กฤตยามหาภูต โดย ตารกา (รอวางแผง)
"มหาสงครามแห่งเทพและอสูรกำลังจะอุบัติขึ้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือใช้ศิวะตรีศูล อาวุธเทพในตำนาน ผู้เดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดคือเธอ เทวีแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งกลับมาจุติใหม่โดยไร้ความทรงจำในอดีตชาติ"



เรื่องกฤตยามหาภูตเขียนจบมานานแล้วค่ะ

ตอนนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ตะวันส่อง (ใช้นามปากกาตารกา)

แต่ว่าไม่วางแผงสักทีเพราะเหตุขัดห้อง (ปีกว่าได้แล้ว)

บกแจ้งมาว่าปกกับเนื้อในพิมพ์คนละไซค์ค่ะ กำลังพยายามแก้ไขอยู่

ระหว่างนั้นก็เกิดน้ำท่วม ก็เลยต้องรอกันต่อไป

หลายคนถามหาบอกว่าคิดถึง เลยเอามาลงให้อ่านฆ่าเวลาก่อนค่ะ ^O^

Tags: แฟนตาซี ผจญภัย เทพ เทวี ปีศาจ วรรณกรรมเยาวชน ความรัก ปริศนา อดีตชาติ

ตอน: ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 4 เทวตำนาน

บทที่ 4 เทวตำนาน

เมื่อกลับมาที่พักนิศารัตน์ก็ซักเรื่องพลังของวิชชุตาด้วยความสนใจ หญิงสาวตอบคำถามเพื่อนอย่างไม่ปิดบังว่ากำไลวารัคคนีอันนี้สามารถพูดกับเธอได้ซ้ำยังมีพลังเหนือธรรมชาติแฝงอยู่ด้วย เธอไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร แต่มันก็เรียกเธอว่านายหญิง ราวกับเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน

ตอบคำถามเพื่อนเสร็จวิชชุตาถอดกำไลออกมาวางลงข้างตัวแล้วจึงเริ่มซักถามเกี่ยวกับคำถามที่ยังคาใจอยู่

“คุณเป็นใครคะแล้วทำไมถึงมาอยู่ในกำไลนี่ได้”

“ข้าเป็นจิตจำนงที่สถิตอยู่ในวารัคคนีขอรับ ข้าคือวารัคคนี วารัคคนีก็คือข้า เราเป็นผู้พิทักษ์และข้าช่วงใช้ขององค์วิชชุตาเทวี เราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่วันที่องค์วิชชุตาเทวีถือกำเนิด”

หญิงสาวฟังแบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ยังถามคำถามต่อไป เผื่อว่าจะจับใจความอะไรได้มากขึ้น

“วิชชุตานี่หมายถึงฉันอย่างนั้นเหรอคะ”

“ขอรับ”

จากที่ฟังกำไลเล่าวิชชุตาเทวีเคยมีชีวิตอยู่จริงเมื่อราวสามพันปีก่อน นางเป็นเทวีแห่งสายฟ้า ผู้มากสามารถในเชิงรบ ทั้งยังสิริโฉมงามล้ำจนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสรวงสวรรค์ ฟังอย่างไรมันก็ไม่เข้าเค้าว่าจะใช่ตัวเธอเลยสักนิด

“ท่านคือองค์วิชชุตาไม่ผิดแน่ขอรับ ข้ารับรู้ได้ด้วยญาณ เพียงแต่ตอนนี้ท่านยังรำลึกอดีตไม่ได้เท่านั้น อีกไม่นานหรอกขอรับท่านจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้” วารัคคนีเอ่ยย้ำก่อนที่หญิงสาวจะทันได้ปฏิเสธตัวตนของตัวเอง

วิชชุตาถอนหายใจออกมายาวเหยียดกับเรื่องเหลื่อเชื่อที่ได้ฟัง แม้จะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองคือวิชชุตาเทวี แต่หญิงสาวก็ต้องจำนนต่อหลักฐานที่ว่า มีเพียงวิชชุตาเทวีเท่านั้นที่จะสามารถใช้วารัคคนีได้และเธอก็เพิ่งใช้มันไปเมื่อสักครู่นี่เอง

“นอกจากฟ้าแล้วยังมีพวกเทพพวกเทวีองค์อื่นอีกใช่ไหม” นิศารัตน์ที่ฟังอยู่นานเอ่ยแทรก

ทั้งคนทั้งกำไลเลยหันไปมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจกันทั่วหน้า เพราะเสียงที่สื่อสารกันนั้นเป็นการสื่อสารกันผ่านจิต หากไม่ใช่ความประสงค์ของทั้งผู้ส่งสารและรับสารแล้วก็จะไม่มีผู้ใดสามารถได้ยินการสนทนานี้ได้

“ว่าไงล่ะ ตอบมาสิ” หญิงสาวเร่งเอาคำตอบ

ดวงตาสีนิลใต้กรอบแว่นวาววับด้วยความกระหายใคร่รู้ สำหรับเธอไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าพลังเร้นลับและอำนาจวิเศษอีกแล้ว

“เจ้ามิใช่นายของข้า มิใช่เรื่องที่ข้าจะตอบ” วารัคคนีตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

คำพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำของกำไลไร้มนุษยสัมพันธ์กระตุ้นต่อมฉุนของนิศารัตน์เข้าอย่างจัง หญิงสาวจึงโวยใส่กลับไปบ้าง

“ถึงจะไม่ใช่เจ้านายแต่ก็เป็นเพื่อนของเจ้านายนายนี่ ระดับมันต่างกันอยู่แล้วเห็นๆ ไม่หล่อแล้วยังวางมาดอีกนะตาหน้าบาก”

เธอเห็นภาพผู้ชายคนหนึ่งวูบเข้ามาในสมอง เลยพอจะเดาได้ว่าสิ่งที่เห็นคือรูปลักษณ์ของสิ่งที่อยู่ในกำไล ชายร่างกำยำผิวคล้ำ หน้าตาคมเหมือนพวกแขก ศีรษะโพกผ้าสีขาวไว้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือรอยแผลเป็นยาวซึ่งลากจากหางตาซ้ายเป็นแนวทแยงลงมาที่แก้มขวา

“เจ้าเห็นร่างข้า…เจ้าเป็นใครกัน” เสียงวารัคคนีเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นทันที

เพราะสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือร่างมนุษย์ที่มันเคยใช้ก่อนจะทำพิธีบวงสรวงเพื่อมาเป็นข้ารับใช้ขององค์วิชชุตาเทวี

“นายมันก็แค่ลูกน้องเพื่อนฉัน ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะตอบนาย” นิศารัตน์ยักไหล่อย่างไม่แยแส

เอาสิ!…ทีใครทีมัน

“เจ้า…”

เจอประโยคคล้ายกันย้อนเข้าวารัคคนีก็เถียงไม่ออกเหมือนกัน น่าเจ็บใจจริงเชียว อยู่บนโลกมากว่าสามพันปี แต่กลับถูกวาจายอกย้อนของมนุษย์น้อยนางหนึ่งเล่นงานเข้าได้

“ทำปากกล้าไปเถอะ แม้ข้าจะเป็นบ่าวองค์เทวีแต่ก็อยู่เหนือมนุษย์ทั้งมวล แค่เศษเสี้ยวพลังของข้าก็ปลิดลมหายใจเจ้าได้”

“เกริ่นซะยาวที่แท้เถียงไม่ได้เลยคิดจะใช้กำลังใช่ไหมล่ะ อวดตัวว่าอยู่สูงนักหนาแต่กลับจะฆ่าคนที่ไร้ทางสู้ พาลนี่หว่า ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย”

“ฮึ! ปากร้ายซ้ำยังอัปลักษณ์อย่างเจ้า ต่อให้เป็นยอดแห่งบุรุษก็คงอยากจะบั่นคอทิ้งกันทั้งนั้น”

ดูเหมือนการโต้คารมครั้งนี้จะดุเด็ดเผ็ดมันเป็นพิเศษ เรื่องคารมอดีตแชมป์โต้วาทีอย่างนิศารัตน์ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว ส่วนวารัคคนีก็ใช่ย่อย มันสรรหาคำพูดเจ็บๆ คันๆ มาโต้ตอบได้แสบสัน

วิชชุตาได้แต่มองการปะทะคารมตาปริบๆ เธอรู้ดีกว่าคนโกรธยากอย่างเพื่อนสาวแค่คันปากอยากเอาชนะวารัคคนีเท่านั้น ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองคำพูดของวารัคคนีจริงจัง ส่วนวารัคคนีก็คงรู้สึกในทำนองเดียวกัน เธอก็เลยปล่อยให้เถียงกันไป เบื่อเมื่อไรก็คงหยุดไปเอง คล้ายๆ นายไตรกับเธอเวลาเถียงกันนั่นแหละ

หญิงสาวถอยออกมาที่โซฟาสีน้ำเงินเข้มตรงมุมห้อง แล้วเอนหลังลงนอนตั้งใจว่าไว้คู่นี้เถียงกันเสร็จค่อยกลับไปที่ห้อง แต่แล้วก็กลับผล็อยไปตรงนั้นเพราะความเพลีย


วิชชุตาหลับสนิทอยู่ที่โซฟาจนสาย ตื่นมาก็เห็นว่าบนตัวมีผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมตัวอยู่ นิศารัตน์คงนำมาห่มให้เธอก่อนเข้านอน

เยื้องจากตัวหญิงสาวสองช่วงแขน วารัคคนีกับโน้ตใบหนึ่งถูกวางทิ้งไว้กลางโต๊ะเพื่อให้สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย

“ฉันจะกลับบ้าน เจอกันวันเปิดเรียน…นิ”

ข้อความที่ได้อ่านทำให้วิชชุตาต้องอ่านซ้ำและถามตัวเองว่าตื่นดีหรือยัง อีกสองวันก็จะเปิดภาคเรียนแล้ว คนขี้เมารถอย่างนิศารัตน์มีธุระอะไรกันถึงได้ยอมทนนั่งรถเกือบหกชั่วโมงกลับบ้าน

หญิงสาวปรายตามองไปที่วารัคคนี ตอนนี้มันกำลังทำตัวสงบเสงี่ยมเหมือนเป็นเครื่องประดับธรรมดาไม่ใช่ของวิเศษ เพราะเธอสัมผัสถึงพลังของมันไม่ได้เลย

“วารัคคนี คุณได้ยินฉันไหมคะ” วิชชุตาลองเรียกอีกฝ่ายดู

“มีอะไรขอรับนายหญิง” เสียงทุ้มของวารัคคนีดังตอบกลับมา พร้อมกับกระแสพลังอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจ

“เปล่าหรอกค่ะ แค่อยากรู้ว่าคุณยังอยู่ไหม” หญิงสาวหันมายิ้มให้กับกำไล

เธอพูดกับวารัคคนีอย่างสุภาพเพราะรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นญาติผู้ใหญ่ใจดี ที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน มากกว่าจะเป็นนายกับบ่าว

“คุยกันต่อดีไหมคะ คุณเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมว่าอดีตชาติของฉันเป็นยังไง”

เธออยากรู้เรื่องราวในอดีต อยากรู้ว่าทำไมเธอต้องกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เทพที่มาจุติต้องไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวแน่ เช่นเดียวกับอาวุธเทพที่ไม่ได้มีชิ้นเดียว แล้วพวกที่มาเกิดใหม่จะจำอดีตชาติตัวเองได้ไหม แล้วถ้าจำได้พวกเขาคิดจะทำอะไรกับพลังอำนาจเหนือมนุษย์ที่ได้รับมา

“เรื่องราวในอดีตหากมิใช่ความทรงจำที่นายหญิงรำลึกได้เอง บ่าวเช่นข้าก็มิอาจจาบจ้วงเล่าขอรับ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับเทพองค์อื่นหรืออาวุธเทพชิ้นอื่นข้าเองก็จับสัมผัสได้นานๆ ครั้งเท่านั้นขอรับ แต่ก็อยู่ไกลเกินกว่าจะบอกได้ว่าเป็นใคร มาดีหรือมาร้าย แต่อย่าได้วิตกไปเลยขอรับ เมื่อถึงเวลานายหญิงจะต้องผ่านมันไปได้แน่ หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะคอยต่อสู้เคียงข้างกายนายหญิงเอง”

วารัคคนีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ด้วยสัมผัสได้ถึงความกังวลใจลึกๆ ของผู้เป็นนาย

ความห่วงใยที่ได้รับมาทำให้วิชชุตารู้สึกผ่อนคลายลง มัวแต่มากังวลหรือกระหายใคร่รู้ไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ไม่มีใครตอบคำถามที่เธอสงสัยได้อยู่ดี ตอนนี้เธอคงทำได้แต่ใช้ชีวิตตามปกติ รอคอยให้เวลากับโชคชะตามาช่วยไขข้อข้องใจให้

“ขอบคุณมากนะคะ ถ้าอย่างนั้นมาเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า เอาเป็น…เมื่อคืนระหว่างคุณกับยัยนิใครเถียงชนะคะ”

“ฮึ! ต้องเป็นข้าอยู่แล้วขอรับ นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นมีรึจะสู้ข้าได้”

วิชชุตาหัวเราะคิกเมื่อได้ฟังคำตอบ เธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะรู้นิสัยนิศารัตน์ดี ถ้าเถียงแพ้แล้วเจ้าตัวโมโหขึ้นมามีรึวารัคคนีจะยังอยู่ในสภาพดีไม่ถูกกระทืบหรือโยนลงหน้าต่างไป

หญิงสาวคุยกับกำไลอยู่อีกครู่หนึ่ง พอหมดเรื่องคุยเธอก็หยิบวารัคคนีมาสวม แล้วเข้าครัวไปทำอาหารง่ายๆ ทาน

ในตู้เย็นมีผักสด เนื้อหมู เนื้อกุ้ง กับอาหารแช่แข็งอัดแน่นอยู่เต็มตู้ เพราะว่ามารดาของนิศารัตน์หามาแช่ไว้ให้ตอนมาส่งลูกสาวเข้าหอพัก

คุณป้าเนตรทรายแม่ของนิศารัตน์คือสุดยอดคุณแม่ที่ใครๆ ต้องยกนิ้วให้ในความรอบคอบ ลูกสาวบ่นคำเดียวว่าเดินเยอะเลยปวดเท้า วันถัดมาคุณเนตรทรายก็ส่งเครื่องนวดเท้า ผ้ายืดกระชับข้อเท้า เจลนวด ครีมทาส้นเท้าแตก ตลอดจนกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าใหม่เอี่ยมมาให้

รายการหลังสุดทำเธอกับเรได้แต่มองหน้ากันงงๆ ว่าแม่ยัยนิส่งมาทำไมเพราะในห้องก็มีอยู่แล้วหนึ่งอัน แถมยังมีทั้งเตาไฟฟ้าแล้วก็ไมโครเวฟอยู่พร้อม เครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำก็มี อยากได้น้ำร้อนรูปแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น พวกเธอก็เลยคิดว่าแม่ยัยนิส่งมาผิด แต่ยัยนิกลับส่ายหน้าแล้วบอกว่า

‘ส่งมาถูกแล้ว แม่บอกว่าเผื่อเอาไว้ว่าในกรณีที่กระติกใบเก่าเสีย ไมโครเวฟเดี้ยง เตาไฟฟ้าน็อค ลูกสาวก็ยังมีน้ำร้อนใช้ คุณนายเนตรทรายเธอก็อย่างนี้แหละ เผื่อเหลือแต่ห้ามขาด คอยดูนะ อีกสามวันแม่ฉันต้องนึกได้แน่ว่าถ้าเกิดไฟดับขึ้นมาจะทำยังไง แม่ต้องส่งเครื่องปั่นไฟแถมเตาถ่านมาให้แน่ๆ’

นึกถึงเรื่องครอบครัวเพื่อนไปทำอาหารไปเพลินๆ กะเพรากุ้งไข่ดาวกลิ่นหอมฉุยอาหารเช้าควบเที่ยงก็เสร็จสมบูรณ์ หญิงสาวตักเข้าปากคำโตอย่างเอร็ดอร่อย ทว่าทานได้ยังไม่ทันหมดจานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะ

คนโทรมาคือพัชราวดี หญิงสาวบอกว่าบาดเจ็บตอนเล่นกิจกรรมในค่าย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย

“เป็นอะไรมากรึเปล่าเร”

“แค่ขาแพลงเท่านั้นไกลหัวใจแยะจ้า แต่คุ้มนะที่เจ็บ หมอหล่อมากๆ เลย”

ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ ของเพื่อนสาวก็พอจะทำให้หายกังวลได้ว่าคงไม่เป็นอะไรมาก

“เดินไม่สะดวกแบบนี้เค้าคงกลับเองไม่ไหว รบกวนฟ้ามารับหน่อยได้รึเปล่า”

“ได้สิจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”

วิชชุตาทิ้งจานอาหารไว้ในห้องครัวแล้วรีบออกไป เธอเคยเข้ามาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยครั้งหนึ่งในวันตรวจร่างกายก่อนสอบสัมภาษณ์ จึงพอจะรู้เส้นทางอยู่บ้าง คนจำทางแม่นเลยตรงไปที่ห้องฉุกเฉินได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งประชาสัมพันธ์

หน้าห้องพัชราวดีกำลังนั่งรออยู่บนรถเข็น ข้อเท้ามีผ้าพันเอาไว้ สีหน้าดูสดชื่นไม่เหมือนคนเจ็บเลยสักนิด

“ไม่เป็นไรนะเร”

“สบายมาก ให้เดินตอนนี้ยังไหว” พัชราวดีลุกขึ้นยืนขาเดียวแล้วก็โดดไปมาประกอบคำพูด

“ไม่ได้นะเร” วิชชุตาร้องห้ามคนเจ็บเสียงหลง

“ใช่ครับ…ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวล้มไปแผลจะยิ่งอักเสบนะครับ” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังแทรกขึ้นจากทางด้านหลัง

พอหันไปมองวิชชุตาก็จำได้ว่าเคยพบผู้ชายคนนี้ที่หน้าห้องผ่าศพ

“ว้าย! ขะ...ขอโทษค่ะคุณหมอ”

พัชราวิดีหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นหมอเจ้าของไข้ หญิงสาวรีบกลับไปนั่งที่รถเข็นแล้วก้มหน้างุดหลบสายตาคุณหมอด้วยท่าทีเขินอาย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่กลับไปต้องระวังตัวให้มากนะ พี่ไปเอายามาให้แล้ว อันนี้ยากินก่อนอาหาร ส่วนนี่ยาแก้ปวด ถ้าปวดมากก็กินทุกๆ สี่ชั่วโมง ส่วนยาทาไว้พ้นสี่สิบแปดชั่วโมงไปแล้วค่อยนวดนะครับ” ชายหนุ่มอธิบายเสียงนุ่ม แล้วหันมาถามวิชชุตาว่าเอารถอะไรมารับเพื่อน

“เอามอเตอร์ไซค์มาค่ะ”

“ให้พี่ไปส่งไหมครับ พี่ออกเวรพอดี” ชายหนุ่มอาสาอย่างมีน้ำใจ

แรกทีเดียววิชชุตาจะปฏิเสธแต่พอเห็นว่าเพื่อนมีท่าทีปลื้มคุณหมออยู่ไม่น้อย หญิงสาวก็เลยตอบตกลงยอมขับรถนำทางไปที่หอพัก เปิดโอกาสให้พัชราวดีได้นั่งรถไปตามลำพังกับคุณหมอสุดหล่อแสนใจดี

พอมาถึงที่หอพักชายหนุ่มก็อุ้มพัชราวดีลงมาจากรถไปส่งถึงห้อง กำชับให้กินยาให้ตรงเวลาเสร็จคุณหมอก็ขอตัวกลับ ทิ้งพัชราวดีที่หน้าแดงแปร๊ดให้ร้องกรี๊ดไล่หลังให้กับความเท่ของชายหนุ่ม

“คนอะไรก็ไม่รู้ น่ารัก ใจดี หล่อก็หล่อ อ๊ายๆๆ ไม่ไหวแล้วจะละลาย”

พัชราวดีคว้าหมอนมากอดแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา จากนั้นก็ประกาศก้องว่าตกหลุมรักพี่หมอคนนี้เข้าแล้ว เธอต้องสืบให้ได้ว่าเขามีแฟนรึยัง ถ้ายังไม่มีจะได้จีบมาเป็นแฟนเสียเลย

“ฟังนะฟ้า พี่คนนี้เขาชื่อมารุตล่ะ พี่เขายี่สิบเจ็ดแล้วแต่หน้ายังเด็กอยู่เลยเนอะ พี่เขาเป็นหมอประจำโรงบาลมหา’ลัย แล้วก็เป็นอาจารย์สอนนิสิตแพทย์ด้วย เก่งจังเลยนะว่าไหม”

วิชชุตาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แม้เขาจะไม่ใช่อย่างที่เธอชอบแต่ก็ต้องยอมรับจากใจว่าเขาเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ผิวพรรณขาวสะอาดหมดจรดเหมือนพวกลูกคนจีน แต่ก็เป็นอาตี๋ที่ตัวสูงคมเข้ม นัยน์ตาเขาคมกริบราวกับนัยน์ตาของพญาเหยี่ยว หากไม่มีแว่นสายตากับรอยยิ้มบนใบหน้าช่วยเบรกความคมเอาไว้ละก็ เขาต้องดูดุมากกว่าใจดีแน่

“แล้วนี่นิไปไหนซะล่ะฟ้า เลยอดเห็นพี่หมอเลย” พัชราวดีเพิ่งมาสังเกตตอนนี้เองว่ารูมเมทอีกคนไม่ได้อยู่ในห้องด้วย

“กลับบ้านน่ะ ตื่นมาก็หายไปจากห้องแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำไม”

ป่านนี้นิศารัตน์คงใกล้ถึงบ้านแล้ว เจ้าหล่อนไม่ชอบรับโทรศัพท์เวลาเดินทาง ไว้ค่ำๆ เธอค่อยโทรหาเอาก็แล้วกัน


บนรถประจำทางปรับอากาศ นิศารัตน์กำลังเคลิ้มหลับไปเพราะความเพลีย เมื่อคืนเธอเถียงกับกำไลปากร้ายทั้งคืนจนไม่ได้นอน พอเธอเป็นต่อจนเกือบชนะอยู่แล้วเจ้ากำไลปากเสียก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น เรื่องที่เถียงกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชชุตาและอดีตชาติที่เธอเองก็อยากรู้ แต่วารัคคนีไม่ยอมบอกอะไรเธอเลย หนำซ้ำยังย้อนกลับมาอีกว่าถ้าฉลาดนักก็ไปหามาให้ได้สิว่ามันมีที่มามาจากไหนและวิชชุตาเทวีเป็นใคร

นิศารัตน์รับคำท้าทันที ถึงเจ้าตัวจะไม่ยอมบอกแต่ยังมีทางอื่นที่จะไขข้อข้องใจอีกมาก

ห้องสมุดที่บ้านก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ หญิงสาวจำได้แม่นว่าเคยเห็นชื่อวิชชุตาเทวีอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จะเล่มไหนนั้นก็ต้องลองค้นดูอีกที

เมื่อรถโดยสารมาถึงที่หมายหญิงสาวก็ใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับบ้าน เธอไม่ได้บอกใครว่าจะกลับมาเพราะรู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากแม่บ้าน

บ้านที่เธออยู่นี้แรกเริ่มเดิมที่คุณตาสร้างไว้ตั้งใจจะให้ลูกทั้งหกคนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมาอยู่กับท่านเลย เพราะลูกทุกคนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับธุรกิจของตัวเอง ไม่คิดจะมาทำงานในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ท่านก็เลยอยู่คนเดียวเรื่อยมา จนกระทั่งเธอเกิด ช่วงนั้นแม่ป่วยเพราะแพ้อากาศคุณตาก็เลยเสนอกึ่งๆ บังคับให้มาอยู่ที่นี่

พอวิชชุตาอายุได้สักหนึ่งขวบพ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะย้ายกลับกรุงเทพฯ คุณตาก็ยอมตามใจแต่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมให้หลานสาวตัวน้อยเข้าไปสูดมลพิษในเมืองหลวง พ่อกับแม่ก็เลยต้องยอมให้เธออยู่กับท่าน และถึงแม้ว่าคุณตาจะเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เธอก็ยังสมัครใจที่จะอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากย้ายโรงเรียน

หญิงสาวไขกุญแจประตูรั้วเข้าไปเองโดยไม่เรียกให้แม่บ้านมาเปิดให้ แล้วก้าวยาวๆ ตรงดิ่งลงไปที่ชั้นใต้ดินของตัวบ้านซึ่งอยู่ลึกลงไปกว่าสิบเมตร ที่นี่ใช้เป็นห้องทำงานของคุณตา หรืออีกนัยก็คือห้องสมุดและห้องเก็บของนั่นเอง

นิศารัตน์รู้สึกได้ทันทีที่ลงมาข้างล่างว่าในห้องนี้จะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับวารัคคนีอยู่ เธอมั่นใจว่าลางสังหรณ์ของตัวเองว่าไม่มีวันพลาด ขอเพียงแค่ทำสมาธิให้แน่วแน่ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ซ่อนอยู่ที่ไหน เธอก็หามันเจอได้เสมอ

หญิงสาวค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก เวลาเล่นซ่อนหาเธอก็เลยชอบเป็นคนหามากกว่าคนซ่อน เพราะไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง

นิศารัตน์รวบรวมสมาธิเพ่งมองไปที่หนังสือบนตู้ ไล่กวาดตาไปทีละชั้นจนเหนื่อยก็ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ เธอจึงหยุดพักแล้วหลับตาลง ทันใดนั้นเองก็มีภาพภาพหนึ่งผุดเข้ามาในสมอง มันเป็นภาพของหีบโบราณใบใหญ่กำลังเปล่งรัศมีจ้าราวกับกำลังร้องเรียกเธอ

นิศารัตน์จำตำแหน่งที่ไว้หีบได้แม่น จึงผละจากชั้นหนังสือไปยังห้องเก็บของสะสมของคุณตา

ที่มุมหนึ่งของห้อง หีบโบราณถูกวางทิ้งเอาไว้ปล่อยให้ถูกฝุ่นจับหนา รอบหีบมีโซ่เส้นใหญ่พันเอาไว้แล้วคล้องด้วยแม่กุญแจหลายชั้น

นิศารัตน์ย่อตัวลงตรงหน้าหีบ ใช้มือปัดฝุ่นหนาที่บดบังอักษรโบราณที่จารึกอยู่บนตัวหีบทิ้ง ตัวอักษรที่คุ้นตาเหล่านี้คือภาษาโบราณของชนเผ่ามหาภูตที่คุณตาเคยสอนให้เธอเมื่อครั้งยังเด็ก แม้จะไม่ได้ใช้มานานแต่หญิงสาวก็ยังสามารถอ่านตัวอักษรที่จารึกอยู่ได้คล่อง

“คัมภีร์...สาป...จันทร์”

ความเก่าของตัวหีบทำให้ตัวหนังสือลบเลือนไปจนไม่สามารถจับใจความได้ แต่เมื่อสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีคนพยายามใช้สิ่วลบตัวอักษรบนหีบออกไปจนเกือบหมด คนทำคงเป็นเจ้าของคนก่อนหน้าเพราะร่องรอยมันดูเก่าพอๆ กับสภาพหีบทีเดียว

ยิ่งได้สัมผัสตัวหีบหญิงสาวก็ยิ่งมั่นใจว่าของที่เธอต้องการอยู่ในนี้ เธอจึงผุดลุกขึ้นจากมุมห้องกลับไปด้านบนเพื่อค้นหากุญแจมาเปิดหีบ เธอจำได้ว่าคุณตาเก็บกุญแจทุกอย่างรวมกันไว้เป็นพวงเดียว และกุญแจเหล่านี้จะถูกเก็บไว้อย่างดีในช่องลับที่เตียงนอนของท่าน

แล้วนิศารัตน์ก็ต้องแปลกใจเมื่อเข้าไปในห้องแล้วได้พบกับคนที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน

“คุณยายมาได้ยังไงคะ ไหนบอกนิว่าจะไปเที่ยวยุโรปกับลุงหนึ่ง”

หลังจากคุณตาเสียคุณยายก็แทบไม่ได้มาอยู่ที่นี่เลย ท่านบอกว่าท่านทนอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำหลังนี้ไม่ได้

“ก็ตาแก่ตัวล้านนี่น่ะสิ ดันมาเข้าฝันยายตอนกำลังเที่ยวสนุกๆ เสียได้ ยายเลยต้องรีบกลับมา”

คุณนภาเอ่ยแล้วปรายตามองไปทางรูปของสามี แม้น้ำเสียงจะไม่ค่อยพอใจแต่แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความรักและอาลัย

เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่าพวกท่านไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่พอคุณตาจากไป นิศารัตน์ก็ได้เข้าใจว่าความรักของทั้งคู่นั้นดูด้วยตาเปล่าหรือมองเพียงผิวเผินอย่างเดียวไม่ได้ แม้จะต้องห่างกันบ่อยครั้งแต่คุณยายก็เป็นผู้หญิงคนเดียวในใจของคุณตา ในขณะที่คุณตาเองก็เป็นคนสำคัญที่สุดของคุณยายเช่นกัน

“คุณยายฝันว่าอะไรเหรอคะ”

“ฝันว่าคุณตาของนิมาเตือนยายว่าตอนนี้หลานเข้ามหา’ลัยแล้ว ให้เอาของที่ฝากไว้มาให้ด่วน ตาแก่ตัวแสบเร่งยายยิกๆ เชียวล่ะ ตอนงีบในเครื่องบินก็ยังโผล่มาเตือน เห็นเราเป็นยายแก่ขี้หลงขี้ลืมรึไงก็ไม่รู้ ตายไปแล้วก็ยังไม่รู้จักไปที่ชอบที่ชอบสักที ชอบมาก่อกวนในฝันเรื่อย”

คุณตามักจะจัดเตรียมทุกอย่างที่เธอต้องการใช้หรือจำเป็นต้องใช้เอาไว้ให้ล่วงหน้าเสมอ แม้ตัวท่านจะจากไปหลายปีแล้ว แต่ก็มีของส่งมาให้เธอเรื่อยๆ ในวาระต่างๆ เพราะท่านเตรียมล่วงหน้าเอาไว้ให้จนกว่าเธอจะบรรลุนิติภาวะ หญิงสาวก็เลยเชื่อว่าวิญญาณของท่านยังไม่ไปไหน ยังวนเวียนอยู่กับคนที่ท่านรักเสมอ ดังนั้นเรื่องที่คุณยายมักฝันถึงคุณตาย่อมไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเองแน่

“ที่ชอบของคุณตาก็คือที่ที่คุณยายอยู่ไงคะ”

คุณนภาหัวเราะร่วนเมื่อได้ฟังคำของหลานสาว เธอเดินไปเปิดตู้เซฟแล้วหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ในนั้นมีกุญแจอยู่เจ็ดดอก กระดาษที่จดหมายเลขสี่หลักเอาไว้และนาฬิกาเรือนทองฝังเพชรหนึ่งเรือน

“ตาเขาฝากให้นิจ้ะ บอกว่าเป็นนักศึกษาเมื่อไรค่อยให้”

หญิงสาวรับมาไว้แล้วกล่าวขอบคุณผู้เป็นยาย เธอเข้าไปกอดท่านแน่นๆ เสียทีหนึ่งแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องใต้ดินเพื่อลองไขกุญแจดู ตัวเลขที่ได้รับมากับกุญแจเหล่านี้เปิดล็อกได้หมด เธอจึงได้เห็นว่าภายในหีบใบใหญ่อัดแน่นด้วยตำราโบราณจำนวนมาก

ส่วนอายุของมันนั้นยากจะคาดเดา ถึงแม้จะจารึกด้วยอักขระโบราณแต่สภาพกลับใหม่กว่าที่คิด ที่แปลกตาคือตำราเล่มหนึ่งซึ่งทำจากแผ่นหินบางๆ ซ้อนกันเจ็ดแผ่น เขียนชื่อไว้ว่าคัมภีร์คลายสาป แม้จะมองดูน่าสนใจแต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้ หญิงสาวจึงมองผ่านมันไป แล้วหยิบเล่มอื่นขึ้นมาแทน

“เจอเสียที...เทวตำนาน”

หนังสือเล่มนี้บางกว่าใครพวก แต่ถึงกระนั้นก็ยังหนากว่าสองนิ้ว

นิศารัตน์หยิบเล่มอื่นที่คิดว่าน่าสนใจมาอีกสองเล่ม ลงกุญแจไว้อย่างเดิมพร้อมกับแบกตำราที่เหลือขึ้นไปชั้นบน เธอตั้งใจว่าจะไปชวนคุณยายกินข้าวด้วยกันเสียหน่อย แต่คุณยายหัวใจยังสาวกลับไม่ยอมอยู่ต่อ ท่านว่าต้องรีบกลับไปทัวร์ยุโรปก่อนที่ของแบรนด์เนมดีๆ จะถูกคนอื่นชิงไป

หญิงสาวก็เลยใช้เวลาทั้งบ่ายอ่านหนังสือเทวตำนาน ในนี้กล่าวเอาไว้ว่าวิชชุตาเทวีคือเทวีแห่งสายฟ้า เป็นบุตรของอัคคีเทพ หน้าที่ของนางคือการทำให้เกิดสายฟ้าเวลาฝนตก และยังทำหน้าที่ส่งสายฟ้ามาลงทัณฑ์มนุษย์ใจบาป นางจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเทวีแห่งความยุติธรรม

นอกจากนี้ยังมีการเอ่ยถึงวิชชุตาเทวีในฐานะพระแม่เจ้าแห่งสวรรค์ ทั้งนี้เพราะนางได้อภิเษกกับภูเตศวร หรืออีกนัยคือเจ้าแห่งทวยเทพ ทว่าหลังการอภิเษกได้ไม่นานชนเผ่ามหาภูตก็ถึงกาลล่มสลาย ภาพพจน์ของวิชชุตาจึงติดตาในแง่ของเทวีแห่งความยุติธรรมมากกว่า

ข้อมูลเพียงเท่านี้คงจะเอาไปเกทับวารัคคนีไม่ได้ สิ่งที่เธออยากรู้คือเรื่องราวของวารัคคนีมากกว่าว่ามันมีที่มามาจากไหนทำไมถึงได้กลายเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีอายุหลายพันปีได้

ในเทวตำนานบอกถึงวิธีการทำอาวุธของเหล่าทวยเทพไว้ว่าเป็นวิธีการศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องรีบกระทำทันทีตั้งแต่แรกกำเนิด เมื่อทารกน้อยลืมตาดูโลกจะต้องกรีดเอาเลือดจากปลายนิ้วเด็กออกมา เพื่อหลอมให้อาวุธและร่างกายมีจิตวิญญาณเดียวกัน

อาวุธบางชนิดใช้จิตวิญญาณกึ่งหนึ่งของเจ้าของใส่ไปด้วยเพื่อที่ว่าแม้ร่างกายจะแหลกสลายแต่วิญญาณอีกกึ่งหนึ่งก็ยังคงอยู่ เพื่อรอโอกาสได้คืนชีพและยังไม่สามารถมีใครช่วงชิงอาวุธไปได้ด้วย แต่ในทางกลับกันหากมีคนทำลายอาวุธนั่นก็หมายถึงชีวิตกึ่งหนึ่งต้องสูญสลายไปด้วย

อีกวิธีที่น่าสนใจคือใช้วิญญาณของคนอื่นใส่ไว้ในอาวุธ วิธีการนี้คล้ายกับวิธีแรกและวิธีที่สอง กล่าวคือเจ้าของต้องหลั่งเลือดเหมือนกันเพียงแต่ไม่ต้องสละวิญญาณตนเองเท่านั้น ใช้วิญญาณของข้าช่วงใช้ที่มีความซื่อสัตย์มาใส่ในอาวุธแทน อาวุธจะแข็งแกร่งหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าของอาวุธและความสามารถของวิญญาณประจำอาวุธ หนังสือไม่ได้กล่าวถึงวารัคคนีมากนัก แค่จัดมันอยู่ในกลุ่มอาวุธประเภทหลังและระบุว่าเป็นหนึ่งในสิบยอดอาวุธเทพเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่าในยามที่เหล่าเทพกลับมาจุติ นั่นก็หมายถึงสัญญาณการฟื้นคืนชีพของเหล่าปีศาจ สงครามระหว่างเทพกับปีศาจจะบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าฝ่ายใดจะปราชัยผู้ที่ต้องรับเคราะห์ก็คือเหล่ามวลมนุษย์

ภาพความตายผุดขึ้นมาในสมองของหญิงสาวมากมาย จนนิศารัตน์ต้องพยายามทำใจให้นิ่งเพื่อหยุดภาพเหล่านั้น

ความกลัวแล่นเข้ามาในจิตใจของหญิงสาว ทว่าส่วนลึกกลับมีความรู้สึกบางอย่างแทรกอยู่ ความตื่นเต้นยินดีมันพุ่งขึ้นมาอย่างห้ามอยู่ เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ชมกระหายเลือด ที่กำลังรอชมจุดจบของมวลมนุษย์อย่างใจจดใจจ่อ

“บ้าน่า! คิดอะไรก็ไม่รู้”

หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา ไล่ความรู้สึกแสนประหลาดนี้ให้ออกไปจากใจ

ตอนนี้ยังมีเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่เธอต้องการจะรู้ ไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาใส่ใจความรู้สึกที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาเอง หญิงสาวเริ่มสนใจในตัวชนเผ่ามหาภูต การกลับชาติมาเกิดของเหล่าเทพ อยากรู้ทุกอย่างทุกเรื่องราวอย่างละเอียด ทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้ไปทำไม เธอรู้แต่เพียงว่าต้องรู้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนหรือต้องทำอย่างไรก็ตาม นี่กระมังความรู้สึกของนักประวัติศาสตร์ยามที่ต้องการค้นหาความจริง



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.พ. 2555, 00:42:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.พ. 2555, 00:42:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1831





<< ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 3 โรหิตภูต   ตอนที่ 2 การทักทายของวายุเทพ : บทที่ 5 นิมิตรา >>
Auuuu 19 ก.พ. 2555, 00:54:50 น.
เรื่องราวของนิเปิดเผยมาเรื่อยๆแล้ว...
ไปอ่านเว็บนู้นมา ลุ้นมากๆเลยค่า ว่านิจะเป็นใครกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เก่งสุดยอดดดดดด


เพลา 19 ก.พ. 2555, 11:33:38 น.
ของที่คุณตาฝากไว้ให้นิ จะมีความพิเศษแบบวารัคคนีหรือป่าวนะ


Zephyr 19 ก.พ. 2555, 21:28:00 น.
โฮ้ย อ่านสองเวบแล้วเริ่มมึนอ่ะ หึหึ
ยังไงก็แบบ เมื่อไรจะรู้ซักทีเนี่ย ว่า นิ เป็น ใครๆๆๆๆๆๆๆๆ
จะลงแดงด้วยความอยากรู้ๆๆๆๆๆ ตัวสั่นๆๆๆๆๆ ดิ้นปัดๆๆๆๆๆๆๆ
แต่นะ อ่านกี่ทีก็ฮาอ่ะ วารัคคนีเถียงกะนิเนี่ย
ถ้าเราไม่รู้ติ้นลึกหนาบางนะ เราก็ว่านิ บร้าาาาาาาาา อ่ะ คนอะไร คุยกะกำไลก็ได้


อสิตา 19 ก.พ. 2555, 21:35:30 น.
อ่านจบแล้ว รอติดตามต่อนะคะ *-* เตรียมชอบมารุตเลยละกันเพราะชอบหนุ่มแว่น ฮี่ๆ นางเอกเรียนเร็วเหมือนเราเลยค่ะ อ่านแล้วทำให้คิดถึงชีวิตมหาลัย+ชีวิตเด็กหอที่แลดูห่างไกลออกไปในอดีตอันมืดมิดเลยนะเนี่ย

อ้อ เห็นในกระทู้ก่อนๆคุณนิชาภาบ่นว่าแฟนตาซีขายไม่ค่อยได้ กับบ่นอีกอันคือชอบลืมพระเอกแล้วให้นางเอกบทเด่นนำ ลองเขียนแบบให้ความสำคัญกับพระเอกนางเอกแบบเท่าเทียมกัน น่าจะขายสนพ.ได้ง่ายขึ้นนะคะ พยายามทำให้สิ่งที่อยากเขียน กับสิ่งที่สนพ.อยากขายเป็นเรื่องเดียวกัน แม้ว่ามันจะลำบากก็เถอะ (TvT พยายามอยู่เช่นกัน)


อสิตา 19 ก.พ. 2555, 21:41:11 น.
ป.ล. คุยนอกเรื่อง...มิติมหัศจรรย์เรามองว่าพระเอกสองคนอ่ะค่ะ แต่ถ้าจะมีการแยกตำแหน่ง พระเสาร์น่าจะเป็นพระรองนะคะ เพราะบทพระอังคารเด่นมาก(แต่แอบเชียร์พระเสาร์) ส่วนสุดขอบจักรวาลก็ชอบโอดินแบบเพ้อเลย อยากได้เป็นคู่ครองมาก อ๊าาา ชอบคนละคนตลอดเลย ดีแล้ว จะได้แบ่งๆกันไป ^0^


หนอนฮับ 20 ก.พ. 2555, 22:52:21 น.
ชอบคะ..สนุกๆ ช่วงนี้ติดนิยายแฟนตาวีจริงนะเนี่ย..เพราะ เซวีน่าทำพิษ กรี๊ดดดดด..เลยหาแนวนี้อ่านมาเรื่อยๆ ส่วนเรื่องนี้มีความลึกลับ และน่าติดตามจริงๆ คะ เพราะต้อคิด หลายชั้นเลยเนี่ยยยย


นิชาภา 20 ก.พ. 2555, 23:30:36 น.
คุณAuuuu ใกล้แล้วค่ะ อีกนิดเดียวก็จะรู้แล้วว่านิเป็นใครหุๆๆ

คุณเพลา ความลับค่ะ ไม่สปอยเนอะ แต่ได้ใช้ประโยชน์แน่นนอนค่ะ

คุณ Neferretti โอ๋ๆๆ ใจเย็นๆ นะตัวเอง เดี๋ยวก็รู้แล้วค่าว่านิเป็นใคร อีกไม่เกินสามวันเนอะ ใจร่มๆ น่าคะ หุๆๆ

คุณอสิตา ขอบคุณที่แนะนำนะคะ เดี๋ยวเรื่องหน้าจะลองปรับดู จริงๆ การอวยนางเอกนี่เป็นเอกลักษณ์งานเขียนเลยเราค่ะ หนังสือที่วางแผงเกือบทุกเล่มนางเอกเด่นมาก แต่หนักมือไปมันก็ไม่ดีเนอะ ท่องไว้เราต้องเพิ่มบทให้พระเอก สู้ค่า!! คุยเรื่องนิยายแล้วมามะมาจับมือหน่อย เราแบ่งสรรปันส่วนผู้ชายได้ลงตัวชิมะคะ ไม่ตบตีแย่งกัน 5555


นิชาภา 20 ก.พ. 2555, 23:32:56 น.
คุณหนอนฮับ อ๊ายยย เซวีน่า เค้าก็อ่านค่า กรี๊ดจริงอะไรจริง เสียดายไม่ได้ขอลายเซ็นคนเขียนไว้ สมัยเรียนเดินสวนกับเค้าเป็นประจำเลยค่ะ (ลานจอดรถของคณะเรากับเค้าใช้ด้วยกัน)ก็รู้นะว่าคนนี้คนเขียนเซวีน่า แต่ไม่ได้อ่าน มาอ่านตอนเรียนจบแล้ว พอคนเขียนเค้ารับปริญญาเราก็บุกไปงมหาเลย แต่หาไม่เจอ เจอแต่ฝาแฝดเค้าอ่า แง้ๆๆ T^T เศร้าค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account