กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"



เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ

ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)

แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)

บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่

ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป

หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^

Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ

ตอน: ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 1 คฤหาสน์ผีสิง

ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 1 คฤหาสน์ผีสิง

ณ เรือนไทยหลังใหญ่กลางสวน หญิงสาวร่างระหงคนหนึ่งกำลังสาวเท้าขึ้นบันไดไปพลางตะโกนเรียกเจ้าของบ้านไปพลาง

“นายไตร…เที่ยงแล้วนะ ตื่นรึยัง”

เสียงแหลมบาดหูดังในทำนองนี้อยู่ราวสองนาทีเต็มก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ หญิงสาวจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องหับต่างๆ ภายในบ้านเพื่อตามหาชายหนุ่ม แล้วเธอก็พบเขานั่งหน้านิ่วอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องทำงาน

“ฉันเอาข้าวมาส่ง นี่นายไตร!…นายได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า”

วิชชุตาเอ่ยถามด้วยเสียงที่ดังเป็นเท่าตัว ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบอีกเช่นเคย

ตอนนี้สมาธิทั้งหมดของไตรภพอยู่ที่ตำราเก่าคร่ำคร่าในมือ โสตสัมผัสทั้งหมดก็เลยปิดตายไม่ยอมรับรู้สิ่งอื่น

หญิงสาวทอดสายตามองคนที่นั่งนิ่งราวรูปปั้นอย่างอ่อนใจ เขาเป็นพวกหมกมุ่นอย่างนี้เสมอ ลองได้สนใจอะไรแล้วแทบจะลืมโลก ไม่ห่วงเรื่องการกินการนอนเลย วิชชุตาจึงเอื้อมมือไปดึงตำราออกจากตัวเขา เอามาวางไว้ที่ขอบหน้าต่าง ความไม่ระวังทำให้ตำราหนาหนักร่วงลงไปต่อหน้าต่อตาเจ้าของ

“เฮ้ย!…ยัยฟ้าเธอทำบ้าอะไรน่ะ” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนทำตาเหลือก

หนังสือเล่มนี้อายุเป็นร้อยปี สภาพเก่าโทรมเสียจนหลุดออกเป็นแผ่นๆ พอถูกโยนลงจากหน้าต่างชั้นสอง หน้ากระดาษจึงพร้อมใจกันปลดแอกแยกตัวเองเป็นอิสระจากสันหนังสือ บินร่อนถลาไปตามแรงลมอย่างสนุกสนาน ไม่กี่วินาทีสวนด้านล่างก็เกลื่อนกลาดไปด้วยกระดาษสีเหลืองอ่อนนับร้อยแผ่น

“ทำน่ารักต่างหากไม่ใช่บ้า ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าชาติไหนนายจะลุกขึ้นมากินข้าวสักที ชอบลืมกินเรื่อย เดี๋ยวโรคกระเพาะก็ถามหาหรอก”

วิชชุตาหันมาแหวใส่แล้วลำเลียงอาหารซึ่งประกอบด้วยแกงจืด ผัดผัก น้ำพริกอ่อง มาวางบนโต๊ะให้

“กินก่อนแล้วค่อยลงไปเก็บ” หญิงสาวพูดกึ่งสั่ง เมื่อเห็นว่าคนตัวโตกว่าทำท่าจะลุกออกไปเก็บหนังสือ

ชายหนุ่มเลยยอมหันมาตักข้าวเข้าปากแต่โดยดี ลองไม่ทำตามสิ แม่คุณคงได้โวยวายให้ปวดหัวเล่นอีก

เขากับเธอสนิทกันเหมือนพี่น้อง ตลอดหกปีที่ผ่านมาวิชชุตามีหน้าที่ส่งอาหารให้เขาซึ่งเป็นคนเช่าบ้านทุกวัน มันเลยกลายเป็นภาพชินตาไปเสียแล้วกับการมีสาวน้อยคนนี้วิ่งเข้าวิ่งออกภายในบ้าน

“พรุ่งนี้เที่ยงฉันจะไม่อยู่นะห้ามลืมกินข้าวล่ะ”

“จะไปไหน”

“ไปสอนพิเศษเด็กหาเงินใช้น่ะสิ ค่าจ้างดี๊ดีด้วยล่ะ”

เมื่อวันก่อนมีเพื่อนสนิทของวิชชุตา ชื่อ ‘โบว์’ มาขอร้องให้ไปสอนพิเศษแทนให้เนื่องจากเธอติดธุระกะทันหัน จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่ถูกท่านพ่อที่รักลากไปทัวร์อยุธยา

‘ไว้เราจะเอาหนมกับหนุ่มยุดยามาฝาก’ เจ้าหล่อนกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนไป

วิชชุตาเลยตกลงช่วยทำงานแทนให้ เพราะค่าจ้างหรอกนะไม่ใช่เพราะของฝากอย่างหลัง

“อย่าไปน็อตหลุดวีนใส่ลูกชาวบ้านเขาล่ะ” ชายหนุ่มเตือนแล้วเขม้นมองหญิงสาวอย่างไม่ไว้ใจ

ในสายตาของไตรภพแล้วแม่สาวน้อยคนนี้เจ้าอารมณ์เป็นที่หนึ่ง จะอดทนสอนหนังสือคนอื่นได้รึเปล่าก็ยังน่าเป็นห่วง

“ไม่ทำหรอกย่ะ ชิ! อย่ามาดูถูกกันนะ”

พูดจบมือเรียวก็ซัดตุ๊บลงกลางหลังคนพูด ทำเอาเกือบสำลักข้าวตาย

“แค่กๆ นี่ไงเห็นไหม โกรธง่ายแถมแรงควายแบบนี้ ระวังเถอะ…จะติดคุกหัวโตเพราะฆ่าเด็กตาย”

คราวนี้ชายหนุ่มไม่อยู่รอรับผลของคำพูด เขาเผ่นพรวดออกไปจากตรงนั้น หลบกำปั้นน้อยๆ ได้อย่างเฉียดฉิว

“อย่าหนีนะนายไตร”

หญิงสาวเข่นเขี้ยวแล้ววิ่งไล่ทุบร่างสูงอย่างไม่ลดละ เพราะคนขายาวกว่าแอบต่อให้ เธอก็เลยวิ่งไล่กวดเขาผ่านสวนมะม่วงจนไปถึงอาณาเขตบ้านของตัวเองได้อย่างกระชั้น ถึงกระนั้นก็ยังแตะตัวคนปากดีไม่ได้สักที

วิ่งไล่กันมาถึงหน้าประตูบ้านวิชชุตาก็ต้องชะงัก เนื่องจากคนกวนประสาทแอบวิ่งหนีไปหลบอยู่ด้านหลังแม่ของเธอ

“คุณทิพย์ครับช่วยผมด้วย ยัยฟ้าเกิดบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็ไล่งับผม” คนตัวโตรีบฟ้องทันที

“ไม่จริงค่ะแม่ อย่าไปเชื่อนายไตรนะ เขามาว่าฟ้าก่อน” หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่

เห็นแล้วทิพย์อาภาก็อดขันปนอ่อนใจไม่ได้ จะผ่านมากี่ปีคู่นี้ก็ยังหาเรื่องทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไม่เปลี่ยน

“ใครจะว่าใครก่อนก็ช่างเถอะจ้ะ อีกสองเดือนก็จะเป็นนักศึกษามหา’ลัยแล้วนะ ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิลูก” คนเป็นแม่ติง ทว่าน้ำเสียงก็ไม่มีความน่ากลัวเจืออยู่แม้แต่น้อย ลูกสาวคนสวยจึงกล้าแย้งกลับ

“โธ่แม่ก็! นายไตรมากวนประสาทฟ้านี่นา มันก็ต้องโดนแบบนี้แหละ”

“เรานี่จริงๆ เลยเมื่อไหร่จะโตสักทีก็ไม่รู้” ทิพย์อาภายิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดู แล้วผินหน้าไปหาไตรภพ “ขอโทษนะคะคุณไตร ฟ้ากวนคุณเรื่อย เชิญเข้าบ้านก่อนสิคะ ทำมะม่วงน้ำปลาหวานไว้เยอะเลย” หญิงสาวเอ่ยชวนอย่างมีน้ำใจ

แถวนี้ไม่มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวเธอสักคน ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีไตรภพนี่แหละที่ยอมทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็ก คอยเป็นเพื่อนเล่นให้กับวิชชุตา นอกจากจะมีฐานะเป็นเจ้าของบ้านกับคนเช่าแล้ว จึงยังต้องรวมความสัมพันธ์ที่เหมือนกับญาติสนิทไว้ด้วยอีกอย่าง

“ขอบคุณครับคุณทิพย์ แต่วันนี้ขอตัวดีกว่าครับผมยังมีงานค้างต้องเร่งทำอยู่”

ไตรภพค้อมศีรษะให้แล้วส่งยิ้มกวนๆ ไปให้วิชชุตาเสียที ก่อนจะเดินลับหายไปในสวนมะม่วง ปล่อยให้วิชชุตาแลบลิ้นปลิ้นตาไล่หลัง

ส่วนที่เขาอยู่ห่างจากประตูทางเข้าพอสมควร เรือนไม้กลางสวนจึงเป็นสถานที่เงียบสงบเหมาะสำหรับทำงานเป็นอย่างยิ่ง คงเป็นโชคของเขากระมังที่เลือกจะมาฝังตัวเองอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้และบังเอิญได้มารู้จักกับสองแม่ลูกเข้า เลยได้เรียนรู้ว่า ‘เงียบแต่ไม่เหงา สงบแต่ไม่ว้าเหว่’ มันเป็นอย่างไร

สองแม่ลูกทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ เขารู้สึกดีเวลาได้อยู่ใกล้ทิพย์อาภาแต่ก็ไม่ใช่ในแง่ของความรู้สึกฉันชู้สาว ทุกครั้งที่สบตาด้วยไตรภพจะรู้สึกราวกับตัวเองเป็นลูกชายคนหนึ่งของเธอ บางคราวยังรู้สึกเหมือนว่าอยู่กับคุณย่าคุณยายด้วยซ้ำ ทั้งที่คะเนแล้วอายุของเขากันเธอไม่น่าจะได้ห่างกันเกินรอบ

สามีของทิพย์อาภาเสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน แต่เธอไม่เคยคิดจะแต่งงานใหม่อีกเลยทั้งที่มีผู้ชายดีๆ มาติดพันมากมาย เธอบอกเสมอว่าพ่อของวิชชุตาเป็นรักเดียวและรักสุดท้าย เธอจะไม่มีวันให้ใครเข้ามาแทนที่พ่อของลูกเป็นอันขาด

ไตรภพนึกนับถือทิพย์อาภาอยู่ไม่น้อย ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวสามารถเลี้ยงดูลูกให้เติบโตมาเป็นคนดีได้ ถึงจะขาดพ่อแต่วิชชุตาก็ไม่เคยเก็บมันมาเป็นปมด้อย เธอร่าเริงสดใสได้เสมอ เรียกว่าเป็นสีสันของที่นี่ก็คงจะไม่ผิดนัก ไม่เหมือนกับเขาที่มีทั้งพ่อแม่ครบแต่ก็ยังทำตัวแปลกแยก การศึกษาสูงเสียเปล่าแต่ก็ยังทำตัวเป็นคนมีปัญหา ตัดขาดจากครอบครัวแล้วหนีมาหลบอยู่ที่นี่โดยไม่คิดจะกลับไปเหยียบบ้านตัวเองอีกเลย

ชายหนุ่มเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนถึงสนามหน้าบ้าน เขาตั้งใจว่าจะเก็บชิ้นส่วนหนังสือที่ตกเกลื่อนอยู่เสียก่อนแล้วค่อยกลับไปกินอาหารต่อ ทว่าบรรดาหน้ากระดาษทั้งหลายที่ตกเกลื่อนอยู่กลับหายไปเกือบหมด กวาดตาไปมองทางซ้ายก็เห็นว่าลุงเพชรคนสวนวัยห้าสิบกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บกระดาษให้อยู่

“ขอโทษที่ทำเลอะครับลุงเพชร ผมเก็บเองครับ” ไตรภพรีบตะโกนบอก

ลุงเพชรกับครอบครัวปลูกบ้านอยู่ไม่ไกลจากเรือนไทยที่เขาอยู่นัก ลุงแกมีหน้าที่ทำสวน ส่วนป้ามุกดาภรรยาของแกเป็นแม่ครัวให้กับทิพย์อาภา เดิมครอบครัวนี้มีอยู่ห้าคนแต่ตอนนี้เหลือกันอยู่แค่สามคน เนื่องจากลูกชายทั้งสองคนต่างก็แยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวใหม่ มีแต่ลูกสาวชื่อบุษราเท่านั้นที่ยังอยู่กับพ่อแม่

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ มันคงปลิวออกมาทางหน้าต่างล่ะสิ ระยะนี้ลมแรงเวลาจะไปไหนคุณก็อย่าลืมปิดหน้าต่างล่ะ” ลุงเพชรเตือนด้วยความหวังดี

ทั้งสองช่วยกันเก็บกระดาษรอบบ้านจนหมดแต่จะครบทุกหน้าหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไตรภพเลยฝากลุงเพชรเอาไว้ว่าถ้าเจอหน้ากระดาษแถวสวนให้ช่วยเก็บเอาไว้ให้ด้วย จากนั้นเขาก็หอบชิ้นส่วนหนังสือไปกองไว้บนโต๊ะทำงานตั้งใจว่าจะจัดเรียงหน้ามันใหม่ แต่กลับมีเสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน จากเสียงเพลงที่ตั้งไว้ไม่บอกก็รู้ว่ามีงานเข้า

“โทรมาแบบนี้จะเอางานล่ะสิ ยังไม่เสร็จหรอกกำหนดส่งสิ้นเดือนไม่ใช่รึไง เหลืออีกตั้งหลายวันไม่ต้องเร่งก็ได้น่า” ชายหนุ่มร่ายยาวใส่คนที่โทรมาทวงงาน

“ขอร้องล่ะไตร ได้โปรดเถอะ ช่วยเร่งให้หน่อยได้ไหม บังเอิญว่าเราจำวันส่งผิดน่ะ” เสียงหวานใสของคู่สนทนาดังออดอ้อนอยู่ในที

“ก็ได้ๆ จะเอาวันไหนล่ะ” ไตรภพรับคำแล้วถอนใจยาวกับคำขอร้องของหญิงสาว

อาชีพหลักของไตรภพคืองานเขียนโปรแกรม ลูกค้าประจำก็คือบริษัทที่นลินีทำงาน พอรวมตำแหน่งเพื่อนสะใภ้เข้าไปอีกอย่าง เขาเลยมักจะช่วยเหลือเธอโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์

“ไชโย! นึกแล้วว่าไตรต้องทำให้ได้ น่ารักที่สุด”

“ไปรักเจ้าก้องดีกว่า ผมยังไม่อยากเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน”

“จ้าๆ จะให้รักใครก็ได้ ขออย่างเดียวส่งงานให้พรุ่งนี้ทีนะ ฝันดีจ้ะไตร” หญิงสาวว่าแล้วตัดสายทิ้งไปในทันที

“เฮ้!…เดี๋ยวสิ โธ่…แย่ชะมัด” ชายหนุ่มบ่นอุบ

นึกอยู่แต่แรกแล้วเชียวว่ามีอะไรแปลกๆ ทำเป็นมาพูดฝันดี คืนนี้เขาคงได้นอนหรอก งานที่ทำไว้ยังเสร็จไม่ถึงครึ่งคงต้องนั่งทำจนเช้าอย่างไม่ต้องสงสัย

หนังสือที่รอการซ่อมแซมจึงถูกทิ้งไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม แผ่นบนสุดมีลายมือหวัดๆ เขียนไว้ว่า

‘…เราสามารถสังเกตร่างจุติของทวยเทพได้จากคุณสมบัติพิเศษหลายประการ ยกตัวอย่างเช่นการมีญาณวิเศษสามารถสัมผัสได้ถึงลางร้ายและจิตวิญญาณของภูตผีปีศาจ…’

ไตรภพยังอ่านมาไม่ถึงตรงนี้แต่ก็รู้ว่าเนื้อหาภายในเป็นเรื่องเกี่ยวกับชนเผ่ามหาภูตที่นักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่งเป็นผู้รวบรวมเอาไว้

หนังสือเล่มนี้ก็เป็นมรดกที่คุณลุงของเขาทิ้งเอาไว้ให้เมื่อหกปีก่อน ลุงพิทักษ์เป็นนักฟิสิกส์และนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียง ไตรภพรักและผูกพันกับลุงยิ่งกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเสียอีก ลุงสัญญากับเขาว่าถ้าเรียนจบแล้วจะให้มาร่วมทีมค้นคว้าด้วยกัน ทว่าในระหว่างที่เขาไปเรียนที่อเมริกาท่านก็หายตัวไปอย่างลึกลับ

ก่อนจะหายสาบสูญไปลุงบอกไว้แต่เพียงว่าจะไปตามหาศิลาพยากรณ์ของชนเผ่ามหาภูต แล้วก็หายสาบสูญไปโดยทิ้งตำรากองมหาศาลเอาไว้ในบ้านหลังนี้ พร้อมกับพินัยกรรมที่ระบุว่าให้ยกสมบัติของตนทุกอย่างให้กับหลานชายคนเล็กหากเกิดอะไรขึ้นกับตน

ไตรภพจึงมาขอเช่าบ้านหลังนี้ต่อแล้วก็พยายามศึกษาข้อมูลดูว่าลุงของเขาน่าจะเดินทางไปที่ใด แต่ก็ไม่เคยได้เบาะแสอะไรกลับมาเลย ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่เลิกล้มความพยายาม เขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อ่านหนังสือที่ลุงทิ้งเอาไว้ให้ ด้วยหวังว่าสักวันเขาจะไขปริศนาออกว่าลุงของเขาไปตามหาศิลาพยากรณ์ที่ไหน


บนถนนในซอยเล็กๆ ที่ค่อนข้างปลอดคน รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟสีแดงเริ่มชะลอความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงที่หมาย สถานที่ที่วิชชุตาจะไปคือคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก มันถูกสร้างมานานมากแล้ว และถูกทิ้งร้างเอาไปหลายปีจนเป็นที่ล่ำลือว่าเป็นคฤหาสน์ผีสิง

หญิงสาวมองเห็นตัวอาคารตั้งเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล เท่าที่เห็นมันก็ไม่ได้เก่าโทรมอะไร แสดงว่าเจ้าของได้บูรณะซ่อมแซมจนสวยงามเรียบร้อยแล้วก่อนเข้ามาอยู่ ที่นี่ดูเหมือนจะมีทางเข้าที่ไม่ซับซ้อนแต่พอเอาเข้าจริงเธอกลับหาทางเข้าบ้านไม่พบ ต้องขับวนหาอยู่หลายรอบ

“บ้าชะมัด กลับดีไหมนะ” วิชชุตางึมงำถามตัวเองอย่างชั่งใจ

ถ้าบอกนายจ้างไปว่าเธอหาทางเข้าบ้านไม่ได้คงต้องถูกตำหนิแน่ หญิงสาวจึงจอดรถตรงหน้ารั้วที่มีป้ายบ้านเลขที่ติดเอาไว้ แล้วหลับตาสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อสงบใจ พอจิตเริ่มนิ่งหญิงสาวก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาออก แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเธอมายืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ได้อย่างน่าอัศจรรย์

วิชชุตาถึงกับอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

นี่เธอถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ อย่างนั้นเหรอ

“มาหาไผเจ้า” เสียงถามว่ามาหาใครเป็นภาษาถิ่นดังขึ้น เรียกสติวิชชุตาให้กลับมา

เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวร่างอวบในชุดกางเกงขาห้าส่วนกับเสื้อยืดสีสด คะเนแล้วอายุของหญิงสาวคนนี้คงมากว่าวิชชุตาราวสิบห้าปี

“มาสอนพิเศษค่ะ” หญิงสาวตอบแล้วเพ่งมองอีกฝ่ายทันที พอเห็นว่าเป็นคนปกติไม่ใช่ภูตผีก็รู้สึกเบาใจขึ้น

คนฟังพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ แล้วเปลี่ยนจากการพูดภาษาถิ่นมาใช้ภาษาไทยกลางแทน หญิงสาวแนะนำตัวว่าชื่อน้อย เธอทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านหลังนี้

“คุณผู้หญิงรออยู่แล้วล่ะค่ะ” น้อยว่าแล้วเดินนำวิชชุตาไปยังทางเดินหินอ่อนสีเทา

‘หนาว’ นี่เป็นความรู้สึกแรกของวิชชุตาเมื่อเหยียบย่างเข้ามาภายใน ความร้อนระอุด้านนอกดูเหมือนจะไม่สามารถทะลุผ่านเข้ามาภายในตัวอาคารได้เลย สถานที่ใหญ่โตหรูหรากับความเงียบสงัดก่อให้เกิดบรรยากาศวังเวงชวนขนลุก จนต้องเร่งฝีเท้าเดินคู่ไปกับคนนำทางแทนการเดินตาม

เดินมาได้สักระยะน้อยก็พามาหยุดตรงประตูไม้สักบานหนึ่ง ในห้องมีผู้หญิงวัยสี่สิบเศษนั่งอยู่ บุคลิกสง่ากับการแต่งตัวที่ดูภูมิฐานบอกให้รู้ว่าเธอคนนี้คือคุณผู้หญิงของบ้าน หญิงสาวรับไหว้วิชชุตาแล้วเชิญให้นั่งฝั่งตรงข้าม ส่วนน้อยถูกสั่งให้ไปหาเครื่องดื่มมารับรองครูสอนพิเศษคนใหม่

พอวิชชุตาจิบเครื่องดื่มตามมารยาทแล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น

“เธออายุเท่าไรกัน แล้วเรียนชั้นไหนแล้ว”

แพขนตาหนาที่ถูกแต่งแต้มโดยเครื่องสำอางหลุบลงมองสำรวจครูสอนพิเศษคนใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างพิจารณา

“อายุสิบหกย่างสิบเจ็ดค่ะ แต่จบมอหกแล้วนะคะ พอดีหนูเรียนเร็ว”

วิชชุตารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกลเวลาถูกนายจ้างจ้อง สายตาของคุณผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับอาจารย์ฝ่ายปกครองเวลาตรวจระเบียบเครื่องแต่งกายเลย แถมดีกรีความเฮี้ยบก็ดูจะมีมากกว่าหลายขุม

“ห่างจากตาวินไม่มากคงพูดกันรู้เรื่อง ตาวินจะขึ้นมอสองปีนี้ ฉันอยากให้เธอเน้นพวกคำนวณให้มากๆ หน่อยเพราะแกอ่อน”

คุยกันอีกสองสามประโยคเภตราก็หันมาสั่งน้อยว่า

“พาคุณวิชชุตาไปที่ห้องคุณวินแล้วช่วยจัดอาหารเที่ยงให้เธอด้วย”

น้อยที่รอรับคำสั่งอยู่แล้วรีบเดินนำออกจากห้องไปทันที วิชชุตาจึงไหว้ลานายจ้างแล้วเร่งฝีเท้าเดินตามออกมา พอพ้นเขตประตูห้องมาได้หญิงสาวก็หายใจโล่งขึ้นเป็นกอง น้อยเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างหากเธอนักเพราะแอบถอนหายใจตอนออกมาเหมือนกัน

จากห้องรับแขกต้องเดินไปไกลทีเดียวกว่าจะถึงห้องของวิน ที่นี่มีแค่สองชั้นครึ่งแต่ก็กว้างและค่อนข้างซับซ้อน วิชชุตาจึงอดถามไม่ได้ว่าเคยมีคนหลงทางในนี้บ้างรึเปล่า

“ก็มีบ่อยนะคะ พี่เองตอนมาอยู่ใหม่ๆ ก็ยังหลงเลย โดนคุณผู้หญิงเอ็ดเสียแทบแย่” น้อยว่า

“พี่น้อยทำงานที่นี่นานแล้วเหรอคะ”

วิชชุตาถือโอกาสชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบ ความวังเวงของที่นี่มันชวนให้ใจแป้วอย่างไรชอบกล

“ตั้งแต่เล็กแล้วล่ะค่ะ ตามแม่ที่เป็นแม่บ้านเก่าของที่นี่มา ตอนพี่มาอยู่นี่คุณผู้หญิงเธออายุยี่สิบนิดๆ เอง สมัยยังสาวนี่เธอสวยมากๆ เลยนะคะ มีน้ำมีนวลไม่ผอมบางอย่างตอนนี้ แต่เพราะสวยมากๆ นี่แหละค่ะ เธอเลยขยาดผู้ชาย บ่นว่ามาหลงแต่ความสวยไม่ได้ชอบที่ตัวเธอ สุดท้ายเลยไม่เลือกใครสักคน” พอชวนคุยน้อยก็เจื้อยแจ้วเล่าเรื่องของเจ้านายมายาวเหยียด

“นึกว่าน้องวินเป็นลูกคุณผู้หญิงเสียอีก”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณวินเธอเป็นลูกของน้องสาวคุณผู้หญิง แม่คุณวินเสียไปหลายปีแล้วล่ะค่ะ อ๊ะ! คุยเพลินเกือบเลยห้องแล้วไหมล่ะ ห้องนี้คือห้องคุณวินค่ะ ขอตัวนะคะ” น้อยผายมือไปที่ประตูห้องแล้วเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

วิชชุตาจึงเดินไปที่ประตูแล้วตั้งท่าจะเคาะเรียกแต่ก่อนที่มือเธอจะได้สัมผัสกับเนื้อไม้ ประตูห้องที่ปิดสนิทก็เปิดออกได้เองราวกับรับรู้ว่ามีผู้มาเยือน ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศด้านในแผ่ออกมาปะทะใบหน้าเนียนพร้อมกลิ่นไอความอับทึบของห้อง ถัดจากประตูไปจนเกือบชิดพนังอีกด้านมีเด็กผู้ชายตัวเล็กผิวขาวละเอียดนั่งจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก

‘ถ้าเด็กนั่นนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วใครกันเป็นคนเปิดประตู’

ความคิดนี้ทำให้วิชชุตาละล้าละลังที่จะก้าวเข้าไป

“จะเข้ามาไหม” เจ้าของห้องร้องถาม

แววตาท้าทายของเด็กชายทำให้หญิงสาวตัดสินใจก้าวเข้าไปในห้องอย่างไม่รอช้า แต่แล้วก็มีอันต้องประสาทเสียอีกจนได้เมื่อประตูที่เปิดไว้เมื่อครู่ปิดลงได้เองราวกับมีชีวิต หญิงสาวหันไปมองประตูแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หลายนาทีทีเดียวกว่าเธอจะข่มความกลัวแล้วเอ่ยประโยคแรกได้

“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อวิชชุตาเรียกพี่ฟ้าก็ได้นะ ตั้งแต่วันนี้จะมาสอนพิเศษ น้องชื่อวินใช่ไหมคะ”

“ใช่ แนะนำตัวแล้วเราจะเริ่มเรียนกันได้รึยัง”

น้ำเสียงของเด็กชายจะว่ารำคาญเธอก็ไม่ใช่ กระตือรือร้นอยากเรียนก็ไม่เชิง ที่แน่ๆ คือวิชชุตารู้สึกได้ทันทีว่าโดนทำเย็นชาใส่ จึงพานรู้สึกไม่ชอบหน้าเด็กชายขึ้นมา แต่หญิงสาวก็ยังเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี เธอหันมายิ้มให้เด็กชายอย่างเป็นมิตรแล้วพูดว่า

“ได้จ้ะ ก่อนอื่นลองทำแบบทดสอบนี่ดูก่อนก็แล้วกันนะ”

หญิงสาวหยิบแบบฝึกหัดออกมาจากแฟ้มแล้วเลื่อนไปไว้ตรงหน้าเด็กชาย

วินก้มหน้าก้มตาทำอย่างว่าง่ายผิดคาด รอบตัวจึงมีแต่ความเงียบสงัด ช่วงนี้เองที่วิชชุตามีโอกาสมองสำรวจห้อง เครื่องเรือนส่วนใหญ่เน้นสีดำ ไม่เว้นแม้แต่โต๊ะหนังสือกับตู้เสื้อผ้าก็เป็นสีโทนนี้ ท่าทางมันจะเป็นรสนิยมความชอบส่วนตัวของเจ้าของบ้านมากกว่าเจ้าของห้อง ไม่มีเสียล่ะที่เด็กอายุเท่านี้จะแต่งห้องด้วยสีดำล้วน

หญิงสาวเดินไปที่เตียงขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางซ้ายของห้อง ปลายเตียงมีประตูอยู่บานหนึ่ง พอลองแง้มม่านหน้าต่างที่ติดกับประตูดู ก็จะเห็นภูเขาสีเขียวสดกับทะเลสาบน้ำจืดชัดเจน

“ว้าว! มองจากตรงนี้เห็นกว๊านด้วย สวยจังเลย” พูดจบวิชชุตาก็ถือวิสาสะเปิดม่านหน้าต่างออก

ห้องนี้ค่อนข้างอับทึบ เธอจึงปรารถนาดีอยากให้แสงแดดส่องเข้ามา ความจริงอากาศภายในบ้านก็ใช่ว่าจะร้อนอบอ้าว น่าแปลกที่วินกลับเปิดเครื่องปรับอากาศเสียแรง ถ้าไม่มีเสื้อคลุมกันแดดที่สวมมาเธอคงทนอยู่ในห้องนี้ไม่ได้แน่

“ปิดม่านเดี๋ยวนี้!” เด็กชายตวาดเสียงดังลั่นด้วยแววตาวาวโรจน์ ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ต้องรีบปิดม่านตามคำสั่งทันที

“ผมไม่ชอบแสงจ้า” เด็กชายสำทับเสียงเข้ม

“เอ่อ…พี่ขอโทษนะ ไม่รู้ว่าเราไม่ชอบ” วิชชุตากล่าวเสียงอ่อยแต่ไม่นึกโกรธที่ถูกตวาด

เธอผิดเองที่มือซนไปเปิดม่านโดยไม่ถามความเห็นเจ้าของห้อง ดูท่าวินคงจะไม่ชอบแสงแดดเอามาก ผิวถึงได้ขาวซีดแบบนี้

พอม่านปิดลงดังเดิมเด็กชายก็ก้มหน้าก้มตาทำแบบฝึกหัดต่อ ทำเสร็จก็ส่งมาให้ครูคนใหม่ตรวจ วิชชุตาไล่สายตาไปตามตัวอักษรสีดำจากปลายดินสอเรื่อยๆ แล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคะแนนที่ออกมา

“เก่งจัง ถูกหมดทุกข้อเลยนี่ ทำไมคุณป้าของวินถึงได้บอกว่าอ่อนคำนวณล่ะ”

“ป้าชอบทึกทักเอาเองแบบนี้ทุกที เรื่องครูพิเศษนี่ก็เหมือนกันไม่เห็นจำเป็น”

เด็กชายเน้นหางเสียงเป็นพิเศษแล้วเพ่งมองใบหน้าของวิชชุตาราวกับจะบอกว่า ‘ผมไม่จำเป็นต้องมีคนมาช่วยติวให้ เธอกลับไปซะ’

มองแล้วก็รู้ว่าวิชชุตาถูกตั้งแง่เข้าให้อย่างจัง เด็กคนนี้แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าเธอ ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังคงซักถามข้อสงสัยของตัวเองต่อไป

“แล้วทำไมคะแนนสอบถึงได้ออกมาแย่นักล่ะ”

ในเมื่อฉลาดออกขนาดนี้ทำไมเทอมที่แล้วถึงเกือบจะติดศูนย์วิชาคณิตศาสตร์ได้

“ขี้เกียจทำการบ้าน ข้อสอบก็น่าเบื่อเลยกามั่ว”

คำตอบที่ได้ทำให้วิชชุตาตัดสินใจหยุดสอนแล้วเดินออกมาพูดกับผู้ปกครองเด็กให้รู้เรื่อง วินไม่ได้มีปัญหาเรื่องไอคิวเลยแม้แต่น้อยแต่อีคิวนี่สิที่น่าห่วง วินอาจจะไม่ต้องการครูสอนพิเศษจริงๆ อย่างที่เจ้าตัวบอก เด็กชายต้องการความเข้าใจจากครอบครัวเสียมากกว่า

หญิงสาวย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อตามหานายจ้างแต่กลับหลงทางเสียได้ วิชชุตาไม่ใช่พวกหลงทางง่าย เธอจำถนนหนทางทุกเส้นได้แม่นยำเสมอ แต่พอย่างก้าวเข้ามาในนี้เธอกลับเดินวกไปวนมาหาทางออกไม่เจอเสียอย่างนั้น วิชชุตาจึงเริ่มปักใจเชื่อว่าบ้านหลังนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแอบแฝงอยู่ อะไรบางอย่างที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้เสียด้วย

ในที่สุดวิชชุตาก็ต้องยอมแพ้นั่งพักบนพื้นทางเดิน เธอเดินจนปวดขาไปหมดแต่ก็ยังไม่เจอใครสักคนเลย หญิงสาวหลับตาแล้วสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้ผ่อนคลายตามความเคยชิน เวลาโกรธหรือสับสนเธอจะทำแบบนี้ตามคำสอนของแม่เสมอ

“คุณ…มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัวหลังจากหลับตาไปได้อึดใจเดียว

วิชชุตาจึงลืมตาขึ้นมามองแล้วรีบผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นเขา ชายแปลกหน้าที่เอ่ยทักเธอเป็นชายร่างสันทัด ใบหน้าละม้ายคล้ายกับวินแต่ดูเป็นมิตรกว่ามาก

“คือ…ฉันเป็นครูสอนพิเศษค่ะ แบบว่าฉันหลงทาง แล้วก็เอ่อ…” หญิงสาวละล่ำละลักพูดเสียงรัวเร็วเลยเรียงประโยคเสียสับสนไปหมด ด้วยนึกดีใจที่ได้เจอใครสักที

“คุณว่าอะไรนะครับผมฟังไม่ทัน”

วิชชุตาตั้งสติแล้วอธิบายใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ

“ฉันเป็นครูสอนพิเศษค่ะ เพิ่งมาสอนวันนี้เป็นวันแรก”

“แปลกดีนะครับ ผมเดินมาทางนี้ไม่เห็นใครสักคนพอหันหลังไปกลับมาเจอคุณนั่งอยู่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

วิชชุตาเองก็แปลกใจเหมือนกันเพราะตรงทางเดินยาวเหยียดนี้มีเธออยู่คนเดียว เธอหลับตาไปไม่ถึงห้าวินาทีจากรอบตัวที่ไร้ผู้คนกลับมีเขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าได้ แต่เธอขอเงียบไม่พูดถึงเรื่องที่หาคำอธิบายไม่ได้เรื่องนี้จะดีกว่า

“แล้วจะไปไหนล่ะครับผมจะพาไป” ชายหนุ่มอาสาอย่างมีน้ำใจ

“ฉันอยากจะพบกับคุณผู้หญิงค่ะ อยากจะคุยเรื่องของวิน”

“พี่เภตราออกไปข้างนอกแล้วครับ เอาอย่างนี้ มีอะไรคุยกับผมก็ได้ จริงสิลืมแนะตัวไปเลย ผมชื่ออติรัฐเป็นอาของวินครับ”

พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หญิงสาวก็เล่าเรื่องของเด็กชายให้เขาฟังทั้งหมด ชายหนุ่มรับฟังโดยไม่มีอาการแปลกใจแม้แต่น้อยเมื่อได้รับรู้เรื่องราวของหลานชาย

“วินเป็นแบบนี้แหละครับ ผมก็กลุ้มใจอยู่เหมือนกัน เรื่องเรียนน่ะผมไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่หลานจะไม่มีเพื่อนเท่านั้น ตั้งแต่พ่อแม่เสียไป วินก็เป็นอย่างที่เห็น” อติรัฐเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจไม่แพ้กัน

เขาเล่าว่าคุณเภตราเธอรักวินในแบบผิดๆ คือให้แต่เงินทองข้าวของไม่เคยให้เวลา แล้วเธอก็ไม่ยอมรับด้วยว่าวินเริ่มทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เภตราโทษทุกคนรอบตัวว่าทำไม่ดีกับหลานแต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย

ความจริงชายหนุ่มอยากรับวินไปดูแลเสียเองแต่คุณเภตราเธอไม่ยอม อุบัติเหตุทางรถยนต์ของพ่อแม่วินทำให้เธอคิดว่าพี่ชายของเขาเป็นต้นเหตุทำให้น้องสาวเธอตาย ก็เลยไม่ไว้ใจและไม่ยอมให้วินมาอยู่ในความดูแลของครอบครัวเขา อติรัฐจึงทำได้อย่างมากก็แค่มาเยี่ยมเด็กชายให้บ่อยที่สุดเท่าที่เวลาจะเอื้อเท่านั้น

วิชชุตาได้แต่นั่งฟังแล้วทำตาปริบๆ ท่าทางวินจะไม่ใช่แค่คนเดียวที่มีปัญหา แต่เป็นทั้งครอบครัวเลยล่ะที่มีปัญหาอยู่

“ถ้าอย่างนั้นฉันคงจะต้องบอกเลิกการสอนค่ะ วินไม่ได้เรียนอ่อนจนต้องมีครูสอนพิเศษ”

หญิงสาวไม่อยากจะเอาเงินจากใครเปล่าๆ วินหัวดีอยู่แล้วสอนไปก็เปล่าประโยชน์ ที่สำคัญลางสังหรณ์เตือนเธอเอาไว้ว่าให้อยู่ห่างจากบ้านหลังนี้เป็นดีที่สุด

“ถ้าผมจะขอว่าอย่าลาออกล่ะครับคุณจะว่ายังไง” อติรัฐห้ามไว้ด้วยน้ำเสียงเจือการขอร้องอยู่ในที

“ทำไมล่ะคะ”

“ผมอยากให้คุณช่วยเป็นเพื่อนกับวินหน่อย วัยไล่เลี่ยกันอย่างคุณน่าจะรับมือกับลูกเล่นของแกได้บ้าง บางทีแกอาจจะยอมเปิดใจให้ก็ได้นะครับ”

ได้ฟังวิชชุตาก็รีบส่ายหน้าแล้วปฏิเสธทันที เธอไม่ใช่นักจิตวิทยาเสียหน่อย สงสัยเขาจะดูหนังเกี่ยวกับครูสาวแสนดีที่ช่วยแก้ปัญหาของเด็กๆ มากไปกระมังก็เลยมาหวังพึ่งเธอ

สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่วิชชุตายืนกรานปฏิเสธคำขอร้องของชายหนุ่มเสียงแข็ง หญิงสาวก็ถูกเขากล่อมจนต้องตกปากรับคำสวมวิญญาณนักจิตวิทยาเด็กจนได้ เพื่อนๆ ที่โรงเรียนพูดถูก เธอน่ะมันพวกบ้ายุขนานแท้ โดนกล่อมเข้าหน่อยก็ใจอ่อน เธอล่ะเกลียดนิสัยแบบนี้ของตัวเองจริงๆ

วิชชุตากลับมาที่ห้องของเด็กชายอีกครั้งพร้อมอติรัฐ คราวนี้ประตูเปิดปิดเองไม่ได้เหมือนคราวก่อน บรรยากาศแปลกๆ พลอยหายไปด้วย ที่สำคัญคือจากเด็กชายสุดขรึมปากคอคมกริบเมื่อครู่กลับกลายเป็นเด็กร่าเริงนิสัยน่ารักได้ทันตาเห็น

หญิงสาวแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาเมื่อเห็นสองอาหลานพากันพูดคุยเล่นหัวกันอย่างสนุกสนาน หนำซ้ำวินยังมีทีท่าเป็นมิตรกับเธอด้วย แต่พออากลับไปเด็กชายก็ทำเย็นชากับเธออีก มองแล้วก็เริ่มคันมือคันไม้อยากมอบรางวัลตุ๊กตาทองให้พ่อหนูคนนี้เสียเหลือเกิน

“นี่คุณวินเจ้าขา จะเอายังไงกับพี่ฟ้าแน่คะ จะเชิดใส่ก็เชิดสิหรือจะดีก็ดีด้วยเลย”

“ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม” พ่อตัวดีหันตัวหนีพร้อมทำสีหน้าไม่แยแสใส่

วิชชุตาเลยได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ นี่ถ้าเป็นน้องชายเธอนะป่านนี้เจอซัดไปสักสี่ห้าตุ๊บแล้ว

หญิงสาวจึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้งเพื่อระงับอารมณ์ ครั้งนี้เธอไม่หลับตาก็เลยเหลือบไปเห็นเงาจางๆ สีขาวเหมือนกลุ่มหมอกบริเวณมุมห้องเข้า

จากหมอกจางๆ สีของมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกลุ่มควันสีขาวรูปร่างคล้ายมนุษย์

หญิงสาวมองมันตาค้าง ดูเหมือนมันจะรู้ตัวเสียด้วยว่ากำลังถูกมอง ดวงตาสีเทาภายใต้กลุ่มควันมีแววประหลาดใจเคลือบอยู่ แล้วร่างนั้นก็เคลื่อนที่เข้ามาหา ส่วนที่คล้ายมือเกือบจะถูกตัววิชชุตาอยู่แล้ว โชคดีที่หญิงสาวมีสติพอจะเบี่ยงตัวหลบ มันเลยคว้าได้แต่อากาศเปล่าๆ

“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น ฉับพลันร่างนั้นก็สลายไปในจังหวะเดียวกับที่น้อยเปิดประตูเข้ามา

“ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วค่ะ สอนยังไม่เสร็จเหรอคะ”

“ปะ…เปล่าค่ะเสร็จพอดี พี่ฟ้าไปนะคะ” หญิงสาวตอบทั้งที่สายตายังคงมองไปที่ความว่างเปล่าตรงมุมห้อง

เมื่อกี้มันภาพบ้าอะไรกัน เธอตาฝาดหรือมันคือเรื่องจริง

“อยู่ทานมื้อเที่ยงก่อนนะคะ”

คุณผู้หญิงสั่งให้เตรียมอาหารให้ครูสอนพิเศษของคุณหนูวินด้วย น้อยเลยเตรียมเครื่องไว้แล้ว เหลือแค่ลงมือทำไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้ข้าวผัดร้อนๆ พร้อมรับประทาน

“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีนัดกับแม่เอาไว้” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน

ตอนแรกก็ตั้งใจจะอยู่กินของฟรีหรอกแต่เห็นแบบนี้แล้วไม่ไหว ขืนอยู่ที่นี่นานๆ เธอคงประสาทกินตาย

หญิงสาวรีบเดินตามน้อยออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว คว้าเจ้ารถคู่ใจได้ก็เร่งเครื่องออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองที่นี่อีกเลย



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2555, 00:12:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.พ. 2555, 00:12:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 2058





<< บทนำ   ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 2 คำเตือน >>
Auuuu 10 ก.พ. 2555, 00:48:59 น.
นิ... ฟ้าาาาา^^


Zephyr 10 ก.พ. 2555, 00:49:14 น.
โอ้ ลงที่นี่ ลงยาวนะคะ ดีค่ะ อ่านแล้วยาวสะใจ ไม่ต้องรอลุ้นมากเหมือนที่นู่น จะจิ้มบ่อยมากๆ ภาวนาให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆจะได้อ่านต่อ หึหึ คุณนิชาภาเปิดปมไวว้ตอนจะจบตอนเรื่อยๆ อ่านแล้วจะลงแดงทุกที พอเลื่อนมาจบก็จะเกิิดอาการ อ๊าาาาาาาาาา อยากอ่านต่อ ^^


Zephyr 10 ก.พ. 2555, 00:51:45 น.
เอ่อ สงสัยค่ะ นายไตรนี่แก่มากมั้ยคะ อายุห่างจากฟ้ากะนิมากมั้ย อ่านๆไปแล้วเหมือนเดี๋ยวแก่เดี๋ยวไม่แก่เลย ฮ่าๆๆๆ


นิชาภา 10 ก.พ. 2555, 01:09:28 น.
คุณ Auuuu นึกว่าไปนอนแล้วยังอยู่หรือคะนี่ อิๆ ฝันดีล่วงหน้านะคะจุ๊บๆ

คุณ Neferretti ไตภพอายุ 26 ค่ะ ส่วนแม่ฟ้า 37 จริงๆ มันมีปมอ่ะค่ะ แต่ตัดทิ้งไปสองตอนใหญ่ๆ เลย เล่าเลยแล้วกัน จริงๆ แล้วแม่ฟ้าไม่ใช่แม่แท้ๆค่ะ เป็นน้าสาว แต่เป็นแม่ในชาติที่แล้ว แล้วกุมความลับหลายๆ อย่างไว้ อย่างพ่อฟ้าจริงๆ ไม่ได้ตายนะคะแต่ว่าถูกผนึก บลาๆๆ ฟ้าต้องไปคลายผนึกให้พ่อ แน่นอนว่าเราถูกสั่งตัดเลยทิ้งหมดเลยไม่กล่าวถึงใดๆ ทั้งสิ้น แม่ฟ้าเลยกลายเป็นคนธรรมดาค่ะ ไม่งั้นคุมหน้าไม่ได้ จริงๆ มันต้อง 300 หน้าเอสี่อัพ แต่ต้องย่อให้ไม่เกิน 250 คนเขียนหน้ามืดค่ะ เพราะพล็อตเดิมมันอลังการกว่านี้มาก


Zephyr 10 ก.พ. 2555, 01:55:58 น.
อ้อ ค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาตอบให้
เอ แต่แล้วอย่างนี้เปลี่ยนพลอตป่าวคะ ไม่กล่าวถึงเลย แล้วตรงส่วนนี้หายไป เรื่องมันจะไม่ห้วนไป หรืองงเหรอคะ เพราะดูเหมือนจะเป็นส่วนสำคัญด้วยนะ หรือว่าแต่งใหม่เลยให้รวบรัด ไม่กล่าวถึงแล้วก็เปลี่ยนปมไปเลย หรือไม่ก็ให้คนอื่นเป้นคนเแลยแทน เอ หรือเป็นหนูนิแทนคะ ^^


Zephyr 10 ก.พ. 2555, 01:57:19 น.
เมื่อกี้ไปเปิดเวบนู้นมา แอบขัดใจใครบางคนอย่างมากมาย อ๊ายยยยยยยยยย เปลี่ยนไปๆๆๆๆ เฮ้อ


wane 10 ก.พ. 2555, 04:49:12 น.
สนุกค่ะ ...แล้วที่นี่ลงแบบฉบับเต็ม ไม่เหมือนในหนังสือไม่ได้เหรอค่ะ


นิชาภา 10 ก.พ. 2555, 12:59:12 น.
คุณ neferritti อิๆ ใครบางคนมีเหตุผลที่เปลี่ยนไปค่ะ หุๆๆ เดี๋ยวเฉลยเนอะ ตรงส่วนที่หายไปคือหายไปเลยค่ะไม่กล่าวถึง แล้วก็ปรับพล็อตนิดหน่อยค่ะ รับรองว่าไม่งงแน่นอน ข้อดีของนิยายเรื่องนี้คือเป็นแบบซีรีย์ค่ะ จบในตอน ดังนั้นถ้าปรับพล็อตดีๆ มันก็ตัดตอนทิ้งได้ค่ะ

คุณ wane ดีใจที่ชอบค่า ฉบับเต็มหายไปแล้วค่ะ 5555 (หัวเราะแบบขมขื่น) คือว่าตอนที่ทำต้นฉบับอันเก่าใช้คอมตั้งโต๊ะค่ะ พอจะต้องตัด เราก็เซฟมาทำในโน้ตบุค ช่วงนั้นเดินทางบ่อย เลยไมได้แตะคอมตั้งโต๊ะเลย ทิ้งเครื่อง PC ให้ฝุ่นจับอยู่บ้าน คนที่บ้านนึกว่าเราไม่ใช้เลยเปลี่ยนไส้ในมันใหม่ เอาไปเอามา HDD โดนถอดออกค่ะ เอาไปซุกไว้ไหนไม่รู้ กว่าจะหาเจอเอามาประกอบเปิดใหม่ มันก็เปิดไม่ได้แล้วค่ะ T^T เศร้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account