กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"
เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ
ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)
แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)
บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่
ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป
หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^
เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ
ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)
แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)
บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่
ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป
หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^
Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ
ตอน: ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 1 ก้าวใหม่
ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 1 ก้าวใหม่
ช่วงเวลาประกาศผลสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมศึกษาใกล้เข้ามาทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือนักเรียนต่างก็รอคอยลุ้นผลการสอบอย่างใจจดใจจ่อ แม้แต่คนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างวิชชุตาก็ตื่นเต้นไปกับเขาด้วย เธออยากรู้ว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มจะสอบติดได้ไปเรียนกันที่ไหนบ้าง
เมื่อวันประกาศผลการสอบมาถึง ที่บ้านเสียงโทรศัพท์ดังสนั่นกริ๊งกร๊างทั้งวัน เพื่อนๆ โทรมารายงานผลการสอบกันใหญ่ หนึ่งในนั้นก็มีนิศารัตน์รวมอยู่ด้วย
“ฟ้า ฉันสอบติดล่ะ ไชโย! ได้คณะที่เลือกไว้อันดับหนึ่งด้วย กรี๊ดดดด!” ทนเครียดมานานสุดท้ายความพยายามของเธอก็ประสบผลสำเร็จ
“ดีใจด้วยนิ เห็นรึเปล่าล่ะบอกแล้วว่าเธอต้องทำได้”
วิชชุตายิ้มให้กับความสำเร็จของเพื่อน ตอนนี้ทุกคนในกลุ่มได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่อยากเรียนกันหมด สมกับที่ทุ่มเทอ่านหนังสือกันอย่างหนัก
“ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเลือกหรอกแต่ใส่ไปงั้นๆ เอง ผลออกมาปรากฏว่าได้ นี่รู้รึเปล่าร้องไห้เพราะดีใจไปรอบนึงแล้ว”
“ฮ่ะๆๆ ร้องเลยเหรอยัยเพี้ยน แล้วที่บ้านว่าไง”
“หัวเราะกันใหญ่น่ะสิ หาว่าเราประสาท”
“นิได้พยาบาลอย่างนี้ ฉันก็ได้ไปเรียนพิษณุโลกกับยัยโบว์สองคนน่ะสิ แหมใจร้ายกันจัง ไปอยู่เชียงใหม่กันหมดเลย”
เพื่อนๆ ในกลุ่มของเธอครึ่งหนึ่งเลือกที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เหลือกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
“หา…มอชอเหรอ เปล่านะฉันไม่ได้ อ๊ะ!…อาโทรเข้ามือถือ แค่นี้ก่อนนะฟ้าแล้วค่อยคุยกัน” นิศารัตน์วางโทรศัพท์บ้านแล้วเปลี่ยนไปรับโทรศัพท์มือถือแทน
ญาติทางฝ่ายพ่อหวังในตัวเธอไว้มากเนื่องจากเป็นหลานคนแรก ถึงคนในครอบครัวจะไม่บังคับว่าต้องเรียนต่อที่ไหน แต่เธอก็รู้ดีว่าทุกคนอยากให้เธอได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐบาล พอทำได้อย่างที่หวังจึงมีคนมาแสดงความยินดีด้วยมากมาย
หญิงสาวสาละวนโทรศัพท์ไปแจ้งผลกับญาติๆ ผลัดกับรับโทรศัพท์จนเกือบดึก เหลียวมองรอบตัวอีกทีคนในบ้านก็แยกย้ายกันไปนอนหมดแล้ว เธอจึงไล่ปิดไฟห้องชั้นล่างแล้วอาศัยความเคยชินคลำทางไปจนถึงห้องนอน
แสงไฟสลัวจากภายนอกทำให้มองเห็นว่ามีคนกำลังนอนอยู่บนเตียง นิศารัตน์จึงย่องเข้าไปห่มผ้าให้น้องสาวที่กำลังหลับอยู่
เธอกับน้องต่างก็มีห้องส่วนตัวแต่นรีกานต์เรียนอยู่โรงเรียนประจำ นานๆ จะได้เจอกันสักครั้ง มาค้างที่บ้านนี้ทีไรก็มักจะมาอ้อนขอนอนกับพี่สาวทุกที
นอกจากนรีกานต์ที่อ่อนกว่าห้าปีแล้วนิศารัตน์ยังมีน้องชายอีกคนชื่อนิติธร รายนี้กำลังจะขึ้นมัธยมปลาย ต้องเรียนพิเศษเตรียมความพร้อม ปิดเทอมจึงยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้มาบ้านคุณตาเหมือนทุกปี
ความยินดีทำให้นิศารัตน์ข่มตานอนไม่หลับ หญิงสาวจึงขึ้นไปที่ดาดฟ้าเพื่อดูดาว จากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้โดยรอบโดยที่ไม่มีอะไรมาบดบัง มันจึงเป็นมุมโปรดมุมหนึ่งของเธอ
คืนนี้จันทร์เสี้ยวเว้าแหว่งเป็นรูปรอยยิ้มเหมือนกำลังแสดงความยินดีด้วย นิศารัตน์จึงยิ้มกลับไปให้พระจันทร์ ใจนึกถึงคุณตาที่เสียชีวิตไปเมื่อสี่ปีก่อน หากท่านยังอยู่ท่านคงจะยินดีกับเธอไม่แพ้ใคร และอาจจะมานั่งอยู่ตรงนี้ มามองดูดาวด้วยกัน
ถึงคุณตาเธอจะทำธุรกิจแต่ท่านก็เชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนงไม่ว่าจะเป็นเรื่องโบราณคดี ดาราศาสตร์ หรือเรื่องการแพทย์แผนโบราณท่านก็มีความรู้ ตั้งแต่เล็กแล้วที่ท่านมักจะพานิศารัตน์มาตรงนี้แล้วเล่าตำนานต่างๆ เกี่ยวกับท้องฟ้าให้ฟัง เธอจำได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสาที่ยังเด็ก แต่มีคำพูดหนึ่งที่เธอจำได้ขึ้นใจ
‘นิรู้ไหมลูกว่าดวงดาวสามารถบอกอนาคตกับเราได้’
‘ยังไงคะ’ นิศารัตน์หันไปถามอย่างสนใจ
เธอสนใจพวกศาสตร์เร้นลับมาตั้งแต่เล็ก บางทีเธอก็คิดว่ามันพิลึกที่เด็กแปดเก้าขวบคนหนึ่งจะมานั่งอ่านหนังสือจำพวกศาสตร์เร้นลับแทนการออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ
‘คนเราเชื่อกันว่าแต่ละคนล้วนมีดวงดาวเป็นของตัวเอง เมื่อใดที่ดาวประจำตัวของคนๆ นั้นอ่อนแสง ย่อมหมายถึงเหตุร้าย และถ้าดวงดาวดับแสงไป นั่นก็หมายถึงความตาย’
‘หนูก็เคยอ่านมาเหมือนกันค่ะ แต่ว่ามันจะใช้ทำนายอนาคตได้ยังไงล่ะคะ’
‘เรื่องนี้ตาก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะตาไม่มีความสามารถอย่างนั้น แต่ตารู้จักคนๆ หนึ่งที่ทำนายชะตาจากดวงดาวได้’
‘ใครเหรอคะ ลุงฝรั่งเพื่อนคุณตาใช่รึเปล่า’ นิศารัตน์เดา
ฟังแล้วคุณตาก็หัวเราะร่วนก่อนจะตอบว่าใช่
‘ถ้าคุณลุงอดัมมาที่บ้านเราอีก นิให้สอนให้บ้างดีกว่า’
นายอดัมเป็นชาวอเมริกันวัยสี่สิบเศษ ผมทอง ตาสีฟ้า ไว้หนวดเครารกรุงรัง พูดภาษาไทยได้ดีพอใช้ เขาทำธุรกิจอยู่ในมาเลเซีย มาประเทศไทยทีไรก็จะแวะมาหาคุณตาทุกครั้ง แม่กับพ่อบอกว่าเขาเป็นคนพิลึกแต่นิศารัตน์กลับชอบเขามากเพราะเขาเป็นคนตลก มักมีของฝากแปลกๆ มาฝากเธอเสมอ ซ้ำยังสอนอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถหาเรียนได้จากโรงเรียนให้กับเธอด้วย พื้นฐานการทำนายไพ่ยิปซีเขาก็เป็นคนสอนให้กับเธอ
‘ฮ่ะๆๆ ตาว่าไม่จำเป็นให้ลุงอดัมสอนหรอก ถึงเวลานั้นหลานสาวของตาก็จะเก่งกว่าลุงอดัมเสียอีก ไม่สิ ต้องพูดว่าเก่งกว่าเทพพยากรณ์คนไหนๆ ถึงจะถูก’
เธอไม่เข้าใจที่ท่านพูดมาเลยสักนิด พอถามคุณตาว่าหมายความว่าอย่างไรท่านกลับเอาแต่ยิ้ม บอกแต่ว่าอีกหน่อยก็จะเข้าใจเอง นิศารัตน์จึงรอคอยให้วันนั้นมาถึง วันที่เธอจะเข้าใจทุกสิ่งอย่างที่คุณตาบอก
เวลาช่วงปิดเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก ยิ่งใกล้เวลาที่ต้องไปมหาวิทยาลัยมากเท่าไรวิชชุตาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้นเท่านั้น เธอนึกถึงเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันมา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากมาย ไปไหนก็ไปกันเป็นกลุ่ม วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังได้เจอกันที่เรียนพิเศษ พอนึกถึงว่าต่อไปจะไม่มีภาพเหล่านี้อีกแล้วก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้
ตอนเรียนมัธยมเธออยากจะรีบเรียนให้จบไวๆ จะได้เป็นนักศึกษากับเขาเสียที สุดท้ายพอเวลานั้นมาถึงเธอกลับอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจะจากสิ่งคุ้นเคยเหล่านี้ไป
เหนือสิ่งอื่นใดเธอกลัวที่จะต้องจากแม่ วิชชุตาไม่เคยห่างแม่มาก่อน อย่างมากก็ไปเข้าค่ายสองสามวันแล้วก็กลับมาหากัน เธอกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว กลัวสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
วิชชุตารู้สึกว่าตัวเองกำลังวิตกจริตจนน่ารำคาญ หญิงสาวพยายามสลัดความรู้สึกกลัวออกไปจากจิตใจ เอาความคิดที่ว่าคนเราต้องเติบโตและก้าวเดินต่อไปมาช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจ ทว่าถึงจะบอกกับตัวเองไปอย่างนั้นมันก็ยังอดเศร้าไม่ได้
“สำลี...ถ้าฉันไม่อยู่แกต้องดูแลตัวเองนะ อย่าซ่าให้มากรู้ไหม” หญิงสาวเอ่ยกับเจ้าแมวเหมียวสีขาวปลอดที่เข้ามาคลอเคลีย
เห็นขี้อ้อนอย่างนี้เจ้าสำลีน่ะร้ายใช้หยอก มันคงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อคุมแถวนี้ก็เลยเที่ยวไปกัดกับแมวบ้านอื่นเขาไปทั่ว ได้แผลมาก็บ่อย เธอไม่อยู่เสียคนใครจะทำแผลให้มัน
“ร้อนมากจนเพี้ยนเลยเหรอยัยฟ้า พูดคนเดียวอยู่ได้”
ไตรภพตรงเข้ามาทัก มือหิ้วถุงขนมโมจิมาด้วย เขาเพิ่งกลับจากนครสวรรค์ ผ่านร้านขายของจึงซื้อขนมมาฝากเจ้าของบ้าน เดินมาได้ครึ่งทางเห็นแม่หนูฟ้านั่งงึมงำบนแคร่ในสวนอยู่คนเดียวเลยเข้ามาหา
“เปล่าซักหน่อย พูดกับเจ้าสำลีต่างหาก” หญิงสาวตอบพลางถอนใจเฮือกใหญ่
“เป็นอะไรไป” ไตรภพหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีแปลกไป
“เปล่า”
“มีอะไรก็บอกมา หน้าตามันฟ้องออกอย่างนั้นว่าไม่สบายใจ”
เห็นกันมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกมีหรือเขาจะดูไม่ออกว่าเธอมีอะไรในใจ
“ฟังแล้วเหยียบไว้อย่าไปบอกแม่ล่ะ ก็แค่ไม่อยากไปมหา’ลัย กลัวแม่เหงาเท่านั้นเอง” หญิงสาวสารภาพไปตามตรง
ถึงปิดบังไปสุดท้ายนายไตรก็จะหาสารพัดลูกเล่นมาหลอกล่อให้เธอพูดออกมาอยู่ดี
“ฮ่ะๆๆ เด็กหนอเด็ก กลับมาบ้านบ่อยๆ ก็ได้นี่นา แม่เธอเขาไม่เหงาหรอกลูกสาวจอมวุ่นวายไม่อยู่สักคน สบายใจสบายหูขึ้นตั้งแยะ”
ชายหนุ่มพูดเจตนาไม่ให้อีกฝ่ายคิดมากแต่คำพูดกลับกลายเป็นคำพูดยั่วโมโหไปเสียนี่
“ใครวุ่นวายยะ” วิชชุตาหันมาแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม แล้วทั้งสองก็ปะทะคารมกันใหญ่
หญิงสาวมานึกได้ตอนวิ่งไล่ตีไตรภพนี่เองว่ายังมีอีกคนที่เธอจะต้องคิดถึง ก็เขาอย่างไรเล่า คนที่เป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนเล่น เธอคงจะเหงาน่าดูเวลาไม่มีเขามาคอยชวนให้ทะเลาะด้วย
เมื่อวันเดินทางมาถึงทิพย์อาภากับไตรภพก็ขับรถพาวิชชุตาไปส่งที่มหาวิทยาลัย แม่ให้เธอเช่าห้องพักข้างนอกแทนหอพักในมหาวิทยาลัย ท่านบอกว่ามันสะดวกสบายกว่า ทั้งที่ตั้งหอพักก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก เดินออกมาไม่เท่าไรก็ถึงตึกคณะแล้ว
หญิงสาวตามใจมารดาทุกอย่าง ท่านว่าอย่างไรเธอก็ว่าอย่างนั้น ดีเสียอีกให้ท่านหาหอพักให้ท่านจะได้สบายใจไม่ต้องห่วงว่าเธอจะอยู่กินอย่างไร
วิชชุตาจะต้องเข้าค่ายรับน้องของคณะสามวันสองคืนก่อนแล้วค่อยไปอยู่ที่หอพัก แม่กับนายไตรภพจึงช่วยกันขนของของเธอไปเก็บไว้ให้ที่หอพักก่อน พอเธอเข้าค่ายเสร็จทั้งสองคนก็จะมารับไปที่หอ ขาดเหลืออะไรจะได้พาไปเลือกซื้อมาไว้กันหลังจากนั้น
พอรถจอดที่หน้าสถานที่เข้าค่าย หญิงสาวก็สวมกอดมารดาแล้วก็หอมอีกฟอดใหญ่
“แม่นั่งรถกลับบ้านดีๆ นะคะ”
“ยัยลูกแหง่” ไตรภพว่าพลางส่งสายตาล้อเลียนมาให้
“ช่างฉันย่ะ นายขับรถดีๆ ล่ะ พาแม่ฉันไปส่งบ้านให้ปลอดภัยด้วย” หญิงสาวกำชับคนเช่าบ้าน แล้วคว้ากระเป๋ากระโดดลงจากรถไป
“ฟ้าไปนะคะแม่” หญิงสาวลงมายืนยิ้มโบกมือให้กับมารดา เธอไม่ยอมให้ท่านลงมาส่งเพราะกลัวว่าจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
หญิงสาวรอจนรถที่ขับมาแล่นไปไกลสุดสายตาแล้วจึงเดินเข้าไปในอาคารที่ใช้จัดกิจกรรม ตรงทางเข้ามีรุ่นพี่อยู่กลุ่มหนึ่งคอยมาถามชื่อน้องๆ เขียนใส่เทปกาวแล้วติดไว้ที่กระเป๋า
“ติดชื่อไว้ที่กระเป๋านะครับน้อง พวกพี่ๆ จะขนไปเก็บไว้ให้เอง น้องคนไหนที่มีของมีค่าแล้วกลัวหายก็ฝากไว้ที่พวกพี่ๆ ได้นะครับ ใครติดชื่อที่กระเป๋าแล้วก็ไปลงทะเบียนด้านในได้เลยนะ” เสียงตะโกนของชายหนุ่มร่างสูงดังแข่งกับเสียงอื้ออึงของผู้คน
ผู้ปกครองหลายคนมาส่งลูกหลานถึงที่ บางรายก็ยืนดูลูกอยู่ตรงนั้นรอให้ลูกเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ก่อนแล้วค่อยกลับ
วิชชุตาไปเข้าแถวรอให้รุ่นพี่เขียนชื่อติดกระเป๋าให้ ด้านหลังเธอมีครอบครัวหนึ่งพากันมาส่งลูกสาว วิชชุตาไม่ได้ใส่ใจนักแต่ก็ได้ยินการสนทนาดังผ่านเข้ามาในหู
“แม่ขา พ่อขา กอดหน่อย” เสียงลูกสาวดังขึ้น
พูดจบหญิงสาวคนนั้นเข้าไปกอดหอมพ่อกับแม่ต่อหน้าทุกคน สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่พบเห็น คนส่วนใหญ่มักจะอายที่จะแสดงความรักกับพ่อแม่ กลัวจะถูกว่าว่าไม่รู้จักโตบ้าง เป็นลูกแหง่บ้าง วิชชุตาคิดว่ามันไม่น่าอายสักหน่อย ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดีออก
หญิงสาวคนนั้นหันหลังให้วิชชุตาเธอเลยเห็นหน้าไม่ชัด พอเธอคนนั้นหันหน้ามาเท่านั้นแหละวิชชุตาก็ต้องอ้าปากค้าง
“ยายนิ!” เสียงสาวอุทานเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ “ไหนว่าได้พยาบาลที่เชียงใหม่ไง มาทำอะไรที่นี่น่ะ”
“มาเข้าค่ายในฐานะนิสิตคณะสหเวชศาสตร์ สาขากายภาพบำบัดน่ะสิจ๊ะ เซอร์ไพรส์ไหมเอ่ย” นิศารัตน์ฉีกยิ้มกว้าง
ช่วงก่อนมารายงานตัวเธอโทรไปหาวิชชุตาที่บ้านแต่หญิงสาวไม่อยู่ แม่ของเพื่อนเป็นคนรับสาย เธอเลยได้รู้ว่าวิชชุตาเข้าใจผิดว่าเธอสอบติดพยาบาลที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไม่ใช่สอบติดที่เดียวกัน
“ดีใจจังเลย” วิชชุตาเข้าไปจับไม้จับมือกับเพื่อนสาว
แสดงความยินดีกันพอหอมปากหอมคอเธอก็เข้าไปไหว้พ่อกับแม่เพื่อน
“หนูฟ้า พ่อฝากยัยนิด้วยนะลูกนะ ช่วยดูแลกันหน่อยอย่าปล่อยให้ไปซุ่มซ่ามหกล้มแว่นแตกล่ะ”
“พ่อก็…หนูไม่ซุ่มซ่ามอย่างนั้นหรอกน่า” นิศารัตน์หันกลับไปเถียงพ่อ
คนเป็นพ่อทำทีเป็นไม่สนใจแล้วแกล้งพูดแหย่ลูกสาวต่อ
“ยัยนิเกเรอะไรก็โทรมารายงานพ่อได้เลยนะ”
“เกเรอะไรคะพ่อ หนูเป็นเด็กดีออกจะตาย จริงไหมคะแม่” หญิงสาวโวยวายแล้วเข้าไปกอดแขนแม่ประจบ
วิชชุตามองครอบครัวนี้ด้วยรอยยิ้ม บ้านนี้มีอะไรน่ารักๆ ให้หัวเราะได้เสมอ
ความที่บ้านนี้เป็นครอบครัวนักธุรกิจอยู่กันไม่เคยติดบ้าน นิศารัตน์จึงต้องฉกฉวยเวลาอยู่กับพ่อแม่ด้วยการอ้อนแบบเต็มพิกัด พออยู่กับพ่อแม่แล้วเพื่อนสาวคนเก่งก็เลยดูเป็นเด็กไปในทันที ตอนอยู่กับแม่เธอคงเป็นแบบนี้กระมังนายไตรถึงได้ชอบล้อนัก
พอลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ก็เริ่มขึ้น วิชชุตาถูกจับแยกกลุ่มกับนิศารัตน์ทันทีแต่เธอไม่เหงาอย่างที่กลัวเลยสักนิด ในทางกลับกันเธอได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน เสียดายแต่ว่าเธอแทบไม่ได้คุยกับนิศารัตน์เลย จึงไม่รู้ว่าเพื่อนพักที่ไหน พอค่ายเลิกเธอก็พลัดกันเสียอีก โทรเข้ามือถือแม่ตัวดีก็ไม่ยอมรับสายเสียอย่างนั้น
หญิงสาวจึงแบกกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมายืนรอคนมารับหน้าอาคารกิจกรรมตามลำพัง แสงแดดภายนอกร้อนแสบผิวจนเธอต้องเอามือขึ้นบังหน้า
ด้านนอกมีผู้ปกครองมารอรับบุตรหลานมากมาย วิชชุตาเห็นรถยนต์จอดเรียงกันเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตาและที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ เกือบจะพ้นจากระยะสายตาก็คือรถที่บ้านของเธอนั่นเอง แต่กว่าจะฝ่าฝูงชนเดินมาถึงรถได้เหงื่อก็ไหลชุ่มไปทั้งตัว
อากาศที่นี่ร้อนผิดกับที่บ้านเธอลิบลับ สาวเหนือที่เคยชินกับอากาศหนาวอย่างวิชชุตา พอมาเจออากาศร้อนเข้าก็แย่ไปเหมือนกัน โชคดีเธอเป็นคนแข็งแรง ปรับตัวเขากับสภาพแวดล้อมได้รวดเร็วก็เลยไม่เป็นอะไรมาก ผิดกับบางคนที่ร่างกายอ่อนแอ เจออากาศร้อนหน่อยก็เป็นลมแล้ว
แม่กับไตรภพพาเธอขับรถไปที่หอพักแห่งหนึ่ง ตัวตึกเป็นสีขาวสะอาดตารูปแบบร่วมสมัยท่าทางน่าอยู่ทีเดียว หอพักนี้มีทั้งหมดสี่ชั้น ด้านบนเป็นดาดฟ้ากว้าง รอบๆ ดูเงียบสงบไม่พลุกพล่านเหมือนอย่างหอพักหน้ามหาวิทยาลัย ที่นี่เป็นหอพักรวมก็จริงแต่มีการแบ่งฝั่ง ทางด้านซ้ายจะเป็นห้องของผู้ชาย ส่วนด้านขวาเป็นห้องของผู้หญิง ห้องของวิชชุตาอยู่ชั้นสอง ใกล้กับบันไดทางขึ้น
หญิงสาวเดินขึ้นไปชั้นบนมองหาห้องหมายเลขสองศูนย์ศูนย์แล้วเคาะประตู นับแต่วันนี้ไปวิชชุตาจะต้องอยู่ที่นี่กับเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร แม่บอกมาแค่ว่าเป็นลูกสาวของคนรู้จักเท่านั้น
คนที่มาเปิดประตูคือหญิงสาวร่างสันทัดย้อมผมสีโค้กดัดเป็นลอนรับกับรูปหน้า เธอส่งยิ้มมาให้วิชชุตาอย่างมีอัธยาศัย
“ฟ้าใช่ไหม เค้าชื่อเร ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกันจ้ะ แล้วอีกคนล่ะ” วิชชุตากวาดตามองหา แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อหญิงสาวร่างระหงคนหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากตู้เสื้อผ้า
“เซอร์ไพรส์! ฮ่ะๆๆ” นิศารัตน์นั่นเองที่กระโดดออกมายืนยิ้มหวานหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง
“ยายนิ! เธออีกแล้วเหรอ” วิชชุตาถลึงตาใส่ “ร้ายนักนะแอบเก็บเงียบไม่ยอมบอกกันเลย”
ถึงจะโมโหอย่างไรสุดท้ายหญิงสาวก็อดยิ้มออกมาจนได้ มีเด็กมหาวิทยาลัยสักกี่คนกันเชียวที่เพี้ยนถึงขนาดเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าเพื่อจ๊ะเอ๋เพื่อน
“อยากให้แปลกใจเล่นนี่นา ถ้าบอกก่อนก็ไม่ตื่นเต้นสิ จริงไหมคะคุณน้า” นิศารัตน์หันไปยิ้มให้กับแม่เพื่อน
เธอเป็นคนไปขออนุญาตทิพย์อาภาให้วิชชุตามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ที่เจ้ากี้เจ้าการทำไปทั้งหมดนั้นก็เพราะรู้สึกว่าควรจะอยู่ใกล้ๆ กันไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ดวงชะตาของวิชชุตากำลังผันผวน หญิงสาวจะต้องพบเจอกับอันตรายอีกมาก นิศารัตน์จึงไม่อาจจะปล่อยให้เพื่อนต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพังได้
“แหม…ทั้งแม่ทั้งนายไตรปิดฟ้าได้ ใจร้ายกันจัง”
“ไม่ได้ถามนี่ใครเขาจะบอกล่ะ พูดให้มันดีๆ หน่อยยัยหนู คนใจร้ายที่ไหนจะยอมตื่นตั้งแต่เช้ามืดขับรถทางไกลเกือบสี่ร้อยกิโลฯ มาหากันฮึ” ไตรภพย้อน
ได้ฟังหญิงสาวก็ทำแก้มป่องตั้งท่าจะแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม ทิพย์อาภาจึงเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันเป็นเด็กๆ อีก
“รีบเช็กของดีกว่าลูก ขาดอะไรจะได้ไปซื้อ”
“ค่ะแม่” วิชชุตารับคำแล้วรีบจดรายการของที่ต้องการ
เธอเองก็เป็นห่วงไม่อยากให้มารดาต้องเดินทางตอนกลางคืน ซื้อของเสร็จเร็วแม่จะได้กลับบ้านไวขึ้น
เมื่อจัดการเรื่องของลูกสาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทิพย์อาภาก็นั่งรถกลับบ้านโดยมีไตรภพเป็นสารถีให้ หญิงสาวมองทิวทัศน์ข้างทางแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ความเป็นแม่ทำให้อดที่จะห่วงลูกไม่ได้ วิชชุตาเพิ่งสิบหกย่างสิบเจ็ดเท่านั้น อ่อนกว่าเพื่อนชั้นเดียวกันตั้งสองปี เธอจึงกลัวกว่าลูกจะปรับตัวเข้ากับระบบการเรียนของมหาวิทยาลัยไม่ได้เพราะอายุยังน้อย
“คุณทิพย์ไม่ต้องห่วงยัยฟ้าหรอกครับ คุณก็รู้ว่าฟ้าดูแลตัวเองได้ มีนิอยู่ด้วยทั้งคนยิ่งไม่ต้องห่วง” ชายหนุ่มพูดปลอบเพราะเข้าใจความกังวลของคนเป็นแม่ดี
“นั่นสินะคะมีเพื่อนดีอย่างหนูนิทั้งคน มีอะไรพวกแกคนจะช่วยเหลือกันได้”
แม้วิชชุตาจะไม่ได้เล่ารายละเอียดเรื่องการจมน้ำให้ฟังแต่เธอก็รู้ว่าลูกสาวรอดชีวิตจากมาได้เพราะนิศารัตน์ มันทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้างว่าอย่างน้อยลูกก็ยังมีคนที่ปรารถนาดีด้วยอยู่ใกล้ตัว
ช่วงเวลาประกาศผลสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมศึกษาใกล้เข้ามาทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือนักเรียนต่างก็รอคอยลุ้นผลการสอบอย่างใจจดใจจ่อ แม้แต่คนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างวิชชุตาก็ตื่นเต้นไปกับเขาด้วย เธออยากรู้ว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มจะสอบติดได้ไปเรียนกันที่ไหนบ้าง
เมื่อวันประกาศผลการสอบมาถึง ที่บ้านเสียงโทรศัพท์ดังสนั่นกริ๊งกร๊างทั้งวัน เพื่อนๆ โทรมารายงานผลการสอบกันใหญ่ หนึ่งในนั้นก็มีนิศารัตน์รวมอยู่ด้วย
“ฟ้า ฉันสอบติดล่ะ ไชโย! ได้คณะที่เลือกไว้อันดับหนึ่งด้วย กรี๊ดดดด!” ทนเครียดมานานสุดท้ายความพยายามของเธอก็ประสบผลสำเร็จ
“ดีใจด้วยนิ เห็นรึเปล่าล่ะบอกแล้วว่าเธอต้องทำได้”
วิชชุตายิ้มให้กับความสำเร็จของเพื่อน ตอนนี้ทุกคนในกลุ่มได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่อยากเรียนกันหมด สมกับที่ทุ่มเทอ่านหนังสือกันอย่างหนัก
“ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเลือกหรอกแต่ใส่ไปงั้นๆ เอง ผลออกมาปรากฏว่าได้ นี่รู้รึเปล่าร้องไห้เพราะดีใจไปรอบนึงแล้ว”
“ฮ่ะๆๆ ร้องเลยเหรอยัยเพี้ยน แล้วที่บ้านว่าไง”
“หัวเราะกันใหญ่น่ะสิ หาว่าเราประสาท”
“นิได้พยาบาลอย่างนี้ ฉันก็ได้ไปเรียนพิษณุโลกกับยัยโบว์สองคนน่ะสิ แหมใจร้ายกันจัง ไปอยู่เชียงใหม่กันหมดเลย”
เพื่อนๆ ในกลุ่มของเธอครึ่งหนึ่งเลือกที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เหลือกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
“หา…มอชอเหรอ เปล่านะฉันไม่ได้ อ๊ะ!…อาโทรเข้ามือถือ แค่นี้ก่อนนะฟ้าแล้วค่อยคุยกัน” นิศารัตน์วางโทรศัพท์บ้านแล้วเปลี่ยนไปรับโทรศัพท์มือถือแทน
ญาติทางฝ่ายพ่อหวังในตัวเธอไว้มากเนื่องจากเป็นหลานคนแรก ถึงคนในครอบครัวจะไม่บังคับว่าต้องเรียนต่อที่ไหน แต่เธอก็รู้ดีว่าทุกคนอยากให้เธอได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐบาล พอทำได้อย่างที่หวังจึงมีคนมาแสดงความยินดีด้วยมากมาย
หญิงสาวสาละวนโทรศัพท์ไปแจ้งผลกับญาติๆ ผลัดกับรับโทรศัพท์จนเกือบดึก เหลียวมองรอบตัวอีกทีคนในบ้านก็แยกย้ายกันไปนอนหมดแล้ว เธอจึงไล่ปิดไฟห้องชั้นล่างแล้วอาศัยความเคยชินคลำทางไปจนถึงห้องนอน
แสงไฟสลัวจากภายนอกทำให้มองเห็นว่ามีคนกำลังนอนอยู่บนเตียง นิศารัตน์จึงย่องเข้าไปห่มผ้าให้น้องสาวที่กำลังหลับอยู่
เธอกับน้องต่างก็มีห้องส่วนตัวแต่นรีกานต์เรียนอยู่โรงเรียนประจำ นานๆ จะได้เจอกันสักครั้ง มาค้างที่บ้านนี้ทีไรก็มักจะมาอ้อนขอนอนกับพี่สาวทุกที
นอกจากนรีกานต์ที่อ่อนกว่าห้าปีแล้วนิศารัตน์ยังมีน้องชายอีกคนชื่อนิติธร รายนี้กำลังจะขึ้นมัธยมปลาย ต้องเรียนพิเศษเตรียมความพร้อม ปิดเทอมจึงยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้มาบ้านคุณตาเหมือนทุกปี
ความยินดีทำให้นิศารัตน์ข่มตานอนไม่หลับ หญิงสาวจึงขึ้นไปที่ดาดฟ้าเพื่อดูดาว จากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้โดยรอบโดยที่ไม่มีอะไรมาบดบัง มันจึงเป็นมุมโปรดมุมหนึ่งของเธอ
คืนนี้จันทร์เสี้ยวเว้าแหว่งเป็นรูปรอยยิ้มเหมือนกำลังแสดงความยินดีด้วย นิศารัตน์จึงยิ้มกลับไปให้พระจันทร์ ใจนึกถึงคุณตาที่เสียชีวิตไปเมื่อสี่ปีก่อน หากท่านยังอยู่ท่านคงจะยินดีกับเธอไม่แพ้ใคร และอาจจะมานั่งอยู่ตรงนี้ มามองดูดาวด้วยกัน
ถึงคุณตาเธอจะทำธุรกิจแต่ท่านก็เชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนงไม่ว่าจะเป็นเรื่องโบราณคดี ดาราศาสตร์ หรือเรื่องการแพทย์แผนโบราณท่านก็มีความรู้ ตั้งแต่เล็กแล้วที่ท่านมักจะพานิศารัตน์มาตรงนี้แล้วเล่าตำนานต่างๆ เกี่ยวกับท้องฟ้าให้ฟัง เธอจำได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสาที่ยังเด็ก แต่มีคำพูดหนึ่งที่เธอจำได้ขึ้นใจ
‘นิรู้ไหมลูกว่าดวงดาวสามารถบอกอนาคตกับเราได้’
‘ยังไงคะ’ นิศารัตน์หันไปถามอย่างสนใจ
เธอสนใจพวกศาสตร์เร้นลับมาตั้งแต่เล็ก บางทีเธอก็คิดว่ามันพิลึกที่เด็กแปดเก้าขวบคนหนึ่งจะมานั่งอ่านหนังสือจำพวกศาสตร์เร้นลับแทนการออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ
‘คนเราเชื่อกันว่าแต่ละคนล้วนมีดวงดาวเป็นของตัวเอง เมื่อใดที่ดาวประจำตัวของคนๆ นั้นอ่อนแสง ย่อมหมายถึงเหตุร้าย และถ้าดวงดาวดับแสงไป นั่นก็หมายถึงความตาย’
‘หนูก็เคยอ่านมาเหมือนกันค่ะ แต่ว่ามันจะใช้ทำนายอนาคตได้ยังไงล่ะคะ’
‘เรื่องนี้ตาก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะตาไม่มีความสามารถอย่างนั้น แต่ตารู้จักคนๆ หนึ่งที่ทำนายชะตาจากดวงดาวได้’
‘ใครเหรอคะ ลุงฝรั่งเพื่อนคุณตาใช่รึเปล่า’ นิศารัตน์เดา
ฟังแล้วคุณตาก็หัวเราะร่วนก่อนจะตอบว่าใช่
‘ถ้าคุณลุงอดัมมาที่บ้านเราอีก นิให้สอนให้บ้างดีกว่า’
นายอดัมเป็นชาวอเมริกันวัยสี่สิบเศษ ผมทอง ตาสีฟ้า ไว้หนวดเครารกรุงรัง พูดภาษาไทยได้ดีพอใช้ เขาทำธุรกิจอยู่ในมาเลเซีย มาประเทศไทยทีไรก็จะแวะมาหาคุณตาทุกครั้ง แม่กับพ่อบอกว่าเขาเป็นคนพิลึกแต่นิศารัตน์กลับชอบเขามากเพราะเขาเป็นคนตลก มักมีของฝากแปลกๆ มาฝากเธอเสมอ ซ้ำยังสอนอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถหาเรียนได้จากโรงเรียนให้กับเธอด้วย พื้นฐานการทำนายไพ่ยิปซีเขาก็เป็นคนสอนให้กับเธอ
‘ฮ่ะๆๆ ตาว่าไม่จำเป็นให้ลุงอดัมสอนหรอก ถึงเวลานั้นหลานสาวของตาก็จะเก่งกว่าลุงอดัมเสียอีก ไม่สิ ต้องพูดว่าเก่งกว่าเทพพยากรณ์คนไหนๆ ถึงจะถูก’
เธอไม่เข้าใจที่ท่านพูดมาเลยสักนิด พอถามคุณตาว่าหมายความว่าอย่างไรท่านกลับเอาแต่ยิ้ม บอกแต่ว่าอีกหน่อยก็จะเข้าใจเอง นิศารัตน์จึงรอคอยให้วันนั้นมาถึง วันที่เธอจะเข้าใจทุกสิ่งอย่างที่คุณตาบอก
เวลาช่วงปิดเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก ยิ่งใกล้เวลาที่ต้องไปมหาวิทยาลัยมากเท่าไรวิชชุตาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้นเท่านั้น เธอนึกถึงเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันมา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากมาย ไปไหนก็ไปกันเป็นกลุ่ม วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังได้เจอกันที่เรียนพิเศษ พอนึกถึงว่าต่อไปจะไม่มีภาพเหล่านี้อีกแล้วก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้
ตอนเรียนมัธยมเธออยากจะรีบเรียนให้จบไวๆ จะได้เป็นนักศึกษากับเขาเสียที สุดท้ายพอเวลานั้นมาถึงเธอกลับอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจะจากสิ่งคุ้นเคยเหล่านี้ไป
เหนือสิ่งอื่นใดเธอกลัวที่จะต้องจากแม่ วิชชุตาไม่เคยห่างแม่มาก่อน อย่างมากก็ไปเข้าค่ายสองสามวันแล้วก็กลับมาหากัน เธอกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว กลัวสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
วิชชุตารู้สึกว่าตัวเองกำลังวิตกจริตจนน่ารำคาญ หญิงสาวพยายามสลัดความรู้สึกกลัวออกไปจากจิตใจ เอาความคิดที่ว่าคนเราต้องเติบโตและก้าวเดินต่อไปมาช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจ ทว่าถึงจะบอกกับตัวเองไปอย่างนั้นมันก็ยังอดเศร้าไม่ได้
“สำลี...ถ้าฉันไม่อยู่แกต้องดูแลตัวเองนะ อย่าซ่าให้มากรู้ไหม” หญิงสาวเอ่ยกับเจ้าแมวเหมียวสีขาวปลอดที่เข้ามาคลอเคลีย
เห็นขี้อ้อนอย่างนี้เจ้าสำลีน่ะร้ายใช้หยอก มันคงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อคุมแถวนี้ก็เลยเที่ยวไปกัดกับแมวบ้านอื่นเขาไปทั่ว ได้แผลมาก็บ่อย เธอไม่อยู่เสียคนใครจะทำแผลให้มัน
“ร้อนมากจนเพี้ยนเลยเหรอยัยฟ้า พูดคนเดียวอยู่ได้”
ไตรภพตรงเข้ามาทัก มือหิ้วถุงขนมโมจิมาด้วย เขาเพิ่งกลับจากนครสวรรค์ ผ่านร้านขายของจึงซื้อขนมมาฝากเจ้าของบ้าน เดินมาได้ครึ่งทางเห็นแม่หนูฟ้านั่งงึมงำบนแคร่ในสวนอยู่คนเดียวเลยเข้ามาหา
“เปล่าซักหน่อย พูดกับเจ้าสำลีต่างหาก” หญิงสาวตอบพลางถอนใจเฮือกใหญ่
“เป็นอะไรไป” ไตรภพหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีแปลกไป
“เปล่า”
“มีอะไรก็บอกมา หน้าตามันฟ้องออกอย่างนั้นว่าไม่สบายใจ”
เห็นกันมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกมีหรือเขาจะดูไม่ออกว่าเธอมีอะไรในใจ
“ฟังแล้วเหยียบไว้อย่าไปบอกแม่ล่ะ ก็แค่ไม่อยากไปมหา’ลัย กลัวแม่เหงาเท่านั้นเอง” หญิงสาวสารภาพไปตามตรง
ถึงปิดบังไปสุดท้ายนายไตรก็จะหาสารพัดลูกเล่นมาหลอกล่อให้เธอพูดออกมาอยู่ดี
“ฮ่ะๆๆ เด็กหนอเด็ก กลับมาบ้านบ่อยๆ ก็ได้นี่นา แม่เธอเขาไม่เหงาหรอกลูกสาวจอมวุ่นวายไม่อยู่สักคน สบายใจสบายหูขึ้นตั้งแยะ”
ชายหนุ่มพูดเจตนาไม่ให้อีกฝ่ายคิดมากแต่คำพูดกลับกลายเป็นคำพูดยั่วโมโหไปเสียนี่
“ใครวุ่นวายยะ” วิชชุตาหันมาแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม แล้วทั้งสองก็ปะทะคารมกันใหญ่
หญิงสาวมานึกได้ตอนวิ่งไล่ตีไตรภพนี่เองว่ายังมีอีกคนที่เธอจะต้องคิดถึง ก็เขาอย่างไรเล่า คนที่เป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนเล่น เธอคงจะเหงาน่าดูเวลาไม่มีเขามาคอยชวนให้ทะเลาะด้วย
เมื่อวันเดินทางมาถึงทิพย์อาภากับไตรภพก็ขับรถพาวิชชุตาไปส่งที่มหาวิทยาลัย แม่ให้เธอเช่าห้องพักข้างนอกแทนหอพักในมหาวิทยาลัย ท่านบอกว่ามันสะดวกสบายกว่า ทั้งที่ตั้งหอพักก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก เดินออกมาไม่เท่าไรก็ถึงตึกคณะแล้ว
หญิงสาวตามใจมารดาทุกอย่าง ท่านว่าอย่างไรเธอก็ว่าอย่างนั้น ดีเสียอีกให้ท่านหาหอพักให้ท่านจะได้สบายใจไม่ต้องห่วงว่าเธอจะอยู่กินอย่างไร
วิชชุตาจะต้องเข้าค่ายรับน้องของคณะสามวันสองคืนก่อนแล้วค่อยไปอยู่ที่หอพัก แม่กับนายไตรภพจึงช่วยกันขนของของเธอไปเก็บไว้ให้ที่หอพักก่อน พอเธอเข้าค่ายเสร็จทั้งสองคนก็จะมารับไปที่หอ ขาดเหลืออะไรจะได้พาไปเลือกซื้อมาไว้กันหลังจากนั้น
พอรถจอดที่หน้าสถานที่เข้าค่าย หญิงสาวก็สวมกอดมารดาแล้วก็หอมอีกฟอดใหญ่
“แม่นั่งรถกลับบ้านดีๆ นะคะ”
“ยัยลูกแหง่” ไตรภพว่าพลางส่งสายตาล้อเลียนมาให้
“ช่างฉันย่ะ นายขับรถดีๆ ล่ะ พาแม่ฉันไปส่งบ้านให้ปลอดภัยด้วย” หญิงสาวกำชับคนเช่าบ้าน แล้วคว้ากระเป๋ากระโดดลงจากรถไป
“ฟ้าไปนะคะแม่” หญิงสาวลงมายืนยิ้มโบกมือให้กับมารดา เธอไม่ยอมให้ท่านลงมาส่งเพราะกลัวว่าจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
หญิงสาวรอจนรถที่ขับมาแล่นไปไกลสุดสายตาแล้วจึงเดินเข้าไปในอาคารที่ใช้จัดกิจกรรม ตรงทางเข้ามีรุ่นพี่อยู่กลุ่มหนึ่งคอยมาถามชื่อน้องๆ เขียนใส่เทปกาวแล้วติดไว้ที่กระเป๋า
“ติดชื่อไว้ที่กระเป๋านะครับน้อง พวกพี่ๆ จะขนไปเก็บไว้ให้เอง น้องคนไหนที่มีของมีค่าแล้วกลัวหายก็ฝากไว้ที่พวกพี่ๆ ได้นะครับ ใครติดชื่อที่กระเป๋าแล้วก็ไปลงทะเบียนด้านในได้เลยนะ” เสียงตะโกนของชายหนุ่มร่างสูงดังแข่งกับเสียงอื้ออึงของผู้คน
ผู้ปกครองหลายคนมาส่งลูกหลานถึงที่ บางรายก็ยืนดูลูกอยู่ตรงนั้นรอให้ลูกเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ก่อนแล้วค่อยกลับ
วิชชุตาไปเข้าแถวรอให้รุ่นพี่เขียนชื่อติดกระเป๋าให้ ด้านหลังเธอมีครอบครัวหนึ่งพากันมาส่งลูกสาว วิชชุตาไม่ได้ใส่ใจนักแต่ก็ได้ยินการสนทนาดังผ่านเข้ามาในหู
“แม่ขา พ่อขา กอดหน่อย” เสียงลูกสาวดังขึ้น
พูดจบหญิงสาวคนนั้นเข้าไปกอดหอมพ่อกับแม่ต่อหน้าทุกคน สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่พบเห็น คนส่วนใหญ่มักจะอายที่จะแสดงความรักกับพ่อแม่ กลัวจะถูกว่าว่าไม่รู้จักโตบ้าง เป็นลูกแหง่บ้าง วิชชุตาคิดว่ามันไม่น่าอายสักหน่อย ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดีออก
หญิงสาวคนนั้นหันหลังให้วิชชุตาเธอเลยเห็นหน้าไม่ชัด พอเธอคนนั้นหันหน้ามาเท่านั้นแหละวิชชุตาก็ต้องอ้าปากค้าง
“ยายนิ!” เสียงสาวอุทานเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ “ไหนว่าได้พยาบาลที่เชียงใหม่ไง มาทำอะไรที่นี่น่ะ”
“มาเข้าค่ายในฐานะนิสิตคณะสหเวชศาสตร์ สาขากายภาพบำบัดน่ะสิจ๊ะ เซอร์ไพรส์ไหมเอ่ย” นิศารัตน์ฉีกยิ้มกว้าง
ช่วงก่อนมารายงานตัวเธอโทรไปหาวิชชุตาที่บ้านแต่หญิงสาวไม่อยู่ แม่ของเพื่อนเป็นคนรับสาย เธอเลยได้รู้ว่าวิชชุตาเข้าใจผิดว่าเธอสอบติดพยาบาลที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไม่ใช่สอบติดที่เดียวกัน
“ดีใจจังเลย” วิชชุตาเข้าไปจับไม้จับมือกับเพื่อนสาว
แสดงความยินดีกันพอหอมปากหอมคอเธอก็เข้าไปไหว้พ่อกับแม่เพื่อน
“หนูฟ้า พ่อฝากยัยนิด้วยนะลูกนะ ช่วยดูแลกันหน่อยอย่าปล่อยให้ไปซุ่มซ่ามหกล้มแว่นแตกล่ะ”
“พ่อก็…หนูไม่ซุ่มซ่ามอย่างนั้นหรอกน่า” นิศารัตน์หันกลับไปเถียงพ่อ
คนเป็นพ่อทำทีเป็นไม่สนใจแล้วแกล้งพูดแหย่ลูกสาวต่อ
“ยัยนิเกเรอะไรก็โทรมารายงานพ่อได้เลยนะ”
“เกเรอะไรคะพ่อ หนูเป็นเด็กดีออกจะตาย จริงไหมคะแม่” หญิงสาวโวยวายแล้วเข้าไปกอดแขนแม่ประจบ
วิชชุตามองครอบครัวนี้ด้วยรอยยิ้ม บ้านนี้มีอะไรน่ารักๆ ให้หัวเราะได้เสมอ
ความที่บ้านนี้เป็นครอบครัวนักธุรกิจอยู่กันไม่เคยติดบ้าน นิศารัตน์จึงต้องฉกฉวยเวลาอยู่กับพ่อแม่ด้วยการอ้อนแบบเต็มพิกัด พออยู่กับพ่อแม่แล้วเพื่อนสาวคนเก่งก็เลยดูเป็นเด็กไปในทันที ตอนอยู่กับแม่เธอคงเป็นแบบนี้กระมังนายไตรถึงได้ชอบล้อนัก
พอลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ก็เริ่มขึ้น วิชชุตาถูกจับแยกกลุ่มกับนิศารัตน์ทันทีแต่เธอไม่เหงาอย่างที่กลัวเลยสักนิด ในทางกลับกันเธอได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน เสียดายแต่ว่าเธอแทบไม่ได้คุยกับนิศารัตน์เลย จึงไม่รู้ว่าเพื่อนพักที่ไหน พอค่ายเลิกเธอก็พลัดกันเสียอีก โทรเข้ามือถือแม่ตัวดีก็ไม่ยอมรับสายเสียอย่างนั้น
หญิงสาวจึงแบกกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมายืนรอคนมารับหน้าอาคารกิจกรรมตามลำพัง แสงแดดภายนอกร้อนแสบผิวจนเธอต้องเอามือขึ้นบังหน้า
ด้านนอกมีผู้ปกครองมารอรับบุตรหลานมากมาย วิชชุตาเห็นรถยนต์จอดเรียงกันเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตาและที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ เกือบจะพ้นจากระยะสายตาก็คือรถที่บ้านของเธอนั่นเอง แต่กว่าจะฝ่าฝูงชนเดินมาถึงรถได้เหงื่อก็ไหลชุ่มไปทั้งตัว
อากาศที่นี่ร้อนผิดกับที่บ้านเธอลิบลับ สาวเหนือที่เคยชินกับอากาศหนาวอย่างวิชชุตา พอมาเจออากาศร้อนเข้าก็แย่ไปเหมือนกัน โชคดีเธอเป็นคนแข็งแรง ปรับตัวเขากับสภาพแวดล้อมได้รวดเร็วก็เลยไม่เป็นอะไรมาก ผิดกับบางคนที่ร่างกายอ่อนแอ เจออากาศร้อนหน่อยก็เป็นลมแล้ว
แม่กับไตรภพพาเธอขับรถไปที่หอพักแห่งหนึ่ง ตัวตึกเป็นสีขาวสะอาดตารูปแบบร่วมสมัยท่าทางน่าอยู่ทีเดียว หอพักนี้มีทั้งหมดสี่ชั้น ด้านบนเป็นดาดฟ้ากว้าง รอบๆ ดูเงียบสงบไม่พลุกพล่านเหมือนอย่างหอพักหน้ามหาวิทยาลัย ที่นี่เป็นหอพักรวมก็จริงแต่มีการแบ่งฝั่ง ทางด้านซ้ายจะเป็นห้องของผู้ชาย ส่วนด้านขวาเป็นห้องของผู้หญิง ห้องของวิชชุตาอยู่ชั้นสอง ใกล้กับบันไดทางขึ้น
หญิงสาวเดินขึ้นไปชั้นบนมองหาห้องหมายเลขสองศูนย์ศูนย์แล้วเคาะประตู นับแต่วันนี้ไปวิชชุตาจะต้องอยู่ที่นี่กับเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร แม่บอกมาแค่ว่าเป็นลูกสาวของคนรู้จักเท่านั้น
คนที่มาเปิดประตูคือหญิงสาวร่างสันทัดย้อมผมสีโค้กดัดเป็นลอนรับกับรูปหน้า เธอส่งยิ้มมาให้วิชชุตาอย่างมีอัธยาศัย
“ฟ้าใช่ไหม เค้าชื่อเร ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกันจ้ะ แล้วอีกคนล่ะ” วิชชุตากวาดตามองหา แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อหญิงสาวร่างระหงคนหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากตู้เสื้อผ้า
“เซอร์ไพรส์! ฮ่ะๆๆ” นิศารัตน์นั่นเองที่กระโดดออกมายืนยิ้มหวานหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง
“ยายนิ! เธออีกแล้วเหรอ” วิชชุตาถลึงตาใส่ “ร้ายนักนะแอบเก็บเงียบไม่ยอมบอกกันเลย”
ถึงจะโมโหอย่างไรสุดท้ายหญิงสาวก็อดยิ้มออกมาจนได้ มีเด็กมหาวิทยาลัยสักกี่คนกันเชียวที่เพี้ยนถึงขนาดเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าเพื่อจ๊ะเอ๋เพื่อน
“อยากให้แปลกใจเล่นนี่นา ถ้าบอกก่อนก็ไม่ตื่นเต้นสิ จริงไหมคะคุณน้า” นิศารัตน์หันไปยิ้มให้กับแม่เพื่อน
เธอเป็นคนไปขออนุญาตทิพย์อาภาให้วิชชุตามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ที่เจ้ากี้เจ้าการทำไปทั้งหมดนั้นก็เพราะรู้สึกว่าควรจะอยู่ใกล้ๆ กันไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ดวงชะตาของวิชชุตากำลังผันผวน หญิงสาวจะต้องพบเจอกับอันตรายอีกมาก นิศารัตน์จึงไม่อาจจะปล่อยให้เพื่อนต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพังได้
“แหม…ทั้งแม่ทั้งนายไตรปิดฟ้าได้ ใจร้ายกันจัง”
“ไม่ได้ถามนี่ใครเขาจะบอกล่ะ พูดให้มันดีๆ หน่อยยัยหนู คนใจร้ายที่ไหนจะยอมตื่นตั้งแต่เช้ามืดขับรถทางไกลเกือบสี่ร้อยกิโลฯ มาหากันฮึ” ไตรภพย้อน
ได้ฟังหญิงสาวก็ทำแก้มป่องตั้งท่าจะแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม ทิพย์อาภาจึงเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันเป็นเด็กๆ อีก
“รีบเช็กของดีกว่าลูก ขาดอะไรจะได้ไปซื้อ”
“ค่ะแม่” วิชชุตารับคำแล้วรีบจดรายการของที่ต้องการ
เธอเองก็เป็นห่วงไม่อยากให้มารดาต้องเดินทางตอนกลางคืน ซื้อของเสร็จเร็วแม่จะได้กลับบ้านไวขึ้น
เมื่อจัดการเรื่องของลูกสาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทิพย์อาภาก็นั่งรถกลับบ้านโดยมีไตรภพเป็นสารถีให้ หญิงสาวมองทิวทัศน์ข้างทางแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ความเป็นแม่ทำให้อดที่จะห่วงลูกไม่ได้ วิชชุตาเพิ่งสิบหกย่างสิบเจ็ดเท่านั้น อ่อนกว่าเพื่อนชั้นเดียวกันตั้งสองปี เธอจึงกลัวกว่าลูกจะปรับตัวเข้ากับระบบการเรียนของมหาวิทยาลัยไม่ได้เพราะอายุยังน้อย
“คุณทิพย์ไม่ต้องห่วงยัยฟ้าหรอกครับ คุณก็รู้ว่าฟ้าดูแลตัวเองได้ มีนิอยู่ด้วยทั้งคนยิ่งไม่ต้องห่วง” ชายหนุ่มพูดปลอบเพราะเข้าใจความกังวลของคนเป็นแม่ดี
“นั่นสินะคะมีเพื่อนดีอย่างหนูนิทั้งคน มีอะไรพวกแกคนจะช่วยเหลือกันได้”
แม้วิชชุตาจะไม่ได้เล่ารายละเอียดเรื่องการจมน้ำให้ฟังแต่เธอก็รู้ว่าลูกสาวรอดชีวิตจากมาได้เพราะนิศารัตน์ มันทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้างว่าอย่างน้อยลูกก็ยังมีคนที่ปรารถนาดีด้วยอยู่ใกล้ตัว
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2555, 00:07:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2555, 00:07:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 1709
<< ตอนที่ 1 พลังที่ซ่อนเร้น : บทที่ 6 สำแดงเดช | ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 2 ผลึกสะกดมาร >> |
Auuuu 16 ก.พ. 2555, 00:24:14 น.
นิคนเก่งมากแล้ว ^^
นิคนเก่งมากแล้ว ^^
หนอนฮับ 16 ก.พ. 2555, 00:36:18 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดด...หนอนตามอ่านที่เด็กดีหมดแว้วววว กรี๊ดดดดดด อยากอ่านต่อค่า ฮือๆๆ ปวดตา ตอนนี้ต้องไปก่อน มีสอบ และพรีเซ้นงาน 3 วันรวดดดดดดด ตายยยยยยย
กรี๊ดดดดดดดดดดด...หนอนตามอ่านที่เด็กดีหมดแว้วววว กรี๊ดดดดดด อยากอ่านต่อค่า ฮือๆๆ ปวดตา ตอนนี้ต้องไปก่อน มีสอบ และพรีเซ้นงาน 3 วันรวดดดดดดด ตายยยยยยย
นิชาภา 16 ก.พ. 2555, 11:47:37 น.
คุณ Auuuu สวัสดีตอนเที่ยงค่า ส่งจูบ
คุณ หนอนฮับ ขอให้สอบผ่านไปได้ด้วยดี การพรีเซนต์งานผ่านฉะลุยนะคะ ^O^
คุณ Auuuu สวัสดีตอนเที่ยงค่า ส่งจูบ
คุณ หนอนฮับ ขอให้สอบผ่านไปได้ด้วยดี การพรีเซนต์งานผ่านฉะลุยนะคะ ^O^
ร้อยวจี 16 ก.พ. 2555, 13:08:58 น.
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกและน่าสนใจทุกตอน เป็นเรื่องที่แปลกด้วย ในเด็กดีลบหรือยังค่ะ ถ้าลบแล้วก็ไม่เป็นไร ยังไงก็รบกวนมาอัพต่อหลายๆ ตอนนะคะ แบบว่าอยากอ่านค่ะ
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกและน่าสนใจทุกตอน เป็นเรื่องที่แปลกด้วย ในเด็กดีลบหรือยังค่ะ ถ้าลบแล้วก็ไม่เป็นไร ยังไงก็รบกวนมาอัพต่อหลายๆ ตอนนะคะ แบบว่าอยากอ่านค่ะ
Zephyr 16 ก.พ. 2555, 13:51:49 น.
สองสาวเป็นเฟรชชี่แล้วววววว
นิกะฟ้าได้อยู่ด้วยกันอีก หึหึ จิ้นต่อ แต่แหม มีเร มาเป็นก้างชิ้นบักเอ้กกกก เลยอ่า ฮ่าๆๆๆ
สองสาวเป็นเฟรชชี่แล้วววววว
นิกะฟ้าได้อยู่ด้วยกันอีก หึหึ จิ้นต่อ แต่แหม มีเร มาเป็นก้างชิ้นบักเอ้กกกก เลยอ่า ฮ่าๆๆๆ
เพลา 16 ก.พ. 2555, 15:13:16 น.
หนูนิ เนี่ยมีอาวุธเทพคู่กายด้วยช่ายป่าวเนี่ย ว่าแต่ที่อ่านมาใครกันคือพระเอกอ่ะ ที่เห็นก้อมีแต่นายไตรแต่ก้อไม่เห็นว่าพี่แกจะชอบใครซักคน
หนูนิ เนี่ยมีอาวุธเทพคู่กายด้วยช่ายป่าวเนี่ย ว่าแต่ที่อ่านมาใครกันคือพระเอกอ่ะ ที่เห็นก้อมีแต่นายไตรแต่ก้อไม่เห็นว่าพี่แกจะชอบใครซักคน
นิชาภา 16 ก.พ. 2555, 17:09:21 น.
คุณร้อยวจี ที่เด็กดียังไม่ได้ลบค่ะ เรื่องนี้ลงให้อ่านจนจบแน่นอน ที่เด็กดีนำหน้ากว่านี้ไปประมาณสองตอนค่ะ คือทางนั้นจะทยอยลงวันละนิด แต่ที่นี่จะลงโครมเดียวเลยเต็มบท กะว่าทันกันเมื่อไรก็ทยอยลงเหมือนเดิมค่ะ ^O^ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
คุณ Neferretti คอวายแบบนี้เดี๋ยวเรื่องหน้าต้องชอบแน่เลยค่ะ จัดเต็ม นางเอกจิ้นวายกระจาย กำลังเขียนอยู่ กลางมีนาจะเอามาให้อ่านนะคะ หุๆๆ
คุณเพลา อย่าสนใจสิ่งมีชีวิตเพศชายในเรื่องนี้ค่ะ ฮีเป็นแค่ตัวประกอบ 5555
คุณร้อยวจี ที่เด็กดียังไม่ได้ลบค่ะ เรื่องนี้ลงให้อ่านจนจบแน่นอน ที่เด็กดีนำหน้ากว่านี้ไปประมาณสองตอนค่ะ คือทางนั้นจะทยอยลงวันละนิด แต่ที่นี่จะลงโครมเดียวเลยเต็มบท กะว่าทันกันเมื่อไรก็ทยอยลงเหมือนเดิมค่ะ ^O^ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
คุณ Neferretti คอวายแบบนี้เดี๋ยวเรื่องหน้าต้องชอบแน่เลยค่ะ จัดเต็ม นางเอกจิ้นวายกระจาย กำลังเขียนอยู่ กลางมีนาจะเอามาให้อ่านนะคะ หุๆๆ
คุณเพลา อย่าสนใจสิ่งมีชีวิตเพศชายในเรื่องนี้ค่ะ ฮีเป็นแค่ตัวประกอบ 5555
Zephyr 16 ก.พ. 2555, 17:26:28 น.
อิอิ จริงๆก็ไม่ได้คอวายแบบนั้นมากนักค่ะ แต่แหมเรื่องนี้มันชวนให้จิ้นแบบนั้นนี่คะ รัวสีม่วงอ่อนๆ จนชักเข้มขึ้นๆ หึหึ เพราะตอนนี้ยังจับคู่ไม่ได้ซักคู่ ฮ่าๆๆ เราอ่านได้หมดนะ จะปกติ วาย ยู อะไรก็ได้ค่ะ อิอิ คุณนิชาภาเขียนให้จิ้นเองนี่นา อิอิ
อิอิ จริงๆก็ไม่ได้คอวายแบบนั้นมากนักค่ะ แต่แหมเรื่องนี้มันชวนให้จิ้นแบบนั้นนี่คะ รัวสีม่วงอ่อนๆ จนชักเข้มขึ้นๆ หึหึ เพราะตอนนี้ยังจับคู่ไม่ได้ซักคู่ ฮ่าๆๆ เราอ่านได้หมดนะ จะปกติ วาย ยู อะไรก็ได้ค่ะ อิอิ คุณนิชาภาเขียนให้จิ้นเองนี่นา อิอิ
นิชาภา 16 ก.พ. 2555, 17:38:21 น.
คุณ Neferretti สาบานได้ว่าตอนนี้เขียนไม่ได้จงใจให้ม่วงมันออกเลยค่ะ ไม่รู้ตัวจริงๆ นะ แสดงว่าความวายเราฝังลึก 5555 จริงๆ ไม่ใช่คอนิยายวายเหมือนกันค่ะ แต่มีเพื่อนที่คลั่งแนวนี้ เธอเสพบอยเลิฟมาตั้งแต่มอต้นเราเลยซึมซับ ไม่เคยซื้อมาอ่านเองนะคะ อ่านของเพื่อน ชอบแฟนตาซีมากกว่า เพิ่งมาตอนเรียนจบมีงานทำเนี่ยแหละค่ะ เริ่มสอยการ์ตูนวายมาอ่านแก้เบื่อ แต่ไม่อ่านนิยายวายนะคะ แสดงว่าเป็นสาววายอ่อนๆ สินะเรา คิกๆ
คุณ Neferretti สาบานได้ว่าตอนนี้เขียนไม่ได้จงใจให้ม่วงมันออกเลยค่ะ ไม่รู้ตัวจริงๆ นะ แสดงว่าความวายเราฝังลึก 5555 จริงๆ ไม่ใช่คอนิยายวายเหมือนกันค่ะ แต่มีเพื่อนที่คลั่งแนวนี้ เธอเสพบอยเลิฟมาตั้งแต่มอต้นเราเลยซึมซับ ไม่เคยซื้อมาอ่านเองนะคะ อ่านของเพื่อน ชอบแฟนตาซีมากกว่า เพิ่งมาตอนเรียนจบมีงานทำเนี่ยแหละค่ะ เริ่มสอยการ์ตูนวายมาอ่านแก้เบื่อ แต่ไม่อ่านนิยายวายนะคะ แสดงว่าเป็นสาววายอ่อนๆ สินะเรา คิกๆ
Zephyr 16 ก.พ. 2555, 17:47:54 น.
^^แหม ร้อนตัวป่ะคะ ฮ่าๆๆๆๆ ล้อเล่น
จริงๆตอนแรกเราไม่รู้จักแนวนี้หรอกนะ แต่อารมณ์ตอนเรียนมหาลัย มีช่วงนึง อ่านนิยายมากจนตันค่ะ มันเบื่อไปหมด ไม่ว่าแนวไหนๆ พาฝัน แฟนตาซี ตบจูบ ชีคไรเนี่ย เซ็งมาก เนือยมาก เพื่อนคนนึงเลยเอาการ์ตูนวายให้อ่าน อยากบอกว่าอ่านแล้วตกใจมากกกกก รูปมันแบบตอนแรกมองไม่ออก พอมองออกนี่แบบเลือดไหลโฮกเลย ฮ่าๆๆๆ ต่อมาเพื่อนก็เริ่มเอานิยายวายมาให้ค่ะ แต่อ่านแล้วเล่มเดียวจอดค่ะ เหอะๆๆ เราว่ามันดูแรงกว่าการ์ตูนนะคะ ไม่ได้ต่อต้านแนวนี้นะคะ อ่านได้เหมือนกัน ^^ ส่วนเรื่องนี้ เราแซวเล่นค่ะ ฮ่าๆๆ แต่สนุกนะคะ ชอบมาก อ่านในเวบเด็กดี ตอนแรกๆเราเรื่อยๆนะ พอมาตอนสองเริ่มมีวายุเทพนี่ติดมากมาย พอนิเริ่มมีบทมากขึ้นๆๆ นี่เปิดคอมเมื่อไร เข้ากฤตยามหาภูตก่อนเรื่องแรกเลย ไม่อ่านแล้วจะลงแดง ฮ่าๆๆๆ
^^แหม ร้อนตัวป่ะคะ ฮ่าๆๆๆๆ ล้อเล่น
จริงๆตอนแรกเราไม่รู้จักแนวนี้หรอกนะ แต่อารมณ์ตอนเรียนมหาลัย มีช่วงนึง อ่านนิยายมากจนตันค่ะ มันเบื่อไปหมด ไม่ว่าแนวไหนๆ พาฝัน แฟนตาซี ตบจูบ ชีคไรเนี่ย เซ็งมาก เนือยมาก เพื่อนคนนึงเลยเอาการ์ตูนวายให้อ่าน อยากบอกว่าอ่านแล้วตกใจมากกกกก รูปมันแบบตอนแรกมองไม่ออก พอมองออกนี่แบบเลือดไหลโฮกเลย ฮ่าๆๆๆ ต่อมาเพื่อนก็เริ่มเอานิยายวายมาให้ค่ะ แต่อ่านแล้วเล่มเดียวจอดค่ะ เหอะๆๆ เราว่ามันดูแรงกว่าการ์ตูนนะคะ ไม่ได้ต่อต้านแนวนี้นะคะ อ่านได้เหมือนกัน ^^ ส่วนเรื่องนี้ เราแซวเล่นค่ะ ฮ่าๆๆ แต่สนุกนะคะ ชอบมาก อ่านในเวบเด็กดี ตอนแรกๆเราเรื่อยๆนะ พอมาตอนสองเริ่มมีวายุเทพนี่ติดมากมาย พอนิเริ่มมีบทมากขึ้นๆๆ นี่เปิดคอมเมื่อไร เข้ากฤตยามหาภูตก่อนเรื่องแรกเลย ไม่อ่านแล้วจะลงแดง ฮ่าๆๆๆ
นิชาภา 16 ก.พ. 2555, 18:01:05 น.
คุณ Neferretti คนเขียนอวยนิแบบไม่ปิดบังค่ะ หุๆๆๆ จริงๆ เรื่องนี้ทิ้งช่วงเขียนนานมากค่ะ บทแรกจะเขียนตอนอายุ 17-18 มันก็เลยยังเขียนไม่ค่อยเก่ง แบบความสามารถในการสร้างพล็อตหรือดึงคนอ่านให้สนใจยังไม่มี ตอนที่สองเขียนตอน 19-20 เริ่มเขียนเป็น เลเวลอัพนิดหน่อย บทที่หลัง เขียนตอน 25 แต่สกิลยังเท่าเดิมเพราะไม่ได้เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนานมาก บางทีมีถอยหลังลงคลองด้วยค่ะ 5555 ดีใจที่ชอบนะคะ เป็นคนชอบเขียนแฟนตาซีมากๆ เลยแต่ว่าไม่ค่อยได้เขียน แบบตอนนี้แฟนตาซีขายไม่ได้น่ะค่ะ แล้วดัํ๊นไม่ทำงานประจำ มาเขียนนิยายหากินอย่างเดียว เลยต้องเขียนแนวรักๆ ขายไปก่อน พยายามหยอดกระปุกเก็บเงินอยู่ มีเงินแล้วจะได้ปั่นงานที่ชอบโดยไม่กลัวอดตาย หุๆ
คุณ Neferretti คนเขียนอวยนิแบบไม่ปิดบังค่ะ หุๆๆๆ จริงๆ เรื่องนี้ทิ้งช่วงเขียนนานมากค่ะ บทแรกจะเขียนตอนอายุ 17-18 มันก็เลยยังเขียนไม่ค่อยเก่ง แบบความสามารถในการสร้างพล็อตหรือดึงคนอ่านให้สนใจยังไม่มี ตอนที่สองเขียนตอน 19-20 เริ่มเขียนเป็น เลเวลอัพนิดหน่อย บทที่หลัง เขียนตอน 25 แต่สกิลยังเท่าเดิมเพราะไม่ได้เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนานมาก บางทีมีถอยหลังลงคลองด้วยค่ะ 5555 ดีใจที่ชอบนะคะ เป็นคนชอบเขียนแฟนตาซีมากๆ เลยแต่ว่าไม่ค่อยได้เขียน แบบตอนนี้แฟนตาซีขายไม่ได้น่ะค่ะ แล้วดัํ๊นไม่ทำงานประจำ มาเขียนนิยายหากินอย่างเดียว เลยต้องเขียนแนวรักๆ ขายไปก่อน พยายามหยอดกระปุกเก็บเงินอยู่ มีเงินแล้วจะได้ปั่นงานที่ชอบโดยไม่กลัวอดตาย หุๆ
เพลา 16 ก.พ. 2555, 21:07:27 น.
ชอบอ่านนิยายแนวแฟนตาซีค่ะ เหมือนมันมีอะไรแปลกๆให้ตื่นเต้นดี แรกๆก็อ่านพวกนิยายรักธรรมดาเล่มเล็กๆค่ะ(แอบอ่านของป้า) จนมาเจอเรื่อง สุดขอบจักรวาล ของคุณจุฑารัตน์ ในห้องสมุดโรงเรียน ชอบมากๆปลื้มสุดๆ แต่นิยายแนวนี้ส่วนใหญ่เล่มหนาราคาแพง หรือไม่ก็มีหลายภาคตามซื้อไม่ไหว อิอิ เรื่องล่าสุดที่อ่านก็ มยุรมนตรา ของคุณอรพิม ก็สนุกดี ส่วนแนววายนั้นได้แต่อ่านการ์ตูนชายกะชาย เพราะน้องเมทที่หอพักเค้าชอบซื้อมาอ่านแรกๆตกใจคิดในใจมันมีการ์ตูนแบบนี้ขายด้วยเหรอ พออ่านๆไปมันก็น่ารักดีนะ สรุปอ่านได้ทุกแนวแหล่ะ แล้วแต่ช่วงเวลา อย่างที่คุณ Neferretti ว่านั่นแหล่ะ
ชอบอ่านนิยายแนวแฟนตาซีค่ะ เหมือนมันมีอะไรแปลกๆให้ตื่นเต้นดี แรกๆก็อ่านพวกนิยายรักธรรมดาเล่มเล็กๆค่ะ(แอบอ่านของป้า) จนมาเจอเรื่อง สุดขอบจักรวาล ของคุณจุฑารัตน์ ในห้องสมุดโรงเรียน ชอบมากๆปลื้มสุดๆ แต่นิยายแนวนี้ส่วนใหญ่เล่มหนาราคาแพง หรือไม่ก็มีหลายภาคตามซื้อไม่ไหว อิอิ เรื่องล่าสุดที่อ่านก็ มยุรมนตรา ของคุณอรพิม ก็สนุกดี ส่วนแนววายนั้นได้แต่อ่านการ์ตูนชายกะชาย เพราะน้องเมทที่หอพักเค้าชอบซื้อมาอ่านแรกๆตกใจคิดในใจมันมีการ์ตูนแบบนี้ขายด้วยเหรอ พออ่านๆไปมันก็น่ารักดีนะ สรุปอ่านได้ทุกแนวแหล่ะ แล้วแต่ช่วงเวลา อย่างที่คุณ Neferretti ว่านั่นแหล่ะ
นิชาภา 16 ก.พ. 2555, 21:12:45 น.
คุณเพลา มากรี๊ดดดดดดดด สุดขอบจักรวาล ของคุณจุฑารัตน์ด้วยคนค่ะ มายไอดอลเลยเรื่องนี้ อ่านสมัยมัธยม เพ้อมาก คลั่งมาก ราเอลของชั้น รอวันให้มีมนุษย์ต่างดาวหล่อๆ ลงมาอุ้มเราไปในอวกาศกันเลยทีเดียว (อาการหนัก)ไม่ทราบว่าเคยอ่านมิติมหัศจรรย์ของคุณจุฑารัตน์ไหมคะ เป็นอีกเล่มที่เราชอบมากกกก เคยดูเป็นละครมาก่อน แบบ เบน พรชิตา เป็นนางเอกค่ะ ตอนนั้นประถมปลายๆ ได้มั้ง (ลืมแล้ว)แล้วค่อยมาอ่านตอนเป็นนิยายทีหลัง คลั่งพระอังคาร(พระรอง)มากถึงมากที่สุดค่ะ แอบเกลียดพระเอกสุดใจ ชูป้ายไฟเชียร์พระรอง ถ้ายังไม่เคยอ่านแนะนำมิติมหัศจจรย์นะคะ เป็นอีกเรื่องที่ได้ใจมากมาย คอเดียวกันนะคะพี่ กรี๊ดๆ
คุณเพลา มากรี๊ดดดดดดดด สุดขอบจักรวาล ของคุณจุฑารัตน์ด้วยคนค่ะ มายไอดอลเลยเรื่องนี้ อ่านสมัยมัธยม เพ้อมาก คลั่งมาก ราเอลของชั้น รอวันให้มีมนุษย์ต่างดาวหล่อๆ ลงมาอุ้มเราไปในอวกาศกันเลยทีเดียว (อาการหนัก)ไม่ทราบว่าเคยอ่านมิติมหัศจรรย์ของคุณจุฑารัตน์ไหมคะ เป็นอีกเล่มที่เราชอบมากกกก เคยดูเป็นละครมาก่อน แบบ เบน พรชิตา เป็นนางเอกค่ะ ตอนนั้นประถมปลายๆ ได้มั้ง (ลืมแล้ว)แล้วค่อยมาอ่านตอนเป็นนิยายทีหลัง คลั่งพระอังคาร(พระรอง)มากถึงมากที่สุดค่ะ แอบเกลียดพระเอกสุดใจ ชูป้ายไฟเชียร์พระรอง ถ้ายังไม่เคยอ่านแนะนำมิติมหัศจจรย์นะคะ เป็นอีกเรื่องที่ได้ใจมากมาย คอเดียวกันนะคะพี่ กรี๊ดๆ
เพลา 17 ก.พ. 2555, 09:05:26 น.
ทั้งเคยอ่านแล้วก็ดูละครด้วย กรี๊ดพระอังคารในนิยายเหมือนกันเลยค่ะ แต่ตอนดูที่เป็นละครอ่ะชอบพระเอกนั่นแหล่ะ เพราะหล่อกว่า อิอิ
ทั้งเคยอ่านแล้วก็ดูละครด้วย กรี๊ดพระอังคารในนิยายเหมือนกันเลยค่ะ แต่ตอนดูที่เป็นละครอ่ะชอบพระเอกนั่นแหล่ะ เพราะหล่อกว่า อิอิ
นิชาภา 17 ก.พ. 2555, 14:52:39 น.
คุณเพลา ตอนเป็นละคร พระเสาร์หล่อกว่าจริงๆ ค่ะ (ก็เขาพระเอกอ่ะเนอะ)แต่ยังไงก็เทใจให้พระอังคารค่า ชูป้ายไฟและกรี๊ดต่อไปอย่างมีความสุข หุๆๆ
คุณเพลา ตอนเป็นละคร พระเสาร์หล่อกว่าจริงๆ ค่ะ (ก็เขาพระเอกอ่ะเนอะ)แต่ยังไงก็เทใจให้พระอังคารค่า ชูป้ายไฟและกรี๊ดต่อไปอย่างมีความสุข หุๆๆ