รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน

เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้

Tags: ฤดูหนาว

ตอน: ตอนที่ ๓ ไร่ดอกไม้ศีตกรรณ

ตอนที่ ๓

สายมากแล้ว หลังจากที่อาบน้ำอาบท่า และกินข้าวเรียบร้อย ความสดชื่นจึงเข้ามาแทนที่ และนั่นก็พอที่จะทำให้หญิงสาวมีแรงออกมายังสำนักงานเพื่อที่จะทำงานของตนต่อไป

นั่งอ่านเอกสารไปไม่เท่าไร วัสนางค์และมณีกานดาก็เข้ามาพบอีกครั้ง สาวฝนเอ่ยทักเพื่อนสาวด้วยสีหน้ารื่นรมย์มาแต่ไกล

“ไงแม่เมรีขี้เมา วันนี้ไม่ง่วง ไม่แฮงค์หรอ”

“อะไรยายฝน ใครเมรีขี้เมา”

เธอเอ็ดเพื่อนสาวเสียงลั่น ขณะมณีกานดาและวัสนางค์ต่างหันมามองหน้ากันและอดที่จะเปิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

“ก็เธอยังไงล่ะเหมย เมาแอ๋เป็นนางเมรีขี้เมาเลย”

“ใช่ๆ เมาอาละวาดซะจน เฮ้อ...ถ้าฉันไม่เข้าไปลากออกมาเสียก่อน งานเขาคงพังเละแน่”

วัสนางค์ช่วยเสริมคำของเพื่อนสาว ขณะเมยาวียังคงงงงันกับคำของเหล่าเพื่อนสาวอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ลำดับเหตุการณ์ และแน่นอน สิ่งที่ทำให้เพื่อนๆ ของเธอหัวเราะเธอได้ ก็คงจะไม่พ้นสิ่งที่เธอแสดงออกไปตอนเมาโดยไม่รู้ตัวแน่ๆ เลย โอ๊ยจะบ้าตาย...ในตอนนั้นเธอแสดงอะไรออกไปบ้างเนี่ย

“แหะๆ ฉันเมา”

“เออ...เมา เต้นแร้งเต้นกา ร้องด่าโวยวายเสียจนพวกเราหน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว” มณีกานดาเอ่ย ก่อนจะขยับมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเมยาวี เช่นเดียวกับวัสนางค์ที่ขยับเข้าไปยืนใกล้ๆ

“นี่ๆ พวกเธอ จะล้อฉันไปถึงไหนห๊ะ คนเมาน่ะ เข้าใจหรือเปล่า คนเมา...สะกดเป็นไหม”

เมยาวีเน้นประโยคหลังอย่างชัดถ้อยชัดคำ หากมันก็ไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะของทั้งสองเพื่อนสาวหยุดสักน้อยนิด

“เชื่อแล้วล่ะว่าคนเมาไร้ยางอาย...”

“นี่ยายฝน ขอให้เป็นเธอสักครั้งเถอะ ฉันจะหัวเราะให้ฟันหักเลย”

“ก็ใครใช้ให้เธอกินเหล้ากินไวท์จนเกินขนาดล่ะเหมย เล่นเอาพวกฉันเผ่นออกจากงานแทบไม่ทัน บอกแล้วยังไง ฉันเตือนให้เธอระวังตัว”

“ก็คนมันลืมนี่”

“พอๆ เถอะพวกเธอ...ไม่พูดละ เดี๋ยวจะผิดใจกันไปเปล่าๆ” มณีกานดาเป็นฝ่ายยกมือขึ้นห้ามทัพ ทั้งสองเพื่อนสาวที่ดูเหมือนว่าจะทำให้เรื่องเมื่อคืนไม่จบสักที

“ใช่จ้ะ เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ เชอะ” เมยาวีทำท่าทีเชิดหน้าใส่เพื่อนสาว หากวัสนางค์กลับอดที่จะหัวเราะอีกไม่ได้

“นี่ถ้ามีคณะงิ้วมาจ้างเธอจะไปไหมเหมย”

“ไปสิ ได้ตังส์ด้วย และฉันก็จะดึงพวกเธอไปด้วยเหมือนกัน”

“ฉันไม่ไปหรอกเหมย อายเค้า”

“ใช่...เชิญเธอไปคนเดียวสิ”

วัสนางค์แลบลิ้นใส่เพื่อนสาว พร้อมกับทำหน้ายู่ ขณะเมยาวีคลี่ยิ้มอย่างสดใส แม้ว่าอาการมึนหัวจะยังมีอยู่ แต่เมื่อได้พูดคุยกับเหล่าผองเพื่อนแล้ว มันก็พอที่จะทำให้เธอคลายความรู้สึกเหล่านั้นไปได้

ตราบจนมีหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนั้น การสนทนาจึงได้หยุดลง

“มีอะไรหรือบุษย์”

เมยาวีหันไปถามผู้ช่วยสาวที่เดินเข้ามาพร้อมกับซองกระดาษอะไรบางอย่าง แล้วเอามาวางไว้บนโต๊ะของเจ้านายสาว

“อะไรน่ะเหมย” เห็นเมยาวีเปิดซองอ่านข้อความในจดหมายแล้วเงียบไป วัสนางค์ก็อดที่จะถามไม่ได้

“เอ่อ...เป็นจดหมายจากกรุงเทพฯ น่ะ” เจ้าของไร่ศีตกรรณ พูดจบก็วางจดหมายฉบับนั้นลง

“มีบริษัทส่งออกไม้ดอกเขาสนใจจะมาชมสวนดอกไม้ของเราด้วยล่ะ ถ้าดอกไม้ที่สวนของฉันได้คุณภาพมาตรฐานตามที่เขาวางไว้ เขาก็จะขอเซ็นสัญญารับซื้อดอกไม้ของฉันส่งขายต่างประเทศ”

เมยาวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเป็นที่สุด ก่อนจะหันไปทางผู้ช่วยสาวที่ยืนยิ้มอยู่ไม่ห่างกันนัก

“บุษย์ จัดห้องพักให้เขาสองห้อง อ้อ...ลงไปที่ไร่ บอกให้ชัยดูแลดอกไม้ให้ดีๆ นะ วันพรุ่งนี้ตัวแทนของบริษัทจะเดินทางมาถึง”

“ค่ะ คุณเหมย” น้ำบุษย์รับคำ ก่อนจะปลีกตัวออกไปในทันที

“ดีใจด้วยนะเพื่อน คราวนี้ดอกไม้ในไร่ศีตกรรณจะได้โกอินเตอร์แล้ว”

มณีกานดาเอ่ยบอกเสียงใส ทั้งสองเพื่อนสาวต่างหันมามองกรอบหน้าสวยของเมยาวีด้วยความยินดีในความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของไร่ดอกไม้ศีตกรรณเช่นกัน

“ใช่ๆ นอกจากจะได้เป็นตัวแทนส่งดอกไม้เข้าร่วมงานพระราชพิธีแล้ว ยังจะมีบริษัทติดต่อมาอีก ดีใจด้วยนะเหมย”

“ขอบใจพวกเธอมากนะฝน คีน...ชัยโย มีบริษัทติดต่อมาแล้ว โย่ๆๆๆ”

ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเป็นที่สุด ที่ความสำเร็จมันได้เดินทางไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ทั้งมณีกานดาและวัสนางค์ต่างก็หันมามองหน้ากัน พร้อมกับคลี่ยิ้ม พลางคิดในใจว่า งานนี้จะไปรอดหรือไม่ กลัวว่าเมยาวีจะสร้างความไม่พอใจให้กับตัวแทนของบริษัทไปเสียก่อน เพราะความบ้าแบบเด็กไม่รู้จักโตของเพื่อนสาว คิดแล้วก็หนักใจแทน

****

รถสปอร์ตราคาเหยียบสิบล้านสีแดงแจ๊ดเคลื่อนเข้ามาจอดภายในบ้านของจอมทัพ ก่อนร่างบางที่นั่งอยู่ในนั้นจะก้าวลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย

“พี่จอมอยู่ไหม” เสียงเหยียดดังขึ้น หลังสาวรับใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารับหน้า

“อยู่ค่ะ...ตอนนี้กำลังเก็บของอยู่บนห้องค่ะ”

“เก็บของ เก็บของอะไร...”

ปุณชิกาเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคย

“คุณจอมจะเดินทางขึ้นไปจังหวัดเชียงราย ไปติดต่อดอกไม้ส่งออกค่ะ”

แจ่มวิ่งตามมารายงานเสียงรัวเร็ว ขณะหญิงสาวร่างเซ็กซี่หยุดเดินแล้วหันกลับมาในทันที จนสาวใช้ต้องเบรกจนตัวโก่ง

“ไปด้วยตัวเองเลยหรือยะ”

“ใช่ค่ะ...คุณปูเป้เข้าไปรอที่ห้องรับแขกก่อนนะคะ เดี๋ยวแจ่มจะไปรายงานคุณจอมให้”

พูดพร้อมกับเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งในห้องรับแขก ก่อนสาวใช้จะขึ้นไปรายงานเจ้านายหนุ่มที่ห้องส่วนตัวข้างบน...

ทันทีที่เห็นร่างสูงเดินเข้ามาในห้องแห่งนั้น ปุณชิกาก็แทบจะถลาเข้าไปกอดแขนของเขาในทันที

“พี่จอม...มาค่ะ มาจุ๊บทีนึงสิคะ”

ว่าแล้วก็เขย่งตัวขึ้นหอมแก้มของเขาในทันที โดยไม่สนใจต่อสายตาของสาวใช้แจ่มที่อยู่ในห้องนั้นด้วย หรือไม่ก็ผีสางที่อาจจะสิงสถิตอยู่ภายในห้องแห่งนั้นเช่นกัน

“มาหาพี่มีอะไรหรือเปล่าคะ ปูเป้”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนจะพาเธอขยับเข้าไปนั่งยังโซฟาตัวกว้าง ดวงตาคู่คมแวบหนึ่งฉายความไม่พอใจออกมา

ปุณชิกาหรือปูเป้ เป็นสาวสังคม ที่ครอบครัวของเธอกับครอบครัวของเขารู้จักและแน่นแฟ้นกันเป็นอย่างดี หญิงสาวเป็นสาวนักเรียนนอก ดังนั้นธรรมเนียมอันดีงามต่างๆ จึงถูกลืมไปเสียสนิท เช่นเดียวกับเขา ที่รู้สึกไม่ต่างจากนั้นมากนัก

แม้ลึกๆ จะรู้สึกอึดอัดกับท่าทีที่ตามมาเกาะติดเขาอยู่ทุกวัน หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธคำของทั้งบิดาและมารดาที่ให้ดูแลปุณชิกาอย่างดีไม่ได้

“ปูเป้ได้ยินว่า พี่จอมจะขึ้นเหนือหรือคะ”

“ใช่ พี่จะไปติดต่อธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้ส่งออก พอดีมีปัญหากับที่เดิมนิดหน่อยน่ะ”

“จะไปนานหรือเปล่าคะ” หล่อนเริ่มซักตามนิสัยของตนเอง ขณะเรียวนิ้วสวยเอื้อมไปลูบไล้ที่แก้มสากของเขาอย่างแผ่วเบา

“น่าจะประมาณอาทิตย์หนึ่งนะ พี่ต้องดูอย่างละเอียด เพราะคราวนี้พลาดไม่ได้แล้ว”

เขาไม่ปิดเรื่องราวดังกล่าว เพราะรู้ถ้าปิดไป ปุณชิกาก็หาเรื่องรู้จนได้ เขาขี้เกียจจะมาตามแก้ไขในสิ่งที่ไร้สาระในภายหลัง

“ถ้างั้นปูเป้ขอตามไปด้วยนะคะ ปูเป้อยากจะไปเที่ยวน่ะค่ะ...นะคะพี่จอมให้ปูเป้ไปด้วยนะ” จัดการอ้อนในทันที เช่นเดียวกับประกายตาคู่สวยที่แพรวพราวเป็นยิ่งนัก

“อืม...ตามใจ พี่จะเดินทางเย็นนี้แล้ว แล้วปูเป้เก็บของทันหรือเปล่าล่ะ”

“ทันสิคะ ปูเป้ซะอย่าง ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ แล้วเจอกันตอนเย็นค่ะ ดาลิ้ง”

หลังได้รับคำตอบที่สมใจแล้ว ปุณชิกาก็เยี่ยมหน้าเข้าไปหอมแก้มของเขาหนึ่งที ก่อนจะรีบถลาออกจากบ้านของเขาไปอย่างรวดเร็ว

ขณะจอมทัพได้แต่โคลงศีรษะของตัวเองไปมา ไม่รู้ว่านอกจากจะขึ้นเหนือไปครั้งนี้แล้ว เขาจะต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายอะไรอีก

ยิ่งเป็นปุณชิกาด้วยอีก แม้ในใจไม่อยากจะให้เธอไป หากแต่เขาก็ไม่อาจที่จะขัดใจหล่อนได้เหมือนกัน เกิดขัดใจขึ้นมา หล่อนไม่พอใจ อาละวาดอย่างหนัก คร้านที่จะมาตามแก้ตามเช็ดกับเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกเหมือนกัน

***

เย็นวันนั้น...แสงแดดสาดทอแสงอ่อนๆ เช่นเดียวกับสายลมเย็นที่พัดมาแต่เทือกเขาสูงท้ายไร่ พัดพามายังโรงเรือนดอกไม้ ท่ามกลางอาณาเขตที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เหล่านกน้อยๆ หลากหลายตัวต่างพากันโบยบินกลับสู่ถิ่นสู่รังนอน เช่นเดียวกับคนงาน ที่ต่างแบกจอบแบกเสียมกลับเข้าสู่ที่พักที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก
เมยาวีเดินเลาะเลียบมาตามทางเดินที่ปลูกดอกไม้เอาไว้อย่างสวยงาม หญิงสาวทอดสายตามองไม้ดอกพวกนั้นด้วยสายตาชื่นชม พรางอมยิ้มกับความสำเร็จของตนเอง

เดินมาสักพัก ก็ถึงโรงเรือนเลี้ยงกล้วยไม้ เธอเดินเข้าไปในนั้น ก่อนจะเจอกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่อายุอ่อนกว่าเธอเพียงปีเดียว และก็เป็นญาติห่างๆ ของเธอเช่นกัน หญิงสาวจึงได้ไว้ใจให้เป็นผู้ดูแลในส่วนของภาคสนาม

“ชัย เป็นยังไงบ้างล่ะวันนี้” เธอเอ่ยถามเสียงสดใส ก่อนจะเยื่องย่างตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังจดบันทึกอะไรสักอย่าง

“ผมกำลังบันทึกความเปลี่ยนแปลงในการเติบโตของกล้วยไม้พันธุ์นี้อยู่ครับพี่เหมย เป็นกล้วยไม้พันธุ์พิเศษ ที่ผมเพิ่งจะผสมข้ามพันธุ์กับกล้วยไม้พื้นเมือง”

ชัยเอ่ยบอกเสียงเข้ม ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสังเกตลักษณะที่แปลกใหม่ กับการเจริญเติบโตของกล้วยไม้ตรงหน้า

“อืม...สวยดีนี่ ดอกสีขาวแกมเหลือง” เมยาวีพยักหน้า หลังขยับเข้าไปใกล้ ก็สังเกตเห็นช่อดอกกล้วยไม้ที่อยู่ตรงหน้า

“เปล่าครับ กระบะนี้ต่างหาก มันเพิ่งจะแตกหน่อน่ะ” ชัยชี้ไปอีกกระบะหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ขณะเมยาวียิ้มเก้อเขิน ก่อนจะพูดแก้เก้อกับคำของตัวเอง

“เออ...ถึงว่า ดูดอกคุ้นๆ ไหนดูซิ”

น้องชายคลี่ยิ้ม เห็นอยู่ประจำแหละ กับพี่สาวคนนี้ ที่มักจะปล่อยมุข แต่...ให้ตายเถอะปล่อยบ่อยเกินไปมันก็ไม่ดีนะครับ

“อันนี้ครับ มันเพิ่งแตกหน่อ”

“อืม...ใบเป็นสีด่างด้วย แล้วนี่ดอกจะออกเป็นแบบไหนนะ จะอัปลักษณ์หรือเปล่านี่”

“ไม่หรอกครับ ผมคิดว่า มันน่าจะเป็นพันธุ์ไม้พันธุ์ใหม่ที่จะมีดอกสีสวยกว่าพันธุ์ที่พี่เหมยว่าเมื่อกี้อีก” ชายหนุ่มอธิบาย

“พี่เหมยตามผมมาทางนี้สิครับ เมื่อเดือนก่อน ผมผสมอีกพันธุ์หนึ่ง ตอนนี้ก็กำลังออกดอกพอดีเลย”

ว่าแล้วเขาก็เดินนำหญิงสาวไปอีกฝากหนึ่ง ก่อนจะชี้ให้หญิงสาวมองไปยังกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ที่เขาบอกว่าเป็นการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์ต่างประเทศและพันธุ์พื้นเมือง และดูเหมือนว่ากล้วยไม้กระบะนี้จะประสบผลสำเร็จพอดู เพราะได้ดอกกล้วยไม้ที่มีสีสันสวยงามและได้คุณภาพอย่างดี ที่สำคัญ มันเป็นพันธุ์กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ ที่ไหนไม่มีอีกด้วย

“สวยจัง ดอกสีขาวแกมน้ำเงิน หืม...เพิ่งเคยเห็นนะเนี่ย”

“เป็นพันธุ์ใหม่ครับ ผมจะตั้งชื่อให้ว่าพันธุ์ศีตกรรณ เป็นชื่อไร่ของเราเลย”

“ว้าว...ดีสิ มันจะได้เป็นจุดขายของเราด้วย ชัย นายทำให้ดีก็แล้วกัน อ้อ...พรุ่งนี้จะมีตัวแทนจากบริษัทส่งดอกไม้ออกต่างประเทศมาดูงานในไร่ของเราด้วยนะ นายก็ถือโอกาสเอากล้วยไม้ช่อนี้พรีเซนต์ด้วยเสียสิ”

“ได้สิครับพี่เหมย ผมจะทำอย่างเต็มที่เลยครับ”

ชัย จบการเกษตรจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่ เขามีความรู้ในด้านพฤกษศาสตร์อยู่ในระดับหนึ่ง ดังนั้นเมยาวี จึงได้ให้เขาเข้ามาช่วยงานในด้านนี้เสียเลย และดูเหมือนว่าชัย จะทำมันได้ดี จนเธออดที่จะชื่นชมไม่ได้อีกเช่นกัน

“นายเก่งมากชัย สมแล้วล่ะที่เป็นน้องของฉัน”

หญิงสาวเอื้อมมือไปตบที่บ่าน้องชาย ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่คลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง

“น้องชายของพี่เหมยเก่งอยู่แล้วครับ”

“ไปๆ ไปกินข้าวกันเถอะ พ่อกับแม่ของพี่คงจะมาถึงแล้วล่ะ”

หญิงสาวเอ่ยชวน ก่อนจะเดินนำชายหนุ่มออกมาจากโรงเรือนแห่งนั้นไป

****

ทั้งสองมาถึงบ้านหลังใหญ่ไม่นาน คุณกัณฑ์สิทธิ์และคุณมาติกาที่ออกไปธุระข้างนอกตั้งแต่เช้าก็เดินทางมาถึงเหมือนกัน ก่อนคนทั้งหมดจะพากันไปยังโต๊ะอาหาร พูดคุยกันตามประสาคนในครอบครัวที่อบอุ่น

“นี่ชัย นายรู้ไหมว่าพี่สาวนายน่ะ ซกมกขนาดไหน” คุณกัณฑ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งหมดทานอาหารกันจนอิ่มแล้ว

เมยาวีหันมามองค้อนบิดาเสียวงใหญ่ ก่อนจะเอ็ดขึ้น

“อะไรคะคุณพ่อ เหมยซกมกอะไร”

“เมื่อเช้ายังไงล่ะ ฮ่า ฮ่า” ว่าแล้วก็หงายหน้าขึ้นหัวเราะ ชัยที่ไม่รู้อะไรจึงได้แต่อมยิ้ม แล้วหันมาทางญาติผู้พี่ด้วยสายตาคำถาม

“ไม่มีอะไรหรอกชัย คุณพ่อใส่ร้ายพี่น่ะ” หล่อนหันมาแก้ตัวให้กับตัวเอง แล้วหันมาหากำลังเสริมจากมารดาที่นั่งอยู่เงียบๆ

“ใช่ไหมคะคุณแม่ คุณพ่อใส่ร้ายเหมยใช่ไหมคะ”

“อืม...ก็พอๆ กันทั้งพ่อทั้งลูกแหละ อย่าไปฟังใครเลยชัย”

“คุณแม่น่ะ...” เมยาวีแอบส่งค้อนให้กับมารดาอีกรอบหนึ่ง แล้ววงสนทนาก็พากันเปิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

“เออ...คุณพ่อคุณแม่คะ เมื่อเช้าเหมยได้รับจดหมายจากบริษัททางกรุงเทพฯ ค่ะ เขาจะเข้ามาดูดอกไม้ใน
ไร่ของเรา เป็นบริษัทส่งดอกไม้ออกต่างประเทศ”

“อืม...ก็ดีสิ ดอกไม้ของเราจะได้โกอินเตอร์” คุณกัณฑ์สิทธิ์เปิดเสียงหัวเราะ สำหรับเขา เห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

“ก็ยังไม่แน่หรอกค่ะ ถ้าดอกไม้เราเป็นที่ถูกใจก็พอมีลุ้น”

“แล้วคนของบริษัทที่ว่าเขาจะมาเมื่อไหร่ล่ะลูก” ผู้เป็นแม่ถามขึ้น

“พวกเขาจะเดินทางมาถึงวันพรุ่งนี้ค่ะ เหมยเลยอยากจะขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ให้พวกเขาพักที่เรือนไม้ จะได้ไหมคะ”

“ตามใจสิ ให้บุษย์ไปจัดการเก็บกวาดหรือยัง” คุณมาติกาเห็นด้วยอีกคน

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าจะอยู่กันกี่วัน เราจะได้เตรียมต้อนรับถูก”

“โดยรวมแล้วน่าจะไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ครับพี่เหมย” ชัยเอ่ยเสริมขึ้น

“จริงหรือชัย ก็ดีสิ เราจะได้พาเขาชมให้ทั่วไร่เลย”

“อ้อ...แม่ลืมบอกไป พอดีลูกสาวของเพื่อนคุณพ่อจะแต่งงาน แม่กับพ่อว่าจะลงไปร่วมงานด้วย คงจะไม่ได้ช่วยหนูตอนรับแขก ยังไงก็ดูแลกันเองนะ”

“ว้า...ไปเที่ยวอีกแล้ว เหมยไม่ได้ไปด้วยทุกที” เมยาวีทำหน้ายู่ อย่างไม่ค่อยจะพอใจเสียเท่าไร “แล้วนี่คุณพ่อคุณแม่จะไปกี่วันกันคะ”

“น่าจะประมาณอาทิตย์หนึ่งน่ะ อยู่ที่นี่ ก็ดูแลกันดีๆ ล่ะ ฝากพี่ด้วยนะชัย”

“ได้ครับคุณลุง คุณป้า”

“ใครกันแน่คะที่จะดูแลกัน ฉันต่างหากล่ะนายชัย”

สาวสวยอดที่จะเอ็ดขึ้นอย่างยอมไม่ได้ ขณะชัยได้แต่คลี่ยิ้มบางๆ พี่สาวของเขา ก็เป็นแบบนี้แหละ บ้าๆ บวมๆ บ้างเป็นบางเวลา...

*****

เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอีกรอบ จากเย็นก็เป็นค่ำ จากค่ำก็กลับมาเช้าอีกครั้ง เช้านี้ดูเหมือนอากาศจะดีมากเสียด้วยสิ เย็นสบาย ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป เสียงนกต่างร้องเรียกขณะบินออกจากรวงรัง เช่นเดียวกับเสียงไก่บ้านขานขันเสียงเพลงยามเช้าอย่างไพเราะ

สายหมอกเส้นบางๆ ลอยอยู่เหนือยอดเขาสูง ขณะดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขาสูงอย่างเชื่องช้า แสงของมันเป็นสีส้มจนเกือบจะแดง เห็นแต่เพียงก้อนกลมๆ ลอยอยู่หลังหมู่เมฆหมอกสีขาวสะอาดตา มันคงจะใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ที่จะสาดแสงให้ลอดออกมาจากหมู่สายหมอกในยามเช้า แต่กระนั้น ก็ยังคงพ่ายแพ้ให้แก่ความเย็นที่มีเยอะกว่าอยู่ดี

ตะวันค่อยๆ ลอยขึ้นสูง ก่อนจะสาดรัศมีสีแดงสดให้ลอดออกมาจากมวลกลีบเมฆปุกปุย จนเกิดเป็นลำแสงที่ส่องผ่านออกมาเป็นเส้นตรงอย่างสวยงาม เมื่อตัดกับเทือกเขาสูง และสวนดอกไม้ที่ซุกตัวอยู่เบื้องล่าง

วันนี้เมยาวีตื่นตั้งแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น เธอสั่งให้คนงานนำป้ายไม้แกะสลักชื่อไร่อันใหม่ ที่ทำเอาไว้ตั้งนาน แต่ไม่มีโอกาสใช้ มาติดตั้งที่ด้านหน้าของไร่ โดยมีเธอมาคุมการทำงานด้วยตนเอง

“นี่ๆ ขยับมาทางซ้ายอีกหน่อย เออๆ นั่นแหละ พอละ ตอกตะปูได้เลย”

เสียงใสๆ ดังขึ้น ก่อนจะมองป้ายที่ทำจากรากไม้ ทาสีอย่างสวยงาม เป็นชื่อไร่ศีตกรรณ อย่างชัดเจน

“พอละ เรียบร้อยก็แยกย้ายไปกินข้าวเช้ากันเถอะ”

เธอเอ่ยบอก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และมิวายคลี่ยิ้มชื่นชมความสวยงามของป้ายตรงหน้า

“ไร่ศีตกรรณ...สวยสุดๆ เลยเจ้าค่ะ”

ไร่ศีตกรรณ เป็นชื่อที่เธอตั้งขึ้น โดยการเอานามสกุลของตนเองมาตั้งเป็นชื่อไร่ ความหมายของมันก็ไม่ต่างกันมากนักกับคำว่าความเย็น...ซึ่งก็แน่นอน มันเหมาะสมกับสวนดอกไม้ของเธอเป็นยิ่งนัก

“นางสาวเมยาวี ศีตกรรณ เจ้าของไร่ศีตกรรณ ผู้สวยสง่า อย่างไร้ที่ติ หึๆ”

ยืนพูดกับตัวเองอย่างชื่นชม ก่อนจะเดินทอดน่องเข้าไร่ของตนเองไป เพื่อที่จะเตรียมตัวต้อนรับอาคันตุกะ ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้

ขณะในใจก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ กับความหวังที่ไร่ของเธอจะได้มีรายได้จากการทำการค้าส่งออกดอกไม้กับบริษัทใหญ่อย่างที่หญิงสาวใฝ่ฝันมานาน

ในเมื่อพวกเขาไว้ใจมาดูงานที่ไร่ของเธอแบบนี้แล้ว ไหนเลยคนอย่างเธอจะปล่อยปละละเลย เธอต้องใส่ใจให้การดูแลและเอื้ออำนวยความสะดวกให้พวกเขาอย่างเต็มที่ เพื่อความก้าวหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น

****
สวัสดีครับ คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกๆ ท่าน แหะๆ ผมเปิดเรื่องไปละ หลายตอน ยังไม่ได้เข้ามาทักทายกันเลย วันนี้เลยถือโอกาสมาจ๊ะเอ๋กันสักนิดนะครับ ขอขอบพระคุณมากๆ นะครับสำหรับไลท์ งามๆ กับคำคอมเมนท์ที่สวยงาม ว้าว มีเยอะเหมือนกันแฮะ ยังไงผู้เขียนก็รู้สึกดีใจเป็นมากล้นครับ ต้องขอขอบพระคุณทุกๆ ไลท์ ทุกๆ คอมเม้นท์ และที่สำคัญขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่าน และเป็นกำลังใจให้กันครับผม

รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ สำหรับกำลังใจที่ส่งให้แก่กัน ยังไงแล้วก็ขอให้คุณผู้อ่านทุกท่านสวยวันสวยคืน สวยๆ รวยๆ เฮงๆ กันทุกคนนะครับ แหะๆ แล้วอย่าลืมติดตามเรื่องนี้ไปให้จบนะครับ อย่าเพิ่งทิ้งกันเน้อ....

มีความคิดเห็นกันยังไงก็อย่าลืมเมนท์มานะครับ สำหรับวันนี้ กระผมขอแวบก่อนดีฟ่า พูดมาก เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะรำคาญ แหะๆ มีความสุขกับการอ่านกันนะครับ...

พายุ



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.พ. 2555, 23:10:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.พ. 2555, 23:10:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1879





<< ตอนที่ ๒ เมรีขี้เมา   ตอนที่ ๔ สู่ไร่ศีตกรรณ >>
rukjun 2 ก.พ. 2555, 10:07:21 น.
ตามมาให้กำลังใจจ้า


anOO 3 ก.พ. 2555, 17:10:34 น.
จะได้เจอกับพระเอกแล้วสินะ...ลุ้นๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account