รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๑ แฟนเก่า
ตอนที่ ๑
ร่างบางที่กำลังก้มหน้าทำงานกับหน้ากระดาษบัญชีของตนเองเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่และทรุดลงนั่งยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงสนใจกับงานตรงหน้าต่อ แม้จะได้ยินเสียงค่อนขอดตามมา
“นี่เธอกะจะทำงานให้เสร็จโดยไม่สนใจพวกฉันเลยหรือยังไง ยายเหมย พวกเพื่อนๆ อุตส่าห์มาหาทั้งทีนะ” วัสนางค์อดที่จะเอ็ดเพื่อนสาวไม่ได้
“ใช่...ถ้ายายเหมยไม่พูด ฉันว่าเรากลับกันก่อนเถอะฝน” มณีกานดาช่วยเสริมอีกคน ก่อนจะผุดตัวลุกขึ้น ทำท่าจะจูงมือเพื่อนสาวเดินจากไป
ด้วยเหตุนี้เจ้าของสถานที่ถึงได้ผุดลุกขึ้น พร้อมกับเอ็ดตะโรเป็นการใหญ่
“เดี๋ยวๆ พวกเธอนี่ รอสักประเดี๋ยวไม่ได้หรือยังไงยะ”
“รอไม่ได้ ก็เธอไม่เคยสนใจพวกฉันเลยนี่ เอาแต่ทำงาน งาน...งาน...งาน...” วัสนางค์ได้ทีใส่แบบไม่ยั้ง จนเพื่อนสาวต้องยกมือขึ้นเป็นพระปางห้ามญาติ
“พอๆ พอเลยยายฝน อ่ะก็ได้ มามะ มาทางนี้ดีกว่าจ้ะ” ว่าแล้วก็เดินอ้อมจากโต๊ะ มาดึงข้อมือบางของเพื่อนสาวทั้งสองให้ขยับมานั่งยังโซฟาที่อยู่ถัดไป
“เธอนี่นะ...พวกฉันมาที่ไร่ศีตกรรณทีไร เห็นเธอทำแต่งานอย่างเดียว ไม่คิดจะหาเรื่องอื่นทำให้คลายสมองบ้างเลยหรือไงกัน”
สาววัสนางค์มิวายบ่นอุบ ทั้งมองค้อนเพื่อนสาวอย่างไม่พอใจสักเท่าไร แตกต่างจากเพื่อนสาวอีกคนที่นิ่งและเรียบสมกับเป็นกุลสตรี ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสามคบกันได้อย่างไร นิสัยแตกต่างกันลิบลับ
เมยาวี...เจ้าของไร่สาว หุ่นสวยสมสัดส่วนที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉาตามแบบฉบับของความสวยใส แต่...วัสนางค์ชอบต่อท้ายฉายานี้ให้แบบไม่ถนอมน้ำใจเสียเท่าไรว่า แม่เพื่อนสาวนอกจากจะสวยใสแล้ว หล่อนยังไร้ความรู้สึกได้อีก เพราะแม้ว่าเธอจะพูดอะไรให้โกรธมากเท่าไร เมยาวีกลับวางเฉยไม่ถือความราวกับคนไม่มีชีวิตจิตใจ
ด้วยเหตุนี้กระมังฉายาที่ได้รับจากเพื่อนสำหรับวัสนางค์แล้ว ก็คือ แม่สาวปากร้าย ใจกล้า บ้าบิ่น แต่กระนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ไม่เคยลดน้อยลง
ด้วยเพราะพ่อและแม่เป็นเพื่อนรักกันกระมัง พวกเธอทั้งสามจึงคบกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเพื่อนที่สนิท ติดอย่างกับตังเมอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วนี่พวกเธอมีอะไรล่ะ ถึงมาหาฉันถึงที่ไร่นี่” เมยาวีเอ่ยถาม พร้อมกับเลื่อนสายตามองกรอบหน้าสวยของเพื่อนสาวทั้งสองสลับกัน
“ก็เราคิดถึงเธอน่ะ เลยชวนยายฝนมาเยี่ยม” มณีกานดาเอ่ย
“ไหนล่ะของเยี่ยมของฉัน”
“อยากได้ใช่ป่ะ...” วัสนางค์เอ่ยสวนมาในทันที รอยยิ้มสดใสแกมเจ้าเล่ห์อย่างสุดๆ
“อือ...ก็มาเยี่ยมไม่ใช่หรือ ก็ต้องมีของเยี่ยมสิ”
“อยากได้ใช่ไหม นี่ไง”
ว่าแล้ววัสนางค์ก็ล้วงเอาตุ๊กแกผ้า ที่ใช้สำหรับแกล้งเด็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้ววางลงบนมือของเมยาวีที่แบรออยู่
แล้วเวลานั้น วงสนทนาระหว่างเพื่อนสาวทั้งสามก็แตกฮือออกไปในทันที เพราะทั้งมณีกานดาและเมยาวีต่างกลัวตุ๊กแกเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว
มณีกานดากระโดดหลบไปอยู่ข้างหลังเสา ไม่คิดว่าเพื่อนสาวที่มาด้วยกันจะมีมุขที่ทำให้เธอแทบช็อคแบบนี้ได้
ในขณะที่เมยาวีขึ้นไปอยู่บนโต๊ะอีกตัว พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูเป็นยิ่งนัก
“อ๊าย...ยายบ้า ยายฝนบ้า อ๊าย”
หลังชี้หน้าว่าเพื่อนสาวเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ตั้งหน้าตั้งตากรีดเสียงร้องต่อไป โดยไม่สนใจว่าใครจะแตกตื่นเข้ามาดู
วัสนางค์เปิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจเป็นที่สุด แต่เมื่อเห็นอาการของเพื่อนสาวที่กรีดร้องไม่หยุดแล้วก็เริ่มจะรู้สึกรำคาญ
“ว๊ายๆๆๆ”
“พอได้แล้วยายเหมย”
“ว๊ายๆ”
“ฉันบอกให้หยุด พอๆ ยายเหมย”
“ว๊าย...”
“ยังไม่หยุดอีก...” สาวฝนชี้หน้าอย่างรำคาญสุดๆ นี่แม่คุณจะฝึกเสียงเพื่อไปประกวดนางกรี๊ดหรืออย่างไร
“ก็ฉันกลัวนี่...”
“ฉันว่าเธอเว่อร์เอามากกว่านะ ดูยายคีนสิ หยุดร้องไปตั้งนานแล้ว”
“ก็ฉันร้องไม่ออกนี่” มณีกานดาตอบเสียงอ่อย กรอบหน้าสวยซีดเผือด คงจะกลัวจริงๆ อย่างที่เจ้าตัวสารภาพ
“กลับมานั่งได้แล้วคุณเพื่อนๆ เจ้าขา มัวแต่กรี๊ดอยู่นั่นแหละ ก็ไม่ได้คุยกันสักที”
วัสนางค์ส่ายหน้า ทั้งขยับตัวมานั่งตรงตำแหน่งเดิม มณีกานดาขยับตามมา แต่ไม่วายมองไปยังเจ้าตุ๊กแกผ้าตัวนั้นด้วยอาการหวาดระแวง จะเหลือแต่เมยาวีที่ยังยืนโชว์หุ่นอันสุดสวยของตัวเองอยู่ที่เดิม
“นี่ใจเธอจะยืนอยู่บนนั้นคุยกับฉันจริงๆ หรือยายเหมย”
“อือ...จนกว่าเธอจะเอาไอ้ตุ๊กแกตัวนั้นออกไป”
“มันแค่เป็นผ้านะ จะกลัวไปทำไม ดูสิ ยายคีนยังเลิกกลัวแล้ว ใช่ไหมคีน”
“กลัวอยู่...” สาวเรียบตอบกลับมาเสียงอ่อย
“เออ...กลัวก็กลัว งั้นฉันเก็บก็ได้”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบเจ้าตุ๊กตาเจ้าปัญหามาเก็บเอาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังมิวายที่จะบ่นอุบกับเหล่าเพื่อนสาวไม่ได้ โตจนปานนี้ ยังจะกลัวตุ๊กตาผ้ากันอีก
พอเห็นเพื่อนสาวเก็บเจ้าตัวที่ทำให้วงแตกแล้ว เมยาวีจึงยอมขยับตัวลงจากโต๊ะแล้วเดินเข้ามานั่งยังที่เดิม แต่กระนั้นก็ยังอดที่จะฟาดฝ่ามือไปยังต้นแขนของเพื่อนช่างแกล้งไม่ได้
“นี่แน่ะ...รู้ว่าฉันกลัว ยังจะมาทำให้ตกใจอีก”
“แล้วเธอจะเอาของเยี่ยมอีกหรือเปล่าล่ะ จะได้เอาให้ไปนอนกอดเล่นเสียเลย”
“ไม่เอา ฉันกลัว” เมยาวีทำท่าขนลุกขนพองประกอบคำพูดของตนเอง
“แค่เพื่อนมาเยี่ยม ยังจะเอาของเยี่ยมอีก ยายขี้งกเอ้ย...ไร่ก็ติดกันแค่เนี้ย เชอะ” วัสนางค์สวดส่งท้าย พร้อมกับหันมาทางเพื่อนที่มาด้วยกัน
“เอ้าจะพูดอะไรกับยายเหมยก็พูดสิคีน อุตส่าห์มารวมหัว...เอ้ย มารวมตัวกันแล้วนี่”
“คืออย่างนี้จ้ะเหมย...เธอยังจำนายปูนได้ใช่ไหม”
“จำได้สิ สำหรับนายคนนี้ฉันจำเข้าไปถึงไส้ถึงพุงเลยแหละ” เมยาวีเปลี่ยนกิริยามาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในทันที เมื่อได้ยินคำถามจากเพื่อน
ก็แน่อยู่แล้วล่ะ สำหรับปวีร์และเมยาวีแล้ว ในครั้งที่เรียนมหาลัยด้วยกันนั้น ทั้งสองเคยเป็นแฟนกัน แต่เพราะแค่หมอดูทักว่าเธอกับเขาไม่ใช่เนื้อคู่ และเธอจะทำให้ชีวิตของเขาตกอับหากฝืนชะตาแต่งงานกันไป แค่นั้นแหละ ปวีร์ก็ฉากตัวตีห่างออกจากเธอในทันที เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด กับคนที่คบกันมาเกือบเจ็ดปีเต็ม และหมอดูที่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ปวีร์กลับเลือกที่จะเชื่อหมอดู อย่างนี้มันจะไม่แค้นได้อย่างไร
“พอดีว่าเขาจะแต่งงานน่ะ ก็เลยโทรมาหาฉันให้ฉันช่วยมาพูดกับเธอเรื่องการจะขอซื้อดอกไม้ไปจัดงานแต่งงานของเขา” สาวเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้เอ่ยถึงธุระของตนกับเพื่อนสาวอย่างเชื่องช้าและชัดเจนตามแบบฉบับของตนเอง
“อ้อเหรอ...เมื่อไหร่ล่ะ” น้ำเสียงที่ถามกลับราบเรียบ ทว่าแววตาของเธอกลับลุกโชน
“เร็วๆ นี้จ้ะ”
“ได้...ฉันจะได้จัดพวงหรีดให้สักพวงสองพวง”
“ยายเหมย เธอก็พูดเกินไป อย่างน้อยนายปูนก็เคยเป็นเพื่อนของเรานะ” วัสนางค์เอ่ยเตือน
แม้เพื่อนจะปราม แต่เมยาวีก็ไม่ลืมความเจ็บปวดระหว่างปวีร์กับเธอ ยิ่งได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังจะแต่งงานความ
โกรธเกรี้ยวก็ยิ่งแผ่กระจายเข้าครอบคลุมไปทั่วทั้งจิตใจ
“แล้วผู้หญิงที่ไหนล่ะ ที่เป็นผู้โชคร้ายรายนั้น”
“ยายมีนจ้ะ มัสมารส เพื่อนในห้องของเราอย่างไรล่ะจ้ะ” มณีกานดาเป็นฝ่ายไขความกระจ่างนั้น ขณะเมยาวีกลับหน้าสลดลงไปในทันที
ชีวิตนี้นายคนนั้นจะไม่คิดเปิดใจไปเลือกใครอื่นนอกจากคนที่เรียนด้วยกันหรือยังไงนะ
“ยายมีนนั่นหรือ ที่เป็นเนื้อคู่ของนายปูน”
“ไม่รู้เหมือนกัน ช่างเถอะเหมย เมื่อทั้งสองคนเขาจะแต่งงานกันแล้ว ในฐานะที่เราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนเธอก็ควรจะดีใจไม่ใช่หรือ”
“แต่ฉันโกรธนี่...” เผลอหลุดบางคำออกมาจนได้ ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากของตนเองอย่างรวดเร็ว
“โกรธ...ไหนว่าเธอลืมนายคนนั้นได้แล้วยังไงล่ะเหมย” วัสนางค์เปิดประเด็นซักฟอกอีกรอบ
“ก็...ฉันลืมแล้ว แต่...”
จะบอกเพื่อนไปได้ยังไงว่าถึงแม้เธอจะลืมว่าเคยรัก แต่ความโกรธแค้นที่มีอยู่ในจิตใจมันก็ไม่เคยจางหายลดน้อยลงไปแม้สักเสี้ยว
“เหมย...ฉันบอกเธอแล้วยังไงล่ะ ว่าให้ลืมเขาได้แล้ว อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วหลายปี เธอไม่ควรจะปิดกั้นตัวเองนะ อย่าลืมสิว่าบนโลกใบนี้ไม่ใช่มีแค่ผู้ชายคนเดียว”
“แต่ฉัน...”
“นายปูนให้มาชวนเธอไปร่วมงานด้วยไม่ใช่หรือ ใช่ไหมคีน”
“ใช่จ้ะ ไปด้วยกันนะเหมย”
“ฉันไม่ไป”
จู่ๆ เสียงของเธอก็เริ่มสั่น เธอกำลังกลัว...กลัวใจของตนเอง กลัวว่าสิ่งที่เธอคิดและเข้าใจมาโดยตลอดว่าลืมไปแล้วในเรื่องความรักเหลือไว้เพียงความโกรธแค้นนั้นมันจะไม่เป็นดั่งเข้าใจ และหากเธอไปเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแล้วความรู้สึกเดิมๆ มันจะกลับมาทำร้ายหัวใจของเธออีก
“ไปเถอะ มันจะได้แสดงให้เห็นอย่างไรล่ะ ว่าเธอลืมนายนั่นไปได้แล้วจริงๆ ชีวิตของเราต้องสู้นะเหมย ไม่ใช่จมปลักอยู่กับเรื่องในอดีต”
“ใช่...เธอต้องพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นสิ ว่าเธอไม่ได้เศร้าเหมือนแต่ก่อน เธอต้องสู้ เธอจะต้องเข้มแข็ง ฉันและฝนจะยังอยู่เคียงข้างเธอเสมอนะ”
มณีกานดาช่วยเสริมอีกคนหนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับเพื่อนสาว จากนั้นทั้งสามก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม บรรยากาศโดยรอบค่อยจะดีขึ้นตามลำดับ
****
ที่โรงแรมชื่อดังประจำจังหวัด สถานที่จัดงานแต่งงานของปวีร์ ดอกไม้ภายในงานล้วนแล้วแต่มาจากไร่ศีตกรรณทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอน ผู้ที่จัดดอกไม้ในงานก็คงจะไม่พ้นสามสาวอย่างเมยาวี มณีกานดา และวัสนางค์ อดีตเพื่อนของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว หลังจากที่จัดดอกไม้เรียบร้อยแล้วทั้งสามสาวจึงชวนกันกลับเพื่อจะไปเปลี่ยนชุดมาร่วมงานมงคลสมรสในครั้งนี้
ยามเย็นช่วงเวลาเริ่มงานฉลองสมรส เหล่าแขกเหรื่อต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันจนแน่นขนัดภายในงาน เจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมายืนต้อนรับแขก...
เมยาวี มณีกานดา และวัสนางค์ ก็มาปรากฏตัวอีกครั้งยังสถานที่เดิม วันนี้ผู้ที่สวยที่สุด แถมยังเกินเจ้าสาวของงานอีก เห็นจะเป็นเมยาวี ที่เธอคิดอย่างไรไม่ทราบได้ กับการแต่งตัวเซ็กซี่มาซะเต็มยศ ด้วยชุดราตรียาวสีแดงสดเปิดไหล่เปิดหลังอวดผิวขาวผ่อง ผิดกับวัสนางค์และมณีกานดา ที่แม้จะอยู่ในชุดราตรี แต่ก็เป็นสีแบบเรียบๆ ตามแบบฉบับของตน
มณีกานดา อยู่ในชุดราตรียาวสีบานเย็น มีเครื่องแต่งตัว ทั้งตุ้มหู ทั้งสร้อยคอ ช่วยเสริมให้ร่างบางและกรอบหน้าสวยหวานและเรียบนั้น ดูมีสง่ามากขึ้น
เช่นเดียวกับวัสนางค์ที่อยู่ในชุดราตรีสีเขียวมะนาว มีชุดเครื่องเพชรของผู้เป็นมารดาแต่งมาซะเต็มยศ ดูๆ แล้ว ความสวยของทั้งสามสาวแล้ว แม้จะเป็นคนละแบบ แต่กระนั้นก็ดูงามสง่าตามแบบฉบับของตน
เหล่าแขกภายในงาน ต่างหันมามองพวกเธอเป็นจุดเดียว หลังเห็นการปรากฏโฉม ดั่งนางแบบบนแคทวอร์ท ที่ออกมาโชว์เครื่องเพชรบนตัวของพวกเธอเอง
“สวัสดีครับทั้งสามสาว วันนี้ดูสวยจริงๆ นะ”
เจ้าบ่าวของงานคลี่ยิ้มอย่างยินดีที่พวกหล่อนมา แถมยังแต่งตัวสวย จนเหล่าหนุ่มโสดภายในงาน และก็ไม่แม้กับเขา ที่มองพวกหล่อนอย่างชื่นชม
“ขอบใจที่ชม” เมยาวีตอบเสียงเรียบ หากรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ากลับไม่จางไปเลย
“งานของนายทั้งที จะไม่ให้สวยได้ยังไง”
“ใช่...คนอย่างฉันสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องแต่งอะไรมากก็สวยเริ่ดอยู่แล้วล่ะ”
เมยาวีช่วยต่อประโยคท้ายให้กับเพื่อนสาว ดวงตาคู่สวยมองเจ้าบ่าว และก็มิวายยิ้มเหยียดไปยังเจ้าสาวที่ยืนข้างๆ กับเจ้าบ่าวไม่ได้
“ไงจ๊ะยายมีน มีผะ...อุ๊บ”
จะพูดคำว่าผัวให้จบ แต่มือของวัสนางค์ก็เร็วอย่างกับอะไรดี เอื้อมมาปิดปากของเพื่อนสาวได้อย่างทันท่วงที
“ดีใจด้วยนะมีน ปูน”
“ขอบคุณครับ ฝน คีน เอ่อ...เหมย”
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะ”
หลังเห็นแม่เพื่อนสาวดิ้นขลุกขลักพยายามจะแกะมือของเธอออกเพื่อมาต่อประโยคนั้นให้จบ วัสนางค์จึงรีบดึงเมยาวีให้ตามกันเข้าไปในงานในทันที
***
“ปล่อยฉันได้แล้วยายฝน” เมยาวีโวยลั่น พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะแกะมือของเพื่อนสาวออกมาได้จนสำเร็จในที่สุด
“มือเธอเค็มเป็นบ้าเลย” มิวายที่จะบ่นอีก กรอบหน้าสวยยับยู่
“เมื่อกี้เธอจะพูดอะไรยายเหมย...” วัสนางค์ได้ทีคาดคั้น
“ก็ฉันจะแสดงความดีใจกับยายมีนนี่ มันผิดตรงไหน”
“ผิดน่ะ ไม่ผิดหรอก แต่ที่ฉันได้ยิน เธอกำลังจะพูดสิ่งอัปมงคลนะ”
“ผัวหรือ...ไม่หรอกมั้ง เค้าก็ใช้กันจนทั่ว”
“แต่มันไม่ใช่ตรงนี้นี่เหมย” มณีกานดาขยับเข้ามาบอก พร้อมกับแก้วน้ำส้ม
“อ่ะ...กินน้ำเสียก่อน จะได้ใจเย็น” วัสนางค์รับแก้วน้ำจากเพื่อนสาวมาส่งยื่นให้กับเมยาวี ซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปถือเอาไว้เท่านั้น โดยไม่ยอมกิน
“น้ำส้ม...น้ำนางเอก กินซะสิ หรือเธอจะกินน้ำแดง น้ำนางร้าย ฉันจะไปเอามาให้”
“ก็ได้...”
แม่สาวจอมพยศยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอักๆ เมื่อความเย็นที่ไหลผ่านลำคอ พอที่จะทำให้อารมณ์ที่มันคุกรุ่นในหัวใจลดทอนลงไปได้
“ไหนว่าเธอจะเชิดไงยายเหมย นี่เกือบจะทำตัวเป็นนางร้ายแล้วนะ”
“ก็ฉันอดไม่ได้นี่ เห็นหน้านายนั่นทีไร อยากจะโดดงับหัวมันทุกที”
“พอๆ เรื่องไร้สาระทั้งเพ เข้าไปในงานได้แล้ว และก็อย่าลืมเชิดด้วย อ้อ...แล้วก็อย่าทำอะไรให้พวกเราหน้าแตกจนวิ่งออกจากงานไปแทบไม่ทันล่ะ เดี๋ยวได้ชวดเงินค่าดอกไม้กันพอดี”
“ป่ะไปเถอะ เหมย เราไปทางนู้นกันดีกว่า”
มณีกานดาเข้ามาจูงมือเพื่อนสาวก่อนจะพาเดินเข้าไปในงาน ส่วนวัสนางค์ได้เดินแยกไปอีกทางหนึ่ง เหมือนจะมีเป้าหมายในใจอยู่แล้ว
***
“นายปูน...” วัสนางค์เรียกเจ้าบ่าวของงานที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ที่หน้างาน พร้อมกับเจ้าสาว
“อ้าว ฝน...มีอะไรหรือครับ แล้ว อีกสองคนล่ะ” ชายหนุ่มอดที่จะชะเง้อมองหาเพื่อนสาวของเธออีกสองคนไม่ได้
“สองคนนั้นเข้าไปในงานแล้วล่ะ เอ้อ...กับเรื่องเมื่อกี้ ฉันขอโทษแทนยายเหมยด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ว่าอะไร”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ขณะวัสนางค์มองเลยไปยังมัสมารส เจ้าสาวของงานนี้
“เธอด้วยนะมีน ฉันขอโทษแทนยายเหมยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันรู้จักกับเหมยมาก็ตั้งนาน ฉันไม่โกรธหรอก”
“อ้อ...นี่ของขวัญ เมื่อกี้ว่าจะให้แล้ว ให้ตอนนี้คงไม่ว่ากันนะ นี่ของยายเหมยและของยายคีน”
หญิงสาวยื่นกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ สามชิ้นให้กับคู่บ่าวสาว ที่เอื้อมมือมารับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ
“ขอบใจพวกเธอมากนะฝน ฝากขอบใจเหมยและคีนด้วยนะ”
“จ้ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะ มีแขกมานู้นแล้ว พวกเธอไปต้อนรับแขกเถอะ”
“ขอบใจมากๆ นะครับฝน”
ปวีร์เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหันไปชวนเจ้าสาวเดินไปต้อนรับแขก ขณะวัสนางค์ได้แต่ถอนใจ ถึงเมยาวีจะโกรธเกลียดคู่บ่าวสาวเจ้าของงาน ทว่าทั้งหมดก็คือเพื่อนของเธอ การได้ยืนอยู่ในจุดกึ่งกลางของความบาดหมางเหล่านั้นไม่เข้าข้างใครคนหนึ่งคนใด ก็ถือว่าเธอทำถูกต้องแล้ว
ร่างบางที่กำลังก้มหน้าทำงานกับหน้ากระดาษบัญชีของตนเองเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่และทรุดลงนั่งยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงสนใจกับงานตรงหน้าต่อ แม้จะได้ยินเสียงค่อนขอดตามมา
“นี่เธอกะจะทำงานให้เสร็จโดยไม่สนใจพวกฉันเลยหรือยังไง ยายเหมย พวกเพื่อนๆ อุตส่าห์มาหาทั้งทีนะ” วัสนางค์อดที่จะเอ็ดเพื่อนสาวไม่ได้
“ใช่...ถ้ายายเหมยไม่พูด ฉันว่าเรากลับกันก่อนเถอะฝน” มณีกานดาช่วยเสริมอีกคน ก่อนจะผุดตัวลุกขึ้น ทำท่าจะจูงมือเพื่อนสาวเดินจากไป
ด้วยเหตุนี้เจ้าของสถานที่ถึงได้ผุดลุกขึ้น พร้อมกับเอ็ดตะโรเป็นการใหญ่
“เดี๋ยวๆ พวกเธอนี่ รอสักประเดี๋ยวไม่ได้หรือยังไงยะ”
“รอไม่ได้ ก็เธอไม่เคยสนใจพวกฉันเลยนี่ เอาแต่ทำงาน งาน...งาน...งาน...” วัสนางค์ได้ทีใส่แบบไม่ยั้ง จนเพื่อนสาวต้องยกมือขึ้นเป็นพระปางห้ามญาติ
“พอๆ พอเลยยายฝน อ่ะก็ได้ มามะ มาทางนี้ดีกว่าจ้ะ” ว่าแล้วก็เดินอ้อมจากโต๊ะ มาดึงข้อมือบางของเพื่อนสาวทั้งสองให้ขยับมานั่งยังโซฟาที่อยู่ถัดไป
“เธอนี่นะ...พวกฉันมาที่ไร่ศีตกรรณทีไร เห็นเธอทำแต่งานอย่างเดียว ไม่คิดจะหาเรื่องอื่นทำให้คลายสมองบ้างเลยหรือไงกัน”
สาววัสนางค์มิวายบ่นอุบ ทั้งมองค้อนเพื่อนสาวอย่างไม่พอใจสักเท่าไร แตกต่างจากเพื่อนสาวอีกคนที่นิ่งและเรียบสมกับเป็นกุลสตรี ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสามคบกันได้อย่างไร นิสัยแตกต่างกันลิบลับ
เมยาวี...เจ้าของไร่สาว หุ่นสวยสมสัดส่วนที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉาตามแบบฉบับของความสวยใส แต่...วัสนางค์ชอบต่อท้ายฉายานี้ให้แบบไม่ถนอมน้ำใจเสียเท่าไรว่า แม่เพื่อนสาวนอกจากจะสวยใสแล้ว หล่อนยังไร้ความรู้สึกได้อีก เพราะแม้ว่าเธอจะพูดอะไรให้โกรธมากเท่าไร เมยาวีกลับวางเฉยไม่ถือความราวกับคนไม่มีชีวิตจิตใจ
ด้วยเหตุนี้กระมังฉายาที่ได้รับจากเพื่อนสำหรับวัสนางค์แล้ว ก็คือ แม่สาวปากร้าย ใจกล้า บ้าบิ่น แต่กระนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ไม่เคยลดน้อยลง
ด้วยเพราะพ่อและแม่เป็นเพื่อนรักกันกระมัง พวกเธอทั้งสามจึงคบกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเพื่อนที่สนิท ติดอย่างกับตังเมอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วนี่พวกเธอมีอะไรล่ะ ถึงมาหาฉันถึงที่ไร่นี่” เมยาวีเอ่ยถาม พร้อมกับเลื่อนสายตามองกรอบหน้าสวยของเพื่อนสาวทั้งสองสลับกัน
“ก็เราคิดถึงเธอน่ะ เลยชวนยายฝนมาเยี่ยม” มณีกานดาเอ่ย
“ไหนล่ะของเยี่ยมของฉัน”
“อยากได้ใช่ป่ะ...” วัสนางค์เอ่ยสวนมาในทันที รอยยิ้มสดใสแกมเจ้าเล่ห์อย่างสุดๆ
“อือ...ก็มาเยี่ยมไม่ใช่หรือ ก็ต้องมีของเยี่ยมสิ”
“อยากได้ใช่ไหม นี่ไง”
ว่าแล้ววัสนางค์ก็ล้วงเอาตุ๊กแกผ้า ที่ใช้สำหรับแกล้งเด็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้ววางลงบนมือของเมยาวีที่แบรออยู่
แล้วเวลานั้น วงสนทนาระหว่างเพื่อนสาวทั้งสามก็แตกฮือออกไปในทันที เพราะทั้งมณีกานดาและเมยาวีต่างกลัวตุ๊กแกเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว
มณีกานดากระโดดหลบไปอยู่ข้างหลังเสา ไม่คิดว่าเพื่อนสาวที่มาด้วยกันจะมีมุขที่ทำให้เธอแทบช็อคแบบนี้ได้
ในขณะที่เมยาวีขึ้นไปอยู่บนโต๊ะอีกตัว พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูเป็นยิ่งนัก
“อ๊าย...ยายบ้า ยายฝนบ้า อ๊าย”
หลังชี้หน้าว่าเพื่อนสาวเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ตั้งหน้าตั้งตากรีดเสียงร้องต่อไป โดยไม่สนใจว่าใครจะแตกตื่นเข้ามาดู
วัสนางค์เปิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจเป็นที่สุด แต่เมื่อเห็นอาการของเพื่อนสาวที่กรีดร้องไม่หยุดแล้วก็เริ่มจะรู้สึกรำคาญ
“ว๊ายๆๆๆ”
“พอได้แล้วยายเหมย”
“ว๊ายๆ”
“ฉันบอกให้หยุด พอๆ ยายเหมย”
“ว๊าย...”
“ยังไม่หยุดอีก...” สาวฝนชี้หน้าอย่างรำคาญสุดๆ นี่แม่คุณจะฝึกเสียงเพื่อไปประกวดนางกรี๊ดหรืออย่างไร
“ก็ฉันกลัวนี่...”
“ฉันว่าเธอเว่อร์เอามากกว่านะ ดูยายคีนสิ หยุดร้องไปตั้งนานแล้ว”
“ก็ฉันร้องไม่ออกนี่” มณีกานดาตอบเสียงอ่อย กรอบหน้าสวยซีดเผือด คงจะกลัวจริงๆ อย่างที่เจ้าตัวสารภาพ
“กลับมานั่งได้แล้วคุณเพื่อนๆ เจ้าขา มัวแต่กรี๊ดอยู่นั่นแหละ ก็ไม่ได้คุยกันสักที”
วัสนางค์ส่ายหน้า ทั้งขยับตัวมานั่งตรงตำแหน่งเดิม มณีกานดาขยับตามมา แต่ไม่วายมองไปยังเจ้าตุ๊กแกผ้าตัวนั้นด้วยอาการหวาดระแวง จะเหลือแต่เมยาวีที่ยังยืนโชว์หุ่นอันสุดสวยของตัวเองอยู่ที่เดิม
“นี่ใจเธอจะยืนอยู่บนนั้นคุยกับฉันจริงๆ หรือยายเหมย”
“อือ...จนกว่าเธอจะเอาไอ้ตุ๊กแกตัวนั้นออกไป”
“มันแค่เป็นผ้านะ จะกลัวไปทำไม ดูสิ ยายคีนยังเลิกกลัวแล้ว ใช่ไหมคีน”
“กลัวอยู่...” สาวเรียบตอบกลับมาเสียงอ่อย
“เออ...กลัวก็กลัว งั้นฉันเก็บก็ได้”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบเจ้าตุ๊กตาเจ้าปัญหามาเก็บเอาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังมิวายที่จะบ่นอุบกับเหล่าเพื่อนสาวไม่ได้ โตจนปานนี้ ยังจะกลัวตุ๊กตาผ้ากันอีก
พอเห็นเพื่อนสาวเก็บเจ้าตัวที่ทำให้วงแตกแล้ว เมยาวีจึงยอมขยับตัวลงจากโต๊ะแล้วเดินเข้ามานั่งยังที่เดิม แต่กระนั้นก็ยังอดที่จะฟาดฝ่ามือไปยังต้นแขนของเพื่อนช่างแกล้งไม่ได้
“นี่แน่ะ...รู้ว่าฉันกลัว ยังจะมาทำให้ตกใจอีก”
“แล้วเธอจะเอาของเยี่ยมอีกหรือเปล่าล่ะ จะได้เอาให้ไปนอนกอดเล่นเสียเลย”
“ไม่เอา ฉันกลัว” เมยาวีทำท่าขนลุกขนพองประกอบคำพูดของตนเอง
“แค่เพื่อนมาเยี่ยม ยังจะเอาของเยี่ยมอีก ยายขี้งกเอ้ย...ไร่ก็ติดกันแค่เนี้ย เชอะ” วัสนางค์สวดส่งท้าย พร้อมกับหันมาทางเพื่อนที่มาด้วยกัน
“เอ้าจะพูดอะไรกับยายเหมยก็พูดสิคีน อุตส่าห์มารวมหัว...เอ้ย มารวมตัวกันแล้วนี่”
“คืออย่างนี้จ้ะเหมย...เธอยังจำนายปูนได้ใช่ไหม”
“จำได้สิ สำหรับนายคนนี้ฉันจำเข้าไปถึงไส้ถึงพุงเลยแหละ” เมยาวีเปลี่ยนกิริยามาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในทันที เมื่อได้ยินคำถามจากเพื่อน
ก็แน่อยู่แล้วล่ะ สำหรับปวีร์และเมยาวีแล้ว ในครั้งที่เรียนมหาลัยด้วยกันนั้น ทั้งสองเคยเป็นแฟนกัน แต่เพราะแค่หมอดูทักว่าเธอกับเขาไม่ใช่เนื้อคู่ และเธอจะทำให้ชีวิตของเขาตกอับหากฝืนชะตาแต่งงานกันไป แค่นั้นแหละ ปวีร์ก็ฉากตัวตีห่างออกจากเธอในทันที เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด กับคนที่คบกันมาเกือบเจ็ดปีเต็ม และหมอดูที่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ปวีร์กลับเลือกที่จะเชื่อหมอดู อย่างนี้มันจะไม่แค้นได้อย่างไร
“พอดีว่าเขาจะแต่งงานน่ะ ก็เลยโทรมาหาฉันให้ฉันช่วยมาพูดกับเธอเรื่องการจะขอซื้อดอกไม้ไปจัดงานแต่งงานของเขา” สาวเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้เอ่ยถึงธุระของตนกับเพื่อนสาวอย่างเชื่องช้าและชัดเจนตามแบบฉบับของตนเอง
“อ้อเหรอ...เมื่อไหร่ล่ะ” น้ำเสียงที่ถามกลับราบเรียบ ทว่าแววตาของเธอกลับลุกโชน
“เร็วๆ นี้จ้ะ”
“ได้...ฉันจะได้จัดพวงหรีดให้สักพวงสองพวง”
“ยายเหมย เธอก็พูดเกินไป อย่างน้อยนายปูนก็เคยเป็นเพื่อนของเรานะ” วัสนางค์เอ่ยเตือน
แม้เพื่อนจะปราม แต่เมยาวีก็ไม่ลืมความเจ็บปวดระหว่างปวีร์กับเธอ ยิ่งได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังจะแต่งงานความ
โกรธเกรี้ยวก็ยิ่งแผ่กระจายเข้าครอบคลุมไปทั่วทั้งจิตใจ
“แล้วผู้หญิงที่ไหนล่ะ ที่เป็นผู้โชคร้ายรายนั้น”
“ยายมีนจ้ะ มัสมารส เพื่อนในห้องของเราอย่างไรล่ะจ้ะ” มณีกานดาเป็นฝ่ายไขความกระจ่างนั้น ขณะเมยาวีกลับหน้าสลดลงไปในทันที
ชีวิตนี้นายคนนั้นจะไม่คิดเปิดใจไปเลือกใครอื่นนอกจากคนที่เรียนด้วยกันหรือยังไงนะ
“ยายมีนนั่นหรือ ที่เป็นเนื้อคู่ของนายปูน”
“ไม่รู้เหมือนกัน ช่างเถอะเหมย เมื่อทั้งสองคนเขาจะแต่งงานกันแล้ว ในฐานะที่เราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนเธอก็ควรจะดีใจไม่ใช่หรือ”
“แต่ฉันโกรธนี่...” เผลอหลุดบางคำออกมาจนได้ ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากของตนเองอย่างรวดเร็ว
“โกรธ...ไหนว่าเธอลืมนายคนนั้นได้แล้วยังไงล่ะเหมย” วัสนางค์เปิดประเด็นซักฟอกอีกรอบ
“ก็...ฉันลืมแล้ว แต่...”
จะบอกเพื่อนไปได้ยังไงว่าถึงแม้เธอจะลืมว่าเคยรัก แต่ความโกรธแค้นที่มีอยู่ในจิตใจมันก็ไม่เคยจางหายลดน้อยลงไปแม้สักเสี้ยว
“เหมย...ฉันบอกเธอแล้วยังไงล่ะ ว่าให้ลืมเขาได้แล้ว อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วหลายปี เธอไม่ควรจะปิดกั้นตัวเองนะ อย่าลืมสิว่าบนโลกใบนี้ไม่ใช่มีแค่ผู้ชายคนเดียว”
“แต่ฉัน...”
“นายปูนให้มาชวนเธอไปร่วมงานด้วยไม่ใช่หรือ ใช่ไหมคีน”
“ใช่จ้ะ ไปด้วยกันนะเหมย”
“ฉันไม่ไป”
จู่ๆ เสียงของเธอก็เริ่มสั่น เธอกำลังกลัว...กลัวใจของตนเอง กลัวว่าสิ่งที่เธอคิดและเข้าใจมาโดยตลอดว่าลืมไปแล้วในเรื่องความรักเหลือไว้เพียงความโกรธแค้นนั้นมันจะไม่เป็นดั่งเข้าใจ และหากเธอไปเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแล้วความรู้สึกเดิมๆ มันจะกลับมาทำร้ายหัวใจของเธออีก
“ไปเถอะ มันจะได้แสดงให้เห็นอย่างไรล่ะ ว่าเธอลืมนายนั่นไปได้แล้วจริงๆ ชีวิตของเราต้องสู้นะเหมย ไม่ใช่จมปลักอยู่กับเรื่องในอดีต”
“ใช่...เธอต้องพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นสิ ว่าเธอไม่ได้เศร้าเหมือนแต่ก่อน เธอต้องสู้ เธอจะต้องเข้มแข็ง ฉันและฝนจะยังอยู่เคียงข้างเธอเสมอนะ”
มณีกานดาช่วยเสริมอีกคนหนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับเพื่อนสาว จากนั้นทั้งสามก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม บรรยากาศโดยรอบค่อยจะดีขึ้นตามลำดับ
****
ที่โรงแรมชื่อดังประจำจังหวัด สถานที่จัดงานแต่งงานของปวีร์ ดอกไม้ภายในงานล้วนแล้วแต่มาจากไร่ศีตกรรณทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอน ผู้ที่จัดดอกไม้ในงานก็คงจะไม่พ้นสามสาวอย่างเมยาวี มณีกานดา และวัสนางค์ อดีตเพื่อนของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว หลังจากที่จัดดอกไม้เรียบร้อยแล้วทั้งสามสาวจึงชวนกันกลับเพื่อจะไปเปลี่ยนชุดมาร่วมงานมงคลสมรสในครั้งนี้
ยามเย็นช่วงเวลาเริ่มงานฉลองสมรส เหล่าแขกเหรื่อต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันจนแน่นขนัดภายในงาน เจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมายืนต้อนรับแขก...
เมยาวี มณีกานดา และวัสนางค์ ก็มาปรากฏตัวอีกครั้งยังสถานที่เดิม วันนี้ผู้ที่สวยที่สุด แถมยังเกินเจ้าสาวของงานอีก เห็นจะเป็นเมยาวี ที่เธอคิดอย่างไรไม่ทราบได้ กับการแต่งตัวเซ็กซี่มาซะเต็มยศ ด้วยชุดราตรียาวสีแดงสดเปิดไหล่เปิดหลังอวดผิวขาวผ่อง ผิดกับวัสนางค์และมณีกานดา ที่แม้จะอยู่ในชุดราตรี แต่ก็เป็นสีแบบเรียบๆ ตามแบบฉบับของตน
มณีกานดา อยู่ในชุดราตรียาวสีบานเย็น มีเครื่องแต่งตัว ทั้งตุ้มหู ทั้งสร้อยคอ ช่วยเสริมให้ร่างบางและกรอบหน้าสวยหวานและเรียบนั้น ดูมีสง่ามากขึ้น
เช่นเดียวกับวัสนางค์ที่อยู่ในชุดราตรีสีเขียวมะนาว มีชุดเครื่องเพชรของผู้เป็นมารดาแต่งมาซะเต็มยศ ดูๆ แล้ว ความสวยของทั้งสามสาวแล้ว แม้จะเป็นคนละแบบ แต่กระนั้นก็ดูงามสง่าตามแบบฉบับของตน
เหล่าแขกภายในงาน ต่างหันมามองพวกเธอเป็นจุดเดียว หลังเห็นการปรากฏโฉม ดั่งนางแบบบนแคทวอร์ท ที่ออกมาโชว์เครื่องเพชรบนตัวของพวกเธอเอง
“สวัสดีครับทั้งสามสาว วันนี้ดูสวยจริงๆ นะ”
เจ้าบ่าวของงานคลี่ยิ้มอย่างยินดีที่พวกหล่อนมา แถมยังแต่งตัวสวย จนเหล่าหนุ่มโสดภายในงาน และก็ไม่แม้กับเขา ที่มองพวกหล่อนอย่างชื่นชม
“ขอบใจที่ชม” เมยาวีตอบเสียงเรียบ หากรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ากลับไม่จางไปเลย
“งานของนายทั้งที จะไม่ให้สวยได้ยังไง”
“ใช่...คนอย่างฉันสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องแต่งอะไรมากก็สวยเริ่ดอยู่แล้วล่ะ”
เมยาวีช่วยต่อประโยคท้ายให้กับเพื่อนสาว ดวงตาคู่สวยมองเจ้าบ่าว และก็มิวายยิ้มเหยียดไปยังเจ้าสาวที่ยืนข้างๆ กับเจ้าบ่าวไม่ได้
“ไงจ๊ะยายมีน มีผะ...อุ๊บ”
จะพูดคำว่าผัวให้จบ แต่มือของวัสนางค์ก็เร็วอย่างกับอะไรดี เอื้อมมาปิดปากของเพื่อนสาวได้อย่างทันท่วงที
“ดีใจด้วยนะมีน ปูน”
“ขอบคุณครับ ฝน คีน เอ่อ...เหมย”
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะ”
หลังเห็นแม่เพื่อนสาวดิ้นขลุกขลักพยายามจะแกะมือของเธอออกเพื่อมาต่อประโยคนั้นให้จบ วัสนางค์จึงรีบดึงเมยาวีให้ตามกันเข้าไปในงานในทันที
***
“ปล่อยฉันได้แล้วยายฝน” เมยาวีโวยลั่น พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะแกะมือของเพื่อนสาวออกมาได้จนสำเร็จในที่สุด
“มือเธอเค็มเป็นบ้าเลย” มิวายที่จะบ่นอีก กรอบหน้าสวยยับยู่
“เมื่อกี้เธอจะพูดอะไรยายเหมย...” วัสนางค์ได้ทีคาดคั้น
“ก็ฉันจะแสดงความดีใจกับยายมีนนี่ มันผิดตรงไหน”
“ผิดน่ะ ไม่ผิดหรอก แต่ที่ฉันได้ยิน เธอกำลังจะพูดสิ่งอัปมงคลนะ”
“ผัวหรือ...ไม่หรอกมั้ง เค้าก็ใช้กันจนทั่ว”
“แต่มันไม่ใช่ตรงนี้นี่เหมย” มณีกานดาขยับเข้ามาบอก พร้อมกับแก้วน้ำส้ม
“อ่ะ...กินน้ำเสียก่อน จะได้ใจเย็น” วัสนางค์รับแก้วน้ำจากเพื่อนสาวมาส่งยื่นให้กับเมยาวี ซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปถือเอาไว้เท่านั้น โดยไม่ยอมกิน
“น้ำส้ม...น้ำนางเอก กินซะสิ หรือเธอจะกินน้ำแดง น้ำนางร้าย ฉันจะไปเอามาให้”
“ก็ได้...”
แม่สาวจอมพยศยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอักๆ เมื่อความเย็นที่ไหลผ่านลำคอ พอที่จะทำให้อารมณ์ที่มันคุกรุ่นในหัวใจลดทอนลงไปได้
“ไหนว่าเธอจะเชิดไงยายเหมย นี่เกือบจะทำตัวเป็นนางร้ายแล้วนะ”
“ก็ฉันอดไม่ได้นี่ เห็นหน้านายนั่นทีไร อยากจะโดดงับหัวมันทุกที”
“พอๆ เรื่องไร้สาระทั้งเพ เข้าไปในงานได้แล้ว และก็อย่าลืมเชิดด้วย อ้อ...แล้วก็อย่าทำอะไรให้พวกเราหน้าแตกจนวิ่งออกจากงานไปแทบไม่ทันล่ะ เดี๋ยวได้ชวดเงินค่าดอกไม้กันพอดี”
“ป่ะไปเถอะ เหมย เราไปทางนู้นกันดีกว่า”
มณีกานดาเข้ามาจูงมือเพื่อนสาวก่อนจะพาเดินเข้าไปในงาน ส่วนวัสนางค์ได้เดินแยกไปอีกทางหนึ่ง เหมือนจะมีเป้าหมายในใจอยู่แล้ว
***
“นายปูน...” วัสนางค์เรียกเจ้าบ่าวของงานที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ที่หน้างาน พร้อมกับเจ้าสาว
“อ้าว ฝน...มีอะไรหรือครับ แล้ว อีกสองคนล่ะ” ชายหนุ่มอดที่จะชะเง้อมองหาเพื่อนสาวของเธออีกสองคนไม่ได้
“สองคนนั้นเข้าไปในงานแล้วล่ะ เอ้อ...กับเรื่องเมื่อกี้ ฉันขอโทษแทนยายเหมยด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ว่าอะไร”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ขณะวัสนางค์มองเลยไปยังมัสมารส เจ้าสาวของงานนี้
“เธอด้วยนะมีน ฉันขอโทษแทนยายเหมยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันรู้จักกับเหมยมาก็ตั้งนาน ฉันไม่โกรธหรอก”
“อ้อ...นี่ของขวัญ เมื่อกี้ว่าจะให้แล้ว ให้ตอนนี้คงไม่ว่ากันนะ นี่ของยายเหมยและของยายคีน”
หญิงสาวยื่นกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ สามชิ้นให้กับคู่บ่าวสาว ที่เอื้อมมือมารับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ
“ขอบใจพวกเธอมากนะฝน ฝากขอบใจเหมยและคีนด้วยนะ”
“จ้ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะ มีแขกมานู้นแล้ว พวกเธอไปต้อนรับแขกเถอะ”
“ขอบใจมากๆ นะครับฝน”
ปวีร์เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหันไปชวนเจ้าสาวเดินไปต้อนรับแขก ขณะวัสนางค์ได้แต่ถอนใจ ถึงเมยาวีจะโกรธเกลียดคู่บ่าวสาวเจ้าของงาน ทว่าทั้งหมดก็คือเพื่อนของเธอ การได้ยืนอยู่ในจุดกึ่งกลางของความบาดหมางเหล่านั้นไม่เข้าข้างใครคนหนึ่งคนใด ก็ถือว่าเธอทำถูกต้องแล้ว
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ม.ค. 2555, 19:55:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ม.ค. 2555, 19:55:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 2209
<< บทนำ | ตอนที่ ๒ เมรีขี้เมา >> |
ทองหลาง 27 ม.ค. 2555, 02:00:44 น.
น้องเอ๊ย ไม่มีคนเม้นก็มีคนอ่านล่ะว๊า แถมยังมีคนมากดไลค์ให้อีก ใครหว่า คงไม่ใช่กดเองหรอกนะ ฮ่าๆๆๆๆ
น้องเอ๊ย ไม่มีคนเม้นก็มีคนอ่านล่ะว๊า แถมยังมีคนมากดไลค์ให้อีก ใครหว่า คงไม่ใช่กดเองหรอกนะ ฮ่าๆๆๆๆ
พายุ 27 ม.ค. 2555, 08:27:48 น.
เฮ้อ....อย่างน้อยก็มีพี่สาวเข้ามาเม้นท์ล่ะครับ
เฮ้อ....อย่างน้อยก็มีพี่สาวเข้ามาเม้นท์ล่ะครับ
คนเหงา 27 ม.ค. 2555, 08:33:19 น.
จะติดตามค่ะ
จะติดตามค่ะ
teesaparn 30 ม.ค. 2555, 11:47:44 น.
ถึงบ่ะก้อยมีเม้นท์แต่ก่อเข้ามาอ่านเน้อเจ้า แอบกดไลท์หื้อต๋อนตี้ซอบเจ้า^^
ถึงบ่ะก้อยมีเม้นท์แต่ก่อเข้ามาอ่านเน้อเจ้า แอบกดไลท์หื้อต๋อนตี้ซอบเจ้า^^
mothjung 23 เม.ย. 2555, 15:17:49 น.
สนุกค่ะ ชอบมากมาย
สนุกค่ะ ชอบมากมาย