เล่ห์รักลวง (สามีรับจ้าง) *สนพ.เขียนฝัน*

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2 : ผู้ชายหน้าไม่อาย

ตอนที่ 2

ผู้ชายหน้าไม่อาย

“ยัยอรนี่จริงๆ เลย จะทำกับข้าวทั้งทีกลับเพิ่งสังเกตเห็นว่าเครื่องปรุงหมด”

อนามิกาบ่นพึมพำกับตัวเองขณะที่สายตาก็อ่านกระดาษจดรายการที่จะต้องซื้อกลับห้อง มีทั้งเครื่องปรุงรสของอรณีและของใช้ส่วนตัวของตัวเอง ที่ไหนๆ ก็มาแล้วก็ซื้อๆ มันซะเลยจะได้ไม่เสียเวลามาอีกหลายรอบ และด้วยความที่เพิ่งมาอยู่เมืองนี้ได้ไม่นาน อีกทั้งไม่ได้เข้ามาซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้บ่อยนัก ทำให้อนามิกาต้องเสียเวลาเดินวนหาของแต่ละอย่างกว่าจะพบ และในขณะที่เดินไปดูกระดาษจดรายการของที่ต้องซื้อไป ไม่ได้มองลูกค้าคนอื่นๆ ทำให้เธอเดินชนเข้ากับใครบางคนอย่างจัง เผลอร้องออกมาอย่างตกใจ จนทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ รวมไปถึงพนักงานในร้านต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว ซึ่งก็ทำให้เธอส่งยิ้มแหยๆ ไปให้พร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอโทษทุกๆ คน ก่อนจะหันมาสนใจคนตรงหน้าก็พบว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บกล่องอาหารแช่แข็งนับสิบกล่องที่ตกเกลื่อนพื้นอยู่

“ขอโทษนะคะ…พอดีฉันมัวเดินดูของเพลินไปหน่อย”

เอ่ยจบหญิงสาวก็ก้มลงเก็บกล่องอาหารแช่แข็ง 2 กล่องสุดท้ายตรงปลายเท้าขึ้นมายื่นให้อีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิด และตอนนี้นี่เองทำให้อนามิกาสังเกตเห็นว่าคนที่เธอเดินชนนั้น นอกจากจะเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แล้วเขายังมีหน้าตาที่หล่อบรรลัยนัยน์ตาสีน้ำตาลชวนหลงใหล แม้ว่าเครื่องแต่งกายที่เขาสวมอยู่จะเป็นแค่เสื้อยืดสีพื้นธรรมดาๆ กับกางเกงยีนเก่าๆ แต่โดยรวมแล้วผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ

“ขอบคุณครับ”

“ซื้อเยอะขนาดนี้กินเองเหรอคะ”

หลุดปากถามออกไปแล้วอนามิกาก็แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเอง ปากไวจริงๆ เลย ดันไปถามผู้ชายที่เพิ่งเจอกันออกไปอย่างนั้น

“ครับ ซื้อไปตุนไว้ขี้เกียจมาซื้อบ่อยๆ”

ชายหนุ่มตอบเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวหน้าตาน่ารักตรงหน้าแอบตบปากตัวเองเบาๆ ไปหลายที ก่อนจะหันมาส่งยิ้มอายๆ ทำให้ใบหน้ารูปไข่ที่ปราศจากเครื่องสำอางนั้นแดงระเรื่อชวนมอง เป็นเหตุให้หัวใจของเขากระตุกอย่างน่าประหลาด

“ค่ะ”

เธอตอบรับสั้นๆ ก่อนจะแสร้งไม่สนใจหนุ่มตรงหน้าอีกต่อไป โดยการหันซ้ายหันขวามองหาของที่จะซื้อแก้เก้อ แล้วก็เจอเข้ากับของที่ต้องการพอดี อนามิกาไม่รอช้าตรงดิ่งเข้าไปหยิบขณะเดียวกันก็แอบเหลือบตามองร่างสูงที่ยืนจัดระเบียบกล่องอาหารในมือให้เข้าที่เข้าทาง และก็เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกมา

“กินอาหารแบบนี้เยอะๆ มีหวังขาดสารอาหารตายกันพอดี แฟนใครนะปล่อยปละละเลยจริงๆ เป็นเราหน่อยไม่ได้ แม่จะใช้เสน่ห์ปลายจวักมัดใจเอาให้ลืมอาหารพวกนี้ไปเลย”

เสียงบ่นด้วยภาษาไทยลอยขึ้นมา แม้ไม่ดังมากนัก แต่ก็ทำให้เคเลอร์ที่กำลังจะหมุนตัวเดินไปจ่ายเงินต้องหยุดชะงัก เขาแสร้งยืนฟังอยู่ตรงนั้นจนเธอบ่นจบ และมันก็ทำให้เขาเกือบจะเผลอหัวเราะออกมา คงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าหน้าฝรั่งจ๋าอย่างเขาจะสามารถฟังและพูดภาษาไทยได้ และทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ในเมื่อเขามีแม่เลี้ยงเป็นคนไทย ‘แม่บุษ’ เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ 5 ขวบ และจำได้ว่าครั้งแรกที่พบกันท่านทักเขาว่า ‘สวัสดีจ้ะ’ ซึ่งเขาไม่รู้เรื่องแต่ก็ยิ้มตอบ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาแม่บุษมักจะสื่อสารกับเขาด้วยภาษาไทยแล้วตามด้วยภาษาอังกฤษ นานวันเข้าก็เหลือเพียงภาษาไทยอย่างเดียว และนั่นทำให้เขาฟังและพูดภาษาไทยได้โดยไม่รู้ตัว

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

ถามอย่างไม่รู้จะถามอะไรที่ดีกว่านี้ ครั้นจะให้ถามอย่างใจคิดว่า ‘สนใจจะใช้เสน่ห์ปลายจวักกับผมไหมครับ’ มันก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่

“มะ...ไม่มีค่ะขอบคุณ เชิญคุณตามสบายค่ะ”

บอกเสร็จอนามิกาก็ก้มหน้าเดินหนีไปล็อกอื่น เลิกสนใจชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง แล้วรีบหาซื้อของที่เหลือให้ครบ จากนั้นก็รีบกลับคอนโดทำอาหารกลางวัน ทานกันให้อิ่มอร่อยกับอาหารไทยที่เธอกับเพื่อนรักช่วยกันทำ และต้องบอกเลยว่าฝีมือพวกเธอไม่ตกเลยจริงๆ ทำเมื่อไหร่อร่อยเมื่อนั้น ไม่อยากจะโม้แต่อร่อยกว่าไปทานตามร้านอาหารไทยใหญ่ๆ บางร้านเสียด้วยซ้ำ



สรุปค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจทำให้อนามิกาไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับลงได้ ดังนั้นคืนนี้เธอจึงตัดสินใจออกมาชื่นชมความงามในยามค่ำคืนของลาสเวกัส สตริป ที่แต่ละโรงแรมแข่งกันประดับไฟเต็มที่ เห็นแล้วก็ต้องบอกว่ามันสวยงามละลานตาจริงๆ ดูกี่ครั้งๆ ก็ไม่เบื่อ แต่ดูแล้วก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าในแต่ละเดือนทางโรงแรมเขาจ่ายค่าไฟกันเท่าไหร่ คิดๆ ดูแล้วคงจะแพงน่าดูชมก็เล่นซะโรงแรมในตอนกลางคืนสว่างโร่ขนาดนี้ คิดเล่นๆ สนุกๆ พร้อมกับเดินเลาะดูโชว์ตามหน้าโรงแรมบางแห่งที่จะมีโชว์ให้ดูฟรีๆ ไปแบบเรื่อยๆ โดยปล่อยให้เพื่อนรักกับสามีเป็นฝ่ายเฝ้าห้องบ้าง

อนามิกาพาตัวเองเดินมาได้พักหนึ่งก็มาหยุดที่หน้าโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระพรหมตั้งเด่นอยู่ด้านหน้า เมื่อมีความทุกข์ก็ย่อมอย่างมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ดังนั้นหญิงสาวไม่รอช้ารีบแวะเข้าไปกราบไหว้ขอพรหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้เธอหาทางคลายความทุกข์ได้ในเร็ววัน มือบางยกไหว้ท่วมหัวแล้วตบลงที่กระหม่อมตัวเองเบาๆ จากนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าไปที่หน้าโรงแรมชื่อดังอีกแห่ง เมื่อใกล้จะได้เวลาเริ่มโชว์น้ำพุเต้นระบำ ซึ่งเธอจำได้ดีว่าตอนที่อรณีกับคุณหมอพาเธอมาดูครั้งแรก เธอตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของแสงสีในยามค่ำคืนของลาสเวกัสและความสวยงามของน้ำพุเต้นระบำขนาดไหน

ร่างบางเดินมายืนรวมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ พร้อมกับใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพนาทีแห่งความประทับใจเก็บเอาไว้ ซึ่งมากี่ครั้งๆ เธอก็ทำอย่างนี้เสมอ เพราะตั้งใจเอาไว้ว่าจะเก็บเอาไว้เป็นคอลเลคชั่นน้ำพุเต้นระบำ ซึ่งก็ไม่ต่างกับนักท่องเที่ยวอีกหลายๆ คนที่มายลโฉมความงดงามของน้ำพุที่โชว์ทุกๆ สิบห้านาที แล้วยกกล้องในมือขึ้นมาเก็บภาพไว้อย่างที่เธอทำ อนามิกายืนชื่นชมความสวยงามตระการตาตรงนั้นนานพักใหญ่จนพอใจ จึงคิดว่าสมควรกลับห้องพักได้แล้ว อีกอย่างเธอกลัวเพื่อนรักจะเป็นห่วง หญิงสาวถ่ายภาพก่อนจะหมดเวลาในการแสดงในช่วงนั้นเป็นการส่งท้าย ก่อนจะหันหลังกลับแต่จู่ๆ ก็มีสาวสวยสุดเซ็กซี่นางหนึ่งเดินโซเซๆ คล้ายกับคนเมาเข้ามาชนเธอเข้าพอดี

“อุ๊ย! ขอโทษค่ะเป็นไรหรือเปล่าคุณ”

แม้จะรู้ว่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดแต่อนามิกาก็เอ่ยปากขอโทษขอโพยตามความเคยชิน ก่อนจะรีบกระวีกระวาดเข้าไปช่วยพยุงสาวสวยแปลกหน้าที่ล้มลงไปนั่งแหมะกับพื้นอย่างหมดสภาพ และแม้เธอคนนั้นจะเป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่ไซส์ก็ไซส์ผู้หญิงฝรั่งซึ่งตัวสูงใหญ่กว่าเธอมากพอสมควร ดังนั้นการช่วยจึงค่อนข้างทุลักทุเล แต่ก็โชคดีที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งคงจะเป็นคนรู้จักของผู้หญิงคนนี้ร้องเรียกพร้อมกับวิ่งเข้ามาช่วยเธอพยุงสาวขี้เมา

“แจ๊สกี้…ผมบอกให้คุณรอทำไมไม่รอ”

ตอนแรกอนามิกาไม่ได้คิดจะสนใจหรอกว่าผู้ชายที่เพิ่งมาถึงหน้าตาเป็นยังไง แต่บังเอิญหางตาเหลือบไปเห็นแล้วรู้สึกคุ้นๆ เหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออก เธอจำต้องหันมาหรี่ตามองใบหน้าหล่อคมสันตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้งว่าเธอเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ด้านหนุ่มหล่อที่โดนสาวจ้องพินิจพิจารณาแบบไม่รู้ตัวก็กำลังบ่นอย่างหัวเสียนิดๆ ที่สาวขี้เมานามว่าแจ๊สกี้ไม่ได้ฟังที่เขาบอกเลยแม้แต่น้อยว่าให้รออยู่ด้านหน้า ส่วนเขาจะเข้าไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้คืนนี้ในซุปเปอร์มาเก็ต แต่ปรากฏว่าพอออกมาหญิงสาวที่เขาควงจากผับหายไปแล้ว เขาลองเดินหาอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอ จนถอดใจและคิดว่าคืนแรกของการมาเยือนลาสเวกัสจะต้องนอนหนาวเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเสียแล้ว แต่ทว่าโชคยังเข้าข้างก็ก่อนที่จะกลับคอนโดเขาแวะมาดูน้ำพุเต้นระบำ เลยได้เห็นว่าคนที่เขาตามหาก่อนหน้านั้นกำลังถูกหญิงสาวผมดำร่างเล็กคนหนึ่งช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล

“เคเลอร์…คุณหายไปไหนมา”

สาวเซ็กซี่เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงยานคางแต่สีหน้ากลับดูระริกระรี้ ก่อนจะสะบัดแขนข้างที่อนามิกาจับไว้ออก แล้วถลาโผเข้าไปบดจูบกับชายหนุ่มคนที่เพิ่งมาใหม่อย่างดูดดื่ม ไม่แม้แต่จะอายอนามิกาที่ยืนนิ่งตัวแข็งอยู่ใกล้ๆ หรือแม้แต่สายตานักท่องเที่ยวที่มีอีกเป็นร้อย

อนามิกายืนตะลึงมองภาพตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดศีรษะแรงๆ หน้านี้แดงก่ำอย่างรู้สึกอายแทน นี่เรามามัวยืนมองอะไรเนี่ย คนพวกนี้ก็เหมือนกัน ทำอะไรไม่รู้จักอายฟ้าอายดินเลยจริงๆ บ่นสบถในใจก่อนจะเดินเลี่ยงคนทั้งคู่ที่ยืนจูบกันขวางทาง เพื่อกลับห้อง

“เดี๋ยวสิคุณ…”

เสียงทักจากด้านหลังดังขึ้น ทำให้อนามิกาหยุดชะงักโดยอัตโนมัติ และด้วยความสงสัยว่าเรียกใครเธอหรือคนๆ นั้นเรียกใคร จึงหันกลับไปมองอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเธอก็พบว่าคนที่ทักคือผู้ชายหน้าไม่อายจูบสาวโชว์ชาวบ้านเมื่อครู่นี้เอง

แถมสมองที่ก่อนหน้านี้ทึบสนิทคิดยังไงก็คิดไม่ออกก็เกิดนึกขึ้นมาได้ดื้อๆ ว่าที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็คือคนเดียวกันกับผู้ชายเสน่ห์เหลือร้ายที่เธอเดินชนในซุปเปอร์มาเก็ตเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง

“คุณนั่นเองนึกว่าจะทักคนผิดซะแล้ว”

ชายหนุ่มผละจากคู่ควงเดินมาหาอนามิกายิ้มๆ อย่างดีใจ เขาไม่คิดว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง แต่ให้ตายสิเขากลับพาผู้หญิงอีกคนติดไม้ติดมือมาด้วย ไม่น่าเลยจริงๆ แถมยืนจูบกับเจ้าหล่อนอย่างดูดดื่มกลางถนน เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้สำหรับคนไทยแล้วถือเป็นเรื่องที่น่าอาย เขาคงดูไม่ดีในสายตาสาวไทยคนนี้แน่ๆ ดูสิยืนจ้องเขานิ่งเชียว

“ผมไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีก”

“ค่ะ ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันในลักษณะนี้”

อนามิกาบอกพลางยิ้มแหยๆ ก่อนจะหน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้งเมื่อสายตาเผลอไปมองที่ริมฝีปากหนาที่ยังมีรอยลิปสติกสีแดงเลอะอยู่เล็กน้อย

“เอ่อ…”

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดต่อ เสียงของแม่สาวที่เขาติดไม้ติดมือมาก็ดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะพร้อมกับ…กับกล่องถุงยางอนามัยที่เขาเพิ่งซื้อมา โอ้ว แม่เจ้า มันไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง

“ของคุณหรือเปล่าคะ ฉันเห็นมันหล่นอยู่ตรงนั้น ถ้าใช่…”

เจ้าหล่อนลากเสียงยาวปรือตามองคู่ควงสุดหล่อที่ยืนเงยหน้ากรอกสายตามองท้องฟ้าที่มืดสนิท ขณะที่มือบางของเจ้าหล่อนยังลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกกว้างอย่างยั่วยวน

“คืนนี้เราจะใช้มันให้หมดเลยดีไหมคะดาร์ลิ้ง”

เท่านั้นแหละอนามิกาที่ยืนนิ่งหน้าแดงก่ำร้อนผ่าวมองการกระทำของคนทั้งคู่ ก็รีบสะบัดหน้าเดินหนีอย่างรับไม่ได้

“ทุเรศที่สุด จูบโชว์ยังไม่พอยังจะมาโชว์ถุงยางอีก กลัวคนจะไม่รู้ว่าตัวเองร้อนแรงหรือไงกัน”

หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตาเดินฉับๆ ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ขณะที่ปากก็อดที่จะบ่นและนินทาคนทั้งคู่ไม่ได้ และขณะนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงเขาเรียกอีกครั้ง

“เดี๋ยวสิคุณ!”

เธอไม่หันหากแต่เร่งฝีเท้าจนเกือบจะเป็นวิ่ง แต่ดูเหมือนมันจะยังช้ากว่าคนตัวโต ที่ก้าวเร็วๆ ยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถประชิดตัวมากระชากแขนจากด้านหลัง

“กรี๊ด! อุ๊บ…”

อนามิกาที่กรีดร้องไม่ทันจะเต็มเสียงดีนักก็ถูกตะปบปากด้วยมือหนา ก่อนจะถูกดึงเข้ามารวบกอดแล้วลากเข้ามุมมืดพรางตาคน

หญิงสาวทำเสียงอู้อี้พลางดิ้นเร่าๆ น้ำตาคลอเบ้าอย่างหวาดกลัวระคนตกใจ ไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นต้องมาฉุดเธอเอาไว้ด้วย เขาจะทำอะไร เขาจะปล้นชิงทรัพย์หรือฆ่าข่มขืน โอ้! พ่อแก้วแม่แก้วช่วยน้องนางด้วย ขณะที่เธอรำพึงรำพันในใจเสียงสั่งจากเขาก็ดังขึ้น

“อยู่นิ่งๆ สัญญานะว่าถ้าผมยอมปล่อยและเปิดปาก คุณจะไม่ร้อง”

อนามิการีบพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลา น้ำตาที่คลอเบ้าจะไหลแหล่มิไหลแหล่อยู่แล้ว ตอนนี้คนที่เธอเคยคิดว่าเขาหล่อเหลาราวเทพบุตรได้กลายเป็นซาตานไปแล้ว เขาบอกอะไรก็ต้องยอมเออออไปก่อน แต่สบโอกาสเมื่อไหร่ เธอหนีแน่ๆ

เคเลอร์พยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเริ่มจากการค่อยๆ ลดมือที่ปิดริมฝีปากบางลงก่อน แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยร่างบางที่ยืนสั่นเทาเพราะเขาขอแอบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาวครู่หนึ่งก่อนจะตัดใจคลายวงแขน แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาวที่สัญญาว่าจะไม่ร้องส่งเสียงเสี้ยววินาทีนั้นหันมากระแทกเข่าเข้าที่กล่องดวงใจของเขาเข้าแบบเต็มๆ จากนั้นเธอก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต คราวนี้ต่อให้ได้ยินใครส่งเสียงเรียกเธอก็จะไม่หยุดวิ่งและไม่หันไปดูเด็ดขาด

“ยัยผู้หญิงตัวแสบ!”



ร่างบางที่ยืนหน้าตื่นหายใจหอบอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ทำให้อรณีที่เดินออกมาหาน้ำดื่มพลอยหน้าตื่นรีบถลาเข้าไปถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง

“ยัยน้องมีอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมแกทำหน้าอย่างกับวิ่งหนีใครมาอย่างนั้นแหละ”

อนามิกากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอก่อนจะพยักหน้าอย่างตอกย้ำความเข้าใจของคนถามว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ เท่านั้นแหละอรณีก็จับเพื่อนรักหมุนซ้ายหมุนสำรวจไปทั่วร่างเล็กบอบบางหาสิ่งผิดปกติหรือบุบสลาย

“แล้วนี่แกโดนมันทำอะไรหรือเปล่า...ไม่โดนใช่ไหม”

“ไม่ ฉันกระแทกเข่าใส่ตรงนั้นมันแล้วฉันก็วิ่งหนีมานี่แหละ”

อนามิกาเล่าเสียงสั่น ก่อนจะเดินตามแรงพยุงของอรณีไปนั่งที่โซฟาอย่างรู้สึกหมดแรงเหนื่อยอ่อนไปทั้งตัว หัวใจเต้นรัวราวกับมีกลองนับสิบใบมาตีอยู่ในอก ทำไมวันนี้มีแต่เรื่องนะ วันศุกร์ที่ 13 ก็ไม่ใช่

“เอาดื่มน้ำก่อน...ดีนะที่แกหนีรอดมาได้ ไม่อย่างนั้นนะ โอ๊ย! ฉันไม่อยากจะคิด เอาเป็นว่าคราวหน้าคราวหลังถ้าจะออกข้างนอกตอนกลางคืน แกก็ชวนฉันกับคุณหมอไปด้วยไม่ต้องเกรงใจ เห็นไหมล่ะว่าเกรงใจแล้วเกิดเรื่องจนได้ ฉันกับคุณหมออุตส่าห์ยอมจะไปเป็นเพื่อนอยู่แล้วเชียว ที่พูดมาเนี่ยไม่ได้อะไรนะ แต่ฉันเป็นห่วงแกจริงๆ หวังว่าแกคงเข้าใจและไม่โกรธนะ”

“โธ่เอ้ย ฉันจะโกรธแกทำไม ก็มันเรื่องจริงทั้งนั้นนี่นา เอาเป็นว่าฉันเข็ดแล้วล่ะ ถ้ามีคราวหน้าถึงแกกับคุณหมอไม่อยากจะไปฉันก็จะลากไปย่ะ”

อนามิกาบอกเสียงกลั้วหัวเราะรู้สึกร่างกายและจิตใจเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ

“ได้อยู่แล้ว...เอาล่ะฉันว่าแกไปอาบน้ำนอนพักผ่อนซะนะ เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ลืมๆ มันซะ เอ้อ...แล้วเรื่องหาคนมาจดทะเบียนสมรส คุณหมอบอกว่าจะพยายามช่วยนะ แต่ก็คงยากหน่อยเพราะคนโสดก็ไม่ค่อยจะมี แถมแกต้องการจดแค่ชั่วคราวเท่านั้น ยังไงก็ทำใจให้สบายๆ ก่อนนะเรายังเหลือเวลาอีกระยะหนึ่งแหละ”

“จ้ะ ขอบใจแกมากและฝากขอบคุณคุณหมอด้วยนะ ในความโชคร้ายฉันก็ยังมีความโชคดีที่ได้มาเจอเพื่อนที่ดีอย่างแกกับคุณหมอ...ไปนอนเถอะดึกแล้ว”

“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์ ฝันดี...ขอให้ฝันว่ามีงูมารัดนะจะได้เจอเนื้อคู่ไวๆ เอาเป็นวันพรุ่งนี้มะรืนนี้เลยแล้วกัน”

อรณีบอกพลางตบที่ไหล่บอบบางของเพื่อนรักเบาๆ ด้วยสีหน้าทะเล้น

“ขอบใจ แต่ถ้างูไม่รัดฉันนี่แหละจะรัดมันเองเอาให้ดิ้นไม่หลุดเลยคอยดู...ไปนอนได้แล้วไป ยิ่งคุยยิ่งเลอะเทอะ”

อนามิกาดุนหลังเพื่อนรักกลับห้องแล้วเดินกลับเข้าห้องปิดประตูลงพร้อมกับถอนหายใจออกอย่างรู้สึกเหนื่อยไปทั้งใจ เห็นทีพรุ่งนี้เธอคงต้องหาข้อมูลการจ้างผู้ชายอเมริกันสักคนมาจดทะเบียนสมรสเสียแล้วสิ



New York 10.00 AM สำนักงานใหญ่ ดาเวนพอร์ต คอปเปอร์เรชั่น

ประตูห้องทำงานของท่านประธานใหญ่อย่างเคเลอร์ วิล ดาเวนพอร์ตที่ตอนนี้ถูกครอบครองโดย เอลีเนอร์ ปุษยา ดาเวนพอร์ต คนเป็นน้องสาว ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของซาร่านางแบบสาวสวยคนดังที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในขณะนี้

“ยัยเอลีน ทำไมเธอไม่เคยบอกฉันว่าเคเลอร์ไม่อยู่และตอนนี้หนีไปพักร้อนยาว มีอย่างที่ไหนให้ฉันต้องมารู้เรื่องจากแม่เลขาหน้าห้องน่ะ”

ทันทีที่เจอหน้าซาร่าก็ต่อว่าเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดระคนไม่พอใจพลางถอดแว่นตากันแดดสีชาแบรนด์เนมราคาแพงออก เผยนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ใครๆ หลายคนบอกว่ามันมีเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล และผู้ชายส่วนใหญ่มักตกเป็นทาสของเธอเพียงแค่ได้สบตา แต่ต้องยกเว้น ‘เคเลอร์’ เป็นกรณีพิเศษ

“โอ้ว…โทษทีซาร่า ฉันว่าจะโทรบอกเธอหลายครั้งแล้ว แต่ฉันก็ลืมเพราะงานฉันยุ่งมาก เธอก็เห็น”

เอลีเนอร์พูดพลางผายมือไปที่โต๊ะทำงานที่ตั้งแต่เช้าเธอยังไม่ได้ลุกออกจากเก้าอี้ตัวนี้เลย และเมื่อเป็นอย่างนั้นทุกครั้งที่ได้มาทำงานแทนพี่ชายในช่วงพักร้อน เธอมักจะแอบชื่นชมและทึ่งในความสามารถของพี่ชายอยู่ทุกครั้งไป เพราะเธอได้มารับรู้และสัมผัสว่างานส่วนนี้มันเป็นงานที่หนักและเหนื่อยมากแม้ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เธอมารับหน้าที่แทน และแม้จะมีมือดีอย่างลูคัสมาคอยช่วยเหลือแทบจะทุกเรื่องเธอก็ยังรู้สึกว่ามันยังเหนื่อยและยุ่งอยู่ดี แล้วพี่ชายของเธอที่อยู่กับมันทุกวี่วันจะเหนื่อยขนาดไหน เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วตอนที่พี่ชายที่หนีงานไปพักผ่อนยาวปีละ 2 เดือนเธอไม่คิดจะตำหนิ รู้สึกมันน้อยไปด้วยซ้ำไปกับภาระหน้าที่ที่พี่ชายของเธอต้องแบกรับเอาไว้

“ฉันไม่ชอบเลยพักร้อนยาวทีไรฉันโทร.ติดต่อเขาไม่เคยได้...แล้วนี่เธอรู้ไหมเขาไปพักร้อนที่ไหน เผื่อฉันได้ไปถ่ายแบบนอกสถานที่จะได้แวะไปหา”

“ที่...”

“เมืองไทย ไอ้เคมันไปพักร้อนที่เมืองไทย รู้สึกจะเป็นที่ภูเก็ตอะไรนี่แหละ”

เสียงห้าวทุ้มจากชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทแบรนด์เนมราคาแพงตัดเย็บอย่างประณีตที่กำลังเดินเข้าห้องมาได้จังหวะพอดีดังแทรกขึ้นก่อนที่เอลีเนอร์จะเอ่ยจบ

“มันไม่ใช่...”

เอลีเนอร์พยายามจะแย้งแต่ก็ถูกมือใหญ่ตะปบปากเอาไว้พร้อมกับกระซิบสั่งแกมขู่ให้เธอไปทำงานที่ค้างต่อได้แล้ว แม้จะเป็นเพียงแค่เพื่อนพี่ชายแต่เธอรู้ดีว่าผู้ชายอย่างลูคัสไม่ได้แค่ขู่

“ไม่ใช่! หมายความว่ายังไง ตกลงว่าเคเลอร์อยู่ที่ไหนกันแน่”

ซาร่ามองตามหลังเพื่อนที่เดินกลับไปทำงานที่โต๊ะแล้วหันมามองหน้าเพื่อนสนิทอดีตคนรักที่เธอไม่ยอมให้เป็นอดีตหรอกอย่างต้องการคำตอบ

“ก็อยู่ที่ภูเก็ตเมืองไทยอย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ แต่มันอยู่ส่วนไหนของภูเก็ตผมเองไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันไม่ได้บอกไว้”

“ไม่รู้หรือคุณไม่บอกกันแน่”

ซาร่าถามพลางเบ้ปากอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักว่าลูคัสที่เป็นเพื่อนสนิทของเคเลอร์จะไม่รู้ว่าชายหนุ่มพักอยู่ที่ไหน แต่จะให้ง้างปากคนอย่างลูคัสพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเธอเลยเบนเข็มไปที่เอลีเนอร์

“แล้วเธอรู้ไหมเอลีน”

“ไม่รู้หรอก พี่เคไม่ได้บอกเอาไว้เขาคงต้องการความเป็นส่วนตัวเลยไม่ได้บอกใคร”

เอลีเนอร์ตอบพลางเหลือบตามองเพื่อนของพี่ชายเป็นระยะๆ อย่างกลัวคำขู่ ‘ปิดปากด้วยปาก’ เธอเป็นสาวเวอร์จิ้นนะ ทำไมจะไม่กลัว

“แล้วฉันจะหาเขาเจอได้ยังไง มือถือก็ติดต่อไม่ได้”

ซาร่าสบถออกมาอย่างหัวเสีย

“เรื่องนั้นคงไม่มีใครช่วยคุณได้หรอก เพราะเราก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เหมือนกัน”

ลูคัสยักไหล่ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบแฟ้มงานบนโต๊ะทำงานที่เอลีเนอร์นั่งอยู่มาเปิดดูอย่างไม่คิดจะสนใจนางแบบสาวอีกต่อไป

“งั้นฉันกลับล่ะ จะเตรียมตัวบินไปเมืองไทย”

เอ่ยจบร่างสูงโปร่งของซาร่าก็ลุกจากโซฟาพร้อมกับหยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นมาสวม เอลีเนอร์ที่รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนโดนหลอกแต่ก็น้ำท่วมปากพูดไม่ได้ รีบถลาเข้าไปเกลี้ยกล่อมเพื่อนรักไม่ให้ตกหลุมพรางผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่างลูคัส

“เธอจะไปจริงๆ เหรอซาร่า ฉันว่าเธออย่าไปเลยนะ เธอไม่รู้ทั้งที่พักและติดต่อพี่เคไม่ได้ ไปถึงที่โน่นเธอจะทำยังไง อีกแค่เดือนกว่าๆ พี่เคเขาก็จะกลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้ว”

“ไม่ต้องห่วง ถ้าเคเลอร์เขาไปพักผ่อนที่นั่นจริงๆ ฉันตามหาเขาเจอแน่ๆ ไปละเดี๋ยวถ้าไปถึงเมืองไทยเมื่อไหร่จะโทร.หานะ”

เอลีเนอร์มองตามร่างสูงโปร่งของเพื่อนไปจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินลับตาไปพร้อมกับประตูห้องถูกปิดลง และเมื่อได้อยู่ตามลำพัง เอลีเนอร์ก็หันมาแว้ดใส่เพื่อนพี่ชายอย่างไม่พอใจทันที

“ทำไมคุณต้องหลอกให้ซาร่าไปไกลถึงเมืองไทย แล้วทำไมต้องห้ามไม่ให้ฉันบอกว่าพี่เคอยู่ที่ลาสเวกัส”

“แล้วทำไมต้องบอก เธอน่าจะรู้ดีนะเอลีนว่าไอ้เคมันต้องการความสงบสุขตลอดการพักร้อนยาว แล้วถ้าจู่ๆ ยัยซาร่าโผล่ไปมันจะเกิดอะไรขึ้น และที่จริงเธอควรเลิกล้มความตั้งใจที่จะจับคู่แม่นางแบบนั่นกับไอ้เคเสียที เพราะมันไม่ชอบ”

“คุณรู้ได้ไงว่าพี่เคไม่ชอบ”

“แล้วทำไมมันต้องชอบ”

ลูคัสถามต่ออย่างท้าทาย จะมีใครรู้ใจคนอย่างเคเลอร์ดีไปมากกว่าเขาที่เป็นเพื่อนสนิทกินนอนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเกรด 7 ในโรงเรียนประจำ

“ทำไมจะไม่ชอบ ที่สำคัญคุณอย่าลืมสิว่าสองคนนี้เขาเคยคบกันเป็นแฟนมาก่อน”

“ก็แค่เคย และคุณก็อย่าลืมนะว่าสองคนนั้นเลิกกันไปแล้ว ทุกวันนี้มีแต่เพื่อนคุณเท่านั้นแหละที่ยังตามเกาะแกะไอ้เคไม่เลิก ไม่รู้อะไรนักหนา”

ลูคัสบ่นอย่างรู้สึกรำคาญแทน

“ก็ซาร่ายังรักพี่เคอยู่นี่ คนเคยรักกันแล้วอยากกลับมาคืนดีกันมันผิดตรงไหนไม่ทราบ”

เอลีเนอร์ถามด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันกลับไปบ้าง

“ก็ไม่ผิดเลย ถ้าไอ้เคมันเล่นด้วย แต่นี่ก็เปล่ามันไม่เล่นด้วย แถมตั้งแต่เลิกกันเพื่อนคุณแอบอ้างเป็นแฟนมันตลอด ไม่รู้ว่าจะเรียกหน้า…โอ๊ะ! เอาล่ะ ผมว่าเราเลิกคุยเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว งานในแฟ้มนี่ผมจะช่วยอ่านให้เองอันไหนที่ต้องผ่านการตัดสินใจหรืออนุมัติจากคุณโดยตรง เดี๋ยวผมจะเอามาให้อีกทีแล้วกัน”

เอ่ยตัดบทเสร็จร่างสูงก็หอบแฟ้มงานบนโต๊ะกลับห้องตัวเองไปเกินกว่าครึ่ง ทำให้เอลีเนอร์ที่จะอ้าปากจะต่อปากต่อคำกับเขาหุบฉับลงทันที อย่างน้อยเขาก็คอยช่วยงานเธอตลอด ครั้งนี้ยกให้อีกครั้งก็แล้วกัน

*****************************************

ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกโหวตนะคะ ^_^



เกศมณี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.พ. 2555, 02:16:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2555, 17:01:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 2497





<< ตอนที่ 1 : มืดแปดด้าน   ตอนที่ 3 : โลกกลมหรือพรหมลิขิต >>
ใบบัวน่ารัก 23 ก.พ. 2555, 09:14:43 น.
เนื้อเรื่องน่าสนใจนะ
แต่ชื่อเรื่องไม่โหล ไปหรือ เหมือนจะ
ซ้ำ ๆ จำเจ นะว่าไหม


nutcha 23 ก.พ. 2555, 09:30:53 น.
เอลีนเป็นน้องเคแท้ ๆ ทำไมไม่รู้จักพี่ตัวเองเลย


bloomberg 23 ก.พ. 2555, 11:59:45 น.
ชื่อโหลเหรอ งั้นก็ช่วยไรเตอร์ตั้งซิคะ เอาอะไรดีล่ะ ซาตาน, ทาส, มาร


panon 23 ก.พ. 2555, 13:05:00 น.
รอตอนต่อไปจ๊ะ


pseudolife 28 ก.พ. 2555, 12:20:29 น.
ตอนเจอกันในซุปเปอร์น่ารักดีจัง^^

-----------------------------------------------------

น้ำพลุ...น้ำพุ
การกระทำนองทั้งคู่...ของ
ฉันก็จะลากไปยะ...ย่ะ?


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account