หัวใจซ่อนรัก *สนพ.บีไมน์ตีพิมพ์*
การแต่งงานที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น โดยที่ฝ่ายหนึ่งไม่เต็มใจ แต่อีกฝ่าย (แอบ) เต็มใจอยู่เงียบๆ จะเป็นอย่างไม่เมื่อฝ่ายเต็มใจไม่อยากจะจบชีวิตคู่นี้ลง และฝ่ายที่ไม่เต็มใจเองก็เริ่มสับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่เริ่มจะพอใจกับชีวิตคู่นี้เข้าแล้ว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: อัศวินของหัวใจ
ตอนที่ 2 อัศวินของหัวใจ
โครม! เพล้ง!
เสียงเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นในบ้านล้มระเนระนาดแตกกระจายไปทั่วพื้น ทำให้พีรยาที่เพิ่งเลิกงานมาไม่ทันได้พักเหนื่อย ถึงกับถอยกรูดไปยืนตัวสั่นชิดกับผนังบ้านอย่างตกใจ
“ฉันถามว่านังมดมันอยู่ไหน!”
พวกมันถามเสียงเหี้ยม
“ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่รู้ ไม่กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว”
พีรยาตอบเสียงสั่น สายตามองไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาโหดเหี้ยมสี่ห้าคนอย่างหวาดๆ
“งั้นก็แสดงว่ามันหนีไปแล้วนะสิ เฮ๊ย! พวกมึงเอาตัวนังผู้หญิงคนนี้ไปขึ้นรถ”
สิ้นเสียงสั่งชายฉกรรจ์สองคนก็เข้ามาฉุดกระชากลากถูร่างเล็กของพีรยาให้ตามออกไปนอกบ้าน แม้เธอพยายามดิ้นและขัดขืนเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล แรงเท่ามดอย่างเธอจะสู้แรงช้างถึงสองคนได้
“กรี๊ดดดดดด! ปล่อยนะพวกแกจะเอาตัวฉันไปไหน! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที!”
พีรยากรีดร้องพร้อมกับตะโกนขอความช่วยเหลือดังไปทั่ว แต่ก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าเข้ามาช่วย เพราะเพียงแค่โผล่หน้าเข้ามาเยี่ยมๆ มองๆ พวกมันก็ข่มขู่ด้วยปืนและคำพูดใหญ่โตจนคนฟังหัวหดตัวลีบกลับไป ถ้าใครใจกล้าหน่อยก็ทำได้แค่เดินเลียบๆ เคียงๆ ดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เท่านั้น และในขณะที่พีรยาทั้งร้องทั้งดิ้นอย่างสุดชีวิตอยู่นั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็ตะโกนมาแต่ไกล
“เฮ๊ย! พวกมึงทำอะไรน่ะ จะเอาพี่กูไปไหน ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ย”
“เต้! เต้ช่วยพี่ด้วย อยู่ๆ พวกนี้ก็เข้ามาทำลายข้าวของในบ้านแล้วจะจับตัวพี่ไป”
ทันที่เห็นหน้าน้องชายต่างสายเลือดอย่างกาจพล พีรยาถึงกับยิ้มออกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
“กูบอกให้พวกมึงปล่อยพี่สาวกู พวกมึงหูแตกกันหรอไงห๊า!”
กาจพลที่แทบจะกระโจนลงจากรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อเห็นพี่สาวกำลังถูกฉุดกระชากลากถูลงจากบ้าน โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ระหว่างที่ตนนั้นกำลังจะไปส่งผู้โดยสารอย่างขัตติยะ ที่ตอนนี้กำลังรั้งเขาไว้ไม่ให้กระโจนเข้าใส่กลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้า
“ใจเย็นๆ เต้ ดูท่าทางพวกนี้มันจะไม่ธรรมดา”
“เย็นได้ไง พี่เก่งดูพวกมันทำกับพี่ต้นข้าวสิ”
“เอาน่า มาเดี๋ยวฉันคุยกับพวกมันเอง”
ว่าแล้วขัตติยะก็เดินเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ยักษ์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม แล้วถามติดตลกเล่นๆ มากกว่าจริงจัง
“ผู้หญิงคนนี้ไปด่าว่าหรือทำอะไรเจ็บๆ แสบๆ กับพวกนายไว้ล่ะสิ ออกมาอีหรอบนี้คงจะเจอหนักเลยล่ะสิท่าถึงต้องตามมาแก้แค้นกันถึงที่บ้าน เอาเป็นว่าถ้าผู้หญิงคนนี้ทำอย่างที่ว่ามาจริงๆ ฉันก็ขอโทษแทนเธอด้วยก็แล้วกันนะ เพราะเธอก็เป็นผู้หญิงปากร้ายปากเสียอย่างนี้ประจำแหละ”
“นายเก่ง! นี่นายจะช่วยฉันหรือว่ามาหลอกด่าฉันกันแน่ห๊า”
พีรยาถึงกับควันออกหู หน้าสิ่วหน้าขวนอย่างนี้ชายหนุ่มยังมีแก่ใจมาพูดกัดจิกเธออีก
“กูไม่สนหรอกว่าผู้หญิงคนนี้จะปากร้ายปากจัดแค่ไหน ตราบใดที่นังมดมันไม่เอาเงินที่กู้ไปจากบ่อนมาคืนล่ะก็ นังผู้หญิงคนนี้ที่เป็นตัวค้ำประกันจะต้องไปเป็นผู้หญิงขัดดอกของเจ้านายกูจนกว่าจะได้เงินคืนทุกบาททุกสตางค์”
“ผู้หญิงขัดดอก! ไม่นะฉันไม่ไป เต้ช่วยพี่ด้วย นายเก่งขอร้องล่ะช่วยฉันด้วยนะ”
พีรยาดิ้นพล่านพร้อมกับใบหน้าตื่นตระหนกละล้ำละลักขอความช่วยเหลือจากคนนั้นทีคนนี้ที ไม่เว้นแม้ขัตติยะที่ถือเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง
“ปล่อยพี่สาวกู แล้วกูจะใช้หนี้แทนแม่เอง บอกมาเท่าไหร่”
กาจพลโพล่งออกไปอย่างไม่คิดอะไรมากเท่าไหร่ เพราะคิดว่าผู้เป็นแม่คงติดหนี้บ่อนพนันอย่างมากก็น่าจะแค่หลักหมื่นเท่านั้น และมันเป็นจำนวนเงินที่พอหาหยิบยืมได้
“รวมทั้งต้นทั้งดอกเบ็ดเสร็จก็สามแสนห้า”
“สามแสนห้า!”
ตายห่า! เงินเยอะขนาดนี้จะไปหาที่ไหนได้ กาจพลคิดอย่างตกใจ ซึ่งก็ไม่ต่างกับพีรยาที่พอได้ยินจำนวนเงินเธอถึงกับเข่าอ่อน หนทางที่จะรอดจากการเป็นผู้หญิงขัดดอกดูท่าจะมืดมน
“เงินตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนั้น ขอเวลาพวกเราหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ใช่ๆ ขอเวลาพวกเราหน่อยนะ”
หญิงสาวรีบเอ่ยเสริมคำพูดของน้องชายด้วยสีหน้าอ้อนวอน แม้จะยังคิดไม่ออกว่าจะหาเงินจำนวนมหาศาลนั้นมาจากไหน แต่ตอนนี้ขอแค่ให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ร้ายๆ ตรงนี้ไปให้ได้เสียก่อน เรื่องอื่นค่อยคิดกันทีหลัง
“พวกกูให้เวลานังมดมันมามากเกินพอแล้ว ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ต้องมาต่อรอง เฮ๊ย พวกมึงเอาตัวนังผู้หญิงไปขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวเจ้านายจะรอนาน”
“ไม่นะ! ฉันขอร้องขอเวลาฉันหน่อย ฉันสัญญาว่าจะหาเงินมาคืนให้พวกแกทุกบาททุกสตางค์”
ขัตติยะยืนมองหญิงสาวที่เคยแก่นแก้วปากคอเลาะร้ายอย่างพีรยายกมือไหว้และมองคนพวกนั้นด้วยสายตาอ้อนวอน โดยที่คนเป็นน้องอย่างกาจพลก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาในฐานะคนที่รู้จักมักจี่กันมานานก็อดที่จะสงสารสองพี่น้องนี้ไม่ได้ และหลังจากยืนชั่งใจอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก่อนที่หญิงสาวจะโดนลากออกจากบ้านไปเขาก็ตัดสินใจได้ว่าควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
“เดี๋ยวก่อน! หนี้ทั้งหมดสามแสนห้าใช่ไหม...ฉันจะใช้ให้เอง”
ขัตติยะเอ่ยพลางดึงเชคในกระเป๋าขึ้นมากรอกตัวเลขแล้วเซ็นชื่อ ก่อนจะยื่นมันให้กับหัวหน้าแก๊งค์อย่างไอ้หาญ แต่แทนที่มันจะรับเชคแล้วปล่อยตัวพีรยา มันกลับแสยะยิ้มแล้วบอกเสียงเย็น
“พวกกูต้องการเงินสดเท่านั้นโว้ย”
“อ้าวเฮ๊ย เชคกับเงินสดมันต่างกันตรงไหนวะ สามแสนห้าเหมือนกัน”
กาจพลแย้งขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ต่างไม่ต่างกูไม่รู้ รู้แต่ว่าเจ้านายกูสั่งให้เอาเงินสดกูก็ต้องได้เงินสดกลับไปเข้าใจ๋ ไอ้ลูกหมา”
คนถูกด่าว่าไอ้ลูกหมาแทบถลาเข้าไปตันหน้าคนพูด แต่ดีที่ขัตติยะห้ามเอาไว้ก่อน เพราะยังไงตอนนี้พวกมันว่าอะไรก็ต้องยอมๆ ไปก่อน
“ก็ได้ งั้นพวกนายรออยู่ตรงนี้ซัก 15 นาทีก่อนก็แล้วกัน ฉันจะกลับไปเอาเงินสดที่บ้านก่อน...ไปเต้”
ขัตติยะหันมาชวนกาจพลเพราะคิดว่าถ้าไปมอเตอร์ไซค์คงจะสะดวกและเร็ว ใช้เวลาเดินทางไปกลับบ้านเขาที่อยู่ไม่ห่างจากที่นี้มากนักคงไม่ถึง 15 นาที
“เก่ง! นายอย่าไปเลยนะ ฉันขอร้องถ้าขืนนายกับเต้ไป แล้วพวกมันไม่รอตามที่ตกลงกันไว้ เอาตัวฉันไปให้เจ้านายพวกมัน กว่านายกับเต้จะกลับฉันจะไม่กลายเป็น...เป็น...ฮือๆๆ ฉัน...ฉันไม่อยากเสียตัวให้กับผู้ชายที่ไม่ได้รัก ขอร้องล่ะนะให้คนที่บ้านเอามาให้ไม่ได้เหรอ นะๆ ฉันขอร้องฉันกลัวจริงๆ ถ้าจบเรื่องคราวนี้ฉันจะยอมนายทุกอย่างเลยนะ เงินฉันก็จะคืนให้ทุกบาททุกสตางค์ด้วย”
“เฮ้อ! เธอมันนี่จริงๆ เลย หน้าตารูปร่างอย่างนี้ไม่รู้เจ้านายคนพวกนี้พิศวาสไปได้ยังไง”
ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมกับบ่นออกมาคล้ายเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยอมใจอ่อนทำตามคำขอร้องของหญิงสาว เขาเดินเลี่ยงออกมา แล้วต่อสายหาคนที่สามารถนำเงินสดจำนวนมากนี้มาให้เขาได้อย่างคุณนายสมรผู้เป็นมารดาทันที
“ครับแม่...ผมมีเรื่องให้แม่ช่วยหน่อยครับ คือผมต้องการเงินสดสามแสนห้าเดี๋ยวนี้ครับ”
“สามแสนห้า! แกจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะห๊า”
“ผมจะเอามาช่วยต้นข้าวครับ ส่วนรายละเอียดมาถึงเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังอีกที ตอนนี้แม่เอาเงินสดมาให้ผมที่บ้านต้นข้าวก่อนได้ไหมครับ”
“ต้นข้าว...ได้ๆ เดี๋ยวแม่ไป แป๊บหนึ่งนะ”
พอได้ยินชื่อหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม อีกทั้งนิสัยก็น่ารัก ซึ่งนางที่ก็รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีเดือดร้อน ทำให้นางไม่คิดที่จะซักไซ้ลูกชายให้มากความ
“ครับ งั้นผมให้ไอ้เต้ขี่มอ’ไซค์ไปรับนะครับมันจะได้เร็วหน่อย ว่าแต่แม่นั่งได้หรือเปล่า”
“โอ๊ย สบายอย่าลืมว่าแม่แกคนนี้ไม่ได้เป็นคุณนายมาตั้งแต่เกิดนะ”
“ขอบคุณครับแม่ แล้วเจอกันครับ”
วางสายเสร็จขัตติยะไม่รอช้ารีบเดินกลับเข้ามาสั่งให้กาจพลที่ยืนมองพี่สาวกับตัวเขาที่เลี่ยงออกไปโทรศัพท์กันสลับไปมาอย่างกังวล
“เต้ เดี๋ยวแกไปรับคุณนายสมรที่บ้านด้วยนะ”
“มอ’ไซค์เหรอพี่”
กาจพลถามอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
“อือ”
“ครับพี่”
หลังจากที่กาจพลสวมวิญญาณเด็กแว้นบิดมอเตอร์ไซค์คู่กายไปรับคุณนายสมรตามคำสั่งด้วยความเร็วสูง ขัตติยะก็หันมามองพีรยาที่ถูกชายร่างใหญ่สองคนควบคุมตัวราวกับเธอเป็นผู้ร้ายคดีอุกฉกรรจ์อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังส่งยิ้มมาให้เขาอย่างขอบคุณที่ไม่ทิ้งเธอไว้ตามที่ขอร้องเอาไว้
“ฉันว่าพวกนายปล่อยผู้หญิง แล้วขึ้นไปรอบนบ้านดีกว่าไหม ขืนยืนอยู่ตรงนี้ชาวบ้านได้แตกตื่นกันหมดพอดี แค่นี้ก็ตกใจจนแทบจะย้ายบ้านหนีกันอยู่แล้ว”
ทั้งหมดหันมามองหน้ากันเหมือนปรึกษากันทางสายตา ก่อนไอ้หาญจะหันมาหรี่ตามองขัตติยะอย่างไม่ไว้วางใจ ทำให้ขัตติยะรีบพูดเสริมขึ้นอีกว่า
“อย่าขี้ขลาดไปหน่อยเลยน่า พวกนายมีตั้งสี่ห้าคน และแต่ละคนตัวใหญ่ยักษ์กันทั้งนั้น กับฉันตัวคนเดียวกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกหนึ่งคน จะหนีไปไหนได้”
“งั้นนายนำขึ้นก่อน แล้วฉันจะพานังผู้หญิงตามไป”
ขัตติยะไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำขึ้นไปตามความต้องการของพวกมัน แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวเท้าเข้าไปภายในบ้านเท้าของเขาก็ต้องชะงัก เมื่อข้าวของแตกกระจัดกระจายเต็มพื้นไม่มีแม้พื้นที่ที่จะเดิน เดือดร้อนเขาต้องเก็บของที่พอเป็นชิ้นเป็นอันมารวมกันไว้ตรงมุม แล้วกวาดชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปรวมกันไว้อีกมุมแก้ขัดพอให้มีที่ทางเดินเหิน
“เข้ามาแล้วปล่อยผู้หญิงด้วย ไม่ต้องห่วงเงินสามแสนห้าพวกนายได้แน่นอน”
ไอ้หาญพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ลูกน้องทั้งสองปล่อยตัวหญิงสาว ทันทีที่เป็นอิสระพีรยาก็วิ่งโถมเข้าไปกอดขัตติยะอย่างดีใจและต้องการหาที่พึง ชายหนุ่มเองก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกในขณะนี้ของหญิงสาวดีเขาจึงโอบกอดและพูดปลอบร่างเล็กสั่นเทานั้นอย่างไม่รังเกียจหรือตั้งแง่
ผ่านไปพักใหญ่กาจพลก็กลับมาพร้อมกับคุณนายสมรและเงินจำนวนสามแสนห้า ทั้งสองเดินขึ้นบนบ้านอย่างเร่งรีบ และทันทีที่โผล่หน้าเข้าไปคุณนายสมรถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ
“นี่มันอะไรกัน บ้านเช่าของฉันมีพวกนักเลงหัวไม้มาคุมตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมมันเดินยัวะเยียะเต็มบ้านไปหมด แล้วดูสภาพบ้านสิทำไมมันถึงได้กระจัดกระจายอย่างนี้ บอกฉันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นเจ้าเต้”
และก่อนที่คนถูกถามจะได้ตอบ เสียงขัตติยะที่โดนผู้ชายร่างยักษ์บังจนมิดก็ดังขึ้น
“แม่มาแล้วเหรอครับ งั้นผมฝากต้นข้าวหน่อยนะครับ แล้วไหนครับเงินที่ว่า”
“เต้เอากระเป๋าเงินให้ตาเก่งหน่อยซิ”
นางบอกพลางดึงร่างเล็กของพีรยามากอดไว้ พร้อมกับสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันหนูต้นข้าว”
“พวกเขามาทวงหนี้ของน้ามดค่ะ แต่หนูกับน้องชายไม่มีเงินให้มันเลยจะเอาตัวหนูไปขัดดอกจนกว่าจะหาเงินสามแสนห้าไปคืน”
“นี่นังมดอีกแล้วเหรอ ทำไมนะมันถึงชอบก่อเรื่องให้ลูกๆ ได้เดือดร้อนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที...ครั้งนี้ก็เงินไม่ใช่น้อยๆ”
“เอ่อ...คุณนายหนูกับน้องชายต้องขอบคุณคุณนายมากๆ เลยนะคะ ที่อุตส่าห์เอาเงินมาใช้หนี้แทน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนายสักหน่อย หนูสัญญานะคะว่าจะช่วยกันหาเงินมาใช้คุณนายให้เร็วที่สุด”
“หนูขอบคุณผิดคนแล้วล่ะ เงินนั้นไม่ใช่เงินของฉันหรอก เป็นเงินลูกชายฉันต่างหากล่ะ เพราะงั้นเรื่องใช้คืนก็ตกลงกับเจ้าของเงินเองก็แล้วกันนะจ๊ะ”
นางบอกพลางส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น ไม่ถือตัวว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านเช่าและหญิงสาวเป็นแค่ผู้เช่าอาศัย ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ผู้เช่าทุกคนจะรักและเคารพคุณนายสมรมาก
“อย่างนั้นเหรอคะ”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปทอดสายตามองผู้ชายที่เธอแอบรักมานาน ด้วยความรู้สึกซึ้งใจดีใจจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แม้ตลอดเวลาเขามักจะแสดงออกว่าไม่ค่อยกินเส้นกับเธอเท่าไหร่ แต่พอมีเรื่องเดือดร้อนเขากลับเป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างเต็มใจ
“ได้เงินแล้วก็ไปซะสิ และไม่ต้องมายุ่งกับพวกเราอีกนะโว้ย”
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับแม่ของแก ไอ้ลูกหมา…พวกเรากลับโว้ย”
เป็นอีกครั้งที่กาจพลถูกพวกมันด่าว่าไอ้ลูกหมา และก็เป็นขัตติยะอีกเช่นเคยที่ต้องคอยห้ามชายหนุ่มไม่ให้วู่วาม
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
ถึงอย่างนั้นกาจพลก็ยังตะโกนอาฆาตตามหลังพวกมันไปอย่างหงุดหงิด ซึ่งไม่ต่างกับคุณนายสมรที่มองตามหลังกลุ่มชายฉกรรจ์แล้วหันมามองใบหน้าจิ้มลิ้มของหญิงสาวอย่างหนักใจแทน
“แล้วถ้านังมดมันไปก่อหนี้อีกละต้นข้าว หนูจะทำยังไง จะไม่ต้องยอมไปเป็นผู้หญิงขัดดอกหรอกหรือ…เมื่อไหร่นะผู้หญิงน่ารักนิสัยดีอย่างหนูจะโชคดีเจอผู้ชายดีๆ อย่างคุณชินภัทรสามีของหนูนกบ้าง”
คุณนายสมรเอ่ยถึงอดีตผู้เช่าบ้านของตนที่รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี และที่สำคัญเป็นผู้หญิงที่ลูกชายของนางเคยรักมาก แต่สาวเจ้ากลับไปตกลงปลงใจกับหนุ่มนักธุรกิจรูปหล่อนามว่าชินภัทรซะงั้น ทำให้ลุกชายของนางอกหักพังยับเยิน
“นั่นนะสิครับคุณนายผมก็ไม่รู้ว่าแม่จะเอาความเดือดร้อนมาให้เมื่อไหร่ เอาอย่างนี้ไหมพี่ต้นข้าว ผมว่าพี่ย้ายไปอยู่ที่อื่นที่มันไกลๆ จากที่นี้ดีไหม”
“ไม่ได้หรอกอยู่ที่นี้มันใกล้และสะดวกกับการเดินทางไปทำงานของพี่ เอาเป็นว่าเต้ช่วยตามหาน้ามดให้เจอก่อนจะไปก่อเรื่องก็แล้วกัน ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่พี่นี่แหละจะจัดการกับน้ามดเอง เห็นเราไม่พูดไม่ว่ายิ่งได้ใจ เดี๋ยวจะเอาให้หนักเลยคอยดู”
จังหวะที่สองพี่น้องมัวแต่คุยกันเรื่องนางมด ขัตติยะก็รีบลากผู้เป็นแม่มาอีอกมุมหนึ่งแล้วกระซิบถาม
“แม่...ในสายตาแม่ แม่ว่ายัยต้นข้าวน่ารักและนิสัยดีจริงเหรอ”
“อือ จริงสิบางครั้งแม่ยังคิดเลยว่าอยากได้ลูกสาวน่ารักๆ อย่างนี้บ้าง....ว่าแต่แฟนแกนิสัยดีน่ารักได้ครึ่งหนูต้นข้าวเขาหรือเปล่า”
“ฮ่าๆๆ เป๊ะๆ เลยครับ แล้วแม่จะเซอร์ไพรส์”
ชายหนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อน จากวันนั้นวันที่รับปากผู้เป็นแม่ว่าจะพาแฟนไปเปิดตัวในวันอาทิตย์สิ้นเดือนนี้ เขาไม่อยากจะบอกเลยว่าเหลือเวลาอีกแค่สองวันจะถึงวันนัด เขายังหาผู้หญิงในอุดมคติของผู้เป็นแม่ไม่เจอ แต่จวบจนเมื่อครู่นี้ได้ยินคำชื่นชมของผู้เป็นแม่ทีมีต่อพีรยาก็ทำให้เขาพอจะนึกอะไรดีๆ ออกแล้วว่าจะหาผู้หญิงที่ดีและน่ารักในสายตาของคนเป็นแม่ได้จากที่ไหน สุดท้ายคนที่เขาคิดว่าไม่มีประโยชน์ กำลังจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อเขามากที่สุด
“ย่ะแล้วแม่จะรอดูเซอร์ไพรส์ของแกว่ามันจะขนาดไหน ดีจริงอย่างที่โม้หรือเปล่า”
“ครับ แล้วนี่แม่จะกลับเลยหรือเปล่า”
“ยังดีกว่า นานๆ มาทีแม่ขอเดินทักทายผู้คนแถวนี้ก่อนก็แล้วกันนะ…เจ้าเต้จะไปขับวินต่อหรือเปล่าเรา”
“ไม่ล่ะครับคุณนาย ผมคงต้องอยู่เก็บกวาดบ้านช่วยพี่ต้นข้าว อีกอย่างมันก็เย็นแล้วด้วย วันนี้ก็เลยคิดว่าจะพอแค่นี้แหละครับ”
“งั้นก็ดี เดี๋ยวขากลับฉันวานไปส่งฉันที่บ้านด้วยแล้วกันนะ ตอนนี้ฉันขอไปหาเพื่อนเม้าท์ก่อนแล้วกัน”
พูดจบคุณนายสมรก็เดินยิ้มร่าลงจากบ้านไป ส่วนกาจพลก็แยกตัวเข้าไปจัดเก็บข้าวของภายในบ้าน จะเหลือก็แค่ขัตติยะกับพีรยาเท่านั้น ที่ยังคงยืนรีๆ รอๆ อ้ำๆ อึ้งๆ จะพูดอะไรก็ไม่พูด หันมาสบตากันแล้วรีบหลบ อาจจะเป็นเพราะทั้งสองเวลาเจอหน้ากันไม่เคยพูดดีกันเลยสักครั้ง คราวนี้จะต้องมาพูดดีๆ กันเลยรู้สึกกระอักกระอวนใจ
“เอ่อ.../เอ่อ...”
“เธอพูดก่อนแล้วกัน”
เป็นขัตติยะที่เอ่ยปากบอกเสียสละให้หญิงสาวเป็นคนพูดก่อน
“เอ่อ...ขอบใจนะที่ช่วย ทั้งที่นายกับฉันเราก็ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเงินถ้านายไม่มีปัญหาอะไร ฉันจะทยอยใช้คืนให้นะ แม้มันจะนานสักหน่อย แต่นายไม่ต้องห่วง นายได้เงินของนายคืนทุกบาททุกสตางค์แน่นอน”
“ไม่เป็นไร ที่จริงเงินแค่นั้นฉันไม่เอาคืนก็ได้ แต่เธอต้องยอมช่วยอะไรฉันเรื่องหนึ่ง”
ชายหนุ่มพูดพลางกลั้นหัวเราะกับท่าทีจริงจังของอีกฝ่าย เพราะความไม่ค่อยจะถูกกันเธอคงกลัวเขาจะเรียกเงินคืนแบบโหดๆ ล่ะสิ
“ระ...เรื่องอะไร นายคงไม่ได้คิดพิศวาสฉันขึ้นมาหรอกนะ”
หญิงสาวพูดติดตลกพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ
“บ้า คนอย่างฉันไม่ตาถั่วขนาดนั้นหรอกน่า เอาเป็นว่าเรื่องนี้คุยที่นี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ เราไปคุยกันที่บ้านฉันดีกว่านะ”
“บ้าน!”
พีรยาอุทานออกมาอย่างตกใจ เรื่องที่เขาจะให้เธอช่วยมันเป็นความลับขนาดที่จะต้องไปคุยกันถึงบ้านของเขาเลยหรือ
“ฉันหมายถึงบ้านเช่าของที่นี้ หลังที่มันว่างอยู่น่ะ และตอนนี้ฉันได้ยึดมันเป็นบ้านของฉันไปเรียบร้อยแล้ว”
“แล้วก็ไม่บอก แต่เร็วๆ นะ ฉันต้องมาช่วยเต้มันเก็บกวาดบ้าน”
“อือ แป๊บเดียว...เต้! ฉันขอยืมพี่สาวนายแป๊บนะ เดี๋ยวเอามาคืน”
“ครับ เอาไปแล้วเอาไปเลยไม่ต้องคืนก็ได้ครับพี่เก่ง ผมยกให้”
กาจพลขานรับ พร้อมกับหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้กับผู้เป็นพี่สาวอย่างล้อเลียน
“ไอ้น้องบ้าพูดอะไรก็ไม่รู้ กวาดบ้านไปเลยนะ ถ้ากลับมาไม่เสร็จล่ะน่าดู”
พีรยาชี้หน้ากาจพลพร้อมกับพูดคาดโทษเสียงดัง เพื่อกลบเกลื่อนความอาย ก่อนจะรีบเดินลงจากบ้านไปก่อนที่คนเป็นน้องจะขายเธอมากไปกว่านี้
**********************************************************************
ติดตามต่อตอนหน้านะคะ ^_^
โครม! เพล้ง!
เสียงเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นในบ้านล้มระเนระนาดแตกกระจายไปทั่วพื้น ทำให้พีรยาที่เพิ่งเลิกงานมาไม่ทันได้พักเหนื่อย ถึงกับถอยกรูดไปยืนตัวสั่นชิดกับผนังบ้านอย่างตกใจ
“ฉันถามว่านังมดมันอยู่ไหน!”
พวกมันถามเสียงเหี้ยม
“ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่รู้ ไม่กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว”
พีรยาตอบเสียงสั่น สายตามองไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาโหดเหี้ยมสี่ห้าคนอย่างหวาดๆ
“งั้นก็แสดงว่ามันหนีไปแล้วนะสิ เฮ๊ย! พวกมึงเอาตัวนังผู้หญิงคนนี้ไปขึ้นรถ”
สิ้นเสียงสั่งชายฉกรรจ์สองคนก็เข้ามาฉุดกระชากลากถูร่างเล็กของพีรยาให้ตามออกไปนอกบ้าน แม้เธอพยายามดิ้นและขัดขืนเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล แรงเท่ามดอย่างเธอจะสู้แรงช้างถึงสองคนได้
“กรี๊ดดดดดด! ปล่อยนะพวกแกจะเอาตัวฉันไปไหน! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที!”
พีรยากรีดร้องพร้อมกับตะโกนขอความช่วยเหลือดังไปทั่ว แต่ก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าเข้ามาช่วย เพราะเพียงแค่โผล่หน้าเข้ามาเยี่ยมๆ มองๆ พวกมันก็ข่มขู่ด้วยปืนและคำพูดใหญ่โตจนคนฟังหัวหดตัวลีบกลับไป ถ้าใครใจกล้าหน่อยก็ทำได้แค่เดินเลียบๆ เคียงๆ ดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เท่านั้น และในขณะที่พีรยาทั้งร้องทั้งดิ้นอย่างสุดชีวิตอยู่นั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็ตะโกนมาแต่ไกล
“เฮ๊ย! พวกมึงทำอะไรน่ะ จะเอาพี่กูไปไหน ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ย”
“เต้! เต้ช่วยพี่ด้วย อยู่ๆ พวกนี้ก็เข้ามาทำลายข้าวของในบ้านแล้วจะจับตัวพี่ไป”
ทันที่เห็นหน้าน้องชายต่างสายเลือดอย่างกาจพล พีรยาถึงกับยิ้มออกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
“กูบอกให้พวกมึงปล่อยพี่สาวกู พวกมึงหูแตกกันหรอไงห๊า!”
กาจพลที่แทบจะกระโจนลงจากรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อเห็นพี่สาวกำลังถูกฉุดกระชากลากถูลงจากบ้าน โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ระหว่างที่ตนนั้นกำลังจะไปส่งผู้โดยสารอย่างขัตติยะ ที่ตอนนี้กำลังรั้งเขาไว้ไม่ให้กระโจนเข้าใส่กลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้า
“ใจเย็นๆ เต้ ดูท่าทางพวกนี้มันจะไม่ธรรมดา”
“เย็นได้ไง พี่เก่งดูพวกมันทำกับพี่ต้นข้าวสิ”
“เอาน่า มาเดี๋ยวฉันคุยกับพวกมันเอง”
ว่าแล้วขัตติยะก็เดินเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ยักษ์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม แล้วถามติดตลกเล่นๆ มากกว่าจริงจัง
“ผู้หญิงคนนี้ไปด่าว่าหรือทำอะไรเจ็บๆ แสบๆ กับพวกนายไว้ล่ะสิ ออกมาอีหรอบนี้คงจะเจอหนักเลยล่ะสิท่าถึงต้องตามมาแก้แค้นกันถึงที่บ้าน เอาเป็นว่าถ้าผู้หญิงคนนี้ทำอย่างที่ว่ามาจริงๆ ฉันก็ขอโทษแทนเธอด้วยก็แล้วกันนะ เพราะเธอก็เป็นผู้หญิงปากร้ายปากเสียอย่างนี้ประจำแหละ”
“นายเก่ง! นี่นายจะช่วยฉันหรือว่ามาหลอกด่าฉันกันแน่ห๊า”
พีรยาถึงกับควันออกหู หน้าสิ่วหน้าขวนอย่างนี้ชายหนุ่มยังมีแก่ใจมาพูดกัดจิกเธออีก
“กูไม่สนหรอกว่าผู้หญิงคนนี้จะปากร้ายปากจัดแค่ไหน ตราบใดที่นังมดมันไม่เอาเงินที่กู้ไปจากบ่อนมาคืนล่ะก็ นังผู้หญิงคนนี้ที่เป็นตัวค้ำประกันจะต้องไปเป็นผู้หญิงขัดดอกของเจ้านายกูจนกว่าจะได้เงินคืนทุกบาททุกสตางค์”
“ผู้หญิงขัดดอก! ไม่นะฉันไม่ไป เต้ช่วยพี่ด้วย นายเก่งขอร้องล่ะช่วยฉันด้วยนะ”
พีรยาดิ้นพล่านพร้อมกับใบหน้าตื่นตระหนกละล้ำละลักขอความช่วยเหลือจากคนนั้นทีคนนี้ที ไม่เว้นแม้ขัตติยะที่ถือเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง
“ปล่อยพี่สาวกู แล้วกูจะใช้หนี้แทนแม่เอง บอกมาเท่าไหร่”
กาจพลโพล่งออกไปอย่างไม่คิดอะไรมากเท่าไหร่ เพราะคิดว่าผู้เป็นแม่คงติดหนี้บ่อนพนันอย่างมากก็น่าจะแค่หลักหมื่นเท่านั้น และมันเป็นจำนวนเงินที่พอหาหยิบยืมได้
“รวมทั้งต้นทั้งดอกเบ็ดเสร็จก็สามแสนห้า”
“สามแสนห้า!”
ตายห่า! เงินเยอะขนาดนี้จะไปหาที่ไหนได้ กาจพลคิดอย่างตกใจ ซึ่งก็ไม่ต่างกับพีรยาที่พอได้ยินจำนวนเงินเธอถึงกับเข่าอ่อน หนทางที่จะรอดจากการเป็นผู้หญิงขัดดอกดูท่าจะมืดมน
“เงินตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนั้น ขอเวลาพวกเราหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ใช่ๆ ขอเวลาพวกเราหน่อยนะ”
หญิงสาวรีบเอ่ยเสริมคำพูดของน้องชายด้วยสีหน้าอ้อนวอน แม้จะยังคิดไม่ออกว่าจะหาเงินจำนวนมหาศาลนั้นมาจากไหน แต่ตอนนี้ขอแค่ให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ร้ายๆ ตรงนี้ไปให้ได้เสียก่อน เรื่องอื่นค่อยคิดกันทีหลัง
“พวกกูให้เวลานังมดมันมามากเกินพอแล้ว ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ต้องมาต่อรอง เฮ๊ย พวกมึงเอาตัวนังผู้หญิงไปขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวเจ้านายจะรอนาน”
“ไม่นะ! ฉันขอร้องขอเวลาฉันหน่อย ฉันสัญญาว่าจะหาเงินมาคืนให้พวกแกทุกบาททุกสตางค์”
ขัตติยะยืนมองหญิงสาวที่เคยแก่นแก้วปากคอเลาะร้ายอย่างพีรยายกมือไหว้และมองคนพวกนั้นด้วยสายตาอ้อนวอน โดยที่คนเป็นน้องอย่างกาจพลก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาในฐานะคนที่รู้จักมักจี่กันมานานก็อดที่จะสงสารสองพี่น้องนี้ไม่ได้ และหลังจากยืนชั่งใจอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก่อนที่หญิงสาวจะโดนลากออกจากบ้านไปเขาก็ตัดสินใจได้ว่าควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
“เดี๋ยวก่อน! หนี้ทั้งหมดสามแสนห้าใช่ไหม...ฉันจะใช้ให้เอง”
ขัตติยะเอ่ยพลางดึงเชคในกระเป๋าขึ้นมากรอกตัวเลขแล้วเซ็นชื่อ ก่อนจะยื่นมันให้กับหัวหน้าแก๊งค์อย่างไอ้หาญ แต่แทนที่มันจะรับเชคแล้วปล่อยตัวพีรยา มันกลับแสยะยิ้มแล้วบอกเสียงเย็น
“พวกกูต้องการเงินสดเท่านั้นโว้ย”
“อ้าวเฮ๊ย เชคกับเงินสดมันต่างกันตรงไหนวะ สามแสนห้าเหมือนกัน”
กาจพลแย้งขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ต่างไม่ต่างกูไม่รู้ รู้แต่ว่าเจ้านายกูสั่งให้เอาเงินสดกูก็ต้องได้เงินสดกลับไปเข้าใจ๋ ไอ้ลูกหมา”
คนถูกด่าว่าไอ้ลูกหมาแทบถลาเข้าไปตันหน้าคนพูด แต่ดีที่ขัตติยะห้ามเอาไว้ก่อน เพราะยังไงตอนนี้พวกมันว่าอะไรก็ต้องยอมๆ ไปก่อน
“ก็ได้ งั้นพวกนายรออยู่ตรงนี้ซัก 15 นาทีก่อนก็แล้วกัน ฉันจะกลับไปเอาเงินสดที่บ้านก่อน...ไปเต้”
ขัตติยะหันมาชวนกาจพลเพราะคิดว่าถ้าไปมอเตอร์ไซค์คงจะสะดวกและเร็ว ใช้เวลาเดินทางไปกลับบ้านเขาที่อยู่ไม่ห่างจากที่นี้มากนักคงไม่ถึง 15 นาที
“เก่ง! นายอย่าไปเลยนะ ฉันขอร้องถ้าขืนนายกับเต้ไป แล้วพวกมันไม่รอตามที่ตกลงกันไว้ เอาตัวฉันไปให้เจ้านายพวกมัน กว่านายกับเต้จะกลับฉันจะไม่กลายเป็น...เป็น...ฮือๆๆ ฉัน...ฉันไม่อยากเสียตัวให้กับผู้ชายที่ไม่ได้รัก ขอร้องล่ะนะให้คนที่บ้านเอามาให้ไม่ได้เหรอ นะๆ ฉันขอร้องฉันกลัวจริงๆ ถ้าจบเรื่องคราวนี้ฉันจะยอมนายทุกอย่างเลยนะ เงินฉันก็จะคืนให้ทุกบาททุกสตางค์ด้วย”
“เฮ้อ! เธอมันนี่จริงๆ เลย หน้าตารูปร่างอย่างนี้ไม่รู้เจ้านายคนพวกนี้พิศวาสไปได้ยังไง”
ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมกับบ่นออกมาคล้ายเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยอมใจอ่อนทำตามคำขอร้องของหญิงสาว เขาเดินเลี่ยงออกมา แล้วต่อสายหาคนที่สามารถนำเงินสดจำนวนมากนี้มาให้เขาได้อย่างคุณนายสมรผู้เป็นมารดาทันที
“ครับแม่...ผมมีเรื่องให้แม่ช่วยหน่อยครับ คือผมต้องการเงินสดสามแสนห้าเดี๋ยวนี้ครับ”
“สามแสนห้า! แกจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะห๊า”
“ผมจะเอามาช่วยต้นข้าวครับ ส่วนรายละเอียดมาถึงเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังอีกที ตอนนี้แม่เอาเงินสดมาให้ผมที่บ้านต้นข้าวก่อนได้ไหมครับ”
“ต้นข้าว...ได้ๆ เดี๋ยวแม่ไป แป๊บหนึ่งนะ”
พอได้ยินชื่อหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม อีกทั้งนิสัยก็น่ารัก ซึ่งนางที่ก็รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีเดือดร้อน ทำให้นางไม่คิดที่จะซักไซ้ลูกชายให้มากความ
“ครับ งั้นผมให้ไอ้เต้ขี่มอ’ไซค์ไปรับนะครับมันจะได้เร็วหน่อย ว่าแต่แม่นั่งได้หรือเปล่า”
“โอ๊ย สบายอย่าลืมว่าแม่แกคนนี้ไม่ได้เป็นคุณนายมาตั้งแต่เกิดนะ”
“ขอบคุณครับแม่ แล้วเจอกันครับ”
วางสายเสร็จขัตติยะไม่รอช้ารีบเดินกลับเข้ามาสั่งให้กาจพลที่ยืนมองพี่สาวกับตัวเขาที่เลี่ยงออกไปโทรศัพท์กันสลับไปมาอย่างกังวล
“เต้ เดี๋ยวแกไปรับคุณนายสมรที่บ้านด้วยนะ”
“มอ’ไซค์เหรอพี่”
กาจพลถามอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
“อือ”
“ครับพี่”
หลังจากที่กาจพลสวมวิญญาณเด็กแว้นบิดมอเตอร์ไซค์คู่กายไปรับคุณนายสมรตามคำสั่งด้วยความเร็วสูง ขัตติยะก็หันมามองพีรยาที่ถูกชายร่างใหญ่สองคนควบคุมตัวราวกับเธอเป็นผู้ร้ายคดีอุกฉกรรจ์อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังส่งยิ้มมาให้เขาอย่างขอบคุณที่ไม่ทิ้งเธอไว้ตามที่ขอร้องเอาไว้
“ฉันว่าพวกนายปล่อยผู้หญิง แล้วขึ้นไปรอบนบ้านดีกว่าไหม ขืนยืนอยู่ตรงนี้ชาวบ้านได้แตกตื่นกันหมดพอดี แค่นี้ก็ตกใจจนแทบจะย้ายบ้านหนีกันอยู่แล้ว”
ทั้งหมดหันมามองหน้ากันเหมือนปรึกษากันทางสายตา ก่อนไอ้หาญจะหันมาหรี่ตามองขัตติยะอย่างไม่ไว้วางใจ ทำให้ขัตติยะรีบพูดเสริมขึ้นอีกว่า
“อย่าขี้ขลาดไปหน่อยเลยน่า พวกนายมีตั้งสี่ห้าคน และแต่ละคนตัวใหญ่ยักษ์กันทั้งนั้น กับฉันตัวคนเดียวกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกหนึ่งคน จะหนีไปไหนได้”
“งั้นนายนำขึ้นก่อน แล้วฉันจะพานังผู้หญิงตามไป”
ขัตติยะไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำขึ้นไปตามความต้องการของพวกมัน แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวเท้าเข้าไปภายในบ้านเท้าของเขาก็ต้องชะงัก เมื่อข้าวของแตกกระจัดกระจายเต็มพื้นไม่มีแม้พื้นที่ที่จะเดิน เดือดร้อนเขาต้องเก็บของที่พอเป็นชิ้นเป็นอันมารวมกันไว้ตรงมุม แล้วกวาดชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปรวมกันไว้อีกมุมแก้ขัดพอให้มีที่ทางเดินเหิน
“เข้ามาแล้วปล่อยผู้หญิงด้วย ไม่ต้องห่วงเงินสามแสนห้าพวกนายได้แน่นอน”
ไอ้หาญพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ลูกน้องทั้งสองปล่อยตัวหญิงสาว ทันทีที่เป็นอิสระพีรยาก็วิ่งโถมเข้าไปกอดขัตติยะอย่างดีใจและต้องการหาที่พึง ชายหนุ่มเองก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกในขณะนี้ของหญิงสาวดีเขาจึงโอบกอดและพูดปลอบร่างเล็กสั่นเทานั้นอย่างไม่รังเกียจหรือตั้งแง่
ผ่านไปพักใหญ่กาจพลก็กลับมาพร้อมกับคุณนายสมรและเงินจำนวนสามแสนห้า ทั้งสองเดินขึ้นบนบ้านอย่างเร่งรีบ และทันทีที่โผล่หน้าเข้าไปคุณนายสมรถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ
“นี่มันอะไรกัน บ้านเช่าของฉันมีพวกนักเลงหัวไม้มาคุมตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมมันเดินยัวะเยียะเต็มบ้านไปหมด แล้วดูสภาพบ้านสิทำไมมันถึงได้กระจัดกระจายอย่างนี้ บอกฉันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นเจ้าเต้”
และก่อนที่คนถูกถามจะได้ตอบ เสียงขัตติยะที่โดนผู้ชายร่างยักษ์บังจนมิดก็ดังขึ้น
“แม่มาแล้วเหรอครับ งั้นผมฝากต้นข้าวหน่อยนะครับ แล้วไหนครับเงินที่ว่า”
“เต้เอากระเป๋าเงินให้ตาเก่งหน่อยซิ”
นางบอกพลางดึงร่างเล็กของพีรยามากอดไว้ พร้อมกับสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันหนูต้นข้าว”
“พวกเขามาทวงหนี้ของน้ามดค่ะ แต่หนูกับน้องชายไม่มีเงินให้มันเลยจะเอาตัวหนูไปขัดดอกจนกว่าจะหาเงินสามแสนห้าไปคืน”
“นี่นังมดอีกแล้วเหรอ ทำไมนะมันถึงชอบก่อเรื่องให้ลูกๆ ได้เดือดร้อนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที...ครั้งนี้ก็เงินไม่ใช่น้อยๆ”
“เอ่อ...คุณนายหนูกับน้องชายต้องขอบคุณคุณนายมากๆ เลยนะคะ ที่อุตส่าห์เอาเงินมาใช้หนี้แทน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนายสักหน่อย หนูสัญญานะคะว่าจะช่วยกันหาเงินมาใช้คุณนายให้เร็วที่สุด”
“หนูขอบคุณผิดคนแล้วล่ะ เงินนั้นไม่ใช่เงินของฉันหรอก เป็นเงินลูกชายฉันต่างหากล่ะ เพราะงั้นเรื่องใช้คืนก็ตกลงกับเจ้าของเงินเองก็แล้วกันนะจ๊ะ”
นางบอกพลางส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น ไม่ถือตัวว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านเช่าและหญิงสาวเป็นแค่ผู้เช่าอาศัย ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ผู้เช่าทุกคนจะรักและเคารพคุณนายสมรมาก
“อย่างนั้นเหรอคะ”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปทอดสายตามองผู้ชายที่เธอแอบรักมานาน ด้วยความรู้สึกซึ้งใจดีใจจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แม้ตลอดเวลาเขามักจะแสดงออกว่าไม่ค่อยกินเส้นกับเธอเท่าไหร่ แต่พอมีเรื่องเดือดร้อนเขากลับเป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างเต็มใจ
“ได้เงินแล้วก็ไปซะสิ และไม่ต้องมายุ่งกับพวกเราอีกนะโว้ย”
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับแม่ของแก ไอ้ลูกหมา…พวกเรากลับโว้ย”
เป็นอีกครั้งที่กาจพลถูกพวกมันด่าว่าไอ้ลูกหมา และก็เป็นขัตติยะอีกเช่นเคยที่ต้องคอยห้ามชายหนุ่มไม่ให้วู่วาม
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
ถึงอย่างนั้นกาจพลก็ยังตะโกนอาฆาตตามหลังพวกมันไปอย่างหงุดหงิด ซึ่งไม่ต่างกับคุณนายสมรที่มองตามหลังกลุ่มชายฉกรรจ์แล้วหันมามองใบหน้าจิ้มลิ้มของหญิงสาวอย่างหนักใจแทน
“แล้วถ้านังมดมันไปก่อหนี้อีกละต้นข้าว หนูจะทำยังไง จะไม่ต้องยอมไปเป็นผู้หญิงขัดดอกหรอกหรือ…เมื่อไหร่นะผู้หญิงน่ารักนิสัยดีอย่างหนูจะโชคดีเจอผู้ชายดีๆ อย่างคุณชินภัทรสามีของหนูนกบ้าง”
คุณนายสมรเอ่ยถึงอดีตผู้เช่าบ้านของตนที่รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี และที่สำคัญเป็นผู้หญิงที่ลูกชายของนางเคยรักมาก แต่สาวเจ้ากลับไปตกลงปลงใจกับหนุ่มนักธุรกิจรูปหล่อนามว่าชินภัทรซะงั้น ทำให้ลุกชายของนางอกหักพังยับเยิน
“นั่นนะสิครับคุณนายผมก็ไม่รู้ว่าแม่จะเอาความเดือดร้อนมาให้เมื่อไหร่ เอาอย่างนี้ไหมพี่ต้นข้าว ผมว่าพี่ย้ายไปอยู่ที่อื่นที่มันไกลๆ จากที่นี้ดีไหม”
“ไม่ได้หรอกอยู่ที่นี้มันใกล้และสะดวกกับการเดินทางไปทำงานของพี่ เอาเป็นว่าเต้ช่วยตามหาน้ามดให้เจอก่อนจะไปก่อเรื่องก็แล้วกัน ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่พี่นี่แหละจะจัดการกับน้ามดเอง เห็นเราไม่พูดไม่ว่ายิ่งได้ใจ เดี๋ยวจะเอาให้หนักเลยคอยดู”
จังหวะที่สองพี่น้องมัวแต่คุยกันเรื่องนางมด ขัตติยะก็รีบลากผู้เป็นแม่มาอีอกมุมหนึ่งแล้วกระซิบถาม
“แม่...ในสายตาแม่ แม่ว่ายัยต้นข้าวน่ารักและนิสัยดีจริงเหรอ”
“อือ จริงสิบางครั้งแม่ยังคิดเลยว่าอยากได้ลูกสาวน่ารักๆ อย่างนี้บ้าง....ว่าแต่แฟนแกนิสัยดีน่ารักได้ครึ่งหนูต้นข้าวเขาหรือเปล่า”
“ฮ่าๆๆ เป๊ะๆ เลยครับ แล้วแม่จะเซอร์ไพรส์”
ชายหนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อน จากวันนั้นวันที่รับปากผู้เป็นแม่ว่าจะพาแฟนไปเปิดตัวในวันอาทิตย์สิ้นเดือนนี้ เขาไม่อยากจะบอกเลยว่าเหลือเวลาอีกแค่สองวันจะถึงวันนัด เขายังหาผู้หญิงในอุดมคติของผู้เป็นแม่ไม่เจอ แต่จวบจนเมื่อครู่นี้ได้ยินคำชื่นชมของผู้เป็นแม่ทีมีต่อพีรยาก็ทำให้เขาพอจะนึกอะไรดีๆ ออกแล้วว่าจะหาผู้หญิงที่ดีและน่ารักในสายตาของคนเป็นแม่ได้จากที่ไหน สุดท้ายคนที่เขาคิดว่าไม่มีประโยชน์ กำลังจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อเขามากที่สุด
“ย่ะแล้วแม่จะรอดูเซอร์ไพรส์ของแกว่ามันจะขนาดไหน ดีจริงอย่างที่โม้หรือเปล่า”
“ครับ แล้วนี่แม่จะกลับเลยหรือเปล่า”
“ยังดีกว่า นานๆ มาทีแม่ขอเดินทักทายผู้คนแถวนี้ก่อนก็แล้วกันนะ…เจ้าเต้จะไปขับวินต่อหรือเปล่าเรา”
“ไม่ล่ะครับคุณนาย ผมคงต้องอยู่เก็บกวาดบ้านช่วยพี่ต้นข้าว อีกอย่างมันก็เย็นแล้วด้วย วันนี้ก็เลยคิดว่าจะพอแค่นี้แหละครับ”
“งั้นก็ดี เดี๋ยวขากลับฉันวานไปส่งฉันที่บ้านด้วยแล้วกันนะ ตอนนี้ฉันขอไปหาเพื่อนเม้าท์ก่อนแล้วกัน”
พูดจบคุณนายสมรก็เดินยิ้มร่าลงจากบ้านไป ส่วนกาจพลก็แยกตัวเข้าไปจัดเก็บข้าวของภายในบ้าน จะเหลือก็แค่ขัตติยะกับพีรยาเท่านั้น ที่ยังคงยืนรีๆ รอๆ อ้ำๆ อึ้งๆ จะพูดอะไรก็ไม่พูด หันมาสบตากันแล้วรีบหลบ อาจจะเป็นเพราะทั้งสองเวลาเจอหน้ากันไม่เคยพูดดีกันเลยสักครั้ง คราวนี้จะต้องมาพูดดีๆ กันเลยรู้สึกกระอักกระอวนใจ
“เอ่อ.../เอ่อ...”
“เธอพูดก่อนแล้วกัน”
เป็นขัตติยะที่เอ่ยปากบอกเสียสละให้หญิงสาวเป็นคนพูดก่อน
“เอ่อ...ขอบใจนะที่ช่วย ทั้งที่นายกับฉันเราก็ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเงินถ้านายไม่มีปัญหาอะไร ฉันจะทยอยใช้คืนให้นะ แม้มันจะนานสักหน่อย แต่นายไม่ต้องห่วง นายได้เงินของนายคืนทุกบาททุกสตางค์แน่นอน”
“ไม่เป็นไร ที่จริงเงินแค่นั้นฉันไม่เอาคืนก็ได้ แต่เธอต้องยอมช่วยอะไรฉันเรื่องหนึ่ง”
ชายหนุ่มพูดพลางกลั้นหัวเราะกับท่าทีจริงจังของอีกฝ่าย เพราะความไม่ค่อยจะถูกกันเธอคงกลัวเขาจะเรียกเงินคืนแบบโหดๆ ล่ะสิ
“ระ...เรื่องอะไร นายคงไม่ได้คิดพิศวาสฉันขึ้นมาหรอกนะ”
หญิงสาวพูดติดตลกพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ
“บ้า คนอย่างฉันไม่ตาถั่วขนาดนั้นหรอกน่า เอาเป็นว่าเรื่องนี้คุยที่นี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ เราไปคุยกันที่บ้านฉันดีกว่านะ”
“บ้าน!”
พีรยาอุทานออกมาอย่างตกใจ เรื่องที่เขาจะให้เธอช่วยมันเป็นความลับขนาดที่จะต้องไปคุยกันถึงบ้านของเขาเลยหรือ
“ฉันหมายถึงบ้านเช่าของที่นี้ หลังที่มันว่างอยู่น่ะ และตอนนี้ฉันได้ยึดมันเป็นบ้านของฉันไปเรียบร้อยแล้ว”
“แล้วก็ไม่บอก แต่เร็วๆ นะ ฉันต้องมาช่วยเต้มันเก็บกวาดบ้าน”
“อือ แป๊บเดียว...เต้! ฉันขอยืมพี่สาวนายแป๊บนะ เดี๋ยวเอามาคืน”
“ครับ เอาไปแล้วเอาไปเลยไม่ต้องคืนก็ได้ครับพี่เก่ง ผมยกให้”
กาจพลขานรับ พร้อมกับหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้กับผู้เป็นพี่สาวอย่างล้อเลียน
“ไอ้น้องบ้าพูดอะไรก็ไม่รู้ กวาดบ้านไปเลยนะ ถ้ากลับมาไม่เสร็จล่ะน่าดู”
พีรยาชี้หน้ากาจพลพร้อมกับพูดคาดโทษเสียงดัง เพื่อกลบเกลื่อนความอาย ก่อนจะรีบเดินลงจากบ้านไปก่อนที่คนเป็นน้องจะขายเธอมากไปกว่านี้
**********************************************************************
ติดตามต่อตอนหน้านะคะ ^_^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2554, 22:53:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2554, 22:53:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 2975
<< ตัวค้ำประกัน | ข้อเสนอ >> |

thongyod 19 เม.ย. 2554, 09:24:20 น.
รอตอนต่อไปค่ะ ^--^
รอตอนต่อไปค่ะ ^--^

Gingfara 19 เม.ย. 2554, 16:28:12 น.
จะรอจนกว่าจะจบค่า>O<
จะรอจนกว่าจะจบค่า>O<

onepat 25 มี.ค. 2555, 15:57:51 น.
ใจดีจริงๆๆ
ใจดีจริงๆๆ