รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๗ (หวง) ของ...แก้ไขแล้ว...
ตอนที่ ๗
บนโต๊ะอาหารเย็นวันนี้ดูจะเงียบเหงากว่าเมื่อวานมาก เช่นเดียวกับเสียงพูดคุยจะมีแต่ชัยและรติกรเท่านั้นที่เลขาฯ สาวสอบถามถึงการตัดต่อพันธุ์ไม้อย่างสนใจ เธอยอมรับว่าชอบกล้วยไม้ทั้งสองพันธุ์จึงถึงขนาดขอเข้าไปศึกษาการทำงานของชัยอย่างใกล้ชิด
รอยยิ้มของทั้งสองดูมีความสุขเป็นยิ่งนัก ทว่ากลับเป็นปุณชิกาเสียเองที่นึกหมั่นไส้กับความสนิทสนมกันระหว่างชัยกับรติกร เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้คิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่ยืนยันและสั่งการให้เธอทำตามตลอดเวลาคือเธอไม่อยากจะให้รติกรมีความสุขไปมากกว่าเธอ
“ซิ...”
ไฮโซสาวแบะปากให้รติกรทุกครั้งที่เห็นเลขาฯ ของจอมทัพยิ้มแย้มและมีความสุขกับการที่ได้พูดคุยกับชัยอย่างออกรส
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณปูเป้”
แค่ครั้งสองครั้งเขายังไม่สนใจ แต่ยิ่งนานเข้าชัยจึงสังเกตเห็นอากัปกิริยาและสายตาที่มองมาของปุณชิกา เขาจึงยิ้มให้กับท่าทีของเธอ พร้อมกับมองกรอบหน้าสวยอย่างค้นหา
“เปล่า ไม่มีอะไร” หญิงสาวปฏิเสธแล้วก็หันไปตักอาหารให้กับจอมทัพแทน “ทานนี่สิคะพี่จอม ปูเป้ว่าอร่อยดีนะคะ”
“ขอบใจนะปูเป้” จอมทัพยิ้มให้กับญาติสาวก่อนจะหันไปทางเมยาวีที่รวบช้อนแล้วทำท่าจะลุกขึ้น “อิ่มแล้วหรือครับคุณเหมย”
“ค่ะ พอดีเหมยยังคิดว่าทำงานไม่เสร็จ ขอตัวก่อน ตามสบายเลยนะคะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินจากไปในทันที เช่นเดียวกับจอมทัพที่มองตามเธออย่างเป็นห่วง ในวันนี้เมยาวีดูแปลกไปมาก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนั้น แม้จะเจอกันแค่วันสองวันก็เถอะแต่เขาก็ดูออกหญิงสาวทำตัวแตกต่างกับตอนที่พบกับเขาครั้งแรกอย่างลิบลับ
หรือว่าเหตุการณ์เมื่อคืนวาน จะเป็นตัวการให้เมยาวีเป็นเช่นนี้
เมื่อสรุปได้ดังนั้น จอมทัพก็ยิ่งหนักใจ เขาไม่อยากจะให้ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น เป็นตัวการที่จะทำให้งานของเขาต้องเสียคู่ค้าที่มีสินค้ามีคุณภาพไปได้
“พี่จอมคะ ทานต่อสิคะ”
เห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบไป ปุณชิกาจึงเอ่ยขัดขึ้น แววตาที่เธอมองมายังจอมทัพนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังไม่พอใจที่เห็นจอมทัพสนใจเมยาวีมากไปกว่าเธอ
เรียวปากสวยเม้มสนิท เห็นทีเธอจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเสียจอมทัพไปอย่างแน่นอน...
****
สายลมยามค่ำคืนยังคงพัดพาเอาอณูความเย็นปกคลุมพื้นที่ของไร่ศีตกรรณอยู่แทบจะทุกตารางนิ้ว สายหมอกเส้นบางๆ ลอยคว้าง เช่นเดียวกับเหล่าน้ำค้างยามดึกที่ตกลงสู่ผืนดิน บางช่วงตกลงกระทบเหล่าใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะ ขณะพระจันทร์ดวงกลมโตกำลังถูกชักขึ้นสู่ห้วงฟ้านภากาศและสาดรัศมีสีเหลืองนวลอย่างสวย
งาม
เมยาวีเดินออกมาจากห้องทำงานในช่วงดึกของคืนนั้นด้วยความง่วง แต่ยังไม่ทันได้เดินขึ้นเรือนเธอก็เห็นปุณชิกายืนรออยู่ตรงหน้า หญิงสาวจึงตัดสินใจตรงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที
“ออกมายืนตากน้ำค้างแบบนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดีหรอก” เดินมาถึงก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ขณะปุณชิกาที่ค่อยๆ หันกลับมาด้วยประกายตาอันแข็งกร้าว
“เลิกทำตัวเป็นผู้หญิงที่แสนดีเถอะ นี่ไม่ใช่ต่อหน้าพี่จอม”
“แล้วยังไงคะที่ว่าฉันทำตัวแสนดี บางทีฉันอาจจะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้” เมยาวีสวนกลับ หญิงสาวจ้องมองดวงตาที่ไหวระริกของอีกฝ่ายอย่างค้นหา รับรู้ถึงกระแสอารมณ์บางอย่างที่มันแผ่มาจากปุณชิกาทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว
“เชอะ...ท่าทีเรียบๆ ไร้ความรู้สึกอย่างเธอ อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอน่ะร้ายลึก”
“ร้ายลึก” เจ้าของไร่สาวเอ่ยอย่างนึกหยั่น “แล้วอะไรล่ะคะที่คุณคิดว่าฉันเป็นคนที่ร้ายลึก”
“นังเมยาวี หยุดยอกย้อนฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“เหมยไม่ได้ยอกย้อนคุณนะคะ เหมยต้องการจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณปูเป้เข้าใจว่าเหมยเป็นคนร้ายลึกอย่างที่คุณกำลังคิดอยู่ต่างหาก”
“ก็ท่าทีของเธออย่างไรล่ะนังเหมย ท่าทีที่เสแสร้งทำเป็นผู้หญิงที่แสนดี เฉยชา เพื่อจะทำให้พี่จอมของฉันสนใจเธอล่ะสิ ไม่มีวันซะหรอก”
เมยาวียิ้มเยาะกับความคิดของผู้หญิงตรงหน้า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดตนถึงได้รู้สึกอยากที่จะเถียง อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่มันพาไปกระมัง
“อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนกับคุณสิคะ คุณปุณชิกา”
“นังเหมย นี่เธอว่าฉันหรือยะ”
“คุณคิดไปเองหรือเปล่าคะคุณปูเป้ อ้ออีกอย่างหนึ่งค่ะ เหมยชื่อเล่นว่าเหมยเฉยๆ กรุณาอย่าเติมนังให้นะคะเพราะมันไม่สุภาพ คุณก็ไม่ชอบไม่ใช่หรือคะที่จะให้ใครมาเติมคำว่านังให้กับตัวเอง”
ทั้งสองนิ่งเงียบไปพร้อมๆ กัน เมยาวีจ้องลึกไปที่ดวงตาคู่สวยของปุณชิกาอย่างค้นหาคำตอบที่เป็นต้นเหตุให้เกิดอารมณ์นี้ได้ เช่นเดียวกับไฮโซสาวที่หน้าเข้มขึ้นมาทุกขณะกับคำพูดของอีกฝ่าย เรียวปากสวยเม้มสนิทเช่นเดียวกับสองมือที่รวบกำแน่น
“ฉันขอเตือนเธอนังเมยาวีว่าอย่าคิดไปแย่งพี่จอมของฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเธอเจอดีแน่”
แม่เสือสาวขู่เสียงเข้มแล้วเดินจากไปในทันที เธอไม่อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นนานเพราะอาจจะไม่สามารถระงับอารมณ์โกรธที่มันแล่นริ้วอยู่ภายในได้
ปล่อยให้เมยาวียืนมองตามร่างนั้นไปอย่างนึกงง และรู้สึกขำกับความคิดของอีกฝ่าย แม้จริงอยู่ว่าเธอแอบชอบจอมทัพ แต่สาบานเถอะ เธอก็ไม่เคยคิดที่จะแย่งคนของใครมาเป็นของตนเอง แม้จะเจ็บปวดเธอก็ขอเจ็บอย่างเงียบๆ แบบนี้ก็พอใจแล้วล่ะ
****
ปุณชิกาเดินจากไปและเมยาวีก็กำลังจะเดินขึ้นเรือน แต่ในเวลานั้นเธอก็เห็นจอมทัพเดินตรงเข้ามาอีก หญิงสาวมองตามร่างที่เดินเข้ามาหาอย่างค้นหาว่าเขาต้องการอะไรจากเธอเหมือนกับคนเมื่อครู่อีกกันแน่
“เมื่อกี้ปูเป้มาพูดอะไรกับคุณหรือครับคุณเหมย” เป็นคำแรกที่จอมทัพเอ่ยทักหญิงสาว เขารู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ เมื่อเห็นว่าเมยาวีไม่เดินหนีเขาไปเหมือนกับทุกครั้ง
“ไม่นี่คะ คุณปูเป้มายืนอยู่ตรงนี้ก่อนแล้ว เหมยเห็นว่าดึกแล้วเธอยังไม่เข้านอนจึงเข้ามาบอกค่ะว่าที่นี่ยิ่งดึกน้ำค้างก็จะตก กลัวว่าเธอจะเป็นไข้น่ะค่ะ”
เจ้าของไร่สาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้จะมีรอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้า ทว่าจอมทัพก็ดูออกว่าอีกฝ่ายจะต้องมีเรื่องกับปุณชิกาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะภายในดวงคู่สวยที่มันฟ้องเขาอยู่แล้ว
“แต่ผมก็ยังแน่ใจอยู่ดีว่าปูเป้จะต้องมาหาเรื่องคุณอย่างแน่นอน”
“คุณจอมคะ ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ เหมยขอตัวก่อนนะคะนี่ก็ดึกแล้วจริงๆ เหมยง่วงแล้วค่ะ”
“แต่คุณเหมยครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณจริงๆ นะครับ เราสองคนไม่มีโอกาสได้คุยอะไรด้วยกันอย่างจริงจังสักที”
“เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ”
เธอมาในแบบฟอร์มเดิมๆ แต่คราวนี้จอมทัพกลับขัดขึ้น “เอาไว้พรุ่งนี้ พรุ่งนี้คุณก็จะบ่ายเบี่ยงผมอีก แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับผมถึงจะได้คุยกับคุณอย่างจริงจังสักที”
เห็นแววตาผิดหวังของเขาแล้วเมยาวีก็ยิ่งหัวใจสั่นไหว เธอยอมรับว่าตนไม่อาจที่จะปฏิเสธคำขอของเขาได้ แม้ว่าทุกครั้งจะใช้วิธีตัดสินใจเดินหนีไปก็เถอะ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะพูดกับเธอจริงๆ
“ก็ได้ค่ะ มีอะไรก็พูดมาสิคะ”
“ผมอยากจะรู้ว่าทำไมวันนี้คุณถึงได้ทำตัวไม่เหมือนกับวันแรกที่เจอกับพวกผม ดูคุณจะไม่สนใจผมเสียด้วยซ้ำ”
“คุณจอมกำลังจะถามเหมยใช่ไหมคะว่าทำไมเหมยถึงได้ไม่ยอมพูดกับคุณ”
“ใช่ครับ ผมต้องการคำตอบของเหตุผลนี้ หรือว่าคุณเหมยจะโกรธผมที่ผมทำตัวไม่สมควรในคืนนั้น”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” พยายามฝืนยิ้มและไม่อยากจะให้เขารู้สึกผิดไปมากกว่านี้ “เหมยแค่ไม่อยากจะให้คุณปูเป้เธอเข้าใจผิดว่าเหมยสนใจคุณก็เท่านั้นแหละค่ะ เธอรักคุณมากนะคะ”
หญิงสาวไม่อาจที่จะระงับสิ่งที่หัวใจกำลังคิดอยู่ได้ ใช่เธอไม่อยากจะคิดไปแย่งของใคร โดยเฉพาะปุณชิกาที่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นมิตรกับเธอเอาเสียเลย
“แต่คุณเหมยกำลังเข้าใจผิดนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ เหมยเข้าใจถูกมากกว่า ในเมื่อภาพในวันนั้นมันฟ้องอย่างดีแล้วนะคะ”
เมยาวีสวนขึ้นมาในทันที ดวงตาคู่สวยไหวระริก เธอพยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะไม่ให้น้ำเสียงของตนเองสั่นไหวและให้จอมทัพรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา
“แต่คุณกำลังเข้าใจผมผิด...”
“เปล่าคะเหมยคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้วต่างหาก”
“คุณเหมย คุณพูดเหมือนกับว่าคุณกำลังหึงผม...”
“ใครว่าอย่างนั้นล่ะคะ เหมยจะไปมีสิทธิอะไรที่จะไปหึงกัน เราสองคนเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้นนะคะ อีกอย่างเหมยก็ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสักหน่อยทำไมจะต้องไปหึงคุณด้วยล่ะคะ คุณปูเป้เธอต่างหากที่จะต้องหึงคุณ”
สิ่งที่พูดออกมาของเธอมันไม่ตรงกับหัวใจเอาเสียเลย เมยาวีหลุบเปลือกตาของมองพื้น เธอไม่อยากจะมองหน้าเขาเพราะกลัวว่ามันจะทำให้หัวใจของเธอถลำลึกไปมากกว่านี้
“แต่ผมกำลังรู้สึกว่าคุณกำลังหึงผมที่กอดกับปูเป้ในวันนั้น”
“คุณจอมทัพ...อย่าคิดว่าใครจะเหมือนคุณสิคะ เท่านี้หรือคะที่คุณจะพูดกับเหมย ถ้าอย่างนั้นเหมยขอตัวก่อนนะคะ”
“คุณเหมย คุณกำลังเข้าใจผมผิดอยู่นะครับ ผมกับปูเป้เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“นี่ๆ คุณ ออกไปห่างๆ ฉันนะ”
ชายหนุ่มขยับเข้าไปจนใกล้เมยาวี จนหญิงสาวหัวใจสาวเริ่มเต้นรัวอีกรอบ กรอบหน้าสวยยิ่งเข้มอีก เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดตนถึงเป็นเช่นนั้น เธอถอยหลังหนีเขาเพื่อจะไม่ให้ตนรู้สึกเหมือนหัวใจที่เต้นรัวแล้วค่อยๆ จะหยุดลง แต่ในเวลานั้น เท้าของเธอกลับสะดุดกับก้อนหินจนเป็นผลให้ต้องเสียหลักหงายหลังลงไป
“ว้าย...”
“ระวังหน่อยสิคุณ”
ดีที่จอมทัพคว้าเอวขอดได้ทันก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด กรอบหน้าสวยซบอยู่ที่อกของชายหนุ่มด้วยความตกใจ
“ปล่อย...” เมยาวีประท้วง เมื่อตั้งสติได้เธอจะดันตัวออกห่างจากเขาแต่จอมทัพกลับไม่ยอมปล่อยให้เธอออกจากอ้อมแขนแถมยังรู้สึกว่าวงแขนแข็งแรงนั้นจะยิ่งรัดร่างของเธอแน่นเข้าไปอีก
“ปล่อยนะคุณจอมทัพ ฉันบอกให้ปล่อยยังไงล่ะ”
“ไม่...จนกว่าคุณจะบอกผมก่อนว่าคุณกำลังหึงผมอยู่ใช่ไหมครับ”
“เหมยก็บอกคุณแล้วไม่ใช่หรือคะว่าเหมยไม่มีสิทธิที่จะไปหึงคุณ...”
“คุณกำลังจะบอกผมว่าถ้าคุณมีสิทธิ คุณก็จะหึงใช่ไหมครับ” จอมทัพดักทางอย่างรู้ทันและนั่นก็ยิ่งทำให้เมยาวีหน้าเข้มขึ้นไปอีก
“ปล่อยนะคุณจอมทัพ ฉันไม่ชอบให้ใครมากอดแบบนี้มันอึดอัด ปล่อย...”
“คุณก็บอกผมมาก่อนสิ ว่าคุณกำลังคิดอะไรกับผมอยู่”
“นี่คนกรุงเทพฯ เขาพูดไม่รู้เรื่องกันแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าคะ ปล่อยฉันนะคุณจอมทัพ ฉันอึดอัด ปล่อย...”
“ผมจะไม่ยอมปล่อยคุณ จนกว่าคุณจะบอกผมว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับผม” ได้ทีจอมทัพจึงถามอีก เขาเลิกคิ้วและยิ้มให้กับหญิงสาวอย่างมีเสน่ห์ เมยาวียอมรับบัดนี้หัวใจของเธอมันได้ละลายไปกับรอยยิ้มนั้นแล้ว
ทว่าคนอย่างเธอยอมได้เสียที่ไหน เมื่อเขาไม่ปล่อยกำปั้นน้อยๆ ก็ยิ่งทุบอกเขาอีก “ถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะทุบอกคุณให้กระอักเลือดเลยคุณจอมทัพ ปล่อยนะฉันหายใจไม่ออก”
“คุณจะใจร้ายขนาดนั้นเลยจริงๆ หรือ เอ้า...ก็ได้ ปล่อยก็ปล่อย” จอมทัพคลายวงแขนออกในที่สุด พร้อมกันนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับฝ่ามือน้อยๆ จะฟาดมาหมายตรงหน้าของเขา ยังดีที่จอมทัพคว้าแขนของเธอได้ทัน
“นี่คุณ กอดแค่นี้จะทำร้ายกันหนักแบบนี้เลยหรือ”
“ก็ใครใช้ให้คุณพูดไม่รู้เรื่องล่ะ”
“แต่ผมอยากรู้ความรู้สึกของคุณนี่ ว่าคุณกำลังคิดอะไรกับผม” จอมทัพเยี่ยมหน้าเข้าไปใกล้เธออีก จนเมยาวีหมั่นไส้อยากจะฟาดหน้าเขาอีกสักฉาดหนึ่ง
“บ้า...คนบ้า เชิญคุณบ้าคิดไปคนเดียวเถอะ...” หญิงสาวรีบกลบเกลื่อนอาการที่มันฟ้องบนใบหน้า ก่อนจะสะบัดหน้าและจะเดินจากไป
ทว่าในเวลานั้นจอมทัพกลับคว้าข้อมือของเธอเอาไว้อีกครั้ง...
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ อย่าเพิ่งไป เรายังคุยกันไม่จบเลย”
“แต่ฉันคุยจบแล้ว ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันจะไปนอน…”
พูดจบก็หันหลังจะเดินจากไปอีกรอบ แต่เวลานั้นเท้าของเธอกลับสะดุดขอบปูนซึ่งทำเป็นที่กั้นระหว่างถนนกับแปลงดอกไม้จนหงายหลังล้มลงไปและนั่นก็ได้ส่งผลให้จอมทัพเสียหลักล้มตามลงมาด้วยอีกคน
“ว้าย...”
ร้องได้แค่นั้นปากของจอมทัพก็ตามลงมาประกอบบนปากของเธออย่างเหมาะเจาะ เมยาวีเบิกตาโพลงอย่างตกใจ เธอมองกรอบหน้าคมที่อยู่ใกล้ ลมหายใจเป่ารดบนกรอบหน้าสวย เมยาวีหลุบเปลือกตาลงด้วยเพราะรู้สึกเสียวซ่านและเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งพล่านอยู่ภายใน
เช่นเดียวกับจอมทัพที่หัวใจเต้นแรงและรัวดั่งกลองศึก ช่วงเวลาที่ร่างของเขาทับลงมา ไปจนถึงข้อมือบางที่ดันแผงอกของเขาเพื่อประท้วง มันดูเหมือนจะเป็นเวลาที่สร้างความสุขให้กับเขาเป็นที่สุด ชายหนุ่มคลี่ยิ้มก่อนจะยัดกายลุกขึ้นในที่สุด
“คนบ้า...ลามก” เมยาวีประท้วงแทนอาการเขินอายที่เกิดขึ้นกรอบหน้าสวยซึ่งแดงซ่านอย่างเห็นได้ชัด
“ผมขอโทษ”
“คนผีทะเล...ลามก”
เธอดันกายลุกขึ้นจนสำเร็จก่อนจะบริภาษอย่างไม่พอใจ และวิ่งออกไปไปในทันที ขณะจอมทัพมองตามร่างนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส รับรู้ถึงกระแสความรู้สึกภายในที่วันวิ่งวุ่นอยู่ในนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันเหตุใดกับเมยาวีเขาถึงได้รู้สึกดีแบบนี้ก็ไม่รู้
****
หลังวิ่งเข้ามาในห้อง เมยาวีก็ได้แต่คลี่ยิ้มเอียงอาย คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ยกมือขึ้นจับริมฝีปากตนเองก็พลันยิ้ม ความรู้สึกที่มีปากของเขาทาบอยู่บนปากของเธอยังคงอุ่นซ่านอยู่ไม่หาย
ดีนะที่เธอรีบวิ่งออกมาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงจะเก็บกดอาการบางอย่างที่มันแล่นพล่านอยู่ภายในและพร้อมที่จะแสดงออกมาในเวลานั้นไม่ได้ มือบางแตะที่เรียวปากของตนเอง รับรู้ถึงรสสัมผัสที่มันหอมหวานเป็นยิ่งนัก เธอคลี่ยิ้มเอียงอาย ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเตียงและเอนตัวลงนอนในที่สุด
เชื่อได้ว่าคืนนี้ เธอคงจะต้องนอนฝันดีไปจนถึงเช้าอย่างแน่นอน...
*****
สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงต้นไม้สะบัดกวัดไกวตามแรงลม มีบางกิ่งหักโค่นลงมาตรงหน้าอย่างน่ากลัว เมยาวีมองไปโดยรอบเพื่อหาที่หลบภัย หากแต่บริเวณนั้นกลับไม่คุ้นเอาเสียเลย หญิงสาวจึงตัดสินใจวิ่งไปข้างหน้า หวังเพื่อจะมองหาที่พักเอาสักที่หนึ่ง
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ร่างในชุดบางเบาเปียกโชก เห็นโพรงถ้ำปรากฏอยู่ตรงหน้า เธอจึงวิ่งเข้าไปหลบในนั่นทันที
“ฝนบ้าฝนบอ ตกทำไมตอนนี้นะ” บ่นพร้อมกับครุ่นคิด ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวเหตุใดฝนมันถึงตกได้ หรือว่าจะเป็นฝนหลงฤดู เจ้าฝนบ้าเอ้ย...บ้าที่สุด
“แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย...”
ยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าสวยหวานของตัวเอง เพื่อจะไล่หยาดน้ำฝนที่มันเกาะอยู่เต็มใบหน้า ก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาที่นั่ง เมื่อฝนหยุดค่อยหาทางกลับกันทีหลัง
ทว่ายิ่งนานฝนก็ยังไม่ขาดเม็ด หญิงสาวนั่งคู้เข่าสองมือโอบกอดเข่าด้วยความหนาวเหน็บที่เกาะกุมเข้าไปถึงในใจ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีบางอย่างมาสะกิดที่สีข้าง
หญิงสาวค่อยๆ เลื่อนสายตาลงไปมองตรงนั้น ก่อนจะเบิกตาโตอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งหนึ่งผิวเนื้อเรียบรื่นแถมยังสะท้อนสีหนังมันวาววับอย่างน่าลูบไล้ หากแต่สำหรับเธอแล้วกลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก
“ว้าย...งะ งู...”
กรีดเสียงร้องลั่น จะลุกขึ้นทว่าเจ้างูเหลือมตัวนั้นกลับไวอย่างกับโกหกมันตวัดหางโอบรัดร่างเธอแน่น จนเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก
“อะ...ชะ ช่วยด้วย ย ย”
ยิ่งร้องมันก็ยิ่งรัดแถมยังเคลื่อนหัวอันใหญ่โตขึ้นมาประชันหน้ากับเธอ ดวงตาคู่สวยยิ่งเบิกโพลงเมื่อมองเห็นชัดๆ ว่าเจ้างูบ้าตัวนั้นส่งสายตาเจ้าชู้มาให้เธอ พร้อมกับกะพริบตาทำกระแสไฟปิ้งๆ ก่อนจะโผเข้าจูบปากของเธออย่างรวดเร็ว
“ว๊าย ย!!!!”
เมยาวีร้องลั่น เสียงมีเท่าไรก็ร้องออกมาแบบไม่หยุด อาการรัดของเจ้างูตัวนั้นยังคงแน่นอีก จนการหายใจเริ่มติดขัด เธอหลับตาปี๋ เชื่อว่าตนคงขาดหายใจในเวลานั้นแล้ว
“ชะ ช่วยด้วย ว้าย ย ย”
ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงขึ้นในทันที พร้อมกับแสงไฟในห้องสาดเข้าตาจนแสบ หญิงสาวหายใจหอบถี่ มองไปรอบๆ ก็พบว่าบัดนี้เธออยู่ในห้องนอนของตัวเองและที่สำคัญผ้าห่มของเธอ กำลังม้วนตัวเธออย่างกับด้วงตัวใหญ่ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอหายใจไม่ออก
ที่แท้ก็ฝันน่ะเอง...
ทอดถอนใจพร้อมกับปลอบตัวเอง ก่อนจะสะบัดผ้าห่มทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ยังดีนะที่เธอรู้ตัวเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงจะขาดใจตายไปแล้วล่ะ
แม้จะรู้ตัวว่าฝันไป หากความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะภาพตอนที่เจ้างูตัวนั้นโผเข้ามาจูบปากเธอ มันช่างเด่นชัดเป็นยิ่งนัก
“อี๋...งูบ้า ลามก มาส่งกระแสจิตสะกดฉันอีก”
เธอหลับตาปี๋ พยายามจะขัดปากตัวเองให้พ้นไปจากความรู้สึกอุ่นซ่านจนทำให้หัวใจเต้นรัวอยู่ตลอดเวลาให้หมดไป ก่อนจะมองไปทางนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าให้แล้ว
นี่เธอหลับไปตอนไหน แถมยังไม่ปิดไฟอีก...เธอเข้ามาในห้อง พร้อมกับความรู้สึกดีที่เขาจูบปาก จากนั้นก็คงจะเผลอตัวหลับไป แต่ที่ไหนได้...
“ชิ...ไอ้งูบ้า ทำให้ฝันดีของฉันต้องเป็นฝันร้าย”
เอ็ดไปถึงความฝันของตนก่อนจะทอดถอนใจออกมาเสียยืดยาวและปิดไฟเข้านอน พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่นึกถึงความฝันและหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำแทน ก่อนจะเผลอตัวหลับไปอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
/////
เช้าแล้ว...วันนี้เมยาวีตื่นเร็วกว่าเป็นปกติ หญิงสาวออกมายืนบนดาดฟ้าอ้าแขนรับอากาศอันบริสุทธิ์ วันนี้หมอกไม่ลงจัดอย่างทุกวันและดูเหมือนว่าพระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นจากเหลี่ยมเขาเร็วกว่าทุกครั้งเสียด้วย มันสาดรัศมีทาทาบผืนดิน จนไอหมอกลอยกรุ่นระเหยขึ้นเหนือผิวดินหลายจุดซึ่งเป็นที่ชื้น
ยืนบิดขี้เกียจไปสักพัก ก็หวนคิดถึงความฝันที่น่ากลัวอีกไม่ได้ งูเป็นงูเหลือมซะด้วยสิ ตัวมันใหญ่และน่ากลัวอย่างกับอะไรดี คิดได้ดังนั้นเธอก็เอาโทรศัพท์ออกมาโทรไปหามณีกานดา ที่หญิงสาวเชื่อว่าเพื่อนสาวจะต้องช่วยคลี่คลายความฝันของตนเองให้ดีได้อย่างแน่นอน
อืม...โบราณว่าฝันร้ายจะต้องกลายเป็นดีและมณีกานดาน่าจะช่วยเหลือเรื่องเหล่านี้ได้
“ฮัลโหล มีอะไรจ้ะเหมย โทรมาตั้งแต่เช้าเชียว” เสียงจากปลายสายดังตอบรับมา หลังจากสัญญาณติดเพียงไม่ถึงนาที
“คีน ฉันมีเรื่องจะปรึกษาเธอ”
“เรื่องอะไร”
“ความฝัน...”
“ความฝัน เธอฝันร้ายหรือ”
“อือ...ฝันร้ายมากๆ”
“แล้วฝันว่าแบบไหนล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมา ขณะเมยาวีเผลอที่จะยกมือขึ้นจับที่เรียวปากของตัวเองอีกครั้ง
“งู...ฉันฝันเห็นงูเหลือมตัวใหญ่ มะ มันรัดและจูบฉัน”
“งูเหลือมรัดและจูบ...” ถ้าเมยาวีจะเห็นบุคคลทางปลายสาย ก็คงจะเห็นว่าในขณะนี้มณีกานดากำลังเบิกตา
โพลง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
“ใช่ มันจูบฉัน อึ๋ย...น่ากลัวชะมัด”
ปลายสายไม่ตอบแต่กลับส่งเสียงหัวเราะกลับมาอีก จนเมยาวีที่สงสัยจะถามขึ้น “เธอหัวเราะอะไรยายคีน”
“เปล่า ฉันว่า เธอน่าจะหาเวลาว่างไปทำบุญบ้างนะ”
“ทำบุญ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความฝันของฉัน” ถามไปอย่างสงสัยสุดๆ หญิงสาวเดินไปข้างหน้าจนสุดกับระเบียง มือข้างหนึ่งจับที่ราวระเบียงแน่น ส่วนสายตาก็เหลือบไปเห็นจอมทัพเดินออกมาที่ด้านหน้าระเบียงของเรือนไม้เหมือนกัน
เธอคลี่ยิ้ม แอบส่งยิ้มให้กับเขาอย่างเงียบๆ
“ก็โบราณว่า ถ้าฝันถึงงู ก็ให้คนที่ฝันไปทำบุญ แล้วคนนั้นจะเจอกับเนื้อคู่อย่างไรล่ะ ฉันเห็นในนิยายหลายเรื่องแล้วนะว่านางเอกมักจะฝันเห็นงูและไม่กี่วันก็จะเจอกับพระเอก”
“สุดท้ายเธอก็บ้านิยายน่ะแหละยายคีน”
“แต่นิยายมันก็สร้างมาจากชีวิตจริงนะ เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเขาก็คงจะไม่เขียนขึ้นมาหรอก”
“จ้า...แม่คนบ้านิยาย”
“ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ล่ะ ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะเจอกับเนื้อคู่ของเธอแน่”
หรือมันจะจริงอย่างที่มณีกานดาว่า บางทีเนื้อคู่ของเธออาจจะกำลังตามหาเธออยู่ก็ได้ และอีกไม่กี่วันเขาก็คงจะต้องได้รู้จักกับเธอ เมยาวีเริ่มอายม้วนกับความคิดของตนเอง ทว่าหากสิ่งนั้นเป็นความจริงแต่นี้เป็นต้นไปเธอก็จะไม่ต้องเดียวดายอีกต่อไปแล้วล่ะสิ
“แต่เหมย ฉันว่าเนื้อคู่ของเธอ เธอน่าจะเจอแล้วนะ” เสียงจากปลายสายดังมาอีก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปเสียสนิท
“เจอ...เจอแล้วยังไง ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็เจอเนื้อคู่ของเธอน่ะสิหรือว่าเนื้อคู่คนนั้นของเธออาจจะเป็นคุณจอมทัพก็ได้”
สิ่งที่เพื่อนสาวทายมานั้นยิ่งทำให้เมยาวีอายม้วนเข้าไปอีก เมื่อหญิงสาวคิดไปถึงจูบแรกที่จอมทัพฝากเอาไว้จนเผลอตัวยกมืออีกข้างจับตรงเรียวปากของตนเองอีกครั้ง
“เธอก็ว่าไปยายคีน มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้”
“ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมจะไม่แน่นอน ฉันรู้นะว่าเธอก็สนใจคุณจอมทัพอยู่เหมือนกัน”
“บ้า..ยายคีนพูดออกมาแบบนี้ทำไม ฉันเสียหายนะ พอละฉันไม่คุยกับเธอละ ไปก่อนล่ะนะบาย”
หลังวางสายไปแล้ว เมยาวีก็ยิ่งยิ้มอย่างเขินอาย นอกจากคำบอกเล่าของเพื่อนสาวจะทำให้เธออายแล้ว รอยยิ้มจากจอมทัพที่ส่งมาทักทายเธอจากเบื้องล่างยิ่งทำให้เธออายมากไปอีก เมยาวีจึงตัดสินใจถอยกลับเข้าห้องไปในที่สุด
----
บรรยากาศยามเช้าที่สดชื่น พาให้ชายหนุ่มเดินออกมายังด้านนอกของเรือนไม้และนั่นก็ทำให้เขาสมใจ เพราะนอกจากอากาศเย็นสบายแล้ว ยังจะมีดอกไม้หลากหลายชนิดกำลังเบ่งบานอวดโฉมให้เขาชม
จอมทัพเดินเลาะเรียบไปตามถนนโรยกรวด มองเหล่าดอกไม้ต่างชนิดที่ถูกจัดเป็นส่วนๆ อย่างลงตัว แถมในเวลานี้ มันกำลังแข่งกันผลิบานทั้งดอกสีขาว สีเหลือง สีแดงและสีชมพู อย่างสวยงามไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่ดอกไม้ที่เต็มทุ่ง นั่นก็ยิ่งทำให้เขาสดชื่นยิ่งกว่าเดิมมาก
หมู่ผีเสื้อน้อยใหญ่ ต่างออกมาโบยบิน เพื่อดอมดมความหอมของดอกไม้ตรงหน้า เช่นเดียวกับเจ้าผึ้งน้อยๆ ที่สลัดปีกบินออกจากรวงรัง เพื่อเสาะหาน้ำหวาน
เขามองภาพเหล่านั้นด้วยหัวใจที่สดชื่นเบิกบาน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงหนึ่งเอ่ยทักและดังมาจากข้างหลัง
“สวัสดีตอนเช้าครับ คุณจอมทัพ” เป็นชัยที่เดินเข้ามาหาเขาในเวลานั้น
“อ้าวคุณชัย ไปไหนมาตั้งแต่เช้าล่ะครับ” จอมทัพหันไปทางต้นเสียงและถามอย่างกันเอง
“ใครว่าผมไปไหนมาล่ะครับ ผมเพิ่งมาที่นี่ต่างหาก ผมพักที่บ้านพักข้างๆ โรงเลี้ยงกล้วยไม้ในสวนน่ะครับ”
“จริงหรือครับ ผมคิดว่าคุณพักบนตึกใหญ่กับคุณเหมยและคุณน้ำบุษย์เสียอีก”
“ไม่หรอกครับ ผมกำลังทำวิจัยกับเนื้อเยื่อพันธุ์ไม้พันธุ์ใหม่อยู่ จึงต้องอยู่ในสวนตลอดเวลาจึงได้สร้างบ้านพัก
อยู่ในนั้นน่ะครับ” ชัยตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
จอมทัพยิ้มกับคำบอกเล่าของหนุ่มรุ่นน้องก่อนจะพากันเดินไปข้างหน้า “เห็นทีวันนี้ผมจะต้องรบกวนคุณชัยให้พาไปยังบ้านพักของคุณแล้วล่ะครับ อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ คงจะสวยน่าดูเลย”
“ยินดีครับผม ไปตอนนี้เลยดีไหม เดี๋ยวสายๆ ค่อยกลับขึ้นมาทานข้าวกัน”
“ได้สิครับ ผมยังไม่หิวไปเที่ยวบ้านพักของคุณก่อนดีกว่า”
เมื่อตกลงกันได้แบบนั้นแล้ว ทั้งสองหนุ่มจึงจะพากันกลับเข้าไปในทุ่งดอกไม้อีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันได้เดินทางไปไหน รติกรก็วิ่งลิ่วตรงมาที่คนทั้งสองด้วยสีหน้าตาตื่น
“คุณจอมคะ คุณจอม แย่แล้วค่ะ” เธอวิ่งมาหยุด พร้อมกับหายใจหอบถี่เพราะเธอเดินตามหาเขาอยู่นานกว่าจะพบ ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
“มีอะไรคุณรติ เกิดอะไรขึ้น”
“ใช่ เกิดอะไรขึ้นคะ คุณรติ” เมยาวีที่เดินทางมาถึงทีหลังเอ่ยถามอย่างตกใจแกมเป็นห่วง
“คือเมื่อครู่นี้ รติเข้าไปเรียกคุณปูเป้ที่ห้องเพราะเห็นว่ายังไม่ตื่น แต่ปรากฏว่าตอนนี้คุณปูเป้นอนตัวร้อนเลยค่ะ คงจะเป็นไข้น่ะค่ะ”
“เป็นไข้...” คนทั้งสามอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน
“ใช่ค่ะ รติว่าควรจะพาคุณปูเป้ไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ”
“ไหนครับ...” จอมทัพพูดแค่นั้นก็รีบเร่งรุดตรงไปยังเรือนไม้ในทันที พร้อมกับเมยาวี ชัยและรติกรก็รีบตามไปเช่นกัน
บนโต๊ะอาหารเย็นวันนี้ดูจะเงียบเหงากว่าเมื่อวานมาก เช่นเดียวกับเสียงพูดคุยจะมีแต่ชัยและรติกรเท่านั้นที่เลขาฯ สาวสอบถามถึงการตัดต่อพันธุ์ไม้อย่างสนใจ เธอยอมรับว่าชอบกล้วยไม้ทั้งสองพันธุ์จึงถึงขนาดขอเข้าไปศึกษาการทำงานของชัยอย่างใกล้ชิด
รอยยิ้มของทั้งสองดูมีความสุขเป็นยิ่งนัก ทว่ากลับเป็นปุณชิกาเสียเองที่นึกหมั่นไส้กับความสนิทสนมกันระหว่างชัยกับรติกร เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้คิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่ยืนยันและสั่งการให้เธอทำตามตลอดเวลาคือเธอไม่อยากจะให้รติกรมีความสุขไปมากกว่าเธอ
“ซิ...”
ไฮโซสาวแบะปากให้รติกรทุกครั้งที่เห็นเลขาฯ ของจอมทัพยิ้มแย้มและมีความสุขกับการที่ได้พูดคุยกับชัยอย่างออกรส
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณปูเป้”
แค่ครั้งสองครั้งเขายังไม่สนใจ แต่ยิ่งนานเข้าชัยจึงสังเกตเห็นอากัปกิริยาและสายตาที่มองมาของปุณชิกา เขาจึงยิ้มให้กับท่าทีของเธอ พร้อมกับมองกรอบหน้าสวยอย่างค้นหา
“เปล่า ไม่มีอะไร” หญิงสาวปฏิเสธแล้วก็หันไปตักอาหารให้กับจอมทัพแทน “ทานนี่สิคะพี่จอม ปูเป้ว่าอร่อยดีนะคะ”
“ขอบใจนะปูเป้” จอมทัพยิ้มให้กับญาติสาวก่อนจะหันไปทางเมยาวีที่รวบช้อนแล้วทำท่าจะลุกขึ้น “อิ่มแล้วหรือครับคุณเหมย”
“ค่ะ พอดีเหมยยังคิดว่าทำงานไม่เสร็จ ขอตัวก่อน ตามสบายเลยนะคะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินจากไปในทันที เช่นเดียวกับจอมทัพที่มองตามเธออย่างเป็นห่วง ในวันนี้เมยาวีดูแปลกไปมาก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนั้น แม้จะเจอกันแค่วันสองวันก็เถอะแต่เขาก็ดูออกหญิงสาวทำตัวแตกต่างกับตอนที่พบกับเขาครั้งแรกอย่างลิบลับ
หรือว่าเหตุการณ์เมื่อคืนวาน จะเป็นตัวการให้เมยาวีเป็นเช่นนี้
เมื่อสรุปได้ดังนั้น จอมทัพก็ยิ่งหนักใจ เขาไม่อยากจะให้ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น เป็นตัวการที่จะทำให้งานของเขาต้องเสียคู่ค้าที่มีสินค้ามีคุณภาพไปได้
“พี่จอมคะ ทานต่อสิคะ”
เห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบไป ปุณชิกาจึงเอ่ยขัดขึ้น แววตาที่เธอมองมายังจอมทัพนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังไม่พอใจที่เห็นจอมทัพสนใจเมยาวีมากไปกว่าเธอ
เรียวปากสวยเม้มสนิท เห็นทีเธอจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเสียจอมทัพไปอย่างแน่นอน...
****
สายลมยามค่ำคืนยังคงพัดพาเอาอณูความเย็นปกคลุมพื้นที่ของไร่ศีตกรรณอยู่แทบจะทุกตารางนิ้ว สายหมอกเส้นบางๆ ลอยคว้าง เช่นเดียวกับเหล่าน้ำค้างยามดึกที่ตกลงสู่ผืนดิน บางช่วงตกลงกระทบเหล่าใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะ ขณะพระจันทร์ดวงกลมโตกำลังถูกชักขึ้นสู่ห้วงฟ้านภากาศและสาดรัศมีสีเหลืองนวลอย่างสวย
งาม
เมยาวีเดินออกมาจากห้องทำงานในช่วงดึกของคืนนั้นด้วยความง่วง แต่ยังไม่ทันได้เดินขึ้นเรือนเธอก็เห็นปุณชิกายืนรออยู่ตรงหน้า หญิงสาวจึงตัดสินใจตรงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที
“ออกมายืนตากน้ำค้างแบบนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดีหรอก” เดินมาถึงก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ขณะปุณชิกาที่ค่อยๆ หันกลับมาด้วยประกายตาอันแข็งกร้าว
“เลิกทำตัวเป็นผู้หญิงที่แสนดีเถอะ นี่ไม่ใช่ต่อหน้าพี่จอม”
“แล้วยังไงคะที่ว่าฉันทำตัวแสนดี บางทีฉันอาจจะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้” เมยาวีสวนกลับ หญิงสาวจ้องมองดวงตาที่ไหวระริกของอีกฝ่ายอย่างค้นหา รับรู้ถึงกระแสอารมณ์บางอย่างที่มันแผ่มาจากปุณชิกาทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว
“เชอะ...ท่าทีเรียบๆ ไร้ความรู้สึกอย่างเธอ อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอน่ะร้ายลึก”
“ร้ายลึก” เจ้าของไร่สาวเอ่ยอย่างนึกหยั่น “แล้วอะไรล่ะคะที่คุณคิดว่าฉันเป็นคนที่ร้ายลึก”
“นังเมยาวี หยุดยอกย้อนฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“เหมยไม่ได้ยอกย้อนคุณนะคะ เหมยต้องการจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณปูเป้เข้าใจว่าเหมยเป็นคนร้ายลึกอย่างที่คุณกำลังคิดอยู่ต่างหาก”
“ก็ท่าทีของเธออย่างไรล่ะนังเหมย ท่าทีที่เสแสร้งทำเป็นผู้หญิงที่แสนดี เฉยชา เพื่อจะทำให้พี่จอมของฉันสนใจเธอล่ะสิ ไม่มีวันซะหรอก”
เมยาวียิ้มเยาะกับความคิดของผู้หญิงตรงหน้า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดตนถึงได้รู้สึกอยากที่จะเถียง อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่มันพาไปกระมัง
“อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนกับคุณสิคะ คุณปุณชิกา”
“นังเหมย นี่เธอว่าฉันหรือยะ”
“คุณคิดไปเองหรือเปล่าคะคุณปูเป้ อ้ออีกอย่างหนึ่งค่ะ เหมยชื่อเล่นว่าเหมยเฉยๆ กรุณาอย่าเติมนังให้นะคะเพราะมันไม่สุภาพ คุณก็ไม่ชอบไม่ใช่หรือคะที่จะให้ใครมาเติมคำว่านังให้กับตัวเอง”
ทั้งสองนิ่งเงียบไปพร้อมๆ กัน เมยาวีจ้องลึกไปที่ดวงตาคู่สวยของปุณชิกาอย่างค้นหาคำตอบที่เป็นต้นเหตุให้เกิดอารมณ์นี้ได้ เช่นเดียวกับไฮโซสาวที่หน้าเข้มขึ้นมาทุกขณะกับคำพูดของอีกฝ่าย เรียวปากสวยเม้มสนิทเช่นเดียวกับสองมือที่รวบกำแน่น
“ฉันขอเตือนเธอนังเมยาวีว่าอย่าคิดไปแย่งพี่จอมของฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเธอเจอดีแน่”
แม่เสือสาวขู่เสียงเข้มแล้วเดินจากไปในทันที เธอไม่อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นนานเพราะอาจจะไม่สามารถระงับอารมณ์โกรธที่มันแล่นริ้วอยู่ภายในได้
ปล่อยให้เมยาวียืนมองตามร่างนั้นไปอย่างนึกงง และรู้สึกขำกับความคิดของอีกฝ่าย แม้จริงอยู่ว่าเธอแอบชอบจอมทัพ แต่สาบานเถอะ เธอก็ไม่เคยคิดที่จะแย่งคนของใครมาเป็นของตนเอง แม้จะเจ็บปวดเธอก็ขอเจ็บอย่างเงียบๆ แบบนี้ก็พอใจแล้วล่ะ
****
ปุณชิกาเดินจากไปและเมยาวีก็กำลังจะเดินขึ้นเรือน แต่ในเวลานั้นเธอก็เห็นจอมทัพเดินตรงเข้ามาอีก หญิงสาวมองตามร่างที่เดินเข้ามาหาอย่างค้นหาว่าเขาต้องการอะไรจากเธอเหมือนกับคนเมื่อครู่อีกกันแน่
“เมื่อกี้ปูเป้มาพูดอะไรกับคุณหรือครับคุณเหมย” เป็นคำแรกที่จอมทัพเอ่ยทักหญิงสาว เขารู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ เมื่อเห็นว่าเมยาวีไม่เดินหนีเขาไปเหมือนกับทุกครั้ง
“ไม่นี่คะ คุณปูเป้มายืนอยู่ตรงนี้ก่อนแล้ว เหมยเห็นว่าดึกแล้วเธอยังไม่เข้านอนจึงเข้ามาบอกค่ะว่าที่นี่ยิ่งดึกน้ำค้างก็จะตก กลัวว่าเธอจะเป็นไข้น่ะค่ะ”
เจ้าของไร่สาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้จะมีรอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้า ทว่าจอมทัพก็ดูออกว่าอีกฝ่ายจะต้องมีเรื่องกับปุณชิกาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะภายในดวงคู่สวยที่มันฟ้องเขาอยู่แล้ว
“แต่ผมก็ยังแน่ใจอยู่ดีว่าปูเป้จะต้องมาหาเรื่องคุณอย่างแน่นอน”
“คุณจอมคะ ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ เหมยขอตัวก่อนนะคะนี่ก็ดึกแล้วจริงๆ เหมยง่วงแล้วค่ะ”
“แต่คุณเหมยครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณจริงๆ นะครับ เราสองคนไม่มีโอกาสได้คุยอะไรด้วยกันอย่างจริงจังสักที”
“เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ”
เธอมาในแบบฟอร์มเดิมๆ แต่คราวนี้จอมทัพกลับขัดขึ้น “เอาไว้พรุ่งนี้ พรุ่งนี้คุณก็จะบ่ายเบี่ยงผมอีก แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับผมถึงจะได้คุยกับคุณอย่างจริงจังสักที”
เห็นแววตาผิดหวังของเขาแล้วเมยาวีก็ยิ่งหัวใจสั่นไหว เธอยอมรับว่าตนไม่อาจที่จะปฏิเสธคำขอของเขาได้ แม้ว่าทุกครั้งจะใช้วิธีตัดสินใจเดินหนีไปก็เถอะ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะพูดกับเธอจริงๆ
“ก็ได้ค่ะ มีอะไรก็พูดมาสิคะ”
“ผมอยากจะรู้ว่าทำไมวันนี้คุณถึงได้ทำตัวไม่เหมือนกับวันแรกที่เจอกับพวกผม ดูคุณจะไม่สนใจผมเสียด้วยซ้ำ”
“คุณจอมกำลังจะถามเหมยใช่ไหมคะว่าทำไมเหมยถึงได้ไม่ยอมพูดกับคุณ”
“ใช่ครับ ผมต้องการคำตอบของเหตุผลนี้ หรือว่าคุณเหมยจะโกรธผมที่ผมทำตัวไม่สมควรในคืนนั้น”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” พยายามฝืนยิ้มและไม่อยากจะให้เขารู้สึกผิดไปมากกว่านี้ “เหมยแค่ไม่อยากจะให้คุณปูเป้เธอเข้าใจผิดว่าเหมยสนใจคุณก็เท่านั้นแหละค่ะ เธอรักคุณมากนะคะ”
หญิงสาวไม่อาจที่จะระงับสิ่งที่หัวใจกำลังคิดอยู่ได้ ใช่เธอไม่อยากจะคิดไปแย่งของใคร โดยเฉพาะปุณชิกาที่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นมิตรกับเธอเอาเสียเลย
“แต่คุณเหมยกำลังเข้าใจผิดนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ เหมยเข้าใจถูกมากกว่า ในเมื่อภาพในวันนั้นมันฟ้องอย่างดีแล้วนะคะ”
เมยาวีสวนขึ้นมาในทันที ดวงตาคู่สวยไหวระริก เธอพยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะไม่ให้น้ำเสียงของตนเองสั่นไหวและให้จอมทัพรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา
“แต่คุณกำลังเข้าใจผมผิด...”
“เปล่าคะเหมยคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้วต่างหาก”
“คุณเหมย คุณพูดเหมือนกับว่าคุณกำลังหึงผม...”
“ใครว่าอย่างนั้นล่ะคะ เหมยจะไปมีสิทธิอะไรที่จะไปหึงกัน เราสองคนเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้นนะคะ อีกอย่างเหมยก็ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสักหน่อยทำไมจะต้องไปหึงคุณด้วยล่ะคะ คุณปูเป้เธอต่างหากที่จะต้องหึงคุณ”
สิ่งที่พูดออกมาของเธอมันไม่ตรงกับหัวใจเอาเสียเลย เมยาวีหลุบเปลือกตาของมองพื้น เธอไม่อยากจะมองหน้าเขาเพราะกลัวว่ามันจะทำให้หัวใจของเธอถลำลึกไปมากกว่านี้
“แต่ผมกำลังรู้สึกว่าคุณกำลังหึงผมที่กอดกับปูเป้ในวันนั้น”
“คุณจอมทัพ...อย่าคิดว่าใครจะเหมือนคุณสิคะ เท่านี้หรือคะที่คุณจะพูดกับเหมย ถ้าอย่างนั้นเหมยขอตัวก่อนนะคะ”
“คุณเหมย คุณกำลังเข้าใจผมผิดอยู่นะครับ ผมกับปูเป้เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“นี่ๆ คุณ ออกไปห่างๆ ฉันนะ”
ชายหนุ่มขยับเข้าไปจนใกล้เมยาวี จนหญิงสาวหัวใจสาวเริ่มเต้นรัวอีกรอบ กรอบหน้าสวยยิ่งเข้มอีก เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดตนถึงเป็นเช่นนั้น เธอถอยหลังหนีเขาเพื่อจะไม่ให้ตนรู้สึกเหมือนหัวใจที่เต้นรัวแล้วค่อยๆ จะหยุดลง แต่ในเวลานั้น เท้าของเธอกลับสะดุดกับก้อนหินจนเป็นผลให้ต้องเสียหลักหงายหลังลงไป
“ว้าย...”
“ระวังหน่อยสิคุณ”
ดีที่จอมทัพคว้าเอวขอดได้ทันก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด กรอบหน้าสวยซบอยู่ที่อกของชายหนุ่มด้วยความตกใจ
“ปล่อย...” เมยาวีประท้วง เมื่อตั้งสติได้เธอจะดันตัวออกห่างจากเขาแต่จอมทัพกลับไม่ยอมปล่อยให้เธอออกจากอ้อมแขนแถมยังรู้สึกว่าวงแขนแข็งแรงนั้นจะยิ่งรัดร่างของเธอแน่นเข้าไปอีก
“ปล่อยนะคุณจอมทัพ ฉันบอกให้ปล่อยยังไงล่ะ”
“ไม่...จนกว่าคุณจะบอกผมก่อนว่าคุณกำลังหึงผมอยู่ใช่ไหมครับ”
“เหมยก็บอกคุณแล้วไม่ใช่หรือคะว่าเหมยไม่มีสิทธิที่จะไปหึงคุณ...”
“คุณกำลังจะบอกผมว่าถ้าคุณมีสิทธิ คุณก็จะหึงใช่ไหมครับ” จอมทัพดักทางอย่างรู้ทันและนั่นก็ยิ่งทำให้เมยาวีหน้าเข้มขึ้นไปอีก
“ปล่อยนะคุณจอมทัพ ฉันไม่ชอบให้ใครมากอดแบบนี้มันอึดอัด ปล่อย...”
“คุณก็บอกผมมาก่อนสิ ว่าคุณกำลังคิดอะไรกับผมอยู่”
“นี่คนกรุงเทพฯ เขาพูดไม่รู้เรื่องกันแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าคะ ปล่อยฉันนะคุณจอมทัพ ฉันอึดอัด ปล่อย...”
“ผมจะไม่ยอมปล่อยคุณ จนกว่าคุณจะบอกผมว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับผม” ได้ทีจอมทัพจึงถามอีก เขาเลิกคิ้วและยิ้มให้กับหญิงสาวอย่างมีเสน่ห์ เมยาวียอมรับบัดนี้หัวใจของเธอมันได้ละลายไปกับรอยยิ้มนั้นแล้ว
ทว่าคนอย่างเธอยอมได้เสียที่ไหน เมื่อเขาไม่ปล่อยกำปั้นน้อยๆ ก็ยิ่งทุบอกเขาอีก “ถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะทุบอกคุณให้กระอักเลือดเลยคุณจอมทัพ ปล่อยนะฉันหายใจไม่ออก”
“คุณจะใจร้ายขนาดนั้นเลยจริงๆ หรือ เอ้า...ก็ได้ ปล่อยก็ปล่อย” จอมทัพคลายวงแขนออกในที่สุด พร้อมกันนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับฝ่ามือน้อยๆ จะฟาดมาหมายตรงหน้าของเขา ยังดีที่จอมทัพคว้าแขนของเธอได้ทัน
“นี่คุณ กอดแค่นี้จะทำร้ายกันหนักแบบนี้เลยหรือ”
“ก็ใครใช้ให้คุณพูดไม่รู้เรื่องล่ะ”
“แต่ผมอยากรู้ความรู้สึกของคุณนี่ ว่าคุณกำลังคิดอะไรกับผม” จอมทัพเยี่ยมหน้าเข้าไปใกล้เธออีก จนเมยาวีหมั่นไส้อยากจะฟาดหน้าเขาอีกสักฉาดหนึ่ง
“บ้า...คนบ้า เชิญคุณบ้าคิดไปคนเดียวเถอะ...” หญิงสาวรีบกลบเกลื่อนอาการที่มันฟ้องบนใบหน้า ก่อนจะสะบัดหน้าและจะเดินจากไป
ทว่าในเวลานั้นจอมทัพกลับคว้าข้อมือของเธอเอาไว้อีกครั้ง...
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ อย่าเพิ่งไป เรายังคุยกันไม่จบเลย”
“แต่ฉันคุยจบแล้ว ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันจะไปนอน…”
พูดจบก็หันหลังจะเดินจากไปอีกรอบ แต่เวลานั้นเท้าของเธอกลับสะดุดขอบปูนซึ่งทำเป็นที่กั้นระหว่างถนนกับแปลงดอกไม้จนหงายหลังล้มลงไปและนั่นก็ได้ส่งผลให้จอมทัพเสียหลักล้มตามลงมาด้วยอีกคน
“ว้าย...”
ร้องได้แค่นั้นปากของจอมทัพก็ตามลงมาประกอบบนปากของเธออย่างเหมาะเจาะ เมยาวีเบิกตาโพลงอย่างตกใจ เธอมองกรอบหน้าคมที่อยู่ใกล้ ลมหายใจเป่ารดบนกรอบหน้าสวย เมยาวีหลุบเปลือกตาลงด้วยเพราะรู้สึกเสียวซ่านและเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งพล่านอยู่ภายใน
เช่นเดียวกับจอมทัพที่หัวใจเต้นแรงและรัวดั่งกลองศึก ช่วงเวลาที่ร่างของเขาทับลงมา ไปจนถึงข้อมือบางที่ดันแผงอกของเขาเพื่อประท้วง มันดูเหมือนจะเป็นเวลาที่สร้างความสุขให้กับเขาเป็นที่สุด ชายหนุ่มคลี่ยิ้มก่อนจะยัดกายลุกขึ้นในที่สุด
“คนบ้า...ลามก” เมยาวีประท้วงแทนอาการเขินอายที่เกิดขึ้นกรอบหน้าสวยซึ่งแดงซ่านอย่างเห็นได้ชัด
“ผมขอโทษ”
“คนผีทะเล...ลามก”
เธอดันกายลุกขึ้นจนสำเร็จก่อนจะบริภาษอย่างไม่พอใจ และวิ่งออกไปไปในทันที ขณะจอมทัพมองตามร่างนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส รับรู้ถึงกระแสความรู้สึกภายในที่วันวิ่งวุ่นอยู่ในนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันเหตุใดกับเมยาวีเขาถึงได้รู้สึกดีแบบนี้ก็ไม่รู้
****
หลังวิ่งเข้ามาในห้อง เมยาวีก็ได้แต่คลี่ยิ้มเอียงอาย คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ยกมือขึ้นจับริมฝีปากตนเองก็พลันยิ้ม ความรู้สึกที่มีปากของเขาทาบอยู่บนปากของเธอยังคงอุ่นซ่านอยู่ไม่หาย
ดีนะที่เธอรีบวิ่งออกมาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงจะเก็บกดอาการบางอย่างที่มันแล่นพล่านอยู่ภายในและพร้อมที่จะแสดงออกมาในเวลานั้นไม่ได้ มือบางแตะที่เรียวปากของตนเอง รับรู้ถึงรสสัมผัสที่มันหอมหวานเป็นยิ่งนัก เธอคลี่ยิ้มเอียงอาย ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเตียงและเอนตัวลงนอนในที่สุด
เชื่อได้ว่าคืนนี้ เธอคงจะต้องนอนฝันดีไปจนถึงเช้าอย่างแน่นอน...
*****
สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงต้นไม้สะบัดกวัดไกวตามแรงลม มีบางกิ่งหักโค่นลงมาตรงหน้าอย่างน่ากลัว เมยาวีมองไปโดยรอบเพื่อหาที่หลบภัย หากแต่บริเวณนั้นกลับไม่คุ้นเอาเสียเลย หญิงสาวจึงตัดสินใจวิ่งไปข้างหน้า หวังเพื่อจะมองหาที่พักเอาสักที่หนึ่ง
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ร่างในชุดบางเบาเปียกโชก เห็นโพรงถ้ำปรากฏอยู่ตรงหน้า เธอจึงวิ่งเข้าไปหลบในนั่นทันที
“ฝนบ้าฝนบอ ตกทำไมตอนนี้นะ” บ่นพร้อมกับครุ่นคิด ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวเหตุใดฝนมันถึงตกได้ หรือว่าจะเป็นฝนหลงฤดู เจ้าฝนบ้าเอ้ย...บ้าที่สุด
“แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย...”
ยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าสวยหวานของตัวเอง เพื่อจะไล่หยาดน้ำฝนที่มันเกาะอยู่เต็มใบหน้า ก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาที่นั่ง เมื่อฝนหยุดค่อยหาทางกลับกันทีหลัง
ทว่ายิ่งนานฝนก็ยังไม่ขาดเม็ด หญิงสาวนั่งคู้เข่าสองมือโอบกอดเข่าด้วยความหนาวเหน็บที่เกาะกุมเข้าไปถึงในใจ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีบางอย่างมาสะกิดที่สีข้าง
หญิงสาวค่อยๆ เลื่อนสายตาลงไปมองตรงนั้น ก่อนจะเบิกตาโตอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งหนึ่งผิวเนื้อเรียบรื่นแถมยังสะท้อนสีหนังมันวาววับอย่างน่าลูบไล้ หากแต่สำหรับเธอแล้วกลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก
“ว้าย...งะ งู...”
กรีดเสียงร้องลั่น จะลุกขึ้นทว่าเจ้างูเหลือมตัวนั้นกลับไวอย่างกับโกหกมันตวัดหางโอบรัดร่างเธอแน่น จนเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก
“อะ...ชะ ช่วยด้วย ย ย”
ยิ่งร้องมันก็ยิ่งรัดแถมยังเคลื่อนหัวอันใหญ่โตขึ้นมาประชันหน้ากับเธอ ดวงตาคู่สวยยิ่งเบิกโพลงเมื่อมองเห็นชัดๆ ว่าเจ้างูบ้าตัวนั้นส่งสายตาเจ้าชู้มาให้เธอ พร้อมกับกะพริบตาทำกระแสไฟปิ้งๆ ก่อนจะโผเข้าจูบปากของเธออย่างรวดเร็ว
“ว๊าย ย!!!!”
เมยาวีร้องลั่น เสียงมีเท่าไรก็ร้องออกมาแบบไม่หยุด อาการรัดของเจ้างูตัวนั้นยังคงแน่นอีก จนการหายใจเริ่มติดขัด เธอหลับตาปี๋ เชื่อว่าตนคงขาดหายใจในเวลานั้นแล้ว
“ชะ ช่วยด้วย ว้าย ย ย”
ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงขึ้นในทันที พร้อมกับแสงไฟในห้องสาดเข้าตาจนแสบ หญิงสาวหายใจหอบถี่ มองไปรอบๆ ก็พบว่าบัดนี้เธออยู่ในห้องนอนของตัวเองและที่สำคัญผ้าห่มของเธอ กำลังม้วนตัวเธออย่างกับด้วงตัวใหญ่ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอหายใจไม่ออก
ที่แท้ก็ฝันน่ะเอง...
ทอดถอนใจพร้อมกับปลอบตัวเอง ก่อนจะสะบัดผ้าห่มทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ยังดีนะที่เธอรู้ตัวเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงจะขาดใจตายไปแล้วล่ะ
แม้จะรู้ตัวว่าฝันไป หากความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะภาพตอนที่เจ้างูตัวนั้นโผเข้ามาจูบปากเธอ มันช่างเด่นชัดเป็นยิ่งนัก
“อี๋...งูบ้า ลามก มาส่งกระแสจิตสะกดฉันอีก”
เธอหลับตาปี๋ พยายามจะขัดปากตัวเองให้พ้นไปจากความรู้สึกอุ่นซ่านจนทำให้หัวใจเต้นรัวอยู่ตลอดเวลาให้หมดไป ก่อนจะมองไปทางนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าให้แล้ว
นี่เธอหลับไปตอนไหน แถมยังไม่ปิดไฟอีก...เธอเข้ามาในห้อง พร้อมกับความรู้สึกดีที่เขาจูบปาก จากนั้นก็คงจะเผลอตัวหลับไป แต่ที่ไหนได้...
“ชิ...ไอ้งูบ้า ทำให้ฝันดีของฉันต้องเป็นฝันร้าย”
เอ็ดไปถึงความฝันของตนก่อนจะทอดถอนใจออกมาเสียยืดยาวและปิดไฟเข้านอน พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่นึกถึงความฝันและหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำแทน ก่อนจะเผลอตัวหลับไปอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
/////
เช้าแล้ว...วันนี้เมยาวีตื่นเร็วกว่าเป็นปกติ หญิงสาวออกมายืนบนดาดฟ้าอ้าแขนรับอากาศอันบริสุทธิ์ วันนี้หมอกไม่ลงจัดอย่างทุกวันและดูเหมือนว่าพระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นจากเหลี่ยมเขาเร็วกว่าทุกครั้งเสียด้วย มันสาดรัศมีทาทาบผืนดิน จนไอหมอกลอยกรุ่นระเหยขึ้นเหนือผิวดินหลายจุดซึ่งเป็นที่ชื้น
ยืนบิดขี้เกียจไปสักพัก ก็หวนคิดถึงความฝันที่น่ากลัวอีกไม่ได้ งูเป็นงูเหลือมซะด้วยสิ ตัวมันใหญ่และน่ากลัวอย่างกับอะไรดี คิดได้ดังนั้นเธอก็เอาโทรศัพท์ออกมาโทรไปหามณีกานดา ที่หญิงสาวเชื่อว่าเพื่อนสาวจะต้องช่วยคลี่คลายความฝันของตนเองให้ดีได้อย่างแน่นอน
อืม...โบราณว่าฝันร้ายจะต้องกลายเป็นดีและมณีกานดาน่าจะช่วยเหลือเรื่องเหล่านี้ได้
“ฮัลโหล มีอะไรจ้ะเหมย โทรมาตั้งแต่เช้าเชียว” เสียงจากปลายสายดังตอบรับมา หลังจากสัญญาณติดเพียงไม่ถึงนาที
“คีน ฉันมีเรื่องจะปรึกษาเธอ”
“เรื่องอะไร”
“ความฝัน...”
“ความฝัน เธอฝันร้ายหรือ”
“อือ...ฝันร้ายมากๆ”
“แล้วฝันว่าแบบไหนล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมา ขณะเมยาวีเผลอที่จะยกมือขึ้นจับที่เรียวปากของตัวเองอีกครั้ง
“งู...ฉันฝันเห็นงูเหลือมตัวใหญ่ มะ มันรัดและจูบฉัน”
“งูเหลือมรัดและจูบ...” ถ้าเมยาวีจะเห็นบุคคลทางปลายสาย ก็คงจะเห็นว่าในขณะนี้มณีกานดากำลังเบิกตา
โพลง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
“ใช่ มันจูบฉัน อึ๋ย...น่ากลัวชะมัด”
ปลายสายไม่ตอบแต่กลับส่งเสียงหัวเราะกลับมาอีก จนเมยาวีที่สงสัยจะถามขึ้น “เธอหัวเราะอะไรยายคีน”
“เปล่า ฉันว่า เธอน่าจะหาเวลาว่างไปทำบุญบ้างนะ”
“ทำบุญ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความฝันของฉัน” ถามไปอย่างสงสัยสุดๆ หญิงสาวเดินไปข้างหน้าจนสุดกับระเบียง มือข้างหนึ่งจับที่ราวระเบียงแน่น ส่วนสายตาก็เหลือบไปเห็นจอมทัพเดินออกมาที่ด้านหน้าระเบียงของเรือนไม้เหมือนกัน
เธอคลี่ยิ้ม แอบส่งยิ้มให้กับเขาอย่างเงียบๆ
“ก็โบราณว่า ถ้าฝันถึงงู ก็ให้คนที่ฝันไปทำบุญ แล้วคนนั้นจะเจอกับเนื้อคู่อย่างไรล่ะ ฉันเห็นในนิยายหลายเรื่องแล้วนะว่านางเอกมักจะฝันเห็นงูและไม่กี่วันก็จะเจอกับพระเอก”
“สุดท้ายเธอก็บ้านิยายน่ะแหละยายคีน”
“แต่นิยายมันก็สร้างมาจากชีวิตจริงนะ เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเขาก็คงจะไม่เขียนขึ้นมาหรอก”
“จ้า...แม่คนบ้านิยาย”
“ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ล่ะ ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะเจอกับเนื้อคู่ของเธอแน่”
หรือมันจะจริงอย่างที่มณีกานดาว่า บางทีเนื้อคู่ของเธออาจจะกำลังตามหาเธออยู่ก็ได้ และอีกไม่กี่วันเขาก็คงจะต้องได้รู้จักกับเธอ เมยาวีเริ่มอายม้วนกับความคิดของตนเอง ทว่าหากสิ่งนั้นเป็นความจริงแต่นี้เป็นต้นไปเธอก็จะไม่ต้องเดียวดายอีกต่อไปแล้วล่ะสิ
“แต่เหมย ฉันว่าเนื้อคู่ของเธอ เธอน่าจะเจอแล้วนะ” เสียงจากปลายสายดังมาอีก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปเสียสนิท
“เจอ...เจอแล้วยังไง ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็เจอเนื้อคู่ของเธอน่ะสิหรือว่าเนื้อคู่คนนั้นของเธออาจจะเป็นคุณจอมทัพก็ได้”
สิ่งที่เพื่อนสาวทายมานั้นยิ่งทำให้เมยาวีอายม้วนเข้าไปอีก เมื่อหญิงสาวคิดไปถึงจูบแรกที่จอมทัพฝากเอาไว้จนเผลอตัวยกมืออีกข้างจับตรงเรียวปากของตนเองอีกครั้ง
“เธอก็ว่าไปยายคีน มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้”
“ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมจะไม่แน่นอน ฉันรู้นะว่าเธอก็สนใจคุณจอมทัพอยู่เหมือนกัน”
“บ้า..ยายคีนพูดออกมาแบบนี้ทำไม ฉันเสียหายนะ พอละฉันไม่คุยกับเธอละ ไปก่อนล่ะนะบาย”
หลังวางสายไปแล้ว เมยาวีก็ยิ่งยิ้มอย่างเขินอาย นอกจากคำบอกเล่าของเพื่อนสาวจะทำให้เธออายแล้ว รอยยิ้มจากจอมทัพที่ส่งมาทักทายเธอจากเบื้องล่างยิ่งทำให้เธออายมากไปอีก เมยาวีจึงตัดสินใจถอยกลับเข้าห้องไปในที่สุด
----
บรรยากาศยามเช้าที่สดชื่น พาให้ชายหนุ่มเดินออกมายังด้านนอกของเรือนไม้และนั่นก็ทำให้เขาสมใจ เพราะนอกจากอากาศเย็นสบายแล้ว ยังจะมีดอกไม้หลากหลายชนิดกำลังเบ่งบานอวดโฉมให้เขาชม
จอมทัพเดินเลาะเรียบไปตามถนนโรยกรวด มองเหล่าดอกไม้ต่างชนิดที่ถูกจัดเป็นส่วนๆ อย่างลงตัว แถมในเวลานี้ มันกำลังแข่งกันผลิบานทั้งดอกสีขาว สีเหลือง สีแดงและสีชมพู อย่างสวยงามไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่ดอกไม้ที่เต็มทุ่ง นั่นก็ยิ่งทำให้เขาสดชื่นยิ่งกว่าเดิมมาก
หมู่ผีเสื้อน้อยใหญ่ ต่างออกมาโบยบิน เพื่อดอมดมความหอมของดอกไม้ตรงหน้า เช่นเดียวกับเจ้าผึ้งน้อยๆ ที่สลัดปีกบินออกจากรวงรัง เพื่อเสาะหาน้ำหวาน
เขามองภาพเหล่านั้นด้วยหัวใจที่สดชื่นเบิกบาน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงหนึ่งเอ่ยทักและดังมาจากข้างหลัง
“สวัสดีตอนเช้าครับ คุณจอมทัพ” เป็นชัยที่เดินเข้ามาหาเขาในเวลานั้น
“อ้าวคุณชัย ไปไหนมาตั้งแต่เช้าล่ะครับ” จอมทัพหันไปทางต้นเสียงและถามอย่างกันเอง
“ใครว่าผมไปไหนมาล่ะครับ ผมเพิ่งมาที่นี่ต่างหาก ผมพักที่บ้านพักข้างๆ โรงเลี้ยงกล้วยไม้ในสวนน่ะครับ”
“จริงหรือครับ ผมคิดว่าคุณพักบนตึกใหญ่กับคุณเหมยและคุณน้ำบุษย์เสียอีก”
“ไม่หรอกครับ ผมกำลังทำวิจัยกับเนื้อเยื่อพันธุ์ไม้พันธุ์ใหม่อยู่ จึงต้องอยู่ในสวนตลอดเวลาจึงได้สร้างบ้านพัก
อยู่ในนั้นน่ะครับ” ชัยตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
จอมทัพยิ้มกับคำบอกเล่าของหนุ่มรุ่นน้องก่อนจะพากันเดินไปข้างหน้า “เห็นทีวันนี้ผมจะต้องรบกวนคุณชัยให้พาไปยังบ้านพักของคุณแล้วล่ะครับ อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ คงจะสวยน่าดูเลย”
“ยินดีครับผม ไปตอนนี้เลยดีไหม เดี๋ยวสายๆ ค่อยกลับขึ้นมาทานข้าวกัน”
“ได้สิครับ ผมยังไม่หิวไปเที่ยวบ้านพักของคุณก่อนดีกว่า”
เมื่อตกลงกันได้แบบนั้นแล้ว ทั้งสองหนุ่มจึงจะพากันกลับเข้าไปในทุ่งดอกไม้อีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันได้เดินทางไปไหน รติกรก็วิ่งลิ่วตรงมาที่คนทั้งสองด้วยสีหน้าตาตื่น
“คุณจอมคะ คุณจอม แย่แล้วค่ะ” เธอวิ่งมาหยุด พร้อมกับหายใจหอบถี่เพราะเธอเดินตามหาเขาอยู่นานกว่าจะพบ ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
“มีอะไรคุณรติ เกิดอะไรขึ้น”
“ใช่ เกิดอะไรขึ้นคะ คุณรติ” เมยาวีที่เดินทางมาถึงทีหลังเอ่ยถามอย่างตกใจแกมเป็นห่วง
“คือเมื่อครู่นี้ รติเข้าไปเรียกคุณปูเป้ที่ห้องเพราะเห็นว่ายังไม่ตื่น แต่ปรากฏว่าตอนนี้คุณปูเป้นอนตัวร้อนเลยค่ะ คงจะเป็นไข้น่ะค่ะ”
“เป็นไข้...” คนทั้งสามอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน
“ใช่ค่ะ รติว่าควรจะพาคุณปูเป้ไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ”
“ไหนครับ...” จอมทัพพูดแค่นั้นก็รีบเร่งรุดตรงไปยังเรือนไม้ในทันที พร้อมกับเมยาวี ชัยและรติกรก็รีบตามไปเช่นกัน
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2555, 08:19:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2555, 20:18:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 1978
<< ตอนที่ ๖ ฤดูหนาวรัก | ตอนที่ ๘ (1) คู่ปรับ >> |
anOO 5 มี.ค. 2555, 15:54:20 น.
สมน้ำหน้านายจอมทัพ ไม่ยอมเด็ดขาดกับยัยปูเป้เอง
สมน้ำหน้านายจอมทัพ ไม่ยอมเด็ดขาดกับยัยปูเป้เอง