น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: บทที่ ๐๐๖

06


อาณาบริเวณของบ้านนี้กว้างขวาง แต่ผู้นำชมบอกว่าอีกด้านเป็นเรือนบริวาร ซึ่งเช้าๆ อย่างนี้ส่วนนั้นจะวุ่นวาย ทั้งคนสวน คนรถ คนรับใช้ กำลังตระเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการงานในหน้าที่ สู้มาเดินเรื่อยๆ ชมนกชมไม้ด้วยกันตรงนี้ไม่ได้

ด้านทิศนี้ แดดเช้าทอแสงสดกระจ่าง ทาบทาใบไม้ใบหญ้าให้สว่างวาว น้ำค้างที่ค้างใบ ทั้งตามยอดไม้และยอดหญ้า ต่างพากันส่งประกายระยิบ คล้ายใครมาโรยเกล็ดเพชรไว้ดารดาษ ทุกพุ่มทุกกอ ทุกดอกทุกใบ ล้วนดูสดชื่นรื่นรับ กับยามทิวาวารอันเริ่มแผ่กระแสอุ่นอ่อนให้หายหนาว

แต่ใจของภาควัตกลับยิ่งหม่นมัว ไร้สาระสิ้นดีกับการเดินทอดน่องระน้ำค้าง ฆ่าเวลาในยามเช้าตรู่เช่นนี้ ด้วยว่ายังมีอีกหลายเรื่องมากนัก ที่ต้องใช้ความสงบเพื่อขบคิด

“ไปทางศาลาริมสวนกันนะคะคุณ ไปรับของเช้ากันตรงนั้นดีกว่า เรื่องธุระของเราน่ะไม่ต้องห่วง โสภาสั่งให้จัดหาไว้แล้ว”

คุณนายเจ้าของบ้าน แสดงอาการแจ่มใสกระตือรือร้นทั้งสีหน้าและท่าทาง คล้ายไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า ผู้มาเยือนในยามเช้าทั้งสองคน ดูท่าทางเหมือนถูกบังคับให้มาเยี่ยมหาเสียมากกว่า
“ไหนคุณแม่บอกจะรีบไปให้ทันพระท่านฉันเช้าไงครับ”

ชายหนุ่มไม่มีกะใจจะพูดกับผู้เป็นเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ

“ไม่ทันเช้าก็ยังทันเพลนี่คะ จริงไหม”

แต่คุณโสภาพรรณชิงตอบคำเสียเอง นึกกระหยิ่มในใจ ว่าเข้าถูกทางแล้ว สองคนแม่ลูกจึงได้มาถึงนี่ แม้จะโดยไม่เต็มใจก็ตาม

เรื่องไปหาฤกษ์หายาม ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นหรอก จุดหมายอยู่ที่การจัดการให้ได้พบกันของลูกสาวคนเล็กของตัว กับลูกชายของคุณแวววิไลในเช้าวันนี้ นี่สิ ที่สำคัญ

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ”

ที่ภาควัตกล้าพูด ก็เพราะได้คุยกันตั้งแต่ตอนนัดหมายแล้วว่า จะมารวมกันที่บ้านคุณโสภาพรรณ ก่อนจะใช้รถตู้ของบ้านนี้ไปทำบุญร่วมกัน

เมื่อมาส่งมารดาถึงที่ ก็ไม่น่าจะผิดกระไรนักที่เขาจะขอตัว

“แหม... ทานของเช้าด้วยกันก่อนนะคะ พอรู้ว่าคุณๆ จะมา หนูพิมพิ์เธอก็ลุกมาเตรียมอาหารตั้งแต่เช้า นี่ดิฉันไล่ขึ้นไปให้อาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่หรอกค่ะ ไม่งั้นจะไม่งาม สมกะที่ได้พบกันครั้งแรก”

คุณโสภาพรรณยังเจื้อยแจ้ว มั่นหมายหนักแน่นว่าจะต้องผูกสองหนุ่มสาวนี้ไว้ด้วยกันให้จงได้

“นะลูก อยู่ด้วยกันก่อน แม่ก็มีนัดมื้อเที่ยงที่สมาคม ยังไงก็เอารถของเราไปด้วย จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”

มารดาของภาควัตเพิ่งเริ่มพูดอะไรยาวๆ หลังจากที่ผ่านการถามคำตอบคำ กับคุณโสภาพรรณมาหลายประโยค

บุตรชายมองหน้ามารดา ใจก็นึกสงสารเหมือนกัน ที่จะต้องตกมาอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ ทั้งที่ทางฝ่ายตน ทุกคนต่างไม่เต็มใจ

“ทางเขาก็มีธุรกิจใหญ่โต ชวนกันไปทำบุญทำทานก็ไม่น่าเกลียดอะไร หรือเขาอยากจะจัดฉากให้ลูกชายเราได้เห็นหน้าลูกสาวเขาก็ช่างปะไร ไปซะหน่อยนะคุณแวว”

ลองว่าบิดาพูดจามาทำนองนั้น แสดงว่าต้องมีการติดต่อกัน ลัดข้ามไปถึงระหว่างสามีกับสามี ผู้ที่ต่างก็มีชื่อใหญ่โตอยู่ในแวดวงของตน และหากผู้มีชื่อทั้งสองได้นับเชื้อนับญาติร่วมกัน นั่นก็หมายได้ว่าความเจริญรุ่งเรืองแห่งทั้งสองตระกูล จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นทบทวี

สองแม่ลูกจึงต้องจำใจ ยอมมาตามการขอร้อง อันคลับคล้ายจะเป็นคำบัญชาของผู้เป็นใหญ่ในครอบครัว

คุณแวววิไลนั้นแค่ฝืนใจนิดๆ เพราะไม่ถนัดคบหากับคนประเภทคุณโสภาพรรณ แต่ใจหนึ่งก็อยากเห็นเหมือนกันว่า “หนูพิมพิ์” ที่คุยนักคุยหนานั้น จะสวยงามสูงส่งครบครันไปด้วยคุณสมบัติ ในสถานประมาณไหน

แต่ภาควัตสินึกโกรธ และก็ได้แต่โทษตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมามัวแต่รักสนุกจนไม่เหลือสิ่งไรการันตี ว่าวันหนึ่งตนเองจะเกิดรักดีขึ้นมาได้ ช่วงเวลาอันเป็นช่วงที่จะต้องสร้าง “เครดิต” ให้ตนเองอย่างในขณะนี้ เขาจึงต้องยอมให้บิดามารดาบงการไปตามอำเภอใจ

ตรงข้ามกับทางด้านคุณโสภาพรรณ เพราะเรื่องการเตรียมการให้สามีกับสามีได้ติดต่อพูดจากันนั้น เป็นธุระที่หล่อนจัดการไว้เสร็จสรรพ จนถึงการกดเลขหมาย และยื่นหูโทรศัพท์ให้สามีของตัวได้คุยกับบิดาของภาควัต ตนเองก็ยังยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ

“หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องของเขาหรอกค่ะ โสภาแค่อยากให้รู้จักกันไว้”

“ไม่กลัวว่าลูกสาวคุณ จะต้องมานั่งอกตรมขมใจเหมือนลูกอินทุ์หรือยังไง”

“โฮ้ย... ลูกสาวคุณน่ะหรือจะระทมขมขื่น ที่เค้าเสียใจอยู่อย่างเดียว คือ... คงจะได้แต่งกับคุณปริยัตินั่นช้าเกินไปหรอกค่ะ”

“ก็ถ้าฝ่ายนั้นเขารักลูกสาวเราจริงๆ ทำไมไม่ส่งคนมากำหนดกะการแต่งงานเสียเองล่ะ ทำไมต้องเป็นเราที่เร่ไปเร่งเขา”

“หรือคุณจะรอให้ยัยอินทุ์มันป่องกลางขึ้นมาก่อนล่ะคะ”

ประโยคสุดท้ายนี้เป็นเสียงโวย ที่ดังขึ้นจนนายอิศราจำต้องเป็นฝ่ายเลิกราการต่อปากต่อคำ

“ไม่รู้ละ ยังไงคุณก็โทร.ไปคุยกะคุณภากรเขาเสียหน่อย”

นั่นแล้ว จึงนำพาให้เกิดการพบปะกันตั้งแต่รุ่งเช้าวันนี้

แต่เมื่อพากันมานั่งจนถึงศาลานี้แล้ว สองคนแม่ลูกก็ยังไม่มีท่าจะพอใจพูดจาวิสาสะกันเท่าไร คุณแวววิไลนั้นตอบถามด้วยถ้อยคำตามมรรยาท ขณะที่ชายหนุ่มคนที่หมายมั่นกลับผันตัวเองเข้าพิงกับเสาหนึ่ง แล้วหลับตานิ่ง ราวไม่ต้องการจะรับรู้รับเห็นอะไรในโลกนี้อีกแล้ว

คุณโสภาพรรณจึงนั่งไม่ติดที่ เพราะยังไม่เห็นวี่แววของบุตรสาว ที่หล่อนขอร้องแกมบังคับให้ต้องอยู่บ้านในเช้าวันนี้ ก็บอกไปตรงๆ นั่นละว่า จะมีพิธีดูตัวอย่างไม่เป็นทางการ

“ทำไมช้านักก็ไม่รู้ คือหนูพิมพิ์แกไม่ค่อยชินน่ะค่ะ โสภาต้องขอตัวสักครู่ คงต้องไปเร่งสักหน่อย จะได้ไม่เสียเวลาคุณภาควัตเธอด้วย”

“ตามสบายเถอะค่ะ ไหนๆ ก็ไปไม่ทันฉันเช้าอยู่แล้ว”

คุณแวววิไลอดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกไปเช่นนั้น และรอจนกระทั่งเจ้าของบ้านลับสายตาไป จึงหันมาลงเอากับบุตรชายของตนเอง ด้วยการเผียะให้เบาๆ ที่ต้นขา

“นี่แน่ะ... แม่ละหมั่นไส้นัก ไม่อยากจะมา ทำไมไม่ปฏิเสธคุณพ่อไปล่ะ แม่จะได้ไม่ต้องมานั่งปั้นหน้าไม่ถูกอยู่อย่างนี้”

ทว่าบุตรชายไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เหมือนกับเขาจะรอรับแรงรำคาญของมารดาอยู่ก่อนแล้ว ภาควัตแค่ค่อยๆ ลืมตา ยกคิ้วให้มารดานิดหนึ่ง ก่อนจะพูดจาให้ประเพณีมันกลับตาลปัตรเสียเล่นๆ

“ถ้าถูกอกถูกใจ คุณแม่ก็เรียกสินสอดทองหมั้นให้มันครบเซตไปเลยนะครับ ทั้งแก้วแหวนเงินทอง ให้คุ้มค่ากับที่เลี้ยงดูส่งเสียผมมาอย่างลำบากยากเย็น อ้อ... หรือจะบวกค่าส่งให้เสีย ค่าสำมะเลเทเมา ไม่เอาอ่าวไม่เอาทะเลของผมไปด้วยก็ได้”

จบคำมารดาก็ค้อนให้อีกหลายขวับ มือที่เงื้อจะแถมให้อีกเผียะ เปลี่ยนเป็นกดนิ้วลงบิดเนื้อ ตรงกล้ามแขนกำยำนั่นละ ทั้งน่ามันเขี้ยวและหมั่นไส้

“จะมาพูดถูลู่ถูกังอะไรก็ไม่รู้ เผื่อเขาทำอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆ ตัวเองนั่นละที่จะเดือดร้อน”

คนพูด พูดไปนึกขันในความคิดของบุตรชาย ก็คุณโสภาพรรณแสดงออกเสียขนาดนั้น ทำไมจะให้ภาควัตคิดพิเรนทร์เช่นนี้ไมได้

“คนที่มองเห็นแต่ประโยชน์ของตัวเองอย่างนั้นน่ะรึครับ ผมว่ายาก...”

“ยังไงเขาก็มาตรงตรอกตรงประตู ถ้าภาคเอาแต่ใจตัวเองมากนัก ผู้ใหญ่เขาจะผิดใจกันเปล่าๆ”

“แต่ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องนี้นะครับ”

“แล้วนึกยังไงถึงอาสาขับรถไปให้แม่ล่ะ เมื่อวานนี้น่ะ”

เมื่อคุณแวววิไลพูดเสียดังนั้นแล้ว ภาควัตก็จนใจ เขาค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง หวังจะใช้ความมืดใต้เปลือกตาเป็นมุมสงบ ขณะที่ยังได้ยินเสียงมารดาพูดเรื่อยๆ

“ถ้าไม่อยากเกี่ยวดองหนองยุ่งกับบ้านนี้ ภาคจะหาผู้หญิงดีๆ สักคนมาแต่งกันไป แม่ก็ไม่ว่า ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องมาทนรำคาญบรรดาพวกแม่ๆ ทั้งหลาย... ภาค... ภาคฟังแม่อยู่หรือเปล่า”

พอเห็นบุตรชายพยักหน้าหงึกๆ ทั้งที่ยังนั่งขัดสมาธิกอดอกและหลับตานิ่งอยู่ มารดาเลยเขกหนักๆ ที่หัวเขาให้อีกทีหนึ่ง

แล้วก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นเขย่าเบาๆ เมื่อเห็นว่าคุณโสภาพรรณเดินทำหน้าบอกบุญไม่รับ ลิ่วๆ ตรงรี่เข้ามา




ลลิตาขับรถแบบที่เรียกได้ว่า ปาดซ้ายป่ายขวา กระชากคันเร่ง กระแทกคันเบรก สลับกันไปมาตามแต่ที่จังหวะหัวใจจะพัดเหวี่ยง โดยไม่มีท่าทางจะเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือตำรวจจราจรคนใดบนเส้นทางนี้ทั้งสิ้น

“เบาๆ หน่อยก็ได้น่าหลิว เดี๋ยวก็ตายกันพอดี”

“กลัวด้วยหรือคะ ความตาย...”

คนขับหันกลับมาจ้องหน้าคนนั่งข้างอย่างเต็มตา จนพันธกานต์ต้องรีบชี้ไม้ชี้มือให้หันมองกลับไปข้างหน้า

“ผมจะขับเองก็ไม่ยอม”

“ก็ยื่นกุญแจให้แล้ว อยากจะคืนมาให้ทำไมล่ะคะ”

“ก็หลิวขอไปเอง”

เขาตอบไปโดยที่ยังเดาอารมณ์หญิงสาวไม่ถูก

“ทีหยั่งงี้ละยอมให้ง่ายๆ”

“รถของหลิว ถ้าอยากขับ จะบังคับได้ยังไง”

พันธกานต์ก็ยังตามเจตนาของลลิตาไม่ทันอยู่ดี

“แล้วทีทำไมเรื่องอื่น หลิวขอมาไม่รู้กี่ครั้ง พี่พันธ์ยังไม่เห็นกระดิกกระเดี้ยอะไรสักอย่าง”

“เรื่องไหน”

“ก็... ก็เรื่องของเราไงคะ พี่พันธ์จะมาปล่อยให้คาราคาซังอย่างนี้ไม่ได้ หลิวไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก พ่อแม่ก็มี เพื่อนฝูงก็มากมาย”

คนพูดน้ำตาพราว ต้องยกหลังมือขึ้นปาดไปมา จนคนนั่งข้างหวาดหวั่นจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ

“จอดรถก่อนไหมหลิว ไหน... เรามาพูดจากันให้รู้เรื่องก่อนดีกว่า ขืนห้อตะบึงไปอย่างนี้ อย่าว่าแต่จะได้แต่งงานกันเลย...”

ไม่ทันจบคำ ลลิตาก็กระแทกห้ามล้อทีเดียวมิด ทั้งที่กำลังเหยียบคันเร่งในความเร็วกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง จนทั้งสี่ล้อต้องร้องประท้วงลั่นถนน เป็นเสียงดังยาวนานอย่างน่ากลัว

เฉียดรถตู้คันข้างหน้าไปนิดเดียว ตอนที่หักเบียดเข้าช่องทางซ้าย แล้วโชคก็ยังช่วยให้รถคันเล็กของลลิตาสะดุดหยุดลงได้ ก่อนทั้งคันจะเสียบเข้าไปใต้รถพ่วงที่จอดเสียอยู่ แบบไม่มีเครื่องหมายสัญญาณใดๆ ให้คนร่วมใช้ถนนได้คอยระมัดระวัง

พันธกานต์ยังใจหายใจคว่ำ ขณะที่ลลิตาซบหน้าอยู่กับพวงมาลัยรถ เขารีบเปิดประตู แล้ววิ่งอ้อมมาอีกด้าน

“เมาหรือเปล่าเนี่ยเรา”

เพราะไม่รู้จะคะเนอาการของหญิงสาวที่เป็นอยู่ดังนี้ได้อย่างไร จึงต้องเอ่ยออกไปอย่างนั้น

“จะเมาหรือไม่เมา ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่พันธ์ ไม่เคยมาสนใจไยดีกันอยู่แล้วนี่ จะมาถามทำไม”

“เมื่อคืนผมก็ว่าเราพูดจากันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”

“พี่รู้เรื่องอยู่คนเดียวน่ะสิ ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้”

“ผมไม่เคยเปลี่ยนใจนะหลิว”

“แต่ใจของพี่ มันก็ไม่เคยก้าวให้คืบหน้าไปกว่าที่เป็นอยู่นี่เลย”

พอเห็นจะพูดจากันไม่รู้เรื่องแน่แล้ว พันธกานต์จึงต้องขืนใจดึงตัวของลลิตาให้พ้นออกมาจากที่นั่งคนขับ เธอสะบัดขัดขืน แต่มีหรือจะต้านทานเรี่ยวแรงอันแข็งแกร่งหากเขาคิดจะเอาจริงขึ้นมา

“นั่งนิ่งๆ นะ อย่าดื้อ”

หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็กำชับ ก่อนจะรีบวิ่งกลับมาทำหน้าที่สารถี แล้วเลื่อนรถให้เคลื่อนออกจากที่ตรงนี้ไปอย่างรวดเร็ว

พันธกานต์ตัดสินใจขับมาที่คอนโดฯของตนเอง มันอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ที่ทำงานและสะดวกดายในอีกหลายเรื่องหลายราว ปกติจะใช้สำหรับพักผ่อนหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เวลาที่มีการงานหรือการประชุมยืดเยื้อยาวนาน

ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองหนุ่มสาวพากันมาที่นี่ ผู้รักษาความปลอดภัยและพนักงานส่วนหน้าจึงยิ้มแย้มต้อนรับ ทั้งกับหญิงสาวผู้เดินนำหน้า ที่มีท่าเหมือนกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ และกับชายหนุ่มเจ้าของห้องชุดชั้นเพนเฮ้าส์ที่เดินตามมาไม่ห่าง

และจริงๆ แล้ว เขาก็ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้ามาเลย นอกจากคนนี้

การที่ลลิตายอมมาถึงห้องชุดของพันธกานต์ ก็เพราะหล่อนกำลังมึนชาไปหมดทั้งหัวสมอง ไม่รู้จะเรียงลำดับในชีวิตให้อะไรเป็นก่อนเป็นหลัง ที่รีบไปหาเพื่อนแต่เช้านั่นก็เพราะอยากจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง แต่ก็ดันไปเจอเหตุการณ์ไม่ขาดฝันเข้าจนได้

ที่จริงหล่อนจะไม่เร่งรัดอะไรกับพันธกานต์เลย หากไม่เริ่มเอะใจ คิดว่าที่แท้แล้ว ภาควัตไม่ได้จะจริงจังอะไรกับตน

แล้วดูเถอะ... มาเห็นกันตำตาขนาดนั้น จะไม่ให้หล่อนยิ่งหวั่นวิตกได้อย่างไร

เมื่อคืนหลังจากหลบภาควัตมาได้ พันธกานต์ก็โทรมาบอกว่ารออยู่ที่บ้าน หล่อนจึงต้องรีบกลับมาให้เขาทำท่าหึงหวงเข้าใส่

พันธกานต์โวยวายเรื่องที่เขาต่อสายเข้ามาที่เบอร์บ้าน แล้วลลิตาก็พูดจาไม่รู้เรื่อง บอกว่าจะโทร.กลับก็ไม่โทร. จนพอเขามาถึงบ้าน เธอก็ไม่อยู่เสียแล้ว

ดีที่มีกุญแจ จึงไขเข้าไปนั่งรอในบ้าน เห็นชุดที่ยังแผ่อยู่บนเตียงนอนก็ยิ่งฉุนเฉียว จนต้องโทร.เร่งให้หล่อนกลับเข้าบ้าน

“ไปกินข้าวทำไมต้องแต่งเต็มยศขนาดนี้ด้วยล่ะ”

เขาพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า ลลิตาอยู่ในชุดเกาะอกลายขนสัตว์ ที่มีกระโปรงสั้นเป็นผ้าผิวมัน รัดรึงให้สะโพกที่ผึ่งผาย ยิ่งดูตึงเต็ม

“จะได้ถอดยากๆ ไงคะ”

ตอนนั้นหล่อนยังมีแก่จะใจยั่ว แล้วก็ยั่วขึ้นเสียด้วย เพราะคนถูกยั่วโผนเข้ามาปล้ำกับชุดที่ถูกท้าทายว่าถอดยากนั้นได้อย่างทันใจ

พันธกานต์ไม่ได้ถอด แต่เป็นการถลกให้เกาะอกนั้นร่นลงและกระโปรงสั้นนั้นร่นขึ้น มากองรวมกันอยู่ที่เอว ชั้นในชิ้นจิ๋วถูกกระชากฉีกขาด จนเจ้าของร่างต้องเจ็บร้าวไปตามรอยเส้นสายที่ถูกทึ้งดึง

“แอบไปเที่ยวนัดบอดอีกน่ะซี่ บอกแล้วใช่ไหม ให้ถนอมเนื้อหนังนี่ไว้ให้ผมคนเดียว”

พอส่วนที่จำเป็นได้เปล่าเปลือยสมใจ เขาก็ผลักไสให้หล่อนแผ่หงายลงไปบนเตียง ถลาตามลงมาทาบทบ เร่งรนปลดเข็มขัดปลดดุมกางเกงของตน แล้วก็เริ่มปฏิบัติการ โดยใช้เสียงหายใจกระชั้นรุนแรงนั้น เป็นเครื่องกำกับจังหวะจะโคน

เตียงใหญ่ที่ประกอบขึ้นจากเสาเหล็กบิดเกลียวและสายเหล็กดัดลาย ไหวโยนกึงกัง ทั้งผ้าห่มผืนหนาหนัก ทั้งหมอนหนุนหมอนข้าง ถูกกวาดกระจายลงตามพื้น อากาศเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ กลับรุ่มร้อนเพราะแรงเร่งของสองร่าง

อีกเป็นครู่ใหญ่ กว่าทั้งสองคนจะรู้สึกรู้สม และอีกหลายอึดใจต่อมา กว่าที่อากาศเย็นฉ่ำชื่น จะได้ทำหน้าที่ผ่อนคลายความเร่าร้อน ให้กับทั้งคู่ที่นอนก่ายอยู่ในร่างของกันและกัน

“พี่พันธ์ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอหลิวได้แล้วนะคะ เราจะมาเป็นอยู่กันอย่างนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”

เมื่อคืน หลังจากเสร็จสมบรมสุข ลลิตายังจำได้ทุกถ้อยคำว่าพูดอะไรไปบ้าง

“รออีกนิดได้ไหม เราอยู่กันไปอย่างนี้ก็สะดวกสบายกันดีอยู่ไม่ใช่หรือ”

คำพูดของคนที่ยังก่ายเกยไม่ได้มีวี่แววของความเห็นแก่ตัวให้จับได้หรอก เพียงแต่หล่อนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไป

“มีคนมาจีบหลิวด้วยนะคะ ถ้าพี่พันธ์ไม่รีบ บางทีหลิวอาจจะเปลี่ยนใจ”

“ใครที่ไหนจะมากล้าจีบสาวร้อยแรงม้าของผม”

ระหว่างที่พูด พันธกานต์ยังตะปบเอาที่เนินเนื้อ สัพยอกเรี่ยวแรงลีลาของคู่ร่วมนอน ว่ามากมายมหาศาลจนยากนักที่ใครอื่นจะกล้าหาญฟันฝ่า

“นอกจากผมแล้วใครจะให้หลิวได้เท่านี้”

“ก็ถึงอยากจะให้มันเป็นเรื่องเป็นราวไงคะ ถ้าเราได้พบได้เจอ ถูกอกถูกใจพอดิบพอดีกันขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่ทำอะไรให้มันแน่ชัดลงไป”

“ผมยังไม่พร้อม...”

“ทำไมคะ หรือว่าตรอมใจที่น้องสาวสุดที่รักจะแต่งงาน”

พันธกานต์แทบจะผุดลุกขึ้นทันที เขาผละจากลลิตาทันที เอื้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาปกปิดให้หล่อน แล้วดึงกางเกงที่ยังคาอยู่ที่ข้อขาของตน ขึ้นมาจัดแจงให้เข้าที่เข้าทาง

“ไม่เกี่ยวอะไรกับน้องอินทุ์เลยสักนิด”

“ไม่จริงหรอกค่ะ ทำไมหลิวจะดูไม่ออก แววตาของพี่นั่นละค่ะ ที่มันบ่งบอก ว่าหลงรักน้องสาวนอกไส้คนนั้นขนาดไหน”

ลลิตาขยับตัวขึ้นมาบ้าง ใช้ผ้าห่มนวมนั้นหุ้มร่าง ลุกเลยไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์เย็นเฉียบมาสองกระป๋อง ยื่นให้เขากระป๋องหนึ่ง ก่อนที่จะลงนอนเคียงอีกครั้ง คราวนี้แนบชิด เป็นเชิงคลอเคลียให้อารมณ์ของชายหนุ่มที่เริ่มขุ่นเคือง ได้ผ่อนคลายลง

“จะบอกว่าหลิวรู้ทันงั้นซิ เลยรีบรวบรัดเอาไว้ก่อน”

“ก็ดีกับเพื่อนไม่ใช่หรือคะ เกิดปะเหมาะเคราะห์ร้าย พี่พันธ์หน้ามืดไปปล้ำน้องสาวคนละพ่อคนละแม่ขึ้นมา แล้วจะเอาเรื่องเอาราวกับใครได้”

“แล้วถ้าผมบอกว่ารัก”

“ไม่ต้องบอกหรอกค่ะ เรื่องนั้นน่ะมันรู้ๆ กันอยู่ แต่คนอ้อยสร้อยเป็นอ้อยเชื่อมน้ำตาลอย่างนั้น จะรับคนอย่างพี่พันธ์ไหวหรือคะ นี่ไม่นับเรื่องความไม่เหมาะไม่ควรของคนกันเองในครอบครัวนะคะ”

“ผมถึงไม่ได้อะไรกับน้องอินทุ์เขาไงล่ะ”

“แล้วก็มาลงเอากับหลิว”

“ก็เราต่างคนต่างก็... ถูกใจไม่ใช่หรือ”

จบคำถาม พันธกานต์ก็จิบเบียร์ไปอึกใหญ่ ลลิตากระดกตาม แล้วต่างคนก็ต่างนิ่งกันไปอีกเป็นครู่

“นานแล้วนะคะ หลิวว่าระหว่างเรามันน่าจะมีอะไรคืบหน้าไปกว่านี้ได้บ้างแล้ว”

“ไหนว่ามีคนมาจีบ”

“ไม่หึงไม่หวงแล้วหรือคะ”

“ไม่หวงไม่ห่วงแล้วจะมานั่งรอนอนรอทำไมล่ะ”

“ผู้ชายก็อย่างนี้ทุกคน ตอนยังไม่ได้ก็พร่ำเพ้อพรรณนา พอได้เขาแล้วก็เงียบงึมอมพะนำ ทีเรื่องอื่นละไม่มีจดๆ จ้องๆ แต่พอพูดถึงเรื่องการลงเอยเป็นคู่ผัวตัวเมียละก้อ ร้อยทั้งร้อยเป็นต้องผัดวันประกันพรุ่ง”

ลลิตายังว่าไปเรื่อย หลังจากเลื่อนแก้มมาคลอเคล้ากับไรขนบนแผงอกของคนที่นอนข้าง ระหว่างยกเบียร์ขึ้นจิบ ยังแกล้งทำหกหยดย้อย ให้ตนเองได้ไล้ชิมไปตามแผงเนื้อแกร่งแน่น

“ผมหวังดีกับหลิว เผื่อไปเจอคนที่ถูกใจกว่าขึ้นมาจะทำยังไง ถ้าเร่งรัดผูกมัดเอาไว้ แล้วคนรักอิสระอย่างหลิวไม่อึดอัด อัดอั้นหรอกหรือ”

“ห่วงหลิวหรือห่วงตัวเองมากกว่าล่ะค่ะ”

เมื่อคืน บทสนทนาก็ยังวนเวียนไปมาอยู่แค่เรื่องนั้น ซึ่งจนแล้วจนรอดพันธกานต์ก็ดิ้นหลุดได้จากทุกข้อผูกมัด ทั้งทางใจและทางกาย ตั้งแต่เริ่มระลอกสองจนจบกระบวนสุดท้าย จนถึงก่อนจะผละจากกันตอนค่อนดึก

ขณะนี้ลลิตายังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ไม่สนน้ำผลไม้ที่เจ้าของห้องนำมาเสิร์ฟเอาใจ กระทั่งเขานั่งลงข้างๆ แล้วมือไม้เริ่มปะป่ายไล่ละ ไปตามเนื้อผ้าพลิ้วบาง ตั้งแต่นวลไหล่ไล่ลงมา

“ขอกุญแจบ้านหลิวคืนมาก่อนได้ไหมคะ แล้วก็นี่ค่ะ กุญแจห้องพี่พันธ์”




“คุณแม่ด่าเปิง จนพิมพิ์เผ่นออกมาแทบไม่ทันแน่ะค่ะ”

พิมพิกายังสนุกปาก ตอนเล่าเหตุการณ์ก่อนที่จะได้มาพบกับปริยัติในวันนี้

“ก็อยากจะไปยั่วท่านทำไมล่ะ”

“ไม่ได้ยั่วนะคะ แค่บอกไปตรงๆ ว่าจะออกมาหาผัวให้ตัวเอง”

“นั่นละที่เค้าว่ากวนประสาท”

“ก็แล้วมันธุระกงการอะไรล่ะคะ ถึงจะได้มาจัดการนัดผู้ชายคนนั้นคนนี้ให้มาดูตัวกันได้ง่ายๆ ไม่ได้เคยบอกกล่าวกันก่อนเลยด้วยซ้ำ”

ตอนมาเจอะกันนั้น พิมพิกาถลาเข้ากอด แล้วแลกจูบอย่างหวังจะให้ดูดดื่ม แต่ปริยัติดันตัวเธอออก เสียก่อนที่แม่บ้านจะตกอกตกใจไปมากกว่านั้น

ชายหนุ่มใช้ชั้นบนของสำนักงานแห่งนี้ เป็นรังรักของเขากับหล่อนมาตั้งแต่แรก ด้วยว่าหากพากันไปที่อื่นก็ออกจะเอิกเกริกเกินไป สู้มาที่นี่ไม่ได้ เพราะมีทางเข้าเฉพาะเป็นสัดส่วน แบ่งแยกไม่ยุ่งเกี่ยวกับออฟฟิศด้านหน้า แถมโรงจอดรถยังเป็นแบบมิดชิดอัตโนมัติ เมื่อแล่นรถเข้ามาจอดแล้วก็แน่ใจได้ว่า จะไม่มีใครมาสอดรู้สอดเห็นได้เป็นอันขาด

แต่ถึงแม่บ้านที่ทำงานแบบไปกลับ จะเห็นอาการดูดดื่มลืมโลกของพิมพิกาจนเจนตา ก็คงยังไม่ชินอยู่ดี หลังจากที่หล่อนมาได้ไม่ถึงห้านาที นางจึงขอตัวกลับก่อน โดยปริยัติยื่นธนบัตรฉบับละพันให้ใบหนึ่ง บอกว่าให้พาลูกสาวลูกชายไปเที่ยวซื้อหาของเล่นที่พึงใจ

“แหม ไปซุกซนที่ไหนมาหรือเปล่าคะเนี่ย ทีเช้าเมื่อวานละก็...”

พิมพิกายังกระเซ้า ด้วยตนเองไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด เกี่ยวกับเรื่องที่มารดาเอ็ดตะโรไล่หลังมา เมื่อเห็นว่าตนขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วทำท่าว่าจะออกมาจากบ้าน

“เมื่อคืนมีเลี้ยงรับรองลูกค้า กว่าจะล่ำลากันจบสิ้น ก็ร่วมตีสาม”

แต่ปริยัติซีเรียสจริงจัง จนหล่อนต้องแปลกใจ

“ทำไมต้องทำเสียงเครียดอย่างนั้นด้วยล่ะคะปอนด์ พิมพิ์แค่ล้อเล่นหรอกค่ะ”

“ผมเพลีย คุณก็มาล้อเล่นไม่เป็นเวลา”

“พิมพิ์ขอโทษ หรือจะให้ทำอะไรไถ่โทษก็ยอมทั้งนั้น...”

คำท้าย หล่อนสื่อประกายไหวหวามจากนัยน์ตา สบส่งให้ชายหนุ่มรับทราบถึงเจตนาในการเร่งรีบมาหาในเช้าวันนี้ อย่างเปิดเผยที่สุด

แต่ปริยัติกลับผละออกไป รินกาแฟใส่ถ้วย แล้วเลยไปนั่งรับลมอยู่ตรงระเบียง

เช้าวันหยุดอย่างนี้ ในซอกซอยแถวนี้ แม้จะอยู่ใจกลางเมือง แต่ยวดยานก็ไม่จอแจพลุกพล่าน ส่วนร่มไม้ใหญ่ใบหนา ก็ช่วยกันสายตาจากอาคารข้างเคียงได้เป็นอย่างดี จนเรียกได้ว่าระเบียงตรงนี้ เป็นที่ส่วนตัวอันเหมาะเจาะ สำหรับจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ

พิมพิกายังตามมาสมทบ หล่อนนั่งเบียดลงบนเท้าแขน ของม้านั่งบุนวม ที่ใหญ่เฉพาะพอให้สองคนนั่งซ้อนตักกันได้เพียงแค่นั้น

“นั่งดีๆ เถอะพิมพิ์ ผมยังไม่ตื่นดีหรอก อย่าเพิ่งเล่นเลยน่า”

ปริยัติพูดออกมา เพราะหญิงสาวเริ่มเบียดสะโพกกับต้นแขนของตน

จนหล่อนต้องเลื่อนตัวไปนั่งบนเก้าอี้ตัวข้าง แล้วค้อนให้เขานิดหนึ่ง แบบพอเป็นพิธี ก่อนจะจีบปากคอฉอเลาะเจรจาต่อไป

“อย่าเล่นตัวให้มากนะคะ คุณแม่คุยนักหนา ว่านายนั่นทั้งหล่อทั้งรวย”

“แล้วยังไงล่ะ แค่หล่อแค่รวย แค่นั้นมันจะพอสำหรับคุณหรือ”

“ก็นั่นละค่ะ ถึงรีบเผ่นออกมา ไม่งั้นคุณแม่จะโมเมว่าพิมพิ์ ต้องถูกอกถูกใจเขาแน่ๆ คุณเคยได้ยินชื่อหรือเปล่าล่ะคะ ภาควัต...”

คำหลัง พิมพิกาเอ่ยถึงชื่อสกุลดัง ที่สืบสายกันมาทั้งทางราชการและการเมืองระดับสูง โดยปริยัติก็พยักให้กับคำถาม เป็นเชิงว่ารู้จักอยู่พอสมควร

“ข่าวว่าเขาไม่ค่อยจะอะไรนักนี่ ตะลอนเป็นเพลย์บอยไปวันๆ แต่ก็เงียบหายไปเป็นปีๆ แล้วละมั้ง”

“ถึงว่าสิ พิมพิ์ถึงไม่ค่อยคุ้น แล้วปอนด์รู้จักหน้าค่าตาหรือเปล่า เป็นไงบ้างคะ หล่อสู้ผู้ชายคนนี้ของพิมพิ์ได้หรือเปล่า”

พร้อมกับพูด หล่อนก็ส่งหลังมือมาไล้ไรเคราเขียวจางของชายหนุ่ม

“ไม่รู้สิ แค่เคยได้ยินข่าว แต่ไม่ได้สนใจ หรือพิมพิ์อยากให้ผมหันไปสนใจข่าวคราวของผู้ชายรูปหล่อพ่อรวยสักคนกันล่ะ”

“ก็ลองดูสิคะ พิมพิ์จะได้ตามไปฉีกอกไอ้ผู้ชายคนนั้นให้ดู”

“จะตามไปให้เขาฉีกอย่างอื่นของตัวเองสิไม่ว่า”

พูดจบ คนพูดก็เอื้อมมือมาเหมือนจะทำท่าอย่างที่ว่านั้นจริงๆ

“พอเถอะค่ะ พูดถึงเรื่องอย่างนี้แล้วหมดอารมณ์ ช่วยกรุณาเหลือผู้ชายหล่อๆ รูปร่างดีๆ ไว้ทำพันธุ์บ้างเถอะ ไม่ใช่อะไรๆ ก็ไปดูดดมผสมรักกันอยู่แต่ในหมู่ไม้ป่าเดียวกัน”

“แล้วคุณคิดว่าผมจะเป็นไหมล่ะ”

“ผู้ชายอย่างปอนด์เนี่ยนะคะ จะแปลงกายเป็นเก้งเป็นกวางอย่างที่เขาว่ากันได้ ไม่มีทาง คนอย่างคุณขาดผู้หญิงได้ซะที่ไหน”

“น่า....น น่ะสิ จนไม่มีผู้หญิงคนไหนเขาหลงมาเป็นเหยื่ออีกแล้ว”

ต้นคำ ปริยัติลากเสียงยาว แต่พอพูดถึงคำท้าย พิมพิกากลับค้อนขวับ แล้วก็สะบัดหน้าหนีไม่หันกลับ

“โถๆ คนดี ผมมีคุณอยู่แล้วทั้งคน จะไปรอให้ใครหลงเข้ามาได้อีกล่ะจ๊ะ”

เขารีบปลอบ พร้อมออกแรงเหนี่ยวรั้ง ให้หญิงสาวเลื่อนมานั่งหนุนอยู่บนหน้าตัก หล่อนขืนตัวอยู่แค่นิดเดียว แล้วก็ตามใจเขาโดยง่าย ทั้งที่ยังไม่วายออกปาก

“แล้วแบบที่รออยู่จริงๆ จังๆ ล่ะค่ะ คู่หมั้นคู่หมายของปอนด์นั่นล่ะ”

พิมพิกาอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยถึงอินทุอร ศัตรูหัวใจตัวฉกาจ ซึ่งอันที่จริง ตัวเองนั่นละ ที่คิดจะแย่งเขา มาจากสิทธิอันชอบธรรมของพี่สาวร่วมบิดาเดียวกัน

“เขาเก่งกาจได้สักครึ่งหนึ่งของพิมพิ์ไหมล่ะ”

กาแฟหมดแก้วไปพักหนึ่งแล้ว บวกกับการมีหญิงสาวนั่งเบียดบดอยู่บนตัก ปริยัติจึงรู้สึกทั้งตื่นตัวและตื่นตา เขาใช้สองแขนโอบกระหวัดไว้รอบเอวเล็กๆ ของหล่อน ขณะที่จมูกก็ซอนสูดกลิ่นหอมจรุงกลางแผ่นหลัง

แล้วอยู่ๆ พิมพิการก็ต้องผุดลุกเพราะเสียงเรียกเข้า จากโทรศัพท์มือถือของเจ้าของห้อง

ปริยัติรู้สึกราวกับสวรรค์ล่มลงต่อหน้า เขารีบไขว่คว้าให้หญิงสาวกลับมานั่งให้ตรงที่ แต่เสียงนั่นยังดังอยู่ไม่รู้แล้ว

“ไม่รับเสียหน่อยหรือคะ อาจมีธุระสำคัญอะไรก็ได้ ถึงได้โทร.มาตอนนี้”

“ธุระอะไรจะสำคัญเท่าธุระนี้อีกล่ะพิมพิ์”




********************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 22:29:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 22:29:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1687





<< บทที่ ๐๕   บทที่ ๐๐๗ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account