พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 18. “ไม่กลัวเป็นข่าวกับมาลีบ้านป่าหรือคะ”

“คุณชัชมีอะไรหรือคะ”

“พี่ศรีวรรณเลิกงานกันกี่โมงครับ”

“เออ” ปลายสายอ้ำอึ้ง

“ปกติพี่เลิกงานห้าโมงไม่ใช่เหรอครับ ถ้าวันนี้พี่เลิกสักทุ่มหนึ่ง”

“ทำไมเหรอคะ”

“ผมจ่ายค่าโอทีให้พี่เองครับ แต่มาลีจะต้องเลิกห้าโมงเย็น ผมจะรับเธอไปหาอะไรทานแถวๆ เยาวราช เธออยากไปครับ ผมติดค้างไว้ ได้ไหมครับ” ด้วยพอรู้จุดอ่อนของพี่ศรีวรรณ ชัชชัยจึงกล้าเสนอเรื่องเงินเข้าไป

“ผมไม่รู้นะว่าพี่ศรีวรรณคิดอะไรอยู่ แต่ผมอยากบอกให้พี่รู้ไว้ว่า ผมจริงใจกับเด็กคนนี้ ช่วยผมด้วย แล้วห้าโมงเย็นผมจะไปรอรับมาลีที่ชั้นหนึ่งของตึกได้ ใช่ไหมครับ”

ศรีวรรณพูดคำว่า ‘ค่ะ’ คำเดียว แล้วสัญญาณก็ตัดไป เมื่อถึงเวลาชัชชัยรีบขับรถออกจากสำนักงานของเลดี้วีค

วันนี้เขาได้คุยกับคุณแม่ ถึงเรื่องต้นฉบับที่ส่งมาจากนักอ่านที่ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนมือสมัครเล่น งานชิ้นนั้นนอนอยู่ก้นกล่อง เมื่อลูกชายอยากรู้ งานนี้ต้องมีรื้อค้น

‘เป็นวิมานอยู่บนดิน’ ท่อนหนึ่งของ ‘เพลงวิมานดิน’ แต่แฝงไปด้วยความหมาย ของนักเขียนวัยแรกแย้ม นามปากกาตามชื่อจริงว่า ‘กุลกัญญา’

เมื่อเขาเปิดอ่านหน้าได้เพียงสามสี่หน้า ก็ถึงกับเสียน้ำตาให้กับอารมณ์สะเทือนใจกับเรื่องที่เธอเล่าถึงพ่อกับแม่และพี่ชายของตัวเอง เขาไม่รู้หรอกว่า กุลกัญญาเขียนเรื่องนี้จากเรื่องจริงของตัวเองหรือจากจินตนาการ แต่สำนวนที่วกไปวนมาจนแม่ของเขาเรียกว่าข้อบกพร่องนั้น หาได้ไร้สาระอย่างวัยของคนเขียน

เขาขอต้นฉบับจากแม่เอามาอ่าน แม่ถามเขาว่า เพื่ออะไร สายตาของแม่คงคิดว่าเขาทำเพื่อนักเขียนหน้าใหม่คนนี้ แต่จริงๆ แล้วเขาช่วยกุลกัญญาก็เพราะมาลี ในวันนั้นตอนที่สบตากัน เขาเห็นถึงสายตาที่ชื่นชมเขาจากตาคู่นั้น แต่มาลีไม่กล้าที่จะคิด คงเป็นเพราะความสัมพันธ์อันคลุมเครือของเขากับนันทา และนันทาเองก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับมาลี

แต่ไม่เป็นไร ปล่อยไว้อย่างนี้ก็ดี ค่อยๆ สร้างคะแนนหัวใจกันไป อีกหลายปีกว่ามาลีจะโตเป็นผู้ใหญ่ เขาเองก็เพิ่งจะยี่สิบสี่เท่านั้น แถมยังมีโครงการไปเรียนต่อในต่างประเทศอีกด้วย

อนาคตช่างมัน ในวันนี้เขาขอทำตามเสียงของหัวใจก่อน


เมื่อได้เวลา รถเก๋งคันกะทัดรัดสำหรับใช้ในเมืองก็มาจอดใกล้กับทางออกของพนักงานบริษัทคลีนเนอร์ พนักงานบางคนแต่งตัวออกจากที่ทำงานทั้งชุดฟอร์ม แต่บางคนก็หอบหิ้วชุดนี้กลับและเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวท เพื่อกันสายตาดูถูกของคนอื่น

ชัชชัยกำลังประเมินดูว่ามาลีจะออกมาด้วยชุดแบบไหน

แล้วเขาก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นมาลีเดินออกประตูมาหาทั้งชุดสีเหลืองโดยที่ไม่ได้สวมหมวกเก็บผม พี่ศรีวรรณบอกมาลีหรือเปล่าว่าเขาจะมารับไปทานอาหารเย็น

“มาลี”

เขาลงจากรถไปตะโกนเรียก มาลีหันซ้ายหันขวาหาต้นเสียงจนผมที่เป็นประกายเงางามยาวละต้นคอพลิ้วไหว เขาโบกมือให้ มาลีทำหน้าตายเดินเข้ามาหา

“มีอะไรคะ”

“พี่ศรีวรรณบอกเธอหรือเปล่า”

มาลีทำท่าครุ่นคิด พี่ศรีวรรณแจ้งรายละเอียด ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจสวมชุดนี้เพื่อเดินทางไปกับเขา อยากรู้เหมือนกันว่าเขานั้นรังเกียจความต่ำต้อยทางชนชั้นกรรมาชีพนี้ไหม

“บอก”

“แล้วทำไมถึงไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า ปกติพี่ศรีวรรณเขาก็ไม่ได้ใส่ชุดนี้กลับบ้านนี่”

“อาย” มาลีถามตรงๆ ชัชชัยครุ่นคิด

“ไม่อาย อายทำไม ไปขึ้นรถ”

มาลียิ้มที่มุมปาก แล้วเดินไปอีกฝั่งประตูของรถคันใหม่ที่เจ้าตัวเพิ่งเอามาอวด

“เปลี่ยนรถเป็นว่าเล่นเลยเนอะ ได้ข่าวว่าเป็นลูกเศรษฐี”

“อือ ลูกเศรษฐี” ชัชชัยยอมรับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ไม่กลัวเป็นข่าวกับมาลีบ้านป่าหรือคะ”

“อยากให้เป็นข่าวด้วยซิถึงได้ชวนมา” แล้วชัชชัยก็เลี้ยวรถไปยังถนนที่มุ่งสู่เยาวราช

“วันนี้เลี้ยงฉลองงานใหม่ให้นะ ไม่ได้เลี้ยงแบบไม่มีเหตุผล”

มาลีมองหน้าเขา เขาหันมามองมาลี มาลีเสสายตามองออกไปนอกถนน มองผู้คนที่ยืนรอรถเมล์ท่ามกลางฝุ่นควัน อันที่จริงเย็นนี้เธอรู้สึกเพลียเป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะต้องตื่นแต่ตีสี่ เพราะกังวลจนนอนระแวง ผสมกับงานที่แม้ไม่หนักอยู่ในห้องแอร์แต่ก็ต้องเคลื่อนไหวทั้งวัน มาลีถอนหายใจออกมา มันไม่ได้แค่งานอย่างเดียวหรอก เป็นเพราะคุณกลยุทธด้วย วันนี้ทั้งวันเขาไม่เคยร้องทักเธอเลย

“ปิดโทรศัพท์ทำไม เขาห้ามใช้เหรอ” ชัชชัยถามขึ้นมาลีได้สติ รีบดึงมันออกจากกระเป๋าเป้ คงเป็นตอนที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นเอง มาลีกดปุ่ม สัญญาณเชื่อมกับระบบ แล้วก็มีข้อความแจ้งเบอร์ที่ไม่ได้รับสาย มีของนันทา นายชัชชัย กุลกัญญา ไอ้นิว ไม่มีของคุณกลยุทธ

ใช่ซิ คุณรมณีย์กับเธอ คนละสถานะกัน แล้วเขาจะเข้ามาในชีวิตเธอทำไม

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษ”

“หูฉลาม”

มาลีพูดไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงเธอแค่อยากเห็นว่าย่านนี้มันเป็นอย่างไร คำว่า ‘ไชน่าทาวน์’ ถึงได้มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก

“มาทำงาน ทำไมไม่แจ้งให้นันทาได้รู้ไว้” เขาพูดคล้ายตำหนิ

มาลีนิ่งฟังด้วยอารมณ์ที่เริ่มเดือดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก็นันทาเคยถามเธอไหมว่าเป็นอย่างไรบ้าง กลับมาบ้านก็ดึกดื่น ถ้าจะคุยกันก็โทรมาสั่งงาน ใช้ถ้อยคำหวานๆ ให้เธอทำงานให้ แล้วอีตานี่ก็เหมือนเข้าข้างนันทาเสียอีก

“แล้วคุณพาฉันมานี่ พี่นันทารู้ไหม” มาลีตัดสินใจจี้จุดทันที

“ก็ขออนุญาตแล้ว”

“หมายความว่าไง” มาลีหันขวับไปหา

“เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรือมาลี ตอนที่ผมไปอุ้มผางคุณก็ดีกับผม พาผมไปนั่นไปนี่ คุณมาอยู่ที่นี่ผมก็อยากพาคุณเที่ยวบ้าง ดูแลคุณบ้าง ก็เท่านั้น”

ชัชชัยกันตัวเองออกมา บางทีเขาอาจจะรุกเร้ามาลีเกินไปก็ได้ แล้วอีกอย่างจากคำพูดพี่ศรีวรรณนั้น คือเขาก็ยังไม่ได้เคลียเรื่องของนันทาให้กระจ่าง


เมื่อรถถึงจุดจอดรถที่อาคารพิชัยญาติ ชัชชัยก็ลงจากรถ แล้วบิดขี้เกียจเหมือนเคย มาลีปรายตามอง อีตานี่มันเป็นอย่างไรนะ ขับรถแล้วเมื่อยขบอย่างนั้นหรือ

“อยากหาคนช่วยขับรถไปต่างจังหวัด บางทีขับไกลๆ ก็ง่วงนอน มีคนเปลี่ยนบ้างคงดี”
เขาพูดขึ้นมาลอยๆ มาลีทำไม่รู้ไม่ชี้

“ไปทางไหนล่ะ” มาลีหันซ้ายหันขวา

“ตามมา” เขาเดินมาทางท้ายรถ มาลีรีบสาวเท้าตามไป

“คุณเองนั่นแหละที่จะต้องอายที่ใส่ชุดนี้มา”

“ไม่อายหรอก ไม่ได้ขอใครกินนี่” พูดพลางปรายตามองหน้าอย่างอยากเอาชนะ
ชัชชัยดึงมือมาลีให้หลบผู้คนที่เดินกันขวักไขว่บนฟุตบาทของถนนเยาวราช ของกินบนหาบเร่แผงลอยและในห้องตึกแถวนั้นละลานตา มาลีสังเกตไปทั่วว่าที่นี่มีสินค้าประเภทไหนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเธอเองไม่รู้แน่ว่าแต่ละอย่างนั้นเรียกว่าอะไร

“ทำไมอยากมาที่นี่” ชัชชัยถามอีกครั้ง

“อยากไปทุกที่แหละ”

มาลีพูดเอาประโยชน์ตัวเองอีกครั้ง ครั้งหน้า จะให้เขาพาเธอไปไหนนะ บางลำพู โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ บ้านหม้อ พาหุรัด ปากคลองตลาด สยามสแควร์ เธอจะต้องไปให้หมดทุกที่ เพราะถ้าต่อไปใครพูดถึงอะไรในกรุงเทพฯ เธอจะต้องรู้ให้ได้เหมือนที่เธอรู้ทุกอย่างในอุ้มผาง

“ต้องค่อยๆ เก็บไป เพราะคุณต้องทำงานด้วย ถ้าไม่ได้ทำ หรือทำกับผมก็ว่าไปอย่าง จะพาเที่ยวทุกวันเลย” เขาพูดเอาประโยชน์ตัว

จนกระทั่งถึงร้านหูฉลามบิ๊กอัพเฮียเส็ง เมื่อเห็นราคามาลีถึงกับมองหน้าเขา

“ไม่ต้องก็ได้นะ หาก๋วยเตี๋ยวอะไรที่มันประหยัดๆ ก็ได้”

ชัชชัยยิ้มให้ นึกอยากจะดึงมาลีมาจูบหน้าผากเสียจริง

“เอางั้นหรือ” เขาถามย้ำ

“ไม่ได้อยากกินหรอก เห็นเขารณรงค์กันด้วยไม่ใช่หรือ ปลามันหายาก”

“ก็น่าจะลองชิมสักหน่อยนะจะได้รู้ไว้รสชาติเป็นไง เอาเป็นว่า เต็มใจเลี้ยง ส่วนเงินเดือนคุณออกเมื่อไหร่ ค่อยพาผมไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวตอบแทนแล้วกัน ดีไหม สบายใจทุกฝ่าย”

มาลีทำท่าครุ่นคิด แล้วก็พยักหน้า


เขาและเธอใช้เวลานั่งทานหูฉลามและเดินชิมขนมร้านนั้นร้านนี้ไปประมาณสองชั่วโมง มาลีดึงข้อมือของเขามาดูนาฬิกาแล้วทำสีหน้าไม่ค่อยดี

“พี่นันทาด่าฉันแน่ๆ เลย”

“ขออนุญาตแล้ว” ชัชชัยพูดเพื่อให้คลายกังวล

“ถามจริงๆ เถอะคุณกับพี่สาวฉัน”

“เราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนเท่านั้น แค่เพื่อนเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ไม่คิดอะไร” ชัชชัยร้องเป็นเพลงเบาๆ
มาลีทำหน้าครุ่นคิด เพราะถ้าเขาสองคนมีอะไรกันมากกว่านั้นก็ไม่น่าอดทนอยู่ได้ตั้งหลายวัน หรือว่าเกรงใจเธอ

“ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมจะพาไปดูดอกไม้ที่ปากคลองตลาดแล้วก็เดินเล่นแถวสะพานพุทธ มันเป็นตลาดขายของกลางคืน มีเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้า วัยรุ่นเดินเล่นกันเยอะ”

“ดึกนะ”

“เดี๋ยวจะไม่อยู่”

ชัชชัยบอกตามตรง

“ไปไหน”

มาลีรู้สึกว่าตนเองนั้นอยากไปกับเขา แต่เธอไปกับเขาไม่ได้ ถ้าเธอเป็นผู้ชายก็คงไม่มีปัญหา

“ชุมพร หาเก็บข้อมูลเหมือนเดิม หลายวันหน่อย เพราะลงทีเดียว เอามาลงได้สามฉบับต่อเนื่องกัน”

“งานคุณดีเนอะ ทำๆ หยุดๆ ได้ งานฉันซิ” พูดแล้วมาลีก็ถอนหายใจออกมา

“เลือกเองนี่ไม่ปรึกษาผมก่อน” ชัชชัยว่าให้ “หรือจะลาออก แล้วหางานใหม่”

“อยากลองทำสักเดือน”

แท้จริงแล้วมาลีนึกถึงกลุ่มลูกทัวร์ชุดสุดท้ายของเธอมากกว่า จะว่าไปในความบังเอิญมันจะต้องมีอะไรอยู่ในนั้น หากเธอรีบจากไปก็เท่ากับฝืนลิขิตจากสวรรค์ เธอต้องอยู่ อยู่เพื่อดูว่า นายกลยุทธพี่ชายของกุลกัญญานั้นจะเป็นคนอย่างไรแน่

หากเขายังขายขนมจีบ ทั้งที่เธอเดินมาจนถึงจุดที่ได้เห็นหน้าผู้หญิงของเขาที่คนอื่นๆ พูดถึงแล้ว ก็แสดงว่า

เขาเลือกเธอแทนคนเป็นใหญ่ในชั้นที่ 21

หรือเขาต้องการจับปลาสองมือ

มาลีก้มมองสภาพตัวเอง

“อายไหมที่มากับฉัน”

มาลีถามชัชชัยขณะที่เดินกลับมาถึงรถยนต์คันหรูหราของเขา ชัชชัยมองมาลีตั้งแต่หัวจรดเท้า

“คุณอายไหมล่ะที่มากับคนอย่างผม”

มาลีมองสภาพของเขาที่มีซาลาเปาอยู่บนหัว แถมดูเหมือนเขาจะจงใจปล่อยให้หนวดที่เหนือริมฝีปากและปลายคางขึ้นหร็อมแหร็มดูมอมแมม เสื้อผ้านั้นก็ใช้สีเอิร์ทโทนดูขมุกขมัว

“ถ้าไม่ได้นั่งรถคันนี้มาก็คงดูไม่ได้ทั้งคู่” พูดแล้วมาลีก็หัวเราะ

“เอากุหลาบสักมัดไหม”

“เอาไปทำไม” มาลีถาม

“เอาไปปักแจกันแต่งบ้านไง มุมนั้นมุมนี้ บ้านจะได้สดชื่น”

ชัชชัยร้องถาม ขณะที่พามาลีเดินดูดอกไม้หลากสีหลากชนิดที่ละลานตาบนทางเท้า

“อย่าเลย ชีวิตฉันไม่ได้ต้องการบรรยากาศขนาดนั้นหรอก แค่ไม่มีฝุ่นเกาะบ้านก็ดีแล้ว”

ชัชชัยพามาลีเดินทางต่อไปยังจุดขายของใต้สะพานพุทธ มาลีเดินมองๆ สินค้าแล้วก็ผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจไยดี หรือมีอาการอยากได้เหมือนเด็กสาวคนอื่นๆ

“ไม่ซื้ออะไรสักหน่อยหรือ”

“ไม่หรอก”

“ซื้อให้เอาไหม”

“ไม่เอา ของเก่ายังมีใส่ แล้วอีกอย่าง คุณเป็นอะไรกับฉันถึงต้องมาซื้อนั่นซื้อนี่ให้ มันคงไม่ดี จริงๆ ฉันก็ไม่อยากได้ด้วย ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องหอบผ้ากลับไปอยู่บ้านเมื่อไหร่ ไม่รู้จะทนกับที่นี่ได้นานแค่ไหน”

“อ้าว ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ อาการคุณดีขึ้นแล้วนะ ดูสดชื่นขึ้นนะ”

“อารมณ์เหงาและเบื่อมันเข้ามาแค่แวบเดียวแหละ แล้วมันก็หดหู่ เมื่อเช้าฉันนั่งรถเมล์มาแต่มืด แล้วคนก็ทยอยขึ้นกันมาเรื่อยๆ จนเต็มคัน ฉันคิดว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันหนอ มีใครอยากกลับบ้านเหมือนฉันบ้างไหม บ้านเขาอยู่ที่ไหนกัน ทำไมเขาไม่มีเงินซื้อรถ ทำไมเขาไม่ขึ้นรถไฟฟ้าที่มันสบายกว่า แล้วฉันก็รู้คำตอบว่า เงิน และวิธีการบริหารเงินที่หามาได้ ฉันได้ค่าแรงวันละ 250 บาท ค่ารถเมื่อเช้ายี่สิบกว่าบาท ค่าข้าวเช้า กลางวัน เย็น ค่ารถกลับบ้าน ค่าวินมอเตอร์ไซค์ แทบไม่เหลือเลย ฉันรู้สึกว่าชีวิตทำงานไม่คุ้มเหนื่อย เหนื่อยมากๆ”

“แต่บางคนเขาก็ไม่ได้เงินแค่ 250 บาทต่อวันนะมาลี” ชัชชัยพยายามปรับความรู้สึก

“ไม่รู้ซิ ฉันรู้แต่ว่าวันนี้ฉันมีปัญญาทำได้แค่นี้ แล้วอีกเมื่อไหร่ฉันจะมีเงินได้เท่ากับพวกที่นั่งในออฟฟิศล่ะ ในเมื่อฉันมีคุณสมบัติแค่มอหก คอมฯ ฉันก็เล่นไม่เก่ง ภาษาก็ไม่ได้เรื่อง แล้วที่เขานั่งทำกันอีกฉันไม่รู้เลยว่าเขาต้องเรียนจบอะไรกันมา”

“ก็คุณยังไม่ได้เรียนรู้ไง ถ้าได้เรียนรู้ สติปัญญาของคุณไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลยนะมาลี สำคัญแต่ว่า สภาพแวดล้อมต่างหากที่ทำให้คิดไปเสียอีกทาง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ใจเย็นๆ เดี๋ยวคุณก็ปรับความรู้สึกได้ เมื่อนั้นคุณก็จะเป็นคนเมืองเต็มตัว”

“ทำงานหาเงินใช้เงินให้หมดไปเดือนๆ งั้นหรือ”

“เอาเป็นว่า หากมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ หรือขาดเหลืออะไรบอกผมนะ ผมจะยืนอยู่ข้างคุณเสมอ”

“ข้างฉันเสมอ” มาลีทวนคำเขาเบาๆ


เมื่อชัชชัยขับรถวนวัดพระเชตุพนฯ และพระบรมมหาราชวังรวมถึงบริเวณสนามหลวง เพื่อให้เห็นมาลีได้เห็นบรรยากาศอันแตกต่างระหว่างกลางวันกับกลางคืน แล้วเขาก็พามาลีที่นั่งหาว ตาปรือมุ่งสู่ถนนลาดพร้าว
ขณะที่รถแล่นถึงประตูน้ำ เสียงโทรศัพท์ของมาลีก็ดังขึ้น มาลีพลิกดูว่าใครเป็นคนโทรมา หญิงสาวปรายตามองคนขับ เธอจะรับสาย ‘เขา’ ต่อหน้า ‘เขา’ ดีไหมหนา แต่เมื่อสัญญาณยังดังอยู่อย่างนั้น คนขับจึงปรายตามามอง

มาลีจึงตัดสินใจกดรับ

“ค่ะ มาลีพูดค่ะ มีอะไรหรือคะ”

“ถึงบ้านหรือยัง” ปลายสายถามเสียงสุภาพนุ่มทุ้มเหมือนเคย

“ยังเลย ยังอยู่บนรถ” มาลีเลี่ยงที่จะใช้คำว่ารถของใคร หรือรถอะไร

“ทำไมดึกจังเลย ไม่ได้กลับพร้อมกับพี่ศรีวรรณเหรอ”

“เปล่า” มาลีตั้งใจพูดให้สั้นแล้วเงียบเพื่อจะฟังว่าเขาจะพูดอะไรกับตนเอง

“วันนี้ผมขอโทษนะ”

มาลีนิ่งฟัง

“เรื่องที่ผมไม่ได้ทักคุณ ผม ผม”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ ฉันรู้ว่าคุณเป็นใครและฉันเป็นใคร”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา น้ำตาลพานจะไหลเสียให้ได้ ความน้อยเนื้อต่ำใจมันแล่นขึ้นมาเอง เธอกำลังถูกผู้ชายเจ้าชู้หลอกลวง มาลีมั่นใจเช่นนั้น

“แค่นี้นะคะ ฉันอยู่บนรถไม่สะดวกคุย” พูดจบมาลีก็กดปิดสาย
ชัชชัยนิ่งมองถนน เขาพยายามจับน้ำเสียง ประโยคนั้นของมาลีมันมีความน้อยใจในน้ำเสียง มาลีคบหาอยู่กับใครหรือ


เมื่อรถจอดหน้าบ้าน มาลียกมือพนมขอบคุณ ชัชชัยยิ้มให้แล้วรีบถอยรถออกไป มาลีใจเต้นแรงเมื่อเห็นเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วเมื่อเปิดประตูเข้าไป มาลีก็ได้เห็นว่าพี่สาวของเธอกำลังปั้นหน้าเพื่อให้เธอกริ่งเกรง

“คุยกันหน่อย”

นันทาซึ่งอยู่ในชุดนอนแล้วพอกครีมสีขาวที่ใบหน้า นั่งกอดอกอยู่บนโซฟาร้องบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“มีอะไรหรือคะ”

มาลีทรุดลงนั่งขัดตะหมาดที่พื้น ปรายตามองนันทาแล้วก็ก้มมองดูพื้น

“เธอมากรุงเทพฯ เพื่อทำอะไร”

“เรียนหนังสือ”

“ใช่ตอนนี้เรียนหนังสือ แล้วโรงเรียนยังไม่เปิด ฉันก็ให้เธอช่วยทำงานบ้านแลกค่าที่อยู่กันไปจะได้ไม่ต้องมาติดหนี้บุญคุณกัน แต่เธอก็ไม่เต็มใจทำ ออกไปทำงานนอกก็ไม่บอกฉันสักคำ”

“ก็จะบอกแล้ว”

“ฉันรู้แล้วว่าเธอไปทำงานอะไร แต่วันแรกนี่กลับจนเวลานี้ แล้วมีผู้ชายมาส่งเสียด้วย เร็วไปไหม”

“ก็” มาลีรู้ว่าข้อนี้ตัวเองผิดเต็มประตู

“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่า เขาคือแฟนฉัน เธอจงใจที่จะแย่งเขาไปจากฉันอย่างนั้นหรือ”
มาลีหน้าซีด ใจสั่นหวิว เป็นครั้งแรกที่เธอรู้ตัวเองดีว่า ทำผิดพลาดเป็นอย่างมาก

“ชัชชัยเขาชอบเธอ แต่นึกถึงหน้าฉันบ้าง เมื่อก่อนเขาเคยเป็นแฟนฉัน แล้วจู่ๆ เขาไขว้ไปหาเธอ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“มาลีก็ไม่ได้คิดอะไรกับเขานี่คะ”

“จริงรึ”

“จริง” มาลีพูดเสียงดังฟังชัด “ที่มาลีกล้าไปไหนมาไหนกับเขา เพราะคิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ไว้วางใจได้คนหนึ่งเท่านั้น”

“ขอให้จบแค่นั้นจริงๆ เถอะ หรือถ้าคิดเผลอไผลไปกับเขา ฉันก็ขอเตือนเธอไว้ ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า เจียมตัวเองไว้บ้างนะมาลี เขาเป็นใคร”

นันทาดันนิตยสารทั้งกองที่อยู่บนโต๊ะกระจกไปให้มาลี แต่มาลีไม่ได้สนใจ เธอเปิดดูทุกเล่มแล้ว มันเป็นเล่มที่มีเรื่องของคุณชัชชัยโดยตรง นันทาถึงได้ซื้อและวางไว้ตรงนี้ วางไว้เพื่อตอกย้ำว่า เธอเป็นคนสำคัญและใส่ใจเขาคนนั้นแค่ไหน

“ต่อไปถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง เขาเป็นคนชอบเอาชนะ อะไรที่เขาอยากได้ เขาต้องได้ แต่ถ้าเขาเบื่อแล้ว เขาจะสลัดทิ้งอย่างไม่ได้ใส่ใจทีเดียว ฉันพูดนี่เพราะหวังดีกับเธอนะ”
มาลีทำท่าจะลุกขึ้น

“เรื่องงานบ้านจะเอาอย่างไร”

“มาลีก็ปัดกวาดเช็ดถูให้เหมือนเดิม ส่วนเสื้อผ้า คงหิ้วไปส่งร้านซักรีดให้เหมือนกับพี่ศรีวรรณเคยดูแลให้พี่ ตอนเย็นกลับมาก็ไปขนกลับมาใส่ตู้ไว้ให้”

“ได้เงินเดือนแล้วก็แบ่งช่วยค่าน้ำค่าไฟฟ้าฉันบ้างละกันนะ”

“ค่ะ”

มาลีตอบเต็มเสียง ก่อนจะขอตัวขึ้นห้องตัวเองด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เพราะอีตาชัชชัยแท้ๆ เธอถึงต้องถูกตำหนิในเรื่องที่ตนเองไม่ได้ตั้งใจให้เกิดด้วยซ้ำ





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2555, 23:54:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ส.ค. 2555, 11:09:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2088





<< 17.“มาลีพี่มีงานจะเสนอ”   19. กลับมาโพสต์ให้จบตามคำเรียกร้อง >>
แว่นใส 16 ก.พ. 2555, 08:24:23 น.
โดนสาวว่าอีกแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account