รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๖ ฤดูหนาวรัก
สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่น่ารัก ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ห่างหายไปเกือบเดือน แบบว่าติดภารกิจหลายอย่าง วันนี้เสร็จสิ้นภารกิจรับเสด็จฯ พระเทพฯ แล้ว หุหุหุ ก็เลยอารมณ์ดีเอามาลงอีกตอนหนึ่งครับ
ยังไงก็ฝาก รอบรักเหมันต์ ให้เข้าไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจเรื่องนึงนะคร๊าพ
พายุ
***
ตอนที่ ๖
พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว จอมทัพ รติกรและปุณชิกาจึงเดินมาที่ตึกใหญ่ โดยมีน้ำบุษย์มาเชิญและเดินนำไปยังสถานที่จัดอาหารค่ำ
กลิ่นอาหารหอมฉุย ไปทั่วทั้งห้องแห่งนั้น รติกรขยับเข้าไปหาเมยาวี พร้อมกับชมเสียงใส “หอมจังนะคะ มีอะไรบ้างคะเนี่ย”
“เป็นอาหารแบบพื้นๆ ทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิกับแกงจืด มีแกงฮังเล แล้วก็ผัดผักรวมค่ะ” เมยาวีบอก ก่อนจะผายมือให้ทุกคนได้นั่งประจำเก้าอี้ซึ่งได้จัดเอาไว้ให้ คราวนี้ยังดีที่ปุณชิกาได้นั่งติดกับจอมทัพ โดยมีน้ำบุษย์นั่งข้างๆ อีกคนหนึ่ง ส่วนตรงกันข้ามคือรติกรและชัยที่นั่งด้วยกัน ส่วนเจ้าของไร่สาวนั่งตรงหัวโต๊ะ ปัญหาจึงไม่มีอย่างเมื่อคราวตอนเช้า
“เชิญตามสบายเลยนะคะ” เมยาวีตักอาหารมาใส่จานของตัวเองและรับประทานอย่างเงียบๆ แต่สายตาก็ไม่วางที่จะปรายมองปุณชิกาซึ่งกำลังกระวีกระวาดตักอาหารใส่ลงไปในจานของจอมทัพด้วยความรู้สึกแกมอิจฉาไม่ได้
หลังทานอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยและพูดคุยกันสักพัก เมยาวีจึงให้แขกทั้งสามกลับเข้าที่พักเพราะคิดว่าวันนี้พวกเขาคงจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว น่าจะให้พักตั้งแต่หัวค่ำเพื่อตื่นเช้าขึ้นมาจะได้สดใส
แล้วคนทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป ขณะหญิงสาวเดินแยกขึ้นห้องและอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ก่อนจะลงมาเคลียร์งานที่ห้องทำงานของตนเอง
ทำงานไปสักพัก เหลียวมองดูนาฬิกา เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเกือบจะสามทุ่มเข้าให้แล้ว เธอจึงลุกขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจและเดินออกจากบ้านเพื่อจะมองดวงดาวที่สาดทอแสงระยิบระยับอย่างสวยงาม
อากาศหนาวเข้ามาเยือน จนเธอต้องกระชับผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากผ้าไหมทอมือ ซึ่งเธอได้มันมาในครั้งที่ไปเที่ยวประเทศลาวเมื่อปีที่แล้วพร้อมกับเพื่อนๆ พร้อมกับนึกอะไรเล่นไปอย่างเพลินๆ แต่กระนั้น ความคิดก็ยังไม่วายหวนคิดไปถึงจอมทัพไม่ได้
แค่เพียงเจอกันครั้งแรกระหว่างเธอกับเขา หญิงสาวยอมรับอย่างไม่อายปากเลยว่าเธอรู้สึกดีแบบไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ ดวงตาคู่สวยไหวระริก เมยาวีทอดถอนใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็สุดจะคร้านนับเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ใบหน้าหล่อและเข้มของเขา มันมีอิทธิพลกับหัวใจของเธอมาก
หญิงสาวเลื่อนตาละจากมองดาวไปยังเรือนไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เห็นบ้านทั้งหลังยังคงเปิดไฟสว่างไม่คนใดก็คนหนึ่งคงจะยังไม่เข้านอน เธอคิดถึงรติกรว่าจะเข้าไปทักทายสักนิดแล้วค่อยกลับมานอน
สมองคิดดังนั้น สองเท้าก็ก้าวตรงไปข้างหน้าในทันที...
****
“ยังไม่นอนอีกหรือคะพี่จอม”
ปุณชิกาเดินเข้าไปหาจอมทัพแล้วสอดมือโอบกอดชายหนุ่มจากทางด้านหลัง ก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นหลังหนาอันน่าหลงใหลและเคล้าเคลียอย่างสนิทสนม
“เอ่อ...ปูเป้ พี่ว่าเธอคลายแขนออกจากตัวพี่ก่อนดีว่านะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าเขาจะว่าไม่ดี” ชายหนุ่มพยายามจะแกะมือของญาติสาวออกเพราะเห็นว่าเป็นการไม่บังควร อีกอย่างหนึ่งที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขาที่จะให้ปุณชิกาทำอะไรตามใจชอบได้ ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ของเมยาวี ไม่รู้ว่าเธอมาเห็นเข้าจะว่าอย่างไร
หากมือของปุณชิกาก็เหนียวอย่างกับตุ๊กแก ยิ่งเขาแกะเธอก็ยิ่งกอดแน่นเข้าไปอีก พร้อมกับข้ออ้างว่า “ก็ปูเป้หนาวนี่คะ ให้ปูเป้กอดพี่จอมอย่างนี้นานๆ นะคะ”
“ถ้าหนาว พี่ว่าเธอน่าจะเข้านอนได้แล้วนะ นี่ยิ่งดึกน้ำค้างจะยิ่งตกเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ มีพี่จอมอยู่ด้วย ปูเป้ไม่เป็นหวัดหรอกค่ะ” เธอพูดอย่างหน้าตาเฉยพร้อมกับซบหน้าเข้าหาเขาและกอดแน่นเข้าไปอีก
ภาพตรงหน้า ทำให้ร่างที่กำลังเดินผ่านมาตรงนั้นพอดีต้องหยุดในทันที เมยาวียกมือขึ้นปิดปากตนเองอย่างตกใจไม่คิดว่าจะได้มาเจอภาพที่มันบาดตาและลึกไปถึงหัวใจแบบนี้
“คุณเหมย...” ทันทีที่เห็นเมยาวีซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนักจอมทัพก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่คิดว่าเจ้าของไร่สาวจะมาเห็นเขาอยู่ในสภาพนี้ ชายหนุ่มจึงรีบดันปุณชิกาให้ออกห่างเขาในทันที
“ขอโทษค่ะ...” พูดจบเมยาวีจึงหันหลังแล้วจะเดินไปให้พ้นไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ทว่าจอมทัพกลับเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับคุณเหมย ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
“แต่เหมยว่า เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ ขอโทษนะคะที่มาขัดจังหวะคุณสองคน” มองหน้าเขาก่อนจะเลื่อนไปมองปุณชิกาที่เหมือนยิ้มเยาะเธออยู่ กรอบหน้าสวยก็ยิ่งเข้มขึ้นอีก
“รู้ตัวก็รีบๆ ไปสิ คนเค้ากำลังสวีตกัน” ไฮโซสาวเอ่ยเสียงเหยียดและบิดยิ้มอย่างมีชั้นเชิงที่เห็นเมยาวีหน้าจืดยิ่งกว่าเดิมหลังถูกเธอว่าไปเช่นนั้น
“ไม่ใช่สักหน่อยปูเป้ เดี๋ยวก่อนครับคุณเหมย อย่าเพิ่งไปครับ”
หากก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อเมยาวีไม่ยอมฟังเสียงของเขาและได้เดินลับหายไป จอมทัพจึงถอนใจอย่างรู้สึกผิดและเสียใจที่ทำให้เมยาวีมาเห็นภาพที่ไม่บังควรระหว่างเขาและปุณชิกา ซึ่งเขาก็รู้บัดนี้เจ้าของไร่สาวกำลังเข้าใจผิดเขาอย่างแน่นอน
“ปูเป้ครับ” จอมทัพค่อยๆ ขยับตัว หันกลับมามองปุณชิกาอย่างไม่ค่อยจะพอใจ ทว่าหญิงสาวกลับโผเข้ากอดเขาอีกครั้งหนึ่ง
“พี่ว่าน้องคลายแขนก่อนเถอะ เขาเข้าใจผิดกันหมดแล้ว”
“เข้าใจผิดก็ช่างสิคะ ปูเป้ไม่แคร์ ปูเป้รักพี่จอมนะคะ”
“เรื่องนั้นเอาไว้พูดกันทีหลังเถอะนะ พี่ไม่อยากจะให้ใครมาเห็นเราอยู่ในสภาพนี้อีก มันไม่ดีนะครับ อีกอย่างเมื่อกี้คุณเหมยก็มาเห็นเราแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะคิดอย่างไรกับเราหรือจะว่าเราหรือเปล่า”
“ว่าก็ช่างสิคะ หรือพี่จอมแคร์มัน”
“ปูเป้...” ชายหนุ่มขึ้นเสียงอย่างตกใจ ไม่คิดว่าปุณชิกาจะพูดแบบนั้นออกมาได้ “มันที่ปูเป้ว่าคือเจ้าของที่ตรงนี้นะครับ จะพูดอะไรให้เกียรติเขาบ้างสิ”
“พี่จอมจะไปแคร์อะไรกับคนบ้านนอกล่ะคะ โดยเฉพาะนังนั่นจะไปกลัวมันทำไม พวกมันสิคะที่จะต้องมาแคร์พี่จอมเพราะพี่จอมกำลังจะมาติดต่อซื้อดอกไม้จากพวกมัน”
“พูดไม่เพราะอีกแล้วนะปูเป้ พี่ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้”
เขาเอ่ยปรามและมองญาติสาวอย่างไม่พอใจ ขณะปุณชิกาหน้าเริ่มเข้มขึ้นเมื่อเธอคิดว่าจอมทัพกำลังเข้าข้างเมยาวี ที่เจอกันเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
“ปูเป้ขอโทษค่ะ แต่พี่จอมกำลังเข้าข้างคนที่เจอกันแค่วันเดียวนะคะ”
“คุณเหมยเขากำลังจะเป็นคู่ค้ากับพี่ เราสองคนมาติดต่อธุรกิจกันนะครับ พอละพี่ไม่พูดละ อีกอย่างนี่ก็ดึกเต็มทีแล้ว พี่ว่าปูเป้กลับเข้าไปนอนเถอะ”
เขาหลุบเปลือกตาลงแล้วหันไปมองทางอื่นเสีย หากปุณชิกากลับบิดยิ้มและเข้ามาสวมกอดเขาอีกครั้งหนึ่ง
“ปูเป้จะเข้านอนก็ได้ค่ะ แต่พี่จอมจะต้องทำอะไรก่อน รู้ไหมคะ” ว่าพร้อมกับเอียงแก้มเป็นการบอกให้รู้ว่าเธอต้องการให้เขาหอมแก้มและสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เธอเข้านอนไปได้ ขณะจอมทัพหันมามองปุณชิกาอย่างไม่พอใจแล้วถอนใจออกมาอีกรอบ
“ก็ได้ครับ พี่จะหอมแก้มปูเป้แล้วน้องจะต้องไปเข้านอนนะ”
“ค่ะ หอมสิคะ ไม่งั้นปูเป้ไม่ยอมด้วยไม่รู้นะคะ”
ชายหนุ่มก้มลงหอมแก้มหญิงสาวหนึ่งครั้ง ปุณชิกาซึ่งได้ใจจึงหันอีกข้างให้เขาหอม ชายหนุ่มทำให้โดยง่ายเพราะไม่อยากจะให้เรื่องไร้สาระพวกนี้มันลามไปกันใหญ่ ทำๆ ไปให้เสร็จ ปุณชิกาจะได้ไปสักที
****
หลังปุณชิกาเดินจากไปแล้วจอมทัพก็ถอนใจออกมาอีกรอบพร้อมกับโคลงศีรษะอย่างไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมจะต้องเป็นเช่นนั้น นี่เขาทำตัวสนิทกับปุณชิกามากเกินไปหรือเปล่าจนทำให้ญาติสาวมักจะทำตัวเหมือนให้เขางอนง้อและบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ตนก็ไม่ต้องการแบบนี้
สำหรับเขาแล้วปุณชิกาอยู่ในฐานะของน้องสาวเท่านั้น เขาไม่เคยคิดกับปุณชิกาจนเกินเลยถึงขั้นกับการเป็นแฟนอย่างที่หญิงสาวกำลังทำอยู่ในตอนนี้สักหน่อย เขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเท่าๆ กับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ทำให้เมยาวีต้องเข้าใจผิดในตัวเขาเกิดขึ้น
ไม่รู้ว่าตอนนี้เมยาวีจะมองเขาในด้านลบไปมากสักเท่าไรแล้ว เธอจะโกรธเขาหรือเปล่าที่เห็นเขาทำตัวเช่นนั้นและที่สำคัญคนที่กำลังจะทำธุรกิจคู่ค้าด้วยกันจะมองเขาอย่างไรกับความฉวยโอกาสที่มันเกิดขึ้นอย่างที่เขาไม่อยากจะให้เป็นเลยสักนิด
สมองครุ่นคิดความรู้สึกผิดก็ยิ่งเข้าจู่โจม ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินตรงไปยังตึกใหญ่ซึ่งเห็นว่ายังเปิดไฟสว่างอยู่ เขาหวังว่าเมยาวีจะยอมรับฟังข้อแก้ตัวและยอมให้อภัยกับสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น และสิ่งสำคัญมากที่สุดเขาหวังอยู่ลึกๆ ว่าเมยาวีจะไม่โกรธเขาและมองเขาในด้านลบ
ภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะยอมรับฟังเขาหรือไม่
เดินมาได้ไม่เท่าไร ความดีใจก็เกิดขึ้นเมื่อเขาเห็นเมยาวียืนกอดอกแหงนเงยมองดวงดาวอยู่ข้างโต๊ะด้านหน้าบ้านของเธอ ทว่าชายหนุ่มก็คิดกังวนอยู่ในใจเช่นกัน กลัวว่าเธอจะไม่ยอมรับฟังกับสิ่งที่เขากำลังจะอธิบายให้เธอฟัง
“คุณเหมย...”
เขาเอ่ยทัก พร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาเมยาวี เห็นจอมทัพเดินเข้ามาหญิงสาวทำหน้าบึ้งแล้วจะหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ อย่าเพิ่งไปครับ”
เมยาวีหันกลับมาแล้วฝืนยิ้มให้กับเขาพร้อมกับเอ่ยบอกเสียงเบาหวิว “ขอตัวก่อนนะคะ เหมยกำลังจะเข้านอนพอดีเลย เอาไว้ค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้นะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“แต่ผมต้องการจะคุยกับคุณตอนนี้ ได้โปรดรับฟังผมด้วยเถอะ”
จอมทัพยึดข้อมือบางเอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินจากไป รู้สึกใจหายกับแววตาตัดพ้อของหญิงสาวและท่าทีที่ดูเปลี่ยนไปของเธอ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเขาถึงได้แคร์กับความรู้สึกแบบนี้ของเธอด้วย
แคร์ถึงขนาดที่จะต้องการอธิบายให้เธอได้รับทราบในตอนนี้ แต่สำหรับเมยาวีหญิงสาวกลับไม่คิดเช่นนั้นแม้จะรู้สึกเสียใจมากเพียงไรแต่เธอย่อมจะรู้ฐานะของตนดีว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย ทำไมจะต้องพูดสิ่งเหล่านี้กับเขาด้วย
“แต่เหมยง่วงจริงๆ นะคะ เหมยว่าคุณก็ง่วงเหมือนกัน ขอตัวนะคะ”
เมยาวีดึงมือที่ยึดแขนของตนเองออกจนสำเร็จก่อนจะรีบก้าวเดินจากไปในทันที ปล่อยให้จอมทัพมองตามร่างนั้นที่จากไปอย่างไม่ใยดีสักน้อยนิดด้วยความผิดหวัง
****
เมยาวีเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสภาวะจิตใจไม่ค่อยดีสักเท่าไร หัวใจสาวสั่นหวิว น้ำตาก็พาลจะพากันไหลออกมา เธอไม่เข้าใจในความรู้สึกของตนเองจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดตนถึงได้มีอาการเช่นนั้นไปได้
“เหมือนเธอจะมีอาการอกหักเลยนะยายเหมย”
พยายามกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล เธอคิดไปถึงตอนที่ปวีย์บอกเลิกตนเองหัวใจของเธอมันก็เจ็บจี๊ดแบบนี้เช่นกัน แต่สำหรับจอมทัพเธอกลับไม่เข้าใจเพียงแค่เจอเขาวันแรก เธอก็บอกกับตนเองแล้วว่าเธอแอบรักเขา แต่ทำไมเมื่อได้เห็นเขากอดกับปุณชิกาแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกหักอกอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้นเลยนะ
มองหน้าของตนเองกับกระจก แม้จะคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าการอกหักมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอ จะไปคิดอะไรให้มันปวดหัวใจและยิ่งจอมทัพชายหนุ่มที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอเพียงไม่เท่าไรเท่านั้น ทำไมเธอถึงได้กลับรู้สึกคุ้นเคยและรักเพียงแค่วันแรกด้วยนะ
“ยายเหมย เธอกำลังคิดอะไรอยู่ฮึ เธอจะไปรักเขาทำไม ก็ในเมื่อเขามีความสุขกับแฟนของเขาอยู่แล้ว”
บอกกับตัวเองเช่นนั้น ทว่าใจอีกด้านหนึ่งกลับค้านขึ้นมาอีกจนได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดตนถึงอยากจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องเหล่านี้และดูเหมือนว่าหญิงสาวจะตั้งปณิธานที่แน่วแน่แล้วว่า เธอจะลองเสี่ยงทำตามเสียงหัวใจที่เรียกร้องดูอีกสักครั้ง...
****
สายหมอกลอยคว้างอยู่กลางอากาศแผ่กระจายไอความเย็นปกคลุมไปทุดพื้นที่ทุ่งดอกไม้แห่งนั้น จอมทัพก้าวลงจากเรือนไม้แล้วเดินเลาะเลียบไปตามทางเดินโรยกรวดซึ่งไปสิ้นสุดยังศาลาทรงไทยประยุกต์ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานท้าลมหนาวและส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ในยามเช้าให้สดใส
ที่ตรงนั้นเขาเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาเธอในทันที
“คุณเหมย...” เขาเอ่ยทักก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาไม้หลังนั้นในทันที
เช่นเดียวกับเมยาวีค่อยๆ หันหน้ามามองเขาอย่างเชื่องช้า กรอบหน้าสวยเรียบสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์อะไรทั้งสิ้น เธอคลี่ยิ้มบางๆ ส่งให้กับเขาและหันกลับมาสนใจกับทุ่งดอกไม้ตรงหน้าอีกครั้ง
“กำลังทำอะไรอยู่ครับ...”
มาถึงที่ตรงนั้นจอมทัพก็ชวนเธอคุยอีก เมื่อยังเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรกับเขา หรือว่าเธอจะโกรธเขาในเรื่องเมื่อคืนจริงๆ
“เรื่องเมื่อคืน ผมขอโทษครับ”
“ขอโทษ...ขอโทษอะไรคะ” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เช่นเดียวกับกรอบหน้าสวยที่เริ่มเข้มขึ้นมาแล้วทุกขณะ
“ก็ขอโทษกับภาพที่ไม่สมควรให้เกิดขึ้นเมื่อคืนของผม...” เขานิ่งไปพร้อมกับทอดถอนใจแล้วพูดอีก “ความจริงมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ ปูเป้เธอเข้ามากอดผมเองเพราะบอกว่าหนาว”
เขาแก้ตัวและพยายามจะให้หญิงสาวเข้าใจไม่โกรธเขา ขณะเมยาวีมองดวงตาคู่คมนั้นอย่างค้นหาเนิ่นนานเธอจึงเอ่ยขึ้น
“เรื่องรถ เหมยให้ชัยไปจัดการให้แล้วนะคะ สักครู่คงจะขับขึ้นมาแล้ว”
หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากจะรับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น แม้ลึกๆ แล้วเธออยากจะรับฟังว่าความจริงนั้นคืออะไร แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากรับฟังมันเช่นกัน ในเมื่อมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเสีย
“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ แต่คุณ...”
“เหมยขอตัวก่อนนะคะ พอดีลืมไปว่ายังไม่ได้สั่งงานกับคนงานในสวนเลย ตอนสายๆ เหมยจะพาคุณและคุณรติไปดูแปลงปลูกดอกไม้ชนิดอื่นๆ นะคะ”
พูดจบเธอก็ฉากตัวเดินจากไปในทันที ปล่อยให้จอมทัพอ้าปากค้างกับเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ ชายหนุ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดมันถึงได้เป็นเช่นนั้น
หรือเมยาวีจะโกรธเขาจริงๆ กับเรื่องที่เธอเข้ามาเห็นเมื่อคืน และที่สำคัญดูวันนี้เธอเหมือนจะทำตัวห่างๆ เขาตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
จอมทัพเดินไปหยุดตรงจุดเดิมที่เมยาวียืนและเพิ่งเดินจากไป เขาทอดสายตามองไปยังทุ่งดอกไม้ที่มีหลากชนิดตรงหน้าก็พลันทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ หัวสมองครุ่นคิดอย่างหนักว่าตนควรจะทำอย่างไรให้เมยาวียอมรับฟังคำอธิบายจากเขาดี
****
ช่วงสายของวันนั้นหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าแล้ว เมยาวีจึงพาจอมทัพและรติกรมาที่โรงเรือนกล้วยไม้ ซึ่งถูกจัดในส่วนที่เป็นโรงเลี้ยงคลุมด้วยผ้าแสลมป์สีดำ เช่นเดียวกับทางเข้าที่ต้องเข้มงวดกับการเปิดและปิดเพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคและแมลงต่างเข้าไปทำความเดือดร้อนให้กับกล้วยไม้ในห้องนี้ได้ เมยาวีบอกให้คนทั้งสองรับทราบกับขั้นตอนที่ละเอียดก่อนเข้าโรงเลี้ยง ไม่นานหลังจากนั้นคนทั้งหมดจึงเข้าถึงข้างใน
“โรงเลี้ยงกล้วยไม้ ทางเราละเอียดมากค่ะ เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มันจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคจากข้างนอกมายังกล้วยไม้ของเราได้ อีกอย่างเพื่อกันพวกแมลงต่างๆ ด้วยค่ะ”
เจ้าของไร่สาวอธิบาย ขณะรติกรและจอมทัพพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ภาพของเหล่ากล้วยไม้ที่วางเรียงรายกันไกลออกไม้ บัดนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่ง ไกลออกไปเห็นคนงานหลายคนกำลังตัดช่อดอกและบางส่วนก็ดูแลรดน้ำอยู่อย่างขะมักเขม้น
รติกรตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากกับความสวยงามที่เห็น เพราะหากจะเทียบกับโรงเรือนเมื่อวานที่เมยาวีพาเธอไปแล้ว ที่นั่นดูเล็กไปอย่างถนัดตาเลย
“ทางนี้ค่ะ นี่เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ทางไร่ของเราเพิ่งคิดค้นขึ้นแคทลียา ลีลาวดีค่ะ”
รติกรพยักหน้าเข้าใจเพราะเมื่อวานเธอเห็นดอกกล้วยไม้พันธุ์นี้ครั้งหนึ่งแล้ว แม้จะเห็นครั้งที่สองเธอก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ต่างไปจากจอมทัพมากเท่าไรนัก
“แปลก ผมเพิ่งเคยเห็นนะเนี่ย สวยจังครับ”
“ใช่อยู่แล้วล่ะค่ะคุณจอม มันเป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่คุณเหมยบอกว่ามีแค่ที่นี่เพียงที่เดียวเท่านั้นเลยนะคะ” รติกรบอกเจ้านายหนุ่มแทนเมยาวี เธอส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายเป็นเชิงว่าตนขอเป็นฝ่ายอธิบายให้กับเจ้านายหนุ่มได้ฟังแทน
“เหมือนกับดอกลีลาวดีจริงๆ ด้วย สมกับชื่อเลยนะ”
“ค่ะ เป็นการผสมข้ามพันธุ์ พันธุ์นี้กว่าจะได้ต้องใช้เวลาเกือบสองปีเต็มเลยนะคะ” เมยาวีอธิบายเพิ่มเติม ขณะจอมทัพพยักหน้าเข้าใจ แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกเหมือนว่าหญิงสาวจะทำตัวให้ห่างเหินกับเขาเหลือเกิน ไม่เหมือนกับเมื่อวานที่เขาถามอะไรเธอจะอธิบายอย่างละเอียด แต่วันนี้เขาถามอะไรเธอก็ตอบแค่บางคำเท่านั้น ส่วนมากรติกรจะให้คำตอบแทนแทนหญิงสาวเสียมากกว่า
“ผมก็เพิ่งเคยเห็น ถ้าส่งออก คิดว่าลูกค้าคงจะชอบนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ยินดีด้วยค่ะที่ทางไร่ของเราได้รับเกียรติจากคุณจอมทัพเข้ามาดูงานในครั้งนี้”
“ผมต่างหากครับที่ต้องดีใจ เพราะถ้าไม่เลือกมาที่สวนดอกไม้ของคุณ ผมก็คงจะไม่มีวันรู้ว่ายังมีพันธุ์กล้วยไม้แบบนี้อยู่อีก” จอมทัพส่งยิ้มหวานให้กับหญิงสาว ซึ่งเมยาวีก็ผงกศีรษะรับอย่างเชื่องช้าแล้วก็ทำหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม
หลังให้คนทั้งสองชื่นชมกับการมองกล้วยไม้พันธุ์ใหม่แล้ว เมยาวีจึงพาเดินมาอีกด้านหนึ่งของโรงเรือน เพื่อจะนำเสนอกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อไร่ของเธอ นั่นก็คือกล้วยไม้พันธุ์ศีตกรรณ ไม้พันธุ์ใหม่ที่ชัยเพิ่งคิดค้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนและสีดอกของมันก็นำความตื่นตาตื่นใจมาให้กับคนกรุงเทพฯ ทั้งสองเป็นยิ่งนัก
ดอกสีขาวแกมน้ำเงินของมันชูสะพรั่งไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา แม้ลักษณะดอกจะไม่ค่อยใหญ่เท่ากับพันธุ์เมื่อครู่ ทว่ากลิ่นหอมของมันกลับมีมากกว่า ที่สำคัญทั้งจอมทัพและรติกรไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนเลย
นับได้ว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่เขาเพิ่งค้นพบจากไร่แห่งนี้...
“สวยจังนะคะ ดอกก็หอมสุดๆ เลย นี่พันธุ์อะไรคะคุณเหมย” รติกรเอื้อมมือไปจับช่อดอกช่อหนึ่ง พร้อมกับก้มหน้าลงสูดดมกลิ่นของมันก็พลันสดชื่นไปด้วยเพราะกลิ่นของมันระรื่นจมูกคล้ายกับกลิ่นของดอกแก้วที่บานสะพรั่งในตอนเช้าอย่างไรอย่างนั้น
“พันธุ์ศีตกรรณค่ะ” เจ้าของไร่สาวเอ่ยถึงผลงานที่น่าภาคภูมิใจของตน
“พันธุ์ศีตกรรณ อย่าบอกนะครับว่าเป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่พวกคุณคิดค้นขึ้นเหมือนกัน”
“ใช่ค่ะ เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่จากสวนของเราเองค่ะ คุณรติเคยเห็นพันธุ์นี้จากที่ไหนบ้างล่ะคะ” เมยาวีหันไปเอียงหน้าถามรติกรอย่างน่ารัก
“ไม่เคยค่ะ รติเพิ่งเคยเห็นที่นี่เป็นที่แรก” เลขาฯ สาวของจอมทัพส่ายหน้าระหว่างตอบ
“ใช่แล้วค่ะ พันธุ์นี้มีพันธุ์เดียวที่สวนแห่งนี้และก็เพิ่งคิดค้นมาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้อย่างที่บอกค่ะและยังไม่เคยส่งให้กับร้านดอกไม้ร้านไหนเลยนะคะ”
“ไร่ศีตกรรณ กล้วยไม้พันธุ์ศีตกรรณ โอ...สุดยอดเลยค่ะ ดอกก็สวยกลิ่นก็หอม รติชักชอบที่นี่แล้วล่ะสิคะ” รติกรเอ่ยชมไม่หยุดดูเหมือนว่าเธอจะชอบกล้วยไม้ช่อนี้มากเสียด้วยสิ
“คุณนี่เก่งจังนะครับ คิดค้นพันธุ์ไม้พันธุ์ใหม่ได้ตั้งหลายพันธุ์” ชายหนุ่มชื่นชมหญิงสาวอีกครั้ง ทว่ากลับแค่ได้รับรอยยิ้มบางๆ จากเธอกลับมาเท่านั้น
“พันธุ์นี้ชัยเป็นคนคิดค่ะคุณรติ ส่วนที่เหลือก็ต้องยกความดีความชอบให้กับคนงานทุกคนในไร่แห่งนี้ ที่ช่วยกันดูแลพวกมันอย่างใกล้ชิดค่ะ”
เมยาวีบอกรติกรด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ มันจริงอย่างที่เธอว่าเพราะถ้าไม่ได้ชัยผลงานเหล่านี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น และถ้าไม่ใช่เพราะคนงานในไร่ช่วยกันเธอก็คงจะทำไม่ได้เหมือนกัน แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ถ้าไม่มีผู้ช่วยไร่ศีตกรรณ ก็คงจะไม่ประสบผลสำเร็จอย่างทุกวันนี้หรอก
โดยเฉพาะผลงานที่ได้รับเกียรติให้ไปจัดดอกไม้ในงานพระราชพิธีต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลก็มาจากดอกไม้จากไร่ของเธอแทบทั้งสิ้น
ยังความภาคภูมิใจแก่ทุกๆ คน ที่ช่วยกันร่วมแรงร่วมใจทำมาตลอดหลายปีที่ผ่าน
“คุณชัยนี่เก่งจังเลยนะคะ” รติกรชื่นชมเขาคนนั้นก็เพราะถ้าไม่มีเขา เธอก็คงจะไม่มีวันเห็นดอกไม้สวยๆ พวกนี้เหมือนกัน
“ค่ะ น้องชายของเหมยเก่งอยู่แล้ว อยากจะให้เขามาได้ยินคำชมพวกนี้จังนะคะ ชัยคงจะดีใจสุดๆ”
“คุณชัยจบอะไรมาน่ะครับ” จอมทัพเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่ารติกรจะคุยกับรติกรอย่างออกรสจนเหมือนจะลืมไปแล้วว่ามีเขายืนอยู่ตรงนั้นอีกคนหนึ่ง
“จบพืชศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ค่ะ ได้เกียรตินิยมด้วยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยถึงความภาคภูมิใจของผู้เป็นน้องชายต่างสายโลหิตอย่างชื่นชม
“ดีจริงๆ นะครับแถมยังคิดค้นอะไรที่แปลกใหม่ได้อีก คนอย่างนี้สิครับ อนาคตก้าวไกล”
“เหมยก็หวังอย่างนั้นค่ะ ว่าน้องจะก้าวไกลและพัฒนาสวนดอกไม้ของเราให้ก้าวไปไกลด้วย…ทางนี้ดีกว่าค่ะ เหมยจะพาพวกคุณไปดูในส่วนที่เป็นดอกไม้พันธุ์อื่นบ้าง”
ว่าแล้วหญิงสาวก็พาคนทั้งสองออกจากโรงเรือนกล้วยไม้ ก่อนจะนำไปยังส่วนของไม้ดอกอีกหลายชนิดและอีกหลายส่วน กว่าจะดูจนจบเคสนี้ก็ปาเวลาไปใกล้จะเย็นเต็มที เมยาวีจึงชวนคนทั้งหมดกลับไปในที่สุด
ยังไงก็ฝาก รอบรักเหมันต์ ให้เข้าไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจเรื่องนึงนะคร๊าพ
พายุ
***
ตอนที่ ๖
พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว จอมทัพ รติกรและปุณชิกาจึงเดินมาที่ตึกใหญ่ โดยมีน้ำบุษย์มาเชิญและเดินนำไปยังสถานที่จัดอาหารค่ำ
กลิ่นอาหารหอมฉุย ไปทั่วทั้งห้องแห่งนั้น รติกรขยับเข้าไปหาเมยาวี พร้อมกับชมเสียงใส “หอมจังนะคะ มีอะไรบ้างคะเนี่ย”
“เป็นอาหารแบบพื้นๆ ทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิกับแกงจืด มีแกงฮังเล แล้วก็ผัดผักรวมค่ะ” เมยาวีบอก ก่อนจะผายมือให้ทุกคนได้นั่งประจำเก้าอี้ซึ่งได้จัดเอาไว้ให้ คราวนี้ยังดีที่ปุณชิกาได้นั่งติดกับจอมทัพ โดยมีน้ำบุษย์นั่งข้างๆ อีกคนหนึ่ง ส่วนตรงกันข้ามคือรติกรและชัยที่นั่งด้วยกัน ส่วนเจ้าของไร่สาวนั่งตรงหัวโต๊ะ ปัญหาจึงไม่มีอย่างเมื่อคราวตอนเช้า
“เชิญตามสบายเลยนะคะ” เมยาวีตักอาหารมาใส่จานของตัวเองและรับประทานอย่างเงียบๆ แต่สายตาก็ไม่วางที่จะปรายมองปุณชิกาซึ่งกำลังกระวีกระวาดตักอาหารใส่ลงไปในจานของจอมทัพด้วยความรู้สึกแกมอิจฉาไม่ได้
หลังทานอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยและพูดคุยกันสักพัก เมยาวีจึงให้แขกทั้งสามกลับเข้าที่พักเพราะคิดว่าวันนี้พวกเขาคงจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว น่าจะให้พักตั้งแต่หัวค่ำเพื่อตื่นเช้าขึ้นมาจะได้สดใส
แล้วคนทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป ขณะหญิงสาวเดินแยกขึ้นห้องและอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ก่อนจะลงมาเคลียร์งานที่ห้องทำงานของตนเอง
ทำงานไปสักพัก เหลียวมองดูนาฬิกา เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเกือบจะสามทุ่มเข้าให้แล้ว เธอจึงลุกขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจและเดินออกจากบ้านเพื่อจะมองดวงดาวที่สาดทอแสงระยิบระยับอย่างสวยงาม
อากาศหนาวเข้ามาเยือน จนเธอต้องกระชับผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากผ้าไหมทอมือ ซึ่งเธอได้มันมาในครั้งที่ไปเที่ยวประเทศลาวเมื่อปีที่แล้วพร้อมกับเพื่อนๆ พร้อมกับนึกอะไรเล่นไปอย่างเพลินๆ แต่กระนั้น ความคิดก็ยังไม่วายหวนคิดไปถึงจอมทัพไม่ได้
แค่เพียงเจอกันครั้งแรกระหว่างเธอกับเขา หญิงสาวยอมรับอย่างไม่อายปากเลยว่าเธอรู้สึกดีแบบไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ ดวงตาคู่สวยไหวระริก เมยาวีทอดถอนใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็สุดจะคร้านนับเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ใบหน้าหล่อและเข้มของเขา มันมีอิทธิพลกับหัวใจของเธอมาก
หญิงสาวเลื่อนตาละจากมองดาวไปยังเรือนไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เห็นบ้านทั้งหลังยังคงเปิดไฟสว่างไม่คนใดก็คนหนึ่งคงจะยังไม่เข้านอน เธอคิดถึงรติกรว่าจะเข้าไปทักทายสักนิดแล้วค่อยกลับมานอน
สมองคิดดังนั้น สองเท้าก็ก้าวตรงไปข้างหน้าในทันที...
****
“ยังไม่นอนอีกหรือคะพี่จอม”
ปุณชิกาเดินเข้าไปหาจอมทัพแล้วสอดมือโอบกอดชายหนุ่มจากทางด้านหลัง ก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นหลังหนาอันน่าหลงใหลและเคล้าเคลียอย่างสนิทสนม
“เอ่อ...ปูเป้ พี่ว่าเธอคลายแขนออกจากตัวพี่ก่อนดีว่านะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าเขาจะว่าไม่ดี” ชายหนุ่มพยายามจะแกะมือของญาติสาวออกเพราะเห็นว่าเป็นการไม่บังควร อีกอย่างหนึ่งที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขาที่จะให้ปุณชิกาทำอะไรตามใจชอบได้ ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ของเมยาวี ไม่รู้ว่าเธอมาเห็นเข้าจะว่าอย่างไร
หากมือของปุณชิกาก็เหนียวอย่างกับตุ๊กแก ยิ่งเขาแกะเธอก็ยิ่งกอดแน่นเข้าไปอีก พร้อมกับข้ออ้างว่า “ก็ปูเป้หนาวนี่คะ ให้ปูเป้กอดพี่จอมอย่างนี้นานๆ นะคะ”
“ถ้าหนาว พี่ว่าเธอน่าจะเข้านอนได้แล้วนะ นี่ยิ่งดึกน้ำค้างจะยิ่งตกเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ มีพี่จอมอยู่ด้วย ปูเป้ไม่เป็นหวัดหรอกค่ะ” เธอพูดอย่างหน้าตาเฉยพร้อมกับซบหน้าเข้าหาเขาและกอดแน่นเข้าไปอีก
ภาพตรงหน้า ทำให้ร่างที่กำลังเดินผ่านมาตรงนั้นพอดีต้องหยุดในทันที เมยาวียกมือขึ้นปิดปากตนเองอย่างตกใจไม่คิดว่าจะได้มาเจอภาพที่มันบาดตาและลึกไปถึงหัวใจแบบนี้
“คุณเหมย...” ทันทีที่เห็นเมยาวีซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนักจอมทัพก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่คิดว่าเจ้าของไร่สาวจะมาเห็นเขาอยู่ในสภาพนี้ ชายหนุ่มจึงรีบดันปุณชิกาให้ออกห่างเขาในทันที
“ขอโทษค่ะ...” พูดจบเมยาวีจึงหันหลังแล้วจะเดินไปให้พ้นไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ทว่าจอมทัพกลับเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับคุณเหมย ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
“แต่เหมยว่า เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ ขอโทษนะคะที่มาขัดจังหวะคุณสองคน” มองหน้าเขาก่อนจะเลื่อนไปมองปุณชิกาที่เหมือนยิ้มเยาะเธออยู่ กรอบหน้าสวยก็ยิ่งเข้มขึ้นอีก
“รู้ตัวก็รีบๆ ไปสิ คนเค้ากำลังสวีตกัน” ไฮโซสาวเอ่ยเสียงเหยียดและบิดยิ้มอย่างมีชั้นเชิงที่เห็นเมยาวีหน้าจืดยิ่งกว่าเดิมหลังถูกเธอว่าไปเช่นนั้น
“ไม่ใช่สักหน่อยปูเป้ เดี๋ยวก่อนครับคุณเหมย อย่าเพิ่งไปครับ”
หากก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อเมยาวีไม่ยอมฟังเสียงของเขาและได้เดินลับหายไป จอมทัพจึงถอนใจอย่างรู้สึกผิดและเสียใจที่ทำให้เมยาวีมาเห็นภาพที่ไม่บังควรระหว่างเขาและปุณชิกา ซึ่งเขาก็รู้บัดนี้เจ้าของไร่สาวกำลังเข้าใจผิดเขาอย่างแน่นอน
“ปูเป้ครับ” จอมทัพค่อยๆ ขยับตัว หันกลับมามองปุณชิกาอย่างไม่ค่อยจะพอใจ ทว่าหญิงสาวกลับโผเข้ากอดเขาอีกครั้งหนึ่ง
“พี่ว่าน้องคลายแขนก่อนเถอะ เขาเข้าใจผิดกันหมดแล้ว”
“เข้าใจผิดก็ช่างสิคะ ปูเป้ไม่แคร์ ปูเป้รักพี่จอมนะคะ”
“เรื่องนั้นเอาไว้พูดกันทีหลังเถอะนะ พี่ไม่อยากจะให้ใครมาเห็นเราอยู่ในสภาพนี้อีก มันไม่ดีนะครับ อีกอย่างเมื่อกี้คุณเหมยก็มาเห็นเราแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะคิดอย่างไรกับเราหรือจะว่าเราหรือเปล่า”
“ว่าก็ช่างสิคะ หรือพี่จอมแคร์มัน”
“ปูเป้...” ชายหนุ่มขึ้นเสียงอย่างตกใจ ไม่คิดว่าปุณชิกาจะพูดแบบนั้นออกมาได้ “มันที่ปูเป้ว่าคือเจ้าของที่ตรงนี้นะครับ จะพูดอะไรให้เกียรติเขาบ้างสิ”
“พี่จอมจะไปแคร์อะไรกับคนบ้านนอกล่ะคะ โดยเฉพาะนังนั่นจะไปกลัวมันทำไม พวกมันสิคะที่จะต้องมาแคร์พี่จอมเพราะพี่จอมกำลังจะมาติดต่อซื้อดอกไม้จากพวกมัน”
“พูดไม่เพราะอีกแล้วนะปูเป้ พี่ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้”
เขาเอ่ยปรามและมองญาติสาวอย่างไม่พอใจ ขณะปุณชิกาหน้าเริ่มเข้มขึ้นเมื่อเธอคิดว่าจอมทัพกำลังเข้าข้างเมยาวี ที่เจอกันเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
“ปูเป้ขอโทษค่ะ แต่พี่จอมกำลังเข้าข้างคนที่เจอกันแค่วันเดียวนะคะ”
“คุณเหมยเขากำลังจะเป็นคู่ค้ากับพี่ เราสองคนมาติดต่อธุรกิจกันนะครับ พอละพี่ไม่พูดละ อีกอย่างนี่ก็ดึกเต็มทีแล้ว พี่ว่าปูเป้กลับเข้าไปนอนเถอะ”
เขาหลุบเปลือกตาลงแล้วหันไปมองทางอื่นเสีย หากปุณชิกากลับบิดยิ้มและเข้ามาสวมกอดเขาอีกครั้งหนึ่ง
“ปูเป้จะเข้านอนก็ได้ค่ะ แต่พี่จอมจะต้องทำอะไรก่อน รู้ไหมคะ” ว่าพร้อมกับเอียงแก้มเป็นการบอกให้รู้ว่าเธอต้องการให้เขาหอมแก้มและสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เธอเข้านอนไปได้ ขณะจอมทัพหันมามองปุณชิกาอย่างไม่พอใจแล้วถอนใจออกมาอีกรอบ
“ก็ได้ครับ พี่จะหอมแก้มปูเป้แล้วน้องจะต้องไปเข้านอนนะ”
“ค่ะ หอมสิคะ ไม่งั้นปูเป้ไม่ยอมด้วยไม่รู้นะคะ”
ชายหนุ่มก้มลงหอมแก้มหญิงสาวหนึ่งครั้ง ปุณชิกาซึ่งได้ใจจึงหันอีกข้างให้เขาหอม ชายหนุ่มทำให้โดยง่ายเพราะไม่อยากจะให้เรื่องไร้สาระพวกนี้มันลามไปกันใหญ่ ทำๆ ไปให้เสร็จ ปุณชิกาจะได้ไปสักที
****
หลังปุณชิกาเดินจากไปแล้วจอมทัพก็ถอนใจออกมาอีกรอบพร้อมกับโคลงศีรษะอย่างไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมจะต้องเป็นเช่นนั้น นี่เขาทำตัวสนิทกับปุณชิกามากเกินไปหรือเปล่าจนทำให้ญาติสาวมักจะทำตัวเหมือนให้เขางอนง้อและบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ตนก็ไม่ต้องการแบบนี้
สำหรับเขาแล้วปุณชิกาอยู่ในฐานะของน้องสาวเท่านั้น เขาไม่เคยคิดกับปุณชิกาจนเกินเลยถึงขั้นกับการเป็นแฟนอย่างที่หญิงสาวกำลังทำอยู่ในตอนนี้สักหน่อย เขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเท่าๆ กับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ทำให้เมยาวีต้องเข้าใจผิดในตัวเขาเกิดขึ้น
ไม่รู้ว่าตอนนี้เมยาวีจะมองเขาในด้านลบไปมากสักเท่าไรแล้ว เธอจะโกรธเขาหรือเปล่าที่เห็นเขาทำตัวเช่นนั้นและที่สำคัญคนที่กำลังจะทำธุรกิจคู่ค้าด้วยกันจะมองเขาอย่างไรกับความฉวยโอกาสที่มันเกิดขึ้นอย่างที่เขาไม่อยากจะให้เป็นเลยสักนิด
สมองครุ่นคิดความรู้สึกผิดก็ยิ่งเข้าจู่โจม ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินตรงไปยังตึกใหญ่ซึ่งเห็นว่ายังเปิดไฟสว่างอยู่ เขาหวังว่าเมยาวีจะยอมรับฟังข้อแก้ตัวและยอมให้อภัยกับสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น และสิ่งสำคัญมากที่สุดเขาหวังอยู่ลึกๆ ว่าเมยาวีจะไม่โกรธเขาและมองเขาในด้านลบ
ภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะยอมรับฟังเขาหรือไม่
เดินมาได้ไม่เท่าไร ความดีใจก็เกิดขึ้นเมื่อเขาเห็นเมยาวียืนกอดอกแหงนเงยมองดวงดาวอยู่ข้างโต๊ะด้านหน้าบ้านของเธอ ทว่าชายหนุ่มก็คิดกังวนอยู่ในใจเช่นกัน กลัวว่าเธอจะไม่ยอมรับฟังกับสิ่งที่เขากำลังจะอธิบายให้เธอฟัง
“คุณเหมย...”
เขาเอ่ยทัก พร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาเมยาวี เห็นจอมทัพเดินเข้ามาหญิงสาวทำหน้าบึ้งแล้วจะหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ อย่าเพิ่งไปครับ”
เมยาวีหันกลับมาแล้วฝืนยิ้มให้กับเขาพร้อมกับเอ่ยบอกเสียงเบาหวิว “ขอตัวก่อนนะคะ เหมยกำลังจะเข้านอนพอดีเลย เอาไว้ค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้นะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“แต่ผมต้องการจะคุยกับคุณตอนนี้ ได้โปรดรับฟังผมด้วยเถอะ”
จอมทัพยึดข้อมือบางเอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินจากไป รู้สึกใจหายกับแววตาตัดพ้อของหญิงสาวและท่าทีที่ดูเปลี่ยนไปของเธอ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเขาถึงได้แคร์กับความรู้สึกแบบนี้ของเธอด้วย
แคร์ถึงขนาดที่จะต้องการอธิบายให้เธอได้รับทราบในตอนนี้ แต่สำหรับเมยาวีหญิงสาวกลับไม่คิดเช่นนั้นแม้จะรู้สึกเสียใจมากเพียงไรแต่เธอย่อมจะรู้ฐานะของตนดีว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย ทำไมจะต้องพูดสิ่งเหล่านี้กับเขาด้วย
“แต่เหมยง่วงจริงๆ นะคะ เหมยว่าคุณก็ง่วงเหมือนกัน ขอตัวนะคะ”
เมยาวีดึงมือที่ยึดแขนของตนเองออกจนสำเร็จก่อนจะรีบก้าวเดินจากไปในทันที ปล่อยให้จอมทัพมองตามร่างนั้นที่จากไปอย่างไม่ใยดีสักน้อยนิดด้วยความผิดหวัง
****
เมยาวีเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสภาวะจิตใจไม่ค่อยดีสักเท่าไร หัวใจสาวสั่นหวิว น้ำตาก็พาลจะพากันไหลออกมา เธอไม่เข้าใจในความรู้สึกของตนเองจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดตนถึงได้มีอาการเช่นนั้นไปได้
“เหมือนเธอจะมีอาการอกหักเลยนะยายเหมย”
พยายามกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล เธอคิดไปถึงตอนที่ปวีย์บอกเลิกตนเองหัวใจของเธอมันก็เจ็บจี๊ดแบบนี้เช่นกัน แต่สำหรับจอมทัพเธอกลับไม่เข้าใจเพียงแค่เจอเขาวันแรก เธอก็บอกกับตนเองแล้วว่าเธอแอบรักเขา แต่ทำไมเมื่อได้เห็นเขากอดกับปุณชิกาแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกหักอกอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้นเลยนะ
มองหน้าของตนเองกับกระจก แม้จะคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าการอกหักมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอ จะไปคิดอะไรให้มันปวดหัวใจและยิ่งจอมทัพชายหนุ่มที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอเพียงไม่เท่าไรเท่านั้น ทำไมเธอถึงได้กลับรู้สึกคุ้นเคยและรักเพียงแค่วันแรกด้วยนะ
“ยายเหมย เธอกำลังคิดอะไรอยู่ฮึ เธอจะไปรักเขาทำไม ก็ในเมื่อเขามีความสุขกับแฟนของเขาอยู่แล้ว”
บอกกับตัวเองเช่นนั้น ทว่าใจอีกด้านหนึ่งกลับค้านขึ้นมาอีกจนได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดตนถึงอยากจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องเหล่านี้และดูเหมือนว่าหญิงสาวจะตั้งปณิธานที่แน่วแน่แล้วว่า เธอจะลองเสี่ยงทำตามเสียงหัวใจที่เรียกร้องดูอีกสักครั้ง...
****
สายหมอกลอยคว้างอยู่กลางอากาศแผ่กระจายไอความเย็นปกคลุมไปทุดพื้นที่ทุ่งดอกไม้แห่งนั้น จอมทัพก้าวลงจากเรือนไม้แล้วเดินเลาะเลียบไปตามทางเดินโรยกรวดซึ่งไปสิ้นสุดยังศาลาทรงไทยประยุกต์ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานท้าลมหนาวและส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ในยามเช้าให้สดใส
ที่ตรงนั้นเขาเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาเธอในทันที
“คุณเหมย...” เขาเอ่ยทักก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาไม้หลังนั้นในทันที
เช่นเดียวกับเมยาวีค่อยๆ หันหน้ามามองเขาอย่างเชื่องช้า กรอบหน้าสวยเรียบสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์อะไรทั้งสิ้น เธอคลี่ยิ้มบางๆ ส่งให้กับเขาและหันกลับมาสนใจกับทุ่งดอกไม้ตรงหน้าอีกครั้ง
“กำลังทำอะไรอยู่ครับ...”
มาถึงที่ตรงนั้นจอมทัพก็ชวนเธอคุยอีก เมื่อยังเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรกับเขา หรือว่าเธอจะโกรธเขาในเรื่องเมื่อคืนจริงๆ
“เรื่องเมื่อคืน ผมขอโทษครับ”
“ขอโทษ...ขอโทษอะไรคะ” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เช่นเดียวกับกรอบหน้าสวยที่เริ่มเข้มขึ้นมาแล้วทุกขณะ
“ก็ขอโทษกับภาพที่ไม่สมควรให้เกิดขึ้นเมื่อคืนของผม...” เขานิ่งไปพร้อมกับทอดถอนใจแล้วพูดอีก “ความจริงมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ ปูเป้เธอเข้ามากอดผมเองเพราะบอกว่าหนาว”
เขาแก้ตัวและพยายามจะให้หญิงสาวเข้าใจไม่โกรธเขา ขณะเมยาวีมองดวงตาคู่คมนั้นอย่างค้นหาเนิ่นนานเธอจึงเอ่ยขึ้น
“เรื่องรถ เหมยให้ชัยไปจัดการให้แล้วนะคะ สักครู่คงจะขับขึ้นมาแล้ว”
หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากจะรับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น แม้ลึกๆ แล้วเธออยากจะรับฟังว่าความจริงนั้นคืออะไร แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากรับฟังมันเช่นกัน ในเมื่อมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเสีย
“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ แต่คุณ...”
“เหมยขอตัวก่อนนะคะ พอดีลืมไปว่ายังไม่ได้สั่งงานกับคนงานในสวนเลย ตอนสายๆ เหมยจะพาคุณและคุณรติไปดูแปลงปลูกดอกไม้ชนิดอื่นๆ นะคะ”
พูดจบเธอก็ฉากตัวเดินจากไปในทันที ปล่อยให้จอมทัพอ้าปากค้างกับเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ ชายหนุ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดมันถึงได้เป็นเช่นนั้น
หรือเมยาวีจะโกรธเขาจริงๆ กับเรื่องที่เธอเข้ามาเห็นเมื่อคืน และที่สำคัญดูวันนี้เธอเหมือนจะทำตัวห่างๆ เขาตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
จอมทัพเดินไปหยุดตรงจุดเดิมที่เมยาวียืนและเพิ่งเดินจากไป เขาทอดสายตามองไปยังทุ่งดอกไม้ที่มีหลากชนิดตรงหน้าก็พลันทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ หัวสมองครุ่นคิดอย่างหนักว่าตนควรจะทำอย่างไรให้เมยาวียอมรับฟังคำอธิบายจากเขาดี
****
ช่วงสายของวันนั้นหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าแล้ว เมยาวีจึงพาจอมทัพและรติกรมาที่โรงเรือนกล้วยไม้ ซึ่งถูกจัดในส่วนที่เป็นโรงเลี้ยงคลุมด้วยผ้าแสลมป์สีดำ เช่นเดียวกับทางเข้าที่ต้องเข้มงวดกับการเปิดและปิดเพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคและแมลงต่างเข้าไปทำความเดือดร้อนให้กับกล้วยไม้ในห้องนี้ได้ เมยาวีบอกให้คนทั้งสองรับทราบกับขั้นตอนที่ละเอียดก่อนเข้าโรงเลี้ยง ไม่นานหลังจากนั้นคนทั้งหมดจึงเข้าถึงข้างใน
“โรงเลี้ยงกล้วยไม้ ทางเราละเอียดมากค่ะ เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มันจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคจากข้างนอกมายังกล้วยไม้ของเราได้ อีกอย่างเพื่อกันพวกแมลงต่างๆ ด้วยค่ะ”
เจ้าของไร่สาวอธิบาย ขณะรติกรและจอมทัพพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ภาพของเหล่ากล้วยไม้ที่วางเรียงรายกันไกลออกไม้ บัดนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่ง ไกลออกไปเห็นคนงานหลายคนกำลังตัดช่อดอกและบางส่วนก็ดูแลรดน้ำอยู่อย่างขะมักเขม้น
รติกรตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากกับความสวยงามที่เห็น เพราะหากจะเทียบกับโรงเรือนเมื่อวานที่เมยาวีพาเธอไปแล้ว ที่นั่นดูเล็กไปอย่างถนัดตาเลย
“ทางนี้ค่ะ นี่เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ทางไร่ของเราเพิ่งคิดค้นขึ้นแคทลียา ลีลาวดีค่ะ”
รติกรพยักหน้าเข้าใจเพราะเมื่อวานเธอเห็นดอกกล้วยไม้พันธุ์นี้ครั้งหนึ่งแล้ว แม้จะเห็นครั้งที่สองเธอก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ต่างไปจากจอมทัพมากเท่าไรนัก
“แปลก ผมเพิ่งเคยเห็นนะเนี่ย สวยจังครับ”
“ใช่อยู่แล้วล่ะค่ะคุณจอม มันเป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่คุณเหมยบอกว่ามีแค่ที่นี่เพียงที่เดียวเท่านั้นเลยนะคะ” รติกรบอกเจ้านายหนุ่มแทนเมยาวี เธอส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายเป็นเชิงว่าตนขอเป็นฝ่ายอธิบายให้กับเจ้านายหนุ่มได้ฟังแทน
“เหมือนกับดอกลีลาวดีจริงๆ ด้วย สมกับชื่อเลยนะ”
“ค่ะ เป็นการผสมข้ามพันธุ์ พันธุ์นี้กว่าจะได้ต้องใช้เวลาเกือบสองปีเต็มเลยนะคะ” เมยาวีอธิบายเพิ่มเติม ขณะจอมทัพพยักหน้าเข้าใจ แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกเหมือนว่าหญิงสาวจะทำตัวให้ห่างเหินกับเขาเหลือเกิน ไม่เหมือนกับเมื่อวานที่เขาถามอะไรเธอจะอธิบายอย่างละเอียด แต่วันนี้เขาถามอะไรเธอก็ตอบแค่บางคำเท่านั้น ส่วนมากรติกรจะให้คำตอบแทนแทนหญิงสาวเสียมากกว่า
“ผมก็เพิ่งเคยเห็น ถ้าส่งออก คิดว่าลูกค้าคงจะชอบนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ยินดีด้วยค่ะที่ทางไร่ของเราได้รับเกียรติจากคุณจอมทัพเข้ามาดูงานในครั้งนี้”
“ผมต่างหากครับที่ต้องดีใจ เพราะถ้าไม่เลือกมาที่สวนดอกไม้ของคุณ ผมก็คงจะไม่มีวันรู้ว่ายังมีพันธุ์กล้วยไม้แบบนี้อยู่อีก” จอมทัพส่งยิ้มหวานให้กับหญิงสาว ซึ่งเมยาวีก็ผงกศีรษะรับอย่างเชื่องช้าแล้วก็ทำหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม
หลังให้คนทั้งสองชื่นชมกับการมองกล้วยไม้พันธุ์ใหม่แล้ว เมยาวีจึงพาเดินมาอีกด้านหนึ่งของโรงเรือน เพื่อจะนำเสนอกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อไร่ของเธอ นั่นก็คือกล้วยไม้พันธุ์ศีตกรรณ ไม้พันธุ์ใหม่ที่ชัยเพิ่งคิดค้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนและสีดอกของมันก็นำความตื่นตาตื่นใจมาให้กับคนกรุงเทพฯ ทั้งสองเป็นยิ่งนัก
ดอกสีขาวแกมน้ำเงินของมันชูสะพรั่งไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา แม้ลักษณะดอกจะไม่ค่อยใหญ่เท่ากับพันธุ์เมื่อครู่ ทว่ากลิ่นหอมของมันกลับมีมากกว่า ที่สำคัญทั้งจอมทัพและรติกรไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนเลย
นับได้ว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่เขาเพิ่งค้นพบจากไร่แห่งนี้...
“สวยจังนะคะ ดอกก็หอมสุดๆ เลย นี่พันธุ์อะไรคะคุณเหมย” รติกรเอื้อมมือไปจับช่อดอกช่อหนึ่ง พร้อมกับก้มหน้าลงสูดดมกลิ่นของมันก็พลันสดชื่นไปด้วยเพราะกลิ่นของมันระรื่นจมูกคล้ายกับกลิ่นของดอกแก้วที่บานสะพรั่งในตอนเช้าอย่างไรอย่างนั้น
“พันธุ์ศีตกรรณค่ะ” เจ้าของไร่สาวเอ่ยถึงผลงานที่น่าภาคภูมิใจของตน
“พันธุ์ศีตกรรณ อย่าบอกนะครับว่าเป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่พวกคุณคิดค้นขึ้นเหมือนกัน”
“ใช่ค่ะ เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่จากสวนของเราเองค่ะ คุณรติเคยเห็นพันธุ์นี้จากที่ไหนบ้างล่ะคะ” เมยาวีหันไปเอียงหน้าถามรติกรอย่างน่ารัก
“ไม่เคยค่ะ รติเพิ่งเคยเห็นที่นี่เป็นที่แรก” เลขาฯ สาวของจอมทัพส่ายหน้าระหว่างตอบ
“ใช่แล้วค่ะ พันธุ์นี้มีพันธุ์เดียวที่สวนแห่งนี้และก็เพิ่งคิดค้นมาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้อย่างที่บอกค่ะและยังไม่เคยส่งให้กับร้านดอกไม้ร้านไหนเลยนะคะ”
“ไร่ศีตกรรณ กล้วยไม้พันธุ์ศีตกรรณ โอ...สุดยอดเลยค่ะ ดอกก็สวยกลิ่นก็หอม รติชักชอบที่นี่แล้วล่ะสิคะ” รติกรเอ่ยชมไม่หยุดดูเหมือนว่าเธอจะชอบกล้วยไม้ช่อนี้มากเสียด้วยสิ
“คุณนี่เก่งจังนะครับ คิดค้นพันธุ์ไม้พันธุ์ใหม่ได้ตั้งหลายพันธุ์” ชายหนุ่มชื่นชมหญิงสาวอีกครั้ง ทว่ากลับแค่ได้รับรอยยิ้มบางๆ จากเธอกลับมาเท่านั้น
“พันธุ์นี้ชัยเป็นคนคิดค่ะคุณรติ ส่วนที่เหลือก็ต้องยกความดีความชอบให้กับคนงานทุกคนในไร่แห่งนี้ ที่ช่วยกันดูแลพวกมันอย่างใกล้ชิดค่ะ”
เมยาวีบอกรติกรด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ มันจริงอย่างที่เธอว่าเพราะถ้าไม่ได้ชัยผลงานเหล่านี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น และถ้าไม่ใช่เพราะคนงานในไร่ช่วยกันเธอก็คงจะทำไม่ได้เหมือนกัน แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ถ้าไม่มีผู้ช่วยไร่ศีตกรรณ ก็คงจะไม่ประสบผลสำเร็จอย่างทุกวันนี้หรอก
โดยเฉพาะผลงานที่ได้รับเกียรติให้ไปจัดดอกไม้ในงานพระราชพิธีต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลก็มาจากดอกไม้จากไร่ของเธอแทบทั้งสิ้น
ยังความภาคภูมิใจแก่ทุกๆ คน ที่ช่วยกันร่วมแรงร่วมใจทำมาตลอดหลายปีที่ผ่าน
“คุณชัยนี่เก่งจังเลยนะคะ” รติกรชื่นชมเขาคนนั้นก็เพราะถ้าไม่มีเขา เธอก็คงจะไม่มีวันเห็นดอกไม้สวยๆ พวกนี้เหมือนกัน
“ค่ะ น้องชายของเหมยเก่งอยู่แล้ว อยากจะให้เขามาได้ยินคำชมพวกนี้จังนะคะ ชัยคงจะดีใจสุดๆ”
“คุณชัยจบอะไรมาน่ะครับ” จอมทัพเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่ารติกรจะคุยกับรติกรอย่างออกรสจนเหมือนจะลืมไปแล้วว่ามีเขายืนอยู่ตรงนั้นอีกคนหนึ่ง
“จบพืชศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ค่ะ ได้เกียรตินิยมด้วยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยถึงความภาคภูมิใจของผู้เป็นน้องชายต่างสายโลหิตอย่างชื่นชม
“ดีจริงๆ นะครับแถมยังคิดค้นอะไรที่แปลกใหม่ได้อีก คนอย่างนี้สิครับ อนาคตก้าวไกล”
“เหมยก็หวังอย่างนั้นค่ะ ว่าน้องจะก้าวไกลและพัฒนาสวนดอกไม้ของเราให้ก้าวไปไกลด้วย…ทางนี้ดีกว่าค่ะ เหมยจะพาพวกคุณไปดูในส่วนที่เป็นดอกไม้พันธุ์อื่นบ้าง”
ว่าแล้วหญิงสาวก็พาคนทั้งสองออกจากโรงเรือนกล้วยไม้ ก่อนจะนำไปยังส่วนของไม้ดอกอีกหลายชนิดและอีกหลายส่วน กว่าจะดูจนจบเคสนี้ก็ปาเวลาไปใกล้จะเย็นเต็มที เมยาวีจึงชวนคนทั้งหมดกลับไปในที่สุด
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.พ. 2555, 16:41:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.พ. 2555, 16:43:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1971
<< ตอนที่ ๕ ชมสวน | ตอนที่ ๗ (หวง) ของ...แก้ไขแล้ว... >> |
pattisa 29 ก.พ. 2555, 21:02:31 น.
ปู่้เป้นี่ดูไร้มารยาทมาก เรียกคนอื่นว่ามันได้ไง
ปู่้เป้นี่ดูไร้มารยาทมาก เรียกคนอื่นว่ามันได้ไง
anOO 1 มี.ค. 2555, 17:18:09 น.
เหมยทิ้งช่วงห่างแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบๆ ทำนายจอมทัพ
เหมยทิ้งช่วงห่างแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบๆ ทำนายจอมทัพ