับเธอเหมือนเพื่อนชายคนที่ตนเพิ่งรอดเงื้อมือมาได้เลย

“ลษา...ออกมานะ มันเป็นใครไม่รู้”

โอมหลุดออกมาจากรถตนเองได้แล้ว เขากระโจนเข้ามาหารถคันสีบรอนซ์ทันที หากก็ไม่เร็วไปกว่ารถคันนี้ออกตัว ผลก็คือว่าเขาต้องหกล้มลงไปคลุกพื้นถนน

“โธ่โว้ย อย่าให้ได้เจออีกนะอีนังลษา”

หญิงสาวเห็นมองด้านหลัง ทันได้เห็นคนล้มลุกขึ้นแล้วชูกำปั้นหรา ท่าทางอาฆาตเห็นได้ชัดในแสงสลัวของเสาไฟ

เมื่อรอดจากเสือร้ายมาได้แล้ว หญิงสาวก็หันหน้ากลับ พร้อมระบายลมหายใจโล่งออกมาแรงๆ ก่อนจะเหลือบตาไปยังคนขับที่ออกรถอย่างรวดเร็ว... หวังว่าเขาคงจะไม่ได้เป็นจระเข้ที่หล่อนวิ่งเข้ามาปะหรอกนะ

จากดวงตาไม่บอกนัย และท่าทางนิ่งเฉยอย่างนี้ ลษาก็บอกตัวเองว่าเธอไม่ย่ามใจเกินไปที่ไว้ใจเขาหรอก

“ขอบคุณค่ะ ที่มาช่วยฉัน” หญิงสาวก้มลงไหว้เขา เพราะดูจากการแต่งกายแล้วเขาน่าจะแก่กว่าตนมาก พร้อมกับความคุ้นตาก็มาเยือน “เอ...ฉันจำได้ คุณกันกับฉันในผับเมื่อกี้ใช่ไหมคะ”

ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ เขาก็ตัดบทว่า

“จะให้ฉันไปส่งที่ไหน...”

ลษาชะงัก แปลกใจในท่าทีไม่แยแสต่อคำขอบคุณ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เจึงเอ่ยบอกสถานที่ที่จะให้ไปส่ง ซึ่งก็คือปากซอยหน้าบ้าน ไม่ไกลจากนั้นเอง

จากนั้น ก็เป็นแต่ความเงียบที่ครองภายในรถยนต์คันนั้น

อ้อ! ไม่สิ ถ้าจะมีอะไรเป็นเสียงเบาๆ ลษาก็ยังได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงในทำนองคลาสสิกที่เจ้าของรถเปิดไว้ด้วย

ลษานึกว่าตนเองจะหมดเรื่องหมดราวกันเพียงแค่นี้แล้ว ทว่าเรื่องใหม่ที่ตนเองไม่คาดคิดกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

เพราะห่างออกมาไม่ไกลจากที่เกิดเหตุอกสั่นขวัญแขวนสำหรับลษาเมื่อครู่นี้ มีรถญี่ปุ่นสีขาวคันหนึ่งจอดแนมดูเรื่องที่เกิดขึ้น ทันได้เห็นการฉุดกระชาก และได้ว่าหญิงสาวหนีขึ้นมากลับรถชายแปลกหน้า

แหละผู้ที่นั่งหลบอยู่ในเงามืด ทำตาวาว และเนื้อตัวสั่นด้วยความโกรธ นั่นก็คือบุณฑริกา...มารดาเลี้ยงของลษานั่นเอง


////////////////////////////////////////////////////////


“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”

ลษาไหว้เขาอีกครั้ง หลังจากลงมายืนคว้างอยู่ข้างทางหน้าปากซอยเข้าบ้าน เขายังคงวางหน้าเฉย หญิงสาวเพิ่งมีโอกาสมองดวงหน้าเขาเมื่อไฟหน้าปากซอยส่องให้เห็นชัด จมูกของเขาโด่ง ปลายงามมาบรรจบปากรูปกระจับสีชมพูอย่างคนสุขภาพดี แต่ถ้าจะแย้มยิ้มสักหน่อย หน้าที่เป็นโครงได้รูปคงจะหน้ามองกว่านี้เป็นสิบเท่า

“ไม่เป็นไร”

นับว่าเป็นประโยคที่สองที่เขาได้พูดกับเธอ ตอนนั้นเอง เธอถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าผู้ชาย
ที่มาช่วย เขาคือคนที่เธอเต้นสีด้วยในผับ!

“คุณ...”

ลษาอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อ มิหนำซ้ำความตกใจจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ ยังมีอยู่ ภาพน่ากลัวยังไปจากหายไปจากสมอง และดูเหมือนฝ่ายคนมาส่งก็จะเห็นแววตระหนกในดวงตาเธอ จึงบอกว่า

“รีบกลับบ้านบ้านซะ จะตีสองแล้ว แถวนี้ซอยใหญ่ก็จริง ไม่เปลี่ยวอย่างเมื่อกี้ แต่ก็ไว้ใจไม่ได้หรอก”

ลษาฉีกยิ้ม ขอบคุณในใจที่เขาอุตส่าห์เป็นห่วง

แต่สำหรับชายหนุ่ม เมื่อเห็นเธอยิ้ม เขาก็ยิ่งหน้าบูดลงไปอีก ก่อนจะบอกอย่างผู้ใหญ่สอนเด็ก

“ที่หน้าที่หลังก็อย่าไปเที่ยวไหนต่อไหนกับผู้ชายสองต่อสอง ถึงเป็นเพื่อนก็ตามที สังคมเดี๋ยวนี้มันอันตราย ประสบกับตัวเองแล้วเป็นไง หลาบจำหรือยัง”

ลษาตาโตทันที นี่เขาทำตัวเป็นยิ่งกว่าพ่อเสียอีก

ไม่รู้อะไรดลใจ อารมณ์นึกสนุกอย่างเด็กๆ ที่คิดจะยั่วเขาเล่น ก็เลยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

“ค่า...คุณพ่อ...ทีหลังหนูจะไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวอีกแล้วค้า ถ้าจะไปไหน หนูจะชวยคุณพ่อไปด้วยอีกไหมค่ะ”

ได้ผล เขาถลึงตาใส่ทันที

“ทำตัวอย่างนี้ละสิ พวกผู้ชายมันถึงเข้าหาง่าย ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ฉันไม่น่าช่วยเธอมาให้เสียมือเลยนะ”

ยิ้มทะเล้นของหญิงสาวหายไปฉับพลัน คิ้วขมวดมุ่น ดวงตาฉายแววขุ่นมัว เพราะคำพูดของคนที่ช่วยเธอมาช่างระคายใจสิ้นดี

ลษาสะบัดหน้าหนี ผมสั้นประบ่าเทเอียงนิดๆ ปลิวไหว ตั้งใจให้อาการนั้นบอกชายหนุ่มว่า เธอไม่พอใจ

ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าเหนื่อยใจ แล้วค่อยๆ เลื่อนรถออกไป

ทว่าจังหวะเดียวกันนั้นเอง ลษาต้องได้พบกับบุคคลที่ไม่นึกมาก่อน

“ลษา!”

เสียงร้องกึ่งตะหวาด ทำให้หญิงสาวที่ยืนงงอยู่หันขวับไปมองทางปากทางเข้าบ้าน

“พ่อ!” หญิงสาวอุทานเสียงแผ่ว ไม่นึกว่าพ่อจะออกมาตามหาถึงขั้นนี้

ความน้อยใจแล่นวูบขึ้น ...จะตามมากันอีกทำไมละ ก็พ่อเองนี่ที่ไม่แย่แสเธอเลยว่าเธอจะออกไปไหน จนทำให้เธอหนีออกไปผับจนเกิดเรื่อง

พ่อก้าวยาวๆ มาจากรถยนต์ญี่ปุ่นสีขาวซึ่งภายในมีบุณฑริกานั่งอยู่ ตรงมาฉุดแขนของลษาอย่างแรง เธอตกใจชักมือหนี พ่อจึงนึกว่าลูกสาวอวดดี แข็งขืน รีบคว้าแขนของลษาอีกรอบ คราวนี้ออกแรงบีบอย่างกลัว

“กลับบ้านไปกับพ่อ เดี๋ยวนี้ริอ่านคบผู้ชายมากหน้าหลายตาอย่างนั้นเหรอ”

“พ่อเอาอะไรมาพูด” ลษาเถียง ขึ้นเสียงอย่างเคยๆ เมื่อถูกพ่อตวาดใส่ก่อน

“น้าบุณเขาเห็น ยังจะมาปากแข็งอีกไหม เมื่อกี้ก็คน ไอ้คนนี้ก็อีกคนงั้นเหรอ”

ดวงตาวาววามของคนเป็นพ่อทำให้อารมณ์โกรธของหญิงสาวกระพือขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จำต้องกลับไปบ้านไปกับพ่อ

หญิงสาวสลัดแขนออกจากมือพ่อโดยแรงอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำไปขึ้นรถแต่โดยดี อดไม่ได้ที่จะปรายตามองแม่เลี้ยงที่ยังสวยสะพรั่ง แม้วัยจะใกล้สี่สิบแล้วอยู่ตอนหน้ารถ เห็นชัดว่า ปากแดงเคลือบลิปสติกหนานั้นยิ้มเหยียด

“ดื้อจนได้เรื่องนะแม่ตัวดี”

ลษาไม่ต่อความกับคำค่อนขอด แต่กลับเปิดประตูแรงๆ จนเป็นกระชาก ทิ้งตัวลงไปนั่งยังเบาะหลังไม่เบานัก ก่อนจะดึงประตูปิดแรงๆ อีกครั้ง เพื่อบ่งบอกอารมณ์ให้คนด้านหน้ารับรู้

“นี่เธอปิดประตูประชดชั้นงั้นเหรอ”

เสียงบุณฑริกาดังทีเดียว แต่ก็ต้องเบาลงเมื่อพ่อเดินเข้ามานั่งในตำแหน่งคนขับ เขาไม่พูดจาอะไร ได้แต่สตาร์ตรถแล้วออกรถกลับบ้านไปอย่างกระชากกระชั้นไม่แพ้กัน


//////////////////////////////////////


ชลธีไม่ได้ขับรถหนีไปไหน กลับจอดซุ่มดูอยู่ไม่ห่าง เห็นว่าเป็นชายวัยกลางคนกับผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันนั่งอยู่ในรถคันนั้น ก็เบาใจ คิดว่าคงเป็นพ่อแม่ของเด็กสาว

“เด็กใจแตกมีปัญหาทางบ้านนะเอง สงสัยอยู่แล้วเชียว”

ชลธีส่ายหน้าอีกครั้ง ไม่เพียงระอาต่อความแก่แดดแก่ลมของผู้หญิงคนนั้นซึ่งคงจะยังไม่พ้นวัยมหาวิทยาลัย หากเขายังระอาตัวเองอีกด้วย เพราะไม่รู้ทำไมจึงต้องมาช่วยเธอ ทั้งๆ ไม่ใช่นิสัยเขาเลยแม้แต่น้อย เขาออกจากผับแห่งนั้นมา ไล่หลังหนุ่มสาวสองคนนั้นมาติดๆ กระทั่งมาเห็นเหตุการณ์ฉุดคร่าริมทาง จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วย

ตกใจตอนแรกที่เห็นว่าเป็นสาวที่เขาเต้นด้วยอย่าง “ถึงพริกถึงขิง” ด้วยในผับ
อะไรไม่รู้ผลักให้เขายื่นมือเข้าไปช่วยเธอ ทั้งๆ ไม่ใช่เรื่อง เขาจะปล่อยให้สาวไฟแรงสูงดั่งที่เขาเคยคั่วๆ มาในอดีตผจญชะตากรรมอันเกิดจากการแต่งตัวและกิริยาท่าเต้นล่อเสือล่อตะเข้ก็ได้...

...เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน นี่ถ้าเล่าให้พี่ก้านฟัง แกคงขำจนฟันร่วง

ปกติแล้ว ชลธีจะไม่เคยสนใจใยดีใคร ไม่เคยแยแสว่าใครจะเป็นยังไง เหตุการณ์ในคืนนี้เท่ากับสิ่งแปลกใหม่มาก เขาขำตัวเองอยู่เหมือนกันที่กระโจนเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น ถึงขนาดขับรถช่วยมาส่งหญิงสาวคนนั้นถึงปากซอยหน้าบ้าน แถมได้ท่าทางและวาจาแสดงความไม่เคารพเป็นของแถมอีก

ชลธีพ่นลมหายใจแรงๆ แสดงความหงุดหงิดต่อการพฤติกรรมของตนเอง จากนั้นเคลื่อนรถออกจากเงามืด พุ่งตรงไปยังบ้านทันที

“หวังว่าฉันคงไม่ต้องมาเจอกับเธออีกหรอกนะ ยายเด็กใจแตก”


////////////////////////////////



ภาม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2555, 15:16:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2555, 15:19:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1370





<< ๑ พานพบ   ๓ ดาวน้อยจะล่องลอยไปที่ไหน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account