จับใจไว้ด้วยรัก
เรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มฉายา เจ้าชู้หลบใน กับหญิงสาวที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งงาน เรื่องราวความรักที่สุดแสนจะปั่นป่วนเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งตามตื้อ ส่วนอีกฝ่ายก็คอยวิ่งหนี เขาจะทำให้เธอหันมามองและเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตได้ไหม ติดตามได้ใน 'จับใจไว้ด้วยรัก'
Tags: หวาน,น่ารัก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 2

บทที่ 1

ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสูทสีดำสวมทับเสื้อเชิ้ตด้านในสีเดียวกัน ตัดด้วยเนกไทสีแดงเลือกหมู ขายาวใต้กางเกงสแล็คสีดำก้าวย่างอย่างมั่นคงออกมาจากทางออกของผู้โดยสารขาเข้าภายในสนามบินสุวรรณภูมิ รอบตัวเขาล้อมรอบไปด้วยร่างที่สูงทัดเทียมกันของชายหนุ่มอีกสองคน แต่ที่เรียกเอาสายตาของสาวๆทั่วทั้งสนามบินให้มองมายังคนกลุ่มนี้คงจะเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา คมเข้ม สมชายชาตรีมากกว่าพวกหล่อสวยแบบที่นิยมในปัจจุบันมากกว่าบวกกับที่หลายคนเริ่มจำได้แล้วว่าทั้งสามโดยเฉพาะคนที่เดินนำนั้นคือใคร!

คนที่เดินนำซึ่งบัดนี้กำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน คือ ‘กรวีร์ สิทธิวัติ’ นักธุรกิจหนุ่มที่กำลังมาแรงในวงการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในตอนนี้ นอกจากฝีมืออันเฉียบคมและเด็ดขาดในการบริหารธุรกิจทั้งหลายที่สืบทอดมาจากบิดาผู้ล่วงลับแล้วนั้น ชายหนุ่มยังขยายกิจการของตนต่อจากบิดาด้วยการไปลงทุนธุรกิจโรงแรมที่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เขากลายเป็นนักธุรกิจที่ใครหลายคนพากันจับตามอง

บ้างก็เพื่อหาทางเป็นมิตร บ้างก็เพื่อแข่งขัน บ้างก็เพื่อหาทางเลี่ยงที่จะไม่เดินทับที่อีกฝ่าย แม้จะบอกใครต่อใครว่าเขาไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลมาจากไหน หากแต่รอบตัวชายหนุ่มกลับมีบอดี้การ์ดอยู่ถึงสามคนด้วยกัน

ในอีกด้านของชีวิต กรวีร์ก็เป็นหนุ่มในฝันที่สาวๆทุกวัยใฝ่ฝันจะได้อยู่เคียงข้างกายเขา แม้เขาจะไม่คบทีละหลายๆคนอย่างที่อีกหลายคนชอบทำแต่การที่ควงผู้หญิงไม่เคยเกินอาทิตย์ต่อคนและไม่เคยซ้ำหน้าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเขาไม่เจ้าชู้ ซึ่งเรื่องนี้น้องชายเพียงคนเดียวของเขาเคยขนานนามพี่ชายตัวเองลับหลังว่า ‘เจ้าชู้หลบใน’

ร่างสูงเดินลิ่วตรงไปยังประตูทางออกอย่างไม่สนใจใคร พร้อมด้วยคนสนิททั้งที่ยังไม่เลิกคุยโทรศัพท์กับปลายสาย โดยมีสายตาของสาวๆมองตามไปตาละห้อย แต่มีอยู่เพียงคนหนึ่งซึ่งเพิ่งออกมาจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าอีกทางที่กำลังชะเง้อชะแง้มองหาบิดามารดาที่บอกว่าจะมารับ

ร่างเพรียวของ ‘เบญญาภา ตุลยกร’มองตามสายตาของสาวๆหลายคนไปอย่างสนอกสนใจ แต่ด้วยความที่พ่อแม่ให้ส่วนสูงแก่พี่ชายคนเดียวของเธอไปหมด ทำให้หญิงสาวมองไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากหัวดำๆของกลุ่มคนเบื้องหน้า หญิงสาวหน้ามุ่ยสุดท้ายเธอก็ยอมแพ้แล้วหันกลับมามองหาบุพการีทั้งสองต่อ

“นี่เธอ เห็นรึเปล่ายะ เมื่อกี้เขาหันมาส่งยิ้มให้ฉันด้วยแหละ”หญิงสาวนางหนึ่งหันมาคุยกับเพื่อนอย่างออกรสขณะเดินผ่านหน้าเธอไป

“ใครว่าละยะ คุณกรวีร์ สิทธิวัติเขายิ้มให้ฉันต่างหากล่ะ”เบญญาภาหันขวับไปมองสองสาวทันที เธอถึงบางอ้อแล้วว่าคนที่เป็นจุดรวมสายตาที่เธอมองไม่เห็นเมื่อครู่คือใคร

“กรวีร์ สิทธิวัติ...พี่วีร์ จอมเจ้าชู้หลบในของวิชญ์นี่เอง นึกว่าใคร”ร่างบางจับรถเข็นของตนแน่นก่อนจะเดินตรงไปยังจุดที่เธอเห็นว่าบิดามารดายืนคอยอยู่ หญิงสาวสวมกอดทั้งคู่อย่างดีใจหลังจากไม่เจอทั้งคู่มาเกือบหนึ่งปีเต็ม ลืมเรื่องของหนุ่มหล่อไฟแรงของสาวๆทั่วทั้งประเทศไปโดยปริยาย


“อีกไม่เกินชั่วโมงก็ถึงบ้านครับแม่ ผมอยากกินอาหารฝีมือคุณแม่ที่สุด”ร่างสูงอ้อนคนปลายสายด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กหนุ่มตัวน้อยๆที่เหล่าคนสนิททั้งสามต้องกลั้นหัวเราะ กรวีร์ถลึงตาใส่ทั้งสามก่อนจะยิ้มแห้งเมื่อมารดาค่อนขอด

“ไม่ต้องมาปากหวานกับฉันเลยตาวีร์ แกไปขลุกอยู่กับสาวๆที่อเมริกามาตั้งเป็นเดือนไม่สนใจแม่น้องที่อดอยากปากแห้งรอคอยหัวหน้าครอบครัวกลับบ้านได้ตั้งนาน มาตอนนี้จะมาอ้อน ฉันไม่หลงคารมแกหรอก”กรวีร์ส่ายหน้าเบาๆกับวาจาแสบสันต์ของมารดาที่คงจะจำมาจากนิยายเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่กำลังอ่านอยู่เป็นแน่ ก่อนจะเลี่ยงไปถามหาน้องชายคนเดียวที่คอยทำงานแทนเขาในระหว่างที่เขาไม่อยู่

“ครับๆ แล้วตอนนี้พ่อน้องชายที่กำลังอดอยากปากแห้งของผม ไปมุดกระ...เอ่อ หายหัวไปไหนครับ”

“อยู่ซักที่ในบ้านนี่แหละ...อ้อ มาพอดี แกจะคุยด้วยไหม” เมื่อได้รับคำตอบคุณมีนาก็ส่งโทรศัพท์ไปให้ลูกชายคนเล็กที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นหลังจากออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งมาก ร่างที่สูงไม่แพ้พี่ชายหากแต่ออกโปร่งกว่า ใบหน้าก็ค่อนไปทางสวยมากกว่าของ ‘กรวิชญ์ สิทธิวัติ’ระบายยิ้มเอาใจมารดาที่พอส่งโทรศัพท์ให้เขาก็เดินจากไป ก่อนชายหนุ่มจะกรอกเสียงทักพี่ชาย

“ไงครับพี่วีร์”

“ได้ข่าวว่าแกกำลังอดอยาก ไมวะ เงินเดือนตำแหน่งรองประธานบริษัทมันไม่พอยาไส้ หรือว่าไม่มีหนุ่มตกถึงท้อง”กรวีร์แซวน้องชายคนเดียวด้วยตลกร้าย กรวิชญ์หัวเราะหึหึ ก่อนจะประชด

“ก็นะ พี่วีร์ไม่ส่งบอดี้การ์ดพี่มาให้ผมบ้างเลยนี่ หล่อๆล่ำ สเป็กผมยิ่งหายากอยู่ พอใจยังครับคุณพี่ชาย”

“เออ...พอใจแล้ว ได้จิกกัดแกวันละนิดจิตแจ่มใส เอาคืนที่แกตั้งฉายาให้ฉันไง”
“หืม รู้แล้วเหรอเนี่ย อุตส่าห์บอกให้ปิดเป็นความลับกันให้แซ่ด”ถ้าคุยกันต่อหน้ากรวีร์คงเขกหัวเจ้าน้องตัวดีไปแล้ว ฟังจากน้ำเสียงเจ้าวิชญ์มันไม่ดีรู้สึกผิดอะไรเลยที่มาตั้งฉายาให้เขา นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาบังเอิญไปได้ยินลูกน้องพูดถึงเรื่องนี้เข้า ชาตินี้ก็คงไม่รู้ว่าตัวเองมีฉายาว่าอะไร

“ว่าแต่ดีนะที่คุยกันทางโทรศัพท์ ถ้าไปคุยที่อื่นมีหวังผมงานเข้า แค่เกิดมาหน้าสวยกว่าผู้หญิงก็ระทมพอแล้วถ้าต้องมาโดนข้อหาว่าเป็นเกย์ด้วยนี่ผมคงขอปาดคอตัวเองตายดีกว่า” แน่นอนกรวีร์รู้ดีว่าน้องชายของเขาไม่ได้มีใจเบี่ยงเบนเด็ดขาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าในตอนแรกเขาแอบกังวลเหมือนกัน แต่หลังได้เห็นอีกฝ่ายทุ่มหนุ่มใหญ่คนหนึ่งลงไปกองกับพื้นตามด้วยฝ่าเท้าอีกสองสามตุ้บโทษฐานที่ฝ่ายนั้นบังอาจมาจับก้น ทำให้เขามั่นใจเต็มร้อยว่าน้องเขาแมนแน่ๆ

“ที่อื่นฉันก็ไม่พูด ว่าแต่เป็นไงบ้างเรื่องที่ให้แกจัดการ”หลังจากนอกเรื่องมานานกรวีร์ก็วกเข้าเรื่องที่เขาสั่งให้น้องชาย ‘จัดการ’ ก่อนไปดูงานที่อเมริกาซึ่งมีเรื่องที่ทำให้โรงแรมในเครือสิทธิวัติต้องมัวหมอง เพราะอยู่ดีๆแขกคนหนึ่งของโรงแรมที่เข้าเช็กอินในห้องพักระดับวีไอพีกลับโวยวายว่าห้องพักสกปรก ผู้จัดการโรงแรมเลยเปลี่ยนห้องให้ พอไปห้องใหม่ก็บอกอีกว่ามีแมลงสาบอยู่ในห้องพอแม่บ้านไปดูก็โวยวายหาว่าแม่บ้านจะมาขโมยของ

คราวนี้คนของเขาเริ่มเอะใจคิดว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล เลยไม่ยอมเปลี่ยนห้องให้ ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจบอกจะไปฟ้องเอาให้โรงแรมต้องเจ๊งและก็ทำจริงๆเพราะวันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องโรงแรมเขาก็กระฉ่อนหน้าหนี่งทั่วทุกฉบับ ยังไม่พอ...คู่แข่งทางธุรกิจของเขา นายดนัย บุกพาเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งนักข่าวมาร่วมกันตรวจความสะอาดของโรงแรม ผลที่ออกมาทำเอาเหล่าแขกแตกตื่นแห่กันเช็คเอาท์ไปเกือบหมด

เขาอยากจะไปจัดการกับนายดนัยให้รู้แล้วรู้รอดทันทีที่รู้ข่าว เพราะรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนของฝ่ายนั้นทั้งเรื่องแขกที่มาพัก ทั้งเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจ แต่ทำไม่ได้เพราะเขากำลังจะเดินทางไปดูงานซึ่งไม่สามารถเลื่อนไปได้ สุดท้ายเลยได้แต่ปล่อยเรื่องให้กรวิชญ์จัดการแทน และน้องชายของเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

“ถึงมือผมเมื่อไหร่ก็จบเรื่องแหละพี่...เจ้าหน้าที่เขามาตรวจความสะอาดของโรงแรมเราอีกครั้งเรียบร้อย คราวนี้ผมไปรับมาเองกับมือ ผลตรวจออกมาตรงข้ามกับคนที่ไอ้ดนัยมันไปพาตัวมาลิบลับ งานนี้มันเลยได้แต่เต้นผางไปเลย อ้อ มันขู่อาฆาตพี่กับผมไว้ด้วยนะ”กรวิชญ์บอกก่อนจะรับแก้วน้ำจากคนรับใช้แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา กรวีร์ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เขานึกถึงของท้ายรถที่เขาซื้อมาเป็นรางวัลให้คนปลายสาย ไม่เสียแรงที่สอนมากับมือกรวิชญ์ลงมือได้เฉียบขาด กล้าตัดสินใจอย่างที่เขาต้องการจริงๆ หากในอนาคตเกิดอะไรขึ้นกับเขาเขาก็วางใจได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องดูแลธุรกิจแทนได้อย่างแน่นอน

“หึ! มาเห่าแต่ไม่กัด ฉันไม่กลัวหรอก กลัวก็แต่ไอ้ที่ไม่เห่า ไม่กัด แต่รอเวลาขย้ำเลยมากกว่า”

“หือ พี่หมายถึงไอ้พงษ์พัฒน์เหรอ”

“งั้นมั้ง”

“อ้าว! แล้วไงเนี่ย ตกลงใช่ไม่ใช่”กรวิชญ์ร้องออกมากับคำตอบของพี่ชาย กรวีร์ถอนหายใจ...ดูท่าเรื่องเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงในการดูคนเขาคงต้องฝึกให้อีกนาน

“ก็ไม่ทำไม แค่ว่าหมอเนี่ยน่ากลัวมากกว่าไอ้ดนัยในความรู้สึกของฉัน มันเป็นพวกยิ้มต่อหน้าแต่มือถือมีดรอหันหลังเมื่อไหร่ก็แทงขวับ แกเข้าใจยัง คนแบบนี้อันตรายกว่าใครทั้งหมด เจอหน้ากันทีไรฉันไม่เคยอ่านทางมันได้เลย ถึงตอนนี้ฉันกันมันยังไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องไปเกี่ยวข้องกันมากนัก แต่จะประมาทไม่ได้”

“แล้วคนที่ลอบยิงพี่ก่อนไปอเมริกาคือใคร”

“ไม่รู้ ถ้าใช่ไอ้ดนัยก็พงษ์พัฒน์”แม้จะบอกน้องชายไปแบบนั้นแต่ในใจเขาเอนเอียงไปทางคนหลังมากกว่า ก็นะ...บอกแล้วหมาที่กัดมันไม่เห่า

“แล้วตำรวจเขายังตามตัวไอ้มือปืนไม่ได้อีกเหรอพี่?”

“นี่ไอ้วิชญ์ แกอยู่เมืองไทยยังไม่รู้ แล้วฉันที่เพิ่งกลับมาจะรู้ไหม ไอ้นี่นิ”

“ครับผม น้องผิดไปแล้วครับคุณพี่ แต่...น้องสงสัยวะ คุณพี่จะคุยกันทางโทรศัพท์ทำไม เดี๋ยวก็เจอกันแล้ว”

“แกอยากให้คุณนายแม่หัวใจวายเพราะฉันถูกลอบยิง?”ชายหนุ่มย้อนถามน้องชายเพราะเรื่องที่เขาถูกลอบยิงนั้นไม่มีใครรู้นอกจากเขา คนของเขา กรวิชญ์ นายตำรวจที่ทำคดี และคนร้ายเองเนื่องจากเขาสั่งให้ปิดข่าวด้วยไม่อยากให้ผู้เป็นแม่ไม่สบายใจ ส่วนไอ้เรื่องที่เกิดที่โรงแรมนั้นไม่บอกแม่เขาก็คงรู้ก็เล่นลงหน้าหนึ่งซะขนาดนั้น

“เออ ผมลืมไป เอาเถอะ แค่นี้นะเปลืองเงินผม”ว่าแล้วกรวิชญ์ก็วางสายไป ส่วนกรวีร์ก็ได้แต่นิ่วหน้ามองโทรศัพท์ในมือนิ่ง ก่อนจะถามขึ้นลอยๆ

“มันบอกให้ฉันรีบวางสายเพราะเปลืองเงิน แต่ฉันเป็นฝ่ายโทรหามัน พวกนายคิดว่าใครมันควรจะเปลืองมากกว่ากันฮะ”เสียงขลุกขลักในลำคอของเหล่าคนสนิทดังขึ้นแทนคำตอบ ทำเอาร่างสูงได้แต่ส่ายหน้าแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางหรอกนะ แต่เหนื่อยเพราคุยกับไอ้น้องนรกที่บ้านมากกว่า

เหล่าคนสนิทมองหน้ากันพลางคิดถึงความผูกพันของพี่น้องคู่นี้ เจ้านายของพวกเขาและน้องชายเป็นพี่น้องที่รักกันมาก แต่ไม่เคยแสดงถึงความรักอย่างเช่นลูบหัว กอดไหล่ หรือพูดคุยกันดีๆ ตรงกันข้ามทั้งคู่มักจะพูดจิก กัด กวน ประชดประชันกันตลอดเวลา ยิ่งถ้ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ฝ่ายหนึ่งมาดหลุด เสียหน้า อีกฝ่ายก็ซ้ำชนิดที่เรียกว่าจมทะเลเลือดกันเลยทีเดียว เฮ้อ...ไม่รู้รักกันอีท่าไหน


“โอ๊ย! คิดถึงบ้านที่สุด”ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีเข้มตะโกนลั่นบ้าน ภายหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วก็อาบน้ำพักผ่อนจนพอใจแล้ว หญิงสาวเดินลงมาจากชั้นสองก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวภายในห้องนั่งเล่นอย่างแรง ทำให้คนที่นอนอยู่ก่อนแล้วลุกไม่ทันต้องร้องดังแอ้ก! แต่ก็ไม่ได้ทำให้เบญญาภาลุกขึ้นไปนั่งที่อื่นแต่ประการใด

“คิดถึงแต่บ้าน ไม่คิดถึงพ่อกับแม่ใช่ไหมเนี่ย หึ น้องเบญ”คุณปฐม บิดาของหญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงงอนๆและหันไปบ่นกับคุณบุษรา ผู้เป็นภรรยา

“ดูสิคุณบุษ หายไปตั้งสองปี กลับมาบอกคิดถึงแต่บ้าน รู้งี้ให้นั่งแท็กซี่กลับมาเองก็ดีหรอก”

“โอ๋ๆ อย่างอนเลยค่ะ เบญคิดถึงคุณพ่อ คิดถึงคุณแม่ ป้าผ่อง ลุงยิ่ง แจ่ม ก้อย ชัด...”หญิงสาวไล่นับรายชื่อของทุกคนที่รู้จักจนครบทั้งสิบนิ้ว เมื่อไม่มีนิ้วให้นับต่อ เธอจึงยิ้มแห้งๆแล้วตัดบท “...สรุป เบญคิดถึงทุกคนเลย!”

“ปากหวาน แบบนี้รักตายเลย คุณเรียกทนายเลยนะ ผมจะทำพินัยกรรมยกมรดกให้น้องเบญ”คุณปฐมที่เจอลูกอ้อนของลูกสาวคนสวยเข้าไปก็ยิ้มกว้างหันไปบอกภรรยาเสียจริงจัง คุณบุษราส่ายหัวกับอาการ ‘หลง’ลูกสาวของสามี ส่วนเบญญาภาก็ออกอาการดี๊ด๊ากับคำพูดของพ่อ แต่ก่อนที่คุณบุษราจะได้เอ่ยปากอะไร เสียงโวยวายของชายหนุ่มร่างสูงที่โดนทับเป็นกล้วยทับก็ดังขึ้น

“โอ๊ย! ไม่ทราบว่าพวกคุณมีลูกคนเดียวหรือขอรับ ผมจะแบนอยู่แล้วนะพ่อ แม่ อีกอย่างจะมายกมรดกให้ยายตัวดีคนเดียวได้ไง ผมก็มีสิทธิ์นะ เดี๋ยวก็จับไปเรียกค่าไถ่เสียนี่...”

“...แล้วช่วยลงไปได้แล้วยายเบญ คนหรือหมูวะเนี่ย”ท้ายประโยคหันไปบอกน้องสาวของตนที่ยอมลุกไปแต่โดยดี ชายหนุ่มรีบยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะสำรวจความเสียหายว่ามีกระดูกชิ้นไหนหักบ้างไหม ท่าทางนั่นเรียกเอาความหมั่นไส้เกิดขึ้นกับเบญญาภาติดหมัดจนต้องใช้นิ้วเรียวสวยดึงหูอีกฝ่ายไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว

“นี่แน่ะ นี่แน่ะ ปากดีนักนะพี่บุญ กล้ามาว่าเบญเป็นหมู”

“พอ พอ! ได้แล้ว แกจะดึงให้หูพี่ชายสุดหล่อของแกคนเนี่ยหลุดติดมือไปเลยใช่ไหม”บุญญฤทธิ์ หรือ ‘พี่บุญ’ โวย ใส่อีกฝ่าย เบญญาภาสะบัดมือออกจากหูทันทีราวกับอีกฝ่ายเป็นเชื้อโรค ร่างบางทำหน้าตาแบบเหลือเชื่อก่อนจะเดินไปนั่งเคียงข้างมารดาแล้วถาม

“ใครมันเป็นคนบอกพี่กันว่าพี่หล่อ”

“ไม่ต้องมีใครบอกหรอก ความหล่อของฉัน ฉันก็ต้องรู้เองสิ”

“อืม รู้แล้ว ที่แท้ก็พวกหลงตัวเอง”

“ยายหนูเบญ!”บุญญฤทธิ์ทำท่าจะเข้าไปบีบคอแม่ตัวดีที่ลอยหน้าลอยตาใส่เขา แต่ก็โดนบิดาที่หลงลูกสาวคนเดียวคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน พร้อมขู่

“ถ้าแกแกล้งน้อง พ่อจะตัดออกจากกองมรดก!”

“โห...พ่อ ยายตัวแสบว่าผมก่อนนะ พ่อก็ได้ยิน”ชายหนุ่มโวย แต่ก็ต้องอึ้งไปเมื่อบิดากลายเป็นอัลไซเมอร์ชั่วขณะ

“ได้ยินอะไร ฉันไม่เห็นว่าน้องจะว่าอะไรแกซักคำ จริงไหมแม่”ไม่พอยังหันไปหาพวกอีกต่างหาก คุณบุษราหัวเราะขำทั้งสามี ทั้งลูกชายที่ฝ่ายหนึ่งก็ย่างเข้าหกสิบ อีกฝ่ายก็สามสิบมาปีกว่าแล้วแต่ดันมาทะเลาะกันราวกับเด็กสามขวบ แม้อยากจะเข้าข้างสามี แต่พอเห็นสายตาตัดพ้อของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะเข้าข้าง

“ แต่แม่ได้ยินนะพ่อ ยายเบญบอกว่าตาบุญ ‘หลงตัวเอง’ ”เธอเน้นย้ำคำสุดท้ายเสียงหนัก จนชายหนุ่มที่เพิ่งมีพวกต้องถามอย่างสงสัย

“ตกลงแม่หลอกด่าผมหรือเปล่าเนี่ย”

“เปล่า แม่เข้าข้างลูกอยู่ไง”มารดาบอกตาปริบๆ เบญญาภาหัวเราะคิก ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะตามบ้าง กลายเป็นว่าเสียงหัวเราะของทุกคนดังกังวานไปทั่วบ้านอย่างมีความสุขที่สมาชิกทุกคนได้กลับมารวมกันอีกครั้ง

เวลาผ่านไปเกือบห้านาที บุญญฤทธิ์ที่เป็นคนหยุดหัวเราะได้ก่อนก็ถามน้องสาวที่กำลังปาดน้ำตาเนื่องจากหัวเราะมากเกินไปว่า

“แล้วไง นี่แกจะมาช่วยพี่ทำงานรึเปล่า”

“เบญก็ว่าอย่างนั้น ว่าแต่คุณพี่มีตำแหน่งไหนว่างให้น้องทำบ้างคะ”เบญญาภารีบกระโดดไปเกาะแขน พลางบีบนวดเอาใจอีกฝ่ายที่เหล่มองอย่างหมั่นไส้ปนเอ็นดู แน่ล่ะ!มีน้องสาวกับเขาคนเดียว จะไม่เอ็นดูได้ไง

“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ต้องดูใบสมัครก่อน”

“งั้นรอแปป เดี๋ยววิ่งขึ้นไปหยิบก่อน”ว่าแล้วร่างบางก็วิ่งฉิวขึ้นไปยังห้องของตัวเอง มือเรียวเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบเอาแฟ้มเอกสารขนาดเอสี่ออกมา แล้ววิ่งกลับไปยังห้องนั่งเล่น พลางส่งให้พี่ชาย

“อ่ะ เชิญบอสพิจารณาได้เลยค่ะ”มือหนารับแฟ้มมาเปิดดู สายตาคมไล่ไปทุกบรรทัดอย่างชื่นชม เบญญาภาไม่เคลทำให้ครอบครัวผิดหวังจริงๆ หญิงสาวจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อทางด้านการบริหาร สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม ด้วยเกรดเฉลี่ยที่ดีเยี่ยมแม้จะไม่ถึงขั้นเกียรตินิยมก็ตาม เขาหันไปสบตาบิดาที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้สัญญาณบางอย่าง เขาจึงเริ่ม ‘แผนการ’ ที่วางกันไว้ทันที ชายหนุ่มปิดแฟ้มในมือฉับ ก่อนจะมองหน้าน้องสาวที่ยืนรออยู่

“เท่าที่อ่านดูนะ ความสามารถก็ดี การเรียนก็เยี่ยม นิสัยก็...”เขายักไหล่ “...พอไปวัดไปวาได้ แต่... ประสบการณ์การทำงานติดลบ! เพราะฉะนั้นตำแหน่งที่เหมาะกับตอนนี้คือ...”

“พนักงานทำความสะอาด ตำแหน่งเดียว จบ!” ชายหนุ่มกล่าวออกมา ทำเอาทุกคนอ้าปากค้าง คุณปฐมถลึงตาใส่ลูกชายตัวดีที่ทำเกินไป ใช่!ถูกเขาเป็นคนบอกให้ลูกชายทำอย่างนี้เอง เพราะต้องการให้เบญญาภาได้เรียนรู้งานตั้งแต่พื้นฐานจนถึงการเป็นผู้บริหาร ไม่ใช่เป็นแต่ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว การทำงานโรงแรม เจ้าของต้องทำได้หมดทุกอย่างเพื่อที่จะได้ดูรู้ว่าลูกน้องทำตามที่สั่งได้และออกมาดีหรือเปล่า หากมีตรงไหนไม่ถูกก็สามารถบอกให้แก้ไขได้ถูกจุด

บุญญฤทธิ์เองตอนเรียนจบใหม่ๆก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นมันต้องลงไปเริ่มตั้งแต่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยเลยด้วยซ้ำ! นี่มันคงกะเอาคืนที่ตนเองต้องลงไปเป็นยาม เลยสั่งให้น้องเป็นแม่บ้านซะงั้น ทั้งที่ความจริงตอนที่เตี๊ยมกันไว้ตกลงแค่พนักงานต้อนรับเท่านั้นเอง

“เอ่อ แม่ว่า ตำแหน่งน้องลดฮวบมากไปบุญ อย่างน้อยพนักงานต้อนรับก็ยังดี” คุณบุษราพูดคล้ายเตือนความจำ แต่บุญญฤทธิ์ไม่สนใจยังคงยืนยันคำเดิม จนมารดาเริ่มมองตาเขียว ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ กำลังจะเปลี่ยนตำแหน่งให้ แต่เบญญาภาก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน

“ตกลงค่ะ แม่บ้านก็แม่บ้าน”

“น้องเบญ!”เสียงอุทานของคุณบุษราและคุณปฐมดังขึ้นพร้อมกัน ส่วนบุญญฤทธิ์ก็ยืนเอ๋อ ไม่นึกว่าน้องจะยอมตกลงง่ายๆ ก่อนที่พวกเขาสามคนจะเป็นฝ่ายหลบตาเมื่อหญิงสาวพูดอย่างรู้ทัน

“ก็มันเป็นหลักพื้นฐานไม่ใช่เหรอคะ ก่อนจะเป็นผู้บริหาร ต้องเป็นลูกจ้างมาก่อน คุณพ่อสอนเบญกับพี่บุญเองนี่คะ เบญยังจำได้เลย”แม้คุณปฐมจะเป็นปลื้มที่คำสอนของเขาได้รับการจดจำจากลูกทั้งสอง แต่มันก็ต่างกัน บุญญฤทธิ์เป็นผู้ชาย เบญญาภาเป็นผู้หญิง แน่นอนว่าความห่วงใยต้องมีให้คนหลังมากกว่า จึงอดที่จะท้วงไม่ได้

“แน่ใจเหรอลูก งานมันหนักนะ”

“หนักเอา เบาสู้ค่ะ เบญญาภาซะอย่าง แต่...”เธอเว้นจังหวะไป ก่อนจะบอกเงื่อนไข

“...เบญขอไปฝึกงานในส่วนของการปฏิบัติที่อื่นนะคะ”

“ไม่ได้!” คราวนี้บุญญฤทธิ์เป็นฝ่ายค้านเสียงหนักบ้าง ซึ่งตรงกับใจของบิดามารดา เบญญาภาหน้างอ ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจ และก็ได้คำตอบที่ทำเอาเธอถึงกับอึ้ง
“ก็คนมันหวงนี่หว่า มีน้องสาวแถมยังสวยเสียด้วย ปล่อยให้ไปทำงานที่อื่นเดียวก็โดนเสือคาบไปกินกันพอดี”

“โธ่! พี่บุญ เบญยังไม่สนใจเรื่องความรักหรอกค่ะ รับรองได้ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายในชีวิตที่วางไว้ เบญจะไม่ยอมมีแฟนเด็ดขาด”

“เป้าหมายอะไรเหรอลูก”คุณบุษราถาม หญิงสาวรีบหันไปหามารดาแล้วตอบเสียงหวาน
“ก็เป็นผู้บริหารที่ดีไงคะ จนกว่าจะถึงวันที่เบญได้ทำงานตามสายที่เรียนมา ช่วยผ่อนภาระพี่บุญ ทำให้โรงแรมของเรารุ่งเรืองขึ้น เบญก็จะอยู่เป็นโสดเนี่ยแหละค่ะ” พอได้ยินถึงความมุ่งมั่นของอีกฝ่าย บุญญฤทธิ์ก็หันไปสบตากับบุพการีทั้งสองอย่างหนักใจ จนใจจะห้ามปรามเพราะเหตุผลของเธอดันฟังขึ้นแถมยังทำให้ชื่นใจอีกต่างหาก

สุดท้ายคุณปฐมจึงเป็นฝ่ายยื่นคำขาด(แม้จะไม่ค่อยเด็ดขาดก็ตาม ลูกสาวคนโปรดนี่นะ!)

“ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าพ่อกับนายบุญจะเป็นคนเลือกโรงแรมให้ ไม่งั้นก็เลิก!”


กรวีร์ส่ายหน้ากับน้องชายคนเดียวที่นอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์อย่างหมดมาด ‘ท่านรองประธาน’ ที่เหล่าพนักงานทั้งโรงแรมชื่นชอบ จนพากันยกให้เป็น ‘เจ้าชาย’ กันเลยทีเดียว อย่างจะให้เจ้าพวกหลงผิดทั้งหลายได้มาเห็นท่านอนนี้จริงๆ คงจะมีเลิกชอบกันบ้างล่ะ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น แต่ดูเหมือนว่ารายการโทรทัศน์นั่นดึงดูดความสนใจของกรวิชญ์ไปจนหมดจนไม่ได้รับรู้เลยว่าเขามายืนใกล้จนแทบจะหายใจรดต้อนคอมันได้อยู่แล้ว ให้ตาย! นี่ถ้าเขาเป็นงู รับรองได้เลยว่าน้องชายเขามันคงลงไปอยู่ในโลงเรียบร้อยแล้ว เขาตัดสินใจกระแอมเพื่อเรียกสติอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ผลกรวิชญ์ยังคงอยู่ในท่าเดิมนั่นคือ นอนตะแคงเอามือเท้าหัว ตาก็จ้องไปยังโทรทัศน์เบื้องหน้า

กรวีร์ลองมองตามบ้างก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจ ก็แค่โฆษณาเท่านั้น ทำไมน้องเขาถึงได้ตั้งอกตั้งใจดู ไม่สนใจพี่ชายสุดที่รัก ที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานหนึ่งเดือนเลยแม้แต่นิด และความอดทนที่มีก็สะบั้นลง เขาเอื้มมือไปเขย่าร่างอีกฝ่ายอย่างแรง

“เจ้าวิชญ์ นี่แกสนใจทีวีมากกว่าพี่ชายแกรึไงหา ฉันกลับมาตั้งนานแล้วนะ ไม่คิดจะทักทายกันเลยใช่ไหมโว้ย!”

“โอ๊ย! อะไรกันพี่วีร์ คนกำลังฝันหวาน เขย่าทีฝันหายเกลี้ยง”

“ดี สมน้ำหน้า มัวแต่นอน ไม่สนใจ...”ท้ายประโยคเสียงเริ่มแผ่วลง เมื่อกี้เจ้าวิชญ์มันบอกว่าไงนะ ฝันอย่างนั้นเหรอ

“เมื่อกี้แกไม่ได้ดูทีวีอยู่เหรอ”

“ดูอะไรกันล่ะ ผมหลับ”

“แกนอนลืมตาแบบนั้นเป็นปกติเรอะ”

“ลืมตา? อ๋อ สงสัยคงหลับในน่ะ”

“...” กรวีร์ถึงกับใบ้กินกะทันหันกับคำตอบของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเอามือคลึงขมับตนเองก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ปากก็ร้องหาน้ำดื่มจากคนใช้ พอได้อย่างทีต้องการแล้ว ร่างสูงจึงมองไปยังอีกหนึ่งหนุ่มตาขวาง

“ไอ้บ้า! จะหลับทั้งที ทะลึ่งไม่หลับตา ฉันก็นึกว่าแกตื่นอยู่ ทีหลังถ้าง่วงก็ขึ้นนอนเลยไป”

“อ้าว! ความผิดผมเหรอที่เกิดง่วงขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่รู้เนี่ย”

“ตอนนี้ไม่รู้ไม่เป็นไรเพราะแกอยู่บ้าน แต่เกิดไปหลับไม่รู้เรื่องตอนขับรถเมื่อไหร่ รับรองแกได้กลับบ้านเก่าแน่”

“ไรว้า กลับมาไม่ทันไรก็มาแช่งชักหักกระดูกันแล้ว เลิกเป็นพี่น้องกันเลยเหอะ”

“เฮ้อ ทำไมแกถึงเพิ่งมาพูดตอนนี้นะ น่าจะพูดซักเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว จะได้เอาไปโยนทิ้งข้างทาง”กรวีร์ย้อนกลับอย่างรู้เท่าทัน จนกรวิชญ์ค้อนให้วงใหญ่ ชายหนุ่มหัวเราะก่อนเอ่ยเตือน

“แกอย่าเที่ยวไปค้อนใครเขาอย่างนี้นะไอ้วิชญ์ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน”

“ทำไมฮ้า คุณพี่กลัวติดใจคุณน้องเหรอฮ้า อย่ามาคิดอะไรลามกกับเขานะตัวเอง”ว่าแล้วชายหนุ่มก็แกล้งเขาไปนั่งตักพี่ชาย สองแขนโอบรอบคอเขาเอาไว้ พร้อมเอียงคอซบไหล่อีกฝ่ายอย่างน่ารัก น่าถีบ เอ่อ น่าเอ็นดู กรวีร์พยายามผลักไอ้ตัวดีออกไป แต่สงสัยมันคงเกิดมาพร้อมกาวตราตุ๊กแกเป็นแน่ ถึงได้ติดหนึบไม่ยอมออก

“ลุกไปไอ้วิชญ์ เดี๋ยวใครมาเห็นก็เป็นเรื่อง ซวยกันตาย”

เพล้ง!

เสียงอะไรบางอย่างกระทบพื้นเรียกความสนใจจากชายหนุ่มทั้งสองได้เป็นอย่างดี สองพี่น้องหันไปมองทั้งที่ยังคงอยู่ในท่าเดิม คุณมีนาและป้าชื่นแม่บ้าน อ้าปากค้างกับท่าทางชวนจิ้นของทั้งคู่ ก่อนที่คุณมีนาซึ่งเป็นแม่จะโพล่งออกไป

“นี่พวกลูกเป็น เป็นเกย์กันเหรอเนี่ย โอ้มายก็อด! นี่ตระกูลของฉันจะมาสิ้นสุดเอาตอนนี้เหรอเนี่ย ไม่นะ แม่ชื่นรับฉันทีฉันจะเป็นลม” แม่ครัวเก่าแก่ผวาเข้ามารับร่างท้วมของเจ้านาย แม้จะหน้าซีดไม่แพ้กัน จะทำไมล่ะ คุณหนูทั้งสองที่เธอทะนุทะนอมมาอย่างนี้ดันกลายเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันเสียนี่ โธ่! โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม

ชายหนุ่มทั้งสองผู้ที่ตอนนี้กำลังตกเป็นเหยื่อจากการจินตนาการอันบรรเจิดของมารดา รีบผละออกจากกัน อันที่จริงควรจะบอกว่าทั้งคู่กระโดดออกจากกันเสียจะดีกว่า กรวิชญ์รีบเข้าไปประคองมารดาให้มานั่งที่โซฟา ส่วนพี่ชายของเขาก็ย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามแทน พร้อมกับพูดออกมาอย่างเหนื่อยใจ

“แม่ครับ ผมบอกแล้วว่าให้เลิกอ่านไอ้นิยายวัยรุ่นสมัยใหม่ แนวชายรักชายอะไรของแม่เนี่ย”

“ก็ถ้าแม่ไม่อ่านแล้วจะรู้วิธีแยกว่าใครเกย์ไม่เกย์ได้ไงล่ะ”คุณมีนายังคงเถียง แม้สีหน้าจะดีขึ้นแล้ว ป้าชื่นปล่อยหน้าที่พยาบาลคุณผู้หญิงให้เป็นกรวิชญ์แล้วรีบไปเก็บกวาดชามขนมที่แตกไปเมื่อครู่แล้วออกจากห้องโดยไว

“แล้วแยกออกจริงเหรอครับ แค่ผมกับเจ้าวิชญ์เป็นชายแท้ แม่ยังยัดเยียดให้พวกผมกลายเป็นเกย์จนได้ ถ้าเล่มต่อไปแม่อ่านแนวฆาตกรโรคจิต พวกผมไม่ต้องกลายเป็นฆาตกรกับเหยื่อรึไงครับ”

“ก็แหม แล้วพวกแกนั่งตักกันทำไมล่ะ อีกอย่างลูกวิชญ์ก็หน้าตาหวานหยดย้อยอย่างงี้ด้วย ส่วนแกก็แมนเกินบรรยาย จะไม่ให้ฉันคิดมากได้ไง”

“แม่ครับ วิชญ์กับพี่วีร์น่ะ แมนทั้งแท่ง ผมน่ะจะพาสะใภ้เขาบ้าน ไม่ใช่เขย แม่วางใจได้ครับ”กรวิชญ์บอกมารดาเสียงนุ่ม ก่อนที่นางจะหันไปมองลูกชายคนโตหวังจะให้เขายืนยันอย่างน้องชาย กรวีร์ถินหายใจเมื่ออ่านสายตาคาดหวังนั้นออก ชายหนุ่มยืนยันเสียงแข็ง

“ผมก็ชอบผู้หญิงครับแม่ แต่ตอนนี้ยังพร้อมจะพาสะใภ้เข้าบ้าน หวังเอาจากนายวิชญ์ก่อนแล้วกัน จบไหมครับ?”

“จบก็ได้ ไปลูกวิชญ์ แม่ทำฟักทองแกงบวดไว้ ไปทานกัน ป่านนี้แม่ชื่นคงยกไปตั้งที่โต๊ะอาหารแล้ว ไปเร็วตาวีร์”บอกพลางดันลูกชายคนโปรดให้เดินนำไป ส่วนตัวเธอถอยลงมาเดินเคียงกรีวีร์แล้วกระซิบถาม

“ตกลงพวกลูกไม่ได้เป็นเกย์แน่นะ”

“แม่ครับ!”
----------------------------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่า สำหรับตอนที่ 1 ที่มาลงเร็วเพราะมันยังมีสต็อก (แต่ตอนต่อไปน่ะ นานเพระาหมดคลัง) ตอนนี้กำลังเห่อเรื่องนี้ ส่วนเรื่องเก่า เอ่อ คือ รอกันอีกแปปเน้อ ข้าพเจ้าเกิดอาการตันชั่วขณะ แต่สัญญาว่าจะรีบไปลงต่อ สำหรับแฟนขับ? (คลับ) จากเรื่องเก่ามาเฮฮากับเรื่องนี้ก่อนนะคะ ส่วนหน้าใหม่ก็ยินดีตอนรับ

สำหรับตอนนี้รักใคร ชอบใคร (ข้าพเจ้าไม่ยกให้ซักคน) ก็กรี๊ดกันไป พระเอกเรื่องนี้ไม่ขรึม ไม่เย็นชา ไม่โหด? มีหวานมากถึงมากที่สุด เดี๋ยวมาดูกันว่าน้องเบญจะหนีวีร์รอดไหม เจอกันตอนหน้า (เมื่อชาติต้องการ) ติชมได้ค่ะ



ไอจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.พ. 2555, 18:42:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.พ. 2555, 18:42:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 2167





<< บทนำ   ตอนที่ 3 >>
anOO 7 ก.พ. 2555, 17:12:43 น.
แสดงว่าตอนหน้าคงได้เจอกันแล้วสิ


pattisa 7 ก.พ. 2555, 17:47:38 น.
คุ่ณแม่น่ารักมาก 555


เทียนจันทร์ 10 ก.พ. 2555, 19:38:46 น.
จะตามอ่านนะคะ


dino 24 ก.พ. 2555, 17:23:48 น.
พี่น้องคู่นี้ ฮาดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account