ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา
ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย
นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย
ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ
ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน
ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"
ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย
เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ
เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"
เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"
เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น
เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย
แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย
หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด
อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย
นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย
ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ
ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน
ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"
ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย
เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ
เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"
เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"
เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น
เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย
แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย
หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด
อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๐๖
บทที่ ๖
ตะวันเริ่มยอแสง ภายในบริเวณบ้านอเนกคุณากรจึงยิ่งร่มครึ้ม ความวิเวกดูจะไปด้วยกันได้ดี กับเสียงลมพรูพัด ไม้หอมเริ่มส่งกลิ่น ซ้ำยังมีเสียงหรีดหริ่งเรไร ช่วยเพิ่มความวังเวงให้กับบรรยากาศอันชวนขนลุก
แต่ทรงธรรมกลับเห็นเป็นความสงบอันสุนทรี ดีเหมือนกันที่เจ้าหมอเกตุมันผิดนัด จะได้ไม่ต้องมีไอ้คนขี้ปอดพรรค์นั้นมายุ่มย่าม ส่วนที่เขาโวยกับนายวงศ์เรื่องเอาเครื่องรางสารพัดมาผูกพันให้รุงรังนั่น ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะอย่างไรอุ่นเรือนจะต้องเข้าข้างเขาอยู่วันยันค่ำ
นึกไปนึกมาก็อดเคืองนายวงศ์ไม่ได้ ไม่รู้จะเคร่งครัดในคำสั่งอะไรนักหนา ถึงได้พาคนมาวงสายสิญจน์ไม่รู้กี่รอบ ท่าทางคงมาจากหลายสำนัก กับสารพัดยันตร์กันภูตผีปิศาจนั่นอีก กว่าทรงธรรมจะไล่เก็บทิ้งได้ครบ ก็ถึงกับหอบ เฉลวบางอันใหญ่เท่ากระด้ง ผ้ายันตร์บางผืนใหญ่กว่าผ้าจีวรพระเสียอีก
"ทำไมมันเยอะขนาดนี้กันเล่า"
เขาบ่นพึมกับตัวเอง ทั้งที่ยังไม่ละความพยายามจะปีนขึ้นไปปลดบางอันที่ห้อยแขวนอยู่บนเพดานสูง
พอก้าวพาดพลั้งล้มลง ก็คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมากับสายลม แต่ทรงธรรมก็ยังไม่สนใจ กลับตะเกียกตะกายขึ้นไปปลดผ้ายันตร์ผืนยักษ์นั้นลงมาจนได้
เสียงหัวเราะที่แว่วแผ่ว ที่แท้แล้วก็คือเสียงของบรรดาผีสาวที่ยังเฝ้าสังเกตการอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
"เห็นไหมคะคุณแส คุณทรงธรรมเขาดูตลกดีออกเจ้าค่ะ"
"ตลกแล้วอย่างไร ผู้ชายน่ะ พูดอย่างทำอย่าง ปากอย่างใจอย่างทั้งนั้น"
แล้วคุณแสก็ไม่พูดอะไรอีก พาผีสาวทั้งกลุ่มเดินตามดูพฤติกรรมของชายหนุ่มต่อไป
กระทั่งทรงธรรมเดินไล่มาจนถึงห้องหนึ่ง เขานึกว่าประตูปิดสนิท จึงเผลอพิง ทำให้เสียหลักผลุบเข้าไปในห้อง
ผีสาวอดตกใจไม่ได้ พากันวิ่งตามมาดูใกล้ๆ ยกเว้นแต่คุณแสคนเดียว
"คุณแส เป็นอะไรเจ้าคะ"
แสงเพ็งต้องกลับมาประคอง
"ไม่รู้สิ กับห้องนี้ ทุกครั้งที่ข้าผ่านมา จะต้องเป็นอย่างนี้ทุกที รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก"
อาการทั้งหมดก็เพราะกระแสวิญญาณของคุณแสกระทบกับกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง ที่นางเองก็ยังหาสาเหตุไม่พบ
"เจ็บอยู่ตรงหน้าอกนี่ละ มากที่สุด"
"ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะเจ้าคะ"
ผีสาวอื่นๆ ถามกันไปมา ขณะที่เจ้าหลงพยายามเฝ้าดูการกระทำของชายหนุ่มอย่างไม่วางตา
ห้องนี้เป็นห้องทึบไม่มีหน้าต่าง อาศัยช่องลมซึ่งเป็นซี่ลูกกรงบิดเกลียว ช่วยให้อากาศถ่ายเท ภายในรุงรังเพราะไม่มีใครเข้ามาเก็บกวาดเหมือนที่อื่นๆ หยากเยื่อใยแมงมุมเต็มไปหมด ฝุ่นก็จับหนากว่าตรงส่วนอื่นของบ้าน แสดงให้เห็นว่าห้องนี้ถูกละเลยมานานนัก
ทั้งที่การประดับตกแต่ง ดูเหมือนจะเป็นห้องของหญิงสาว ที่จะต้องมีรสนิยมดีไม่น้อย หรือไม่... คนที่จัดแต่งห้องให้หญิงสาวผู้นี้อยู่ ก็จะต้องมีรสนิยมอันศิวิไลซ์ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสแต่งห้องลูกผสมระหว่างไทยกับเทศ ได้ลงตัวเหมาะเจาะขนาดนี้
โต๊ะกลางเป็นโต๊ะกลมรี มีผ้าอะไรสองสามผืนวางซ้อนอยู่ ทรงธรรมเกือบจะเปิดดูอยู่แล้ว หากไม่จามออกมาเสียก่อน
เพราะอากาศตลบฝุ่น ที่สูดลมหายใจเข้าไปก็ล้วนแต่ฝุ่นผง เขาเลยจำต้องเผ่นออกมาก่อนที่จะได้สำรวจภายในห้องให้ละเอียด
และหลังจากหมดใจจะตรวจดูบ้านช่อง ด้วยเห็นว่าเย็นย่ำลงเสียแล้ว เขาก็จัดแจงล้างเนื้อล้างตัว แล้วลิ่วออกจากบ้านไป
"ดูๆ ไปก็ไม่มีพิษมีภัยอะไรนะเจ้าคะ"
กระถิน ผีที่สนุกกับการหลอกหลอนคนมากที่สุดชักใจอ่อน
"อย่างไรเสียก็ต้องไล่เขาออกไป"
คุณแสยังยืนยัน
"ใช่ขอรับ ต้องไล่เขาออกไป เพราะเขามาทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ เต็มไปหมด"
คราวนี้เจ้าหลงเห็นดีด้วยกับคุณแส
"นั่นสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเราคงไม่ต้องวุ่นวายกันขนาดนี้"
ผกาเอ่ยขึ้นบ้าง โดยมีผีตนอื่นๆ สนับสนุนเต็มที่
"แต่ว่า เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายสักหน่อย"
ตอนนี้เหลือเพียงแสงเพ็งคนเดียวที่ยังไม่ได้คิดร้ายกับชายหนุ่ม
"จริงอยู่ สายสิญจน์ ยันตร์อะไรนั่น ไม่เป็นเพราะเขาก็คงไม่มีใครเอามาติดให้รก แต่ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เก็บทิ้งจนหมดน่ะ"
พอพูดๆ ไป ผีอื่นๆ ก็ชักเริ่มคล้อยตาม
"จะว่าไป ดูเขาเป็นคนดีออกเจ้าค่ะ"
"เจ้าคงไม่คิดจะให้เขาอยู่ที่นี่หรอกนะแสงเพ็ง"
คุณแสเน้นคำชัด ไม่อยากคิดเลยว่า ผีสาวฝึกหัดจะตกหลุมรักเข้าเสียแล้วกระมัง
"ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แค่คิดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องทำกับเขาเหมือนที่ทำกับคนอื่นๆ ก็ได้นี่คะ"
ผีสาวยังพยายามหว่านล้อม คุณแสเลยต้องตัดบทเสียว่า
"เรื่องนั้นไว้พูดกันทีหลังก็ได้ ข้าคงต้องขึ้นไปพักสักหน่อย แต่ว่าเจ้าอย่าลืม..."
"อย่าลืมว่าเราอยู่คนละภพกัน แหม ไม่ลืมหรอกเจ้าค่ะ ก็คุณแสเล่นย้ำแล้วย้ำอีกขนาดนี้ อย่างนั้น พอขึ้นไปข้างบน เรามาวางแผนกันดีกว่า ว่าจะจัดการกับเขายังไง"
นั่นละ บรรดาผีที่เหลือจึงเห็นดีเห็นงาม พากันขึ้นไปยังห้องบน เพื่อช่วยกันคิดแผนการหลอกหลอนที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้
ทรงธรรมไม่ได้มาเรือนไทยตามที่อุ่นเรือนนัดไว้ เขาค่อนข้างแน่ใจว่า นายวงศ์คงจะอยู่เป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ หรือไม่อาจจะมีนางบ่าวนางไพร่อีกหลายนาง คอยกางกั้น จึงไม่คิดจะเสียเวลาเสียอารมณ์ กับสถานการณ์อย่างนั้น
เขาย้อนกลับมายังโรงแรมที่พัก ตั้งใจจะเอาข้าวของเครื่องใช้ที่เหลือกลับไปไว้ที่บ้านเรือนตึก พอดีเจอกับหญิงงามเมืองคนคุ้นเสียก่อน จึงตั้งวงจัดฉลองขึ้นอย่างเป็นกันเอง
"พี่จะย้ายไปอยู่บ้านแล้วนะจ๊ะแม่นวล"
เขาคลอเคลียกับหล่อน ตามประสาคนเนื้อร้อนด้วยกันทั้งคู่ พอยิ่งแนบชิด พร้อมมีสุราราดลงไปในกองอารมณ์ ความคุกรุ่นอันนั้นจึงยิ่งโชนฉาน
ชายหนุ่มเกี่ยวแขนกับนวล เพื่อดื่มเหล้าแก้วของตน ทำให้ระยะหายใจใกล้ชิดจนได้กลิ่นรัญจวนของอีกฝ่าย กระทั่งแม่นวลเองก็อดเขินไม่ได้
"คุณทรงธรรมช่างเก่งกาจเหลือเกินนะเจ้าคะ ดีฉันเจอคนมาก็มาก ไม่เห็นมีใครทำตัวสนุกสนานได้อย่างนี้"
เพราะความตรงๆ ของแม่นวลนี่ละ ที่ทรงธรรมถูกคอที่จะคุยด้วย
หลังจากนั้นแม่นวลก็ปรนนิบัติพัดวี นวดเฟ้นต่อไปตามอาชีพหน้าที่ วาจาก็ฉอเลาะเป็นถ้อยคำชื่นชมความเป็นเลิศชายทั่วไป จริงบ้างเท็จบ้างในอารมณ์นี้ใครเล่าจะไปใส่ใจ
จนเวลาล่วงเลยมาอีกพักใหญ่ ที่ทรงธรรมกำลังมึนได้ที่ หมอเกตุอาคมจึงได้โผล่เข้าสมทบ
"ทำไมมาเอาดึกป่านนี้ ข้าต้องปรับให้เอ็งกินเหล้ารวดเดียวขวดหนึ่ง"
ที่เขาพูดอย่างนั้น ก็เพราะก่อนมาได้แวะไปหา และชวนไว้ก่อนแล้ว
"งานเอ็งก็ไม่ต้องทำ หรืองอนที่ชวดเงินก้อนโต เรื่องทำพิธีอะไรนั่น"
"บ้านนั้นน่ะ เขาไม่เชื่อถือข้าแล้วละมั้ง ช่างเถอะๆ เรื่องมันผ่านไปก็ดีแล้ว แต่เรื่องเหล้ายานี่ ข้าขอสักวัน"
แม้จะพูดดังนั้น แต่หมอเกตุอาคมก็ยอมนั่งลงร่วมโต๊ะแต่โดยดี
ผู้เพิ่งมาถึงยังคงแต่งกายด้วยเสื้อขาวกางเกงขาว คล้องประคำใหญ่เส้นหนึ่ง กับในมือยังมีอีกเส้นหนึ่งเป็นสรณะ
"ข้ามันคนเล่นของมีอาคม ต้องถือศีลถือสัตย์ จะกินจะเมาพร่ำเพรื่อได้ยังไง"
"ได้! ถ้าอย่างนั้นตกลงตามที่เอ็งพูด เอ็งขอสักวันก็ได้ แต่..."
"แต่อะไร"
หมอผีหนุ่มตามไม่ค่อยทัน เพราะสติปัญญานั้นทึบเต็มที
"แต่นี่มันตอนกลางคืน ฉะนั้น ต้องกิน"
"พี่ธรรม์... อย่ามาคารมกับข้าหน่อยละ แต่ก็... พี่พูดมากันก็ถูก ถือว่าข้าไม่รอบคอบเอง มาๆ ข้ารินเอง แต่ว่า..."
"แต่อะไรนักหนากันเล่า"
ทรงธรรมชักเริ่มรำคาญ แต่ก็ต้องแปลกใจ กับสายตาที่พินิจพิจารณาของฝ่ายตรงข้ามที่มองมา
"แต่ว่า พี่ธรรม์ไปอยู่บ้านผีสิงนั่นทั้งวัน ไม่เห็นบุบสลายที่ตรงไหนเลย ใช้ได้ๆ"
"ก็ใช่น่ะซี" เขาเลยรีบคุยอวด "คนที่จิตใจดีน่ะ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ผีไม่ทำอะไรหรอก ไม่เคยได้ยินรึ ที่เขาว่า คนดีผีคุ้มไงเล่า"
จบคำก็หันไปพยักเพยิดกับแม่นวลอีกครั้ง
"ไม่มีผีจริงๆ เหรอ"
หมอผีหนุ่มยังไม่วาย
"ข้าก็บอกเอ็งมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าโลกนี้มีผีสางเทวดาที่ไหนกัน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เขาก็ว่ากันออกให้เกลื่อนไป นี่ที่ชวนมากินเหล้าด้วยกัน ก็เพราะอยากจะขอบใจ ถ้าไม่ใช่เอ็งพาไปเรือนตึกนั่น ชาตินี้ก็คงไม่รู้จะทำยังไงต่อไป"
"พี่ธรรม์ก็กล้าเสียเกินไปละ ที่ไปพักเรือนตึกนั่นจริงๆ จังๆ"
"คุณท่านคะ บ้านๆ ผีๆ อะไรกัน หมายถึงอะไรกันเจ้าคะ"
แม่นางงามเมืองฟังอยู่นานแล้ว จึงเอ่ยขึ้นบ้าง
"ก็เรือนใหญ่ราวกับคฤหาสน์ที่พี่ไปอยู่ไงเล่า อีกสักประเดี๋ยวแม่นวลจะไปดูก็ได้นะ"
เขาเชยคางหญิงสาวขึ้น เหมือนจะดึงมาจุมพิต แต่หล่อนยังหลบ ตามวิสัยของหญิงมีอาชีพ ที่การสัมผัสจับต้องดอมดม ควรจะต้องมีอัฐฬสมาแลกเปลี่ยน
หล่อนผลักหน้าเขาออก ก่อนจะเอ่ยว่า
"ว่าแต่ เรือนตึกคฤหาสน์อะไรนั่น อยู่ที่ไหนกันหรือคะ"
"ก็เรือนตึกเจ้าคุณอเนก บ้านคลองมหานาคไงเล่า"
ได้ยินแค่นั้นแม่นวลก็ตาค้าง พูดไม่ออกอยู่อีกเป็นนาน
"ว่ายังไรนะเจ้าคะ นั่นมันบ้านผีสิงมีชื่อเชียวนะ"
หล่อนปัดมือไม้ที่ป่ายปะของทรงธรรม เพราะอยู่ๆ ก็นึกรำคาญขึ้นมาเฉยๆ
"แถมเมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีคนไปตกบ่อตาย"
คำท้ายๆ ปากคอก็เริ่มสั่น เห็นได้ชัดว่าหล่อนกลัวขนาดไหน
"ใช่เลย ถูกต้องนะขอรับ"
"อย่างนั้นดีฉันไม่ไปด้วยหรอกนะเจ้าคะ"
แม่นวลรีบหันไปปฏิเสธคำชวนเมื่อครู่ของทรงธรรม
"พุทโธ่พุทถัง! จะกลัวอะไรกันเล่า พี่ก็พักอยู่ที่นั่น มีพี่ทั้งคนจะกลัวอะไร"
"คุณท่านพูดจริงหรือพูดเล่น ถ้าพูดจริง ดิฉันไม่ไปด้วยหรอกเจ้าค่ะ"
พอพูดมาถึงตรงนี้ก็เกิดระแวง ขยับตัวออกห่างจากทรงธรรม รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเป็นเงาๆ ติดตามชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่เป็นความรู้สึกที่พอจะตามอารมณ์ตนเองได้ทันว่า เป็นอุปาทานล้วนๆ แต่แม่นวลก็ยังระแวดระวังอยู่เต็มที่
"ไม่เอาดีว่า ดีฉันรู้สึกไม่สบาย ต้องขอตัวดีกว่านะคะ"
แล้วหล่อนก็ลุกพรวดพราดออกไป
"แม่นวล แม่นวลจะไปไหนเล่า ประเดี๋ยวสิ อย่างเพิ่งไป"
ทรงธรรมร้องจะตาม แต่ความมึนเมายึดขาเขาเอาไว้
"เพราะเอ็ง เพราะเอ็งทำเสียเรื่องอีกแล้วไอ้หมอผีกะโหลกกะลา"
"อะไรกันเล่า พี่ธรรม์ก็มีคุณอุ่นเรือนอยู่แล้ว ทำไมยังไม่เลิกสำมะเลเทเมา"
ที่หมอเกตุอาคมพูดอย่างนี้ ก็เพราะเดาออกว่าสวรรค์ของทรงธรรมเพิ่งจะล่มลงไปต่อหน้า เพราะแม่นวลสคราญลุกหนีไปเสียเฉยๆ จึงไม่ได้ถือสาคำปรามาสของเขาเท่าไรนัก
"คนอย่างเรา มันก็ต้องมีบ้าง ยังหนุ่มยังแน่นกันอยู่แท้ๆ และอีกอย่าง ข้าไม่ได้ชอบแม่อุ่นเรือนจริงจังกระไรนัก นี่ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะบ้านนางร่ำรวย ข้าไม่เสียสละขนาดนี้หรอก"
"โอ้โห! ความเสียสละเขาแปลกันอย่างนี้นะหรือพี่"
หมอเกตุอาคมอดหมั่นไส้ไม่ได้
"พวกเรียนสูงรู้สูงนี่ พูดจาพลิกแพลงไปได้เรื่อยๆ เลยนะ"
แม้ปากจะพูดไป มือของหมอผีหนุ่มก็ยังรินสุราเติมให้ฝ่ายตรงข้าม
"เอ็งรู้ไว้ก็ดี แต่ว่าเอ็งก็ไม่เลวนักนี่ ไม่ได้มีอาคมเข้มขลังอะไรเลย กลับมีศาลเจ้าใหญ่โต แต่ดูข้าสิ บ้านช่องห้องหอ ที่เท่าแมวดิ้นตายก็ยังไม่มีจะซุกหัว"
"นั่นมันของปู่ย่าตาทวดทิ้งไว้ อีกอย่าง เขาเรียกว่าตำหนักเทพไม่ใช่ศาลเจ้า"
หมอเกตุอาคมรู้สึกภูมิใจขึ้นอีกนิด กับที่ได้พูดออกไปดังนั้น
"ช่างเถอะๆ สำหรับเอ็ง จะศาลเจ้า จะตำหนักเทพ มันก็ไม่ต่างอะไรกันนักหรอก ยังไงเอ็งก็ไม่รู้วิชาอาคมอะไรอยู่ดี"
ทรงธรรมเติมเหล้าอีกแก้ว กระดกเข้าไปจนหมด แล้วก็เติมอีกจนเต็ม
"ไม่เห็นต้องพูดตรงๆ อย่างนั้นก็ได้นี่นะ"
หมอเกตุอาคมได้แต่บ่นกับตัวเองเบาๆ
"ก็เราจะคบหาเป็นมิตรสหายกัน ก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันอีกไงเล่า จะคิดมากทำไม"
"พี่ธรรม์พูดจริงเรอะ เอาเถอะข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงพี่หรอกนะ ยังไงข้าก็ตัดสินใจแล้ว ว่าแต่นี้ต่อไปจะตั้งใจฝึกฝนวิชาอาคม พอเชี่ยวชาญชำนาญการแล้วก็จะออกไปปราบผีให้ทั่วสารทิศ"
คนพูดออกท่าออกทางเต็มที่ เพราะดวดเหล้าเข้าไปมากแล้วนั่นเอง
"อีกอย่าง จะต้องไปแก้แค้น ไม่ให้พวกผีบ้านเรือนตึกนั่นมาหลอกอยู่ฝ่ายเดียว"
แต่ทรงธรรมก็ยังขัดคอ
"เอ็งนี่มันโง่งี่เง่าไม่เลิก ข้าบอกแล้วไงเล่า ว่าโลกนี้น่ะไม่มีผีสางเทวดาอะไรหรอก"
"พี่นั่นละไม่ยอมเข้าใจโลก ว่าโลกนี้มันมีผีจริงๆ"
หมอเกตุก็ยังเถียงคอเป็นเอ็น จนทรงธรรมต้องเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้
"เอาละๆ จะมีหรือไม่มีก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียเราก็ดื้อด้านพอกัน อย่างนั้นเรามาฉลองที่จะคบหากันต่อไปภายหน้าดีกว่า"
จันทร์ข้างแรมกระจ่างแสง หมู่ดาวพรายพริบอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าสีดำสนิท สายลมพัดเรื่อย พลิ้วผิวน้ำให้เกิดเป็นคลื่นระยิบพราว แมลงกลางคืนครวญเสียงสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจึงมีเสียงนกกลางคืนส่งเสียงกู่ก้องรัตติกาล
ภายในบริเวนบ้านอเนกคุณากรยิ่งวิเวกวังเวง หมู่ไม้ใบหนา กางกั้นแสงจันทร์ไว้ให้มืดมิด ในบ้านยังปราศจากผู้คนเคลื่อนไหว มีแต่ภูตพรายที่กำลังจะเริ่มแผนการสุขสนุก
"ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้วขอรับ"
เจ้าหลงเป็นต้นเสียง ปลุกเรียกบรรดาผีสาวที่เหลือให้ตื่นจากนิทรา
"เพราะนายคนนั้นแท้ๆ เชียว ทำให้เราต้องอดหลับอดนอน"
ผีมาลีบ่นพึมพำ ยังงัวเงียอยู่มากเพราะเพิ่งได้พักผ่อนก็เมื่อใกล้เที่ยงคืน
"ข้าก็บอกแล้วว่าถ้ายุ่งเกี่ยวกะคนเมื่อไร ก็ต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมา"
คุณแสบอกเรียกๆ เบื่อตัวเองอยู่เหมือนกันที่ต้องพูดเรื่องนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ไม่ขนาดนั้นละมังเจ้าคะ ถ้าไม่ไปยุ่ง เราก็ไล่พวกเขาไปไม่ได้"
ผีกระถินยิ่งอารมณ์บูด นอกจากเรื่องแกล้งหลอกหลอนผู้คน นางชอบการนอนมากที่สุด
"ช่างเถอะๆ" แสงเพ็งรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณแส "วันนี้เรามาแกล้งนายทรงธรรมนั่นให้สนุกกันดีกว่า นะคะคุณแส"
"ใช่ๆ แกล้งเขาซะให้เข็ด พอเขาหนีไป วันหน้าเราก็จะได้ไม่ยุ่งยากอีก"
เจ้าหลงเออออ คันไม้คันมือเต็มที่แล้ว
พวกที่เหลือ พอได้ยินก็ส่งเสียงสนับสนุนกันเต็มที่
"อย่างนั้นเราลงไปดูว่า จะจัดการกับข้าวของของเขายังไงดี"
"ดีๆ ไปถล่มเสียให้ราบ"
แล้วบรรดาผีสาวก็หายวับจากตรงนั้น มาปรากฏตัวอีกทีก็ตรงห้องล่าง ซึ่งขณะนี้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นห้องนอนและห้องส่วนตัวของทรงธรรม
ข้าวของที่ยกมาประดับตกแต่งยังไม่เข้าที่ทางดีนัก สมบัติสำคัญที่เขามีติดตัวมา เป็นพวกตำรา ดินสอปากกา กับกระดาษสมุด ส่วนที่นอนหมอนผ้าห่ม ชุดเปลี่ยนหรือของใช้อื่นๆ ต่างๆ เหล่านี้ล้วนถูกทำให้เละเทะกระจัดกระจาย เพราะฝีมือของพวกนาง
บุปผากับมาลี ตั้งท่าจะฉีกกระดาษสมุดให้หลุดออกเป็นชิ้นๆ ส่วนเจ้าหลงก็เริ่มจะราดน้ำหมึกลงบนกระดาษอีกกองหนึ่ง
"อย่าทำอย่างนั้นกันซี ของใช้สำคัญของเขาไม่ใช่หรือ คุณแสเจ้าคะ มันไม่เกินไปหรอกหรือคะนี่"
เพราะคำแรกๆ ผีสาวผีเด็กหาฟังไม่ เธอจึงต้องหันไปทางผีผู้เป็นใหญ่สุดในบ้าน ที่ยืนดูเฉยอยู่
"เถอะน่ะแม่แสงเพ็ง อย่างไรเราก็จะไล่เขาไปอยู่แล้ว ก็ให้เล่นๆ กันไปเถิด"
ว่าแล้วคุณแสก็ทำท่าเหมือนคันไม้คันมืออยากจะร่วมการกลั่นแกล้งเหล่านี้ด้วย
"เอ๊ะ! ตรงนี้มีกระดาษเขียนใหม่ๆ นิทานหรืออะไร นายคนนี้แต่งนิทานด้วยหรือขอรับ"
เจ้าหลงอ่านหนังสือไม่แตกดีนัก เมื่อเห็นมีตัวอักษรเป็นแถวๆ ตั้งแถวเป็นสองบัญชร หน้าตาคล้ายกลอนนิทาน ที่หลวงตาเคยบังคับให้มันอ่านตอนยังมีชีวิต
"ไม่ใช่... พี่ก็อ่านไม่คล่องนักหรอก แต่นี่..."
แสงเพ็งนิ่งไปครู่หนึ่ง
"เขาเรียก... เพลงยาว... ผู้ชายเขาแต่งไว้เกี้ยวผู้หญิง"
แล้วเธอก็ทำท่ายื่นส่งคืน แต่เจ้าหลงกลับคะยั้นคะยอให้อ่านออกมาดังๆ
แสงเพ็งจึงต้องอ่านให้ช่วยกันฟังอย่างเสียไม่ได้"
". ลมละเมอเพ้อครวญรัญจวนจิต
ไม่สมใจอย่างไรก็ให้คิด ถึงพลาดผิดหวังน้องไม่หมองใจ
ตั้งแต่ได้พานพบประสบพักตร์ ก็นึกรักอยากร่วมอัชฌาสัย
ร่วมเรียงร่วมเคียงร่วมเตียงใน แต่ก็เกรงนวลฤทัยไม่ยินดี
คราเปล่าเปลี่ยวเหลียวหาก็บ้าเปล่า ต้องทำร้ายตัวเข้าเศร้าศักดิ์ศรี
โปรดเถิดเจ้านวลใยช่วยไยดี มาช่วยพี่ให้แคล้วแล้วรอดไป
มาลงเล่นชลธารละหานห้วย นวลจงช่วยชักรากบัวตรงตัวพี่
มันแข็งขันพันแข้งช่วยแบ่งที ส่วนพี่นี้จะเก็บดอกปทุมมาลย์..."
อ่านได้แค่นั้นก็หยุดอ่าน หน้าแดงขึ้นมาจนทุกตนสังเกตได้ จนคุณแสต้องฉวยเพลงยาวนั้นมาอ่านต่อ
คุณแสอ่านในใจต่อไปอีกสักพัก สีหน้าก็แสดงความโกรธขึ้งมากมาย
"บัดสีบัดเถลิง เพลงยาวอะไรกัน มีแต่บทอัศจรรย์วิปริต!"
"ไม่เห็นมียักษ์มีมาร มีพระอินทร์มาท้าตีท้าต่อย มันจะมีอัด-สะ- จอ -- ร หัน -- การันต์ยอ เกิดขึ้นได้ยังไรเล่าขอรับ"
เจ้าหลงสงสัย ว่าอะไรคือบทอัศจรรย์
"ช่างเถอะ เห็นไหมล่ะว่าผู้ชายน่ะเลวขนาดไหน มีอุ่นเรือนอยู่แล้ว ยังมาเขียนเพลงยาวถึงผู้หญิงอื่น"
"คุณแสรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ"
ผีผกาถามขึ้นบ้าง
"ก็แม่นวล นวลนั้นนวลนี้ ไม่รู้นวลไหนไงเล่า ย้ำอยู่ต้องหลายครั้งหลายหน"
"อ๋อออออ!..."
หลายเสียงจึงลากเสียงยาว ตรงที่เข้าใจว่าทรงธรรมเขียนเพลงยาวถึงผู้หญิงอื่นนั่นหรอก แต่ไม่ได้เข้าใจเรื่องบทอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอีกสักเท่าไร
"ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นละ มักมากหลายใจ..."
บรรดาผีสาวต่างพากันพยักหน้าคล้อยตาม มีเพียงแสงเพ็ญตนเดียวที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคำพูดของคุณแสนัก
"หาดีไม่ได้สักคนจริงๆ พวกทรยศทั้งนั้น!"
แต่ก่อนที่คุณแสจะอารมณ์เดือดไปมากกว่านี้ เสียงเอะอะของทรงธรรมก็ดังผ่านเข้ามา
เขาเมาแอ๋แทบเดินไม่เป็น เดินสามก้าวก็ถอยหลังเสียสองก้าว แขนหนึ่งหนีบขวดเหล้า อีกมือหนึ่งต้องคอยหาที่เกาะประคองตัว
"ใครว่าข้าคิดจะรวยทางลัด ใครๆ ใครหน้าไหน!"
เสียงของเขาโวยวายพร่ำเพ้อ คงเป็นความในใจที่ลึกๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกไม่ควรนั่นละ
"เขากลับมาแล้ว"
"เมาแอ่นหน้าแอ่นหลังมาเลย"
ผีกระถินกล่าวสมทบ
"ใคร ใครว่าข้าเมา ข้าไม่เมา"
แล้วผีสาวก็ถึงกับสะดุ้ง ไม่แน่ใจว่าที่ชายหนุ่มตอบคำได้นั้น เพราะอิทธิฤทธิ์ตนที่บันดาลให้เขาได้ยิน หรือเขาบังเอิญมีหูทิยพ์เกิดขึ้นขึ้นกันแน่
"เรามาจัดการให้เสร็จเรื่องไปเถอะ"
คุณแสเสียงเข้ม กางกรงเล็บออกอย่างหมายจะขย้ำเหยื่อ
พอเห็นผู้นำทำดังนั้น ผีอื่นก็ทำตาม แลบลิ้นปลิ้นตาตั้งใจจะหลอกหลอนเต็มที่ กระทั่งแสงเพ็งยังต้องฝืนใจร่วมกระทำการ
ทว่าทรงธรรมกลับรู้สึกเหมือนหูแว่ว หรือไม่ก็หูอื้อตาลาย เห็นโลกที่กำลังหมุนๆ เวียนๆ มีภูตผีกำลังหลอกหลอน ห้อมล้อมอย่างน่าหวาดเสียว แต่ความมึนงง ทำให้ภาพนั้นโงนๆ เงนๆ บิดเบี้ยวไปมา จนทรงธรรมต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลางเดินเปะปะไปยังโต๊ะตัวใกล้ เข้าใจว่าตัวเองเมาจนตาลายมากกว่าอื่น
ผีสาวทั้งหมดต้องชะงัก
"ทำไมเขาไม่กลัวเราเลย"
ผีกระถินซึ่งเมื่อครู่แสดงฤทธิ์ถึงขนาดแหกอกปลิ้นไส้พุงให้เห็น สูญเสียความมั่นใจไปไม่น้อย
"มันน่าแค้นใจนัก"
คุณแสคำรามในลำคอ สะบัดมือนิดเดียว เก้าอี้ที่ทรงธรรมใช้นั่งก็มีอันปลิวกระเด็นไปทางหนึ่ง จนเขาหงายหลังก้นกระแทกพื้น บรรดาผีๆ ต่างเฮลั่น
ชายหนุ่มยังมึนไม่สร่าง พยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น พอบอกว่าตัวเองเมาหนัก ก็คิดว่ากะระยะพลาด หลงนั่งลงบนเก้าอี้ลม ทำให้ก้นจ้ำเบ้า
"ไม่ไหวๆ ไอ้เหล้าฝรั่งรีเจ้นซ์นี่ เห็นทีต้องลาขาด อะไรจะเมาได้ขนาดนี้"
ทรงธรรมบ่นกับตัวเอง พร้อมกับขว้างขวดเหล้าที่ยังหนีบติดกายอยู่ได้อย่างน่ามหัศจรรย์นั้นไปทางหนึ่ง
"ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยวะ เผื่อจะสร่าง"
เขาบอกกับตัวเองดังๆ พยายามพาสังขารอันไม่เป็นใจจะเดินเหินสักเท่าไร มาจนถึงห้องน้ำใหญ่
ผีสาวตามกันมาเป็นพรวน บ้างลุ้นอยู่ว่า เขาจะทำอะไรในห้องน้ำล่ะเนี่ย
ห้องน้ำกว้าง กั้นไว้เป็นสัดส่วน หลังฉากฉลักลาย มีอ่างกระเบื้องเคลือบใบใหญ่ ขังน้ำไว้สำหรับอาบ อีกด้านมีตั่งเล็กๆ ตั้งขันสาครใบเขื่อง คงแยกไว้เป็นน้ำสำหรับล้างหน้า ทรงธรรมรีบคว้าขันใบเล็กจ้วงลงไปเต็มที่
แล้วก็จ้วงได้แต่อากาศเปล่า จนแม่ขันกับลูกขันกระทบกันดังเปรื่อง
ส่วนเขาก็เสียหลักล้มลง แขนที่ค้างอยู่ พาขันสาครนั่น กลิ้งหล่นลงมาด้วย
ทรงธรรมยังไม่สิ้นความพยายาม ควานหาขันใบเล็กมา หมายจะตักน้ำจากอ่างกระเบื้องที่ตั้งอยู่กับพื้น เพราะเมื่อกี้เห็นชัดๆ ว่า มีน้ำอยู่เต็มปริ่ม
แล้วก็จ้วงได้แต่อากาศเปล่าๆ อีกครั้ง แต่หลักมั่นคงกว่าเดิม ด้วยว่ายังนั่งอยู่กับพื้น ขณะขยับจะเอามือควานลงไปดูในอ่าง ว่ามันไม่มีน้ำขังไว้จริงๆ แน่หรือ ก็มีมือหนึ่งมาสะกิดไหล่
พอหันกลับ ในขันใบเล็กก็มีน้ำเต็มปริ่มยื่นให้
ทรงธรรมรีบรับมาก่อน ไม่สนหรอกว่าใครเป็นคนส่งให้
พอมือรับปุ๊บ ขันก็มีอันพลิกเข้ามาเหมือนมีคนแกล้งปัด น้ำทั้งขันสาดเข้าหน้าเขาเต็มๆ
"จะมาแกล้งกันทำไมล่ะเนี่ย"
ทรงธรรมบ่นออกไป ใจคิดว่าคงเป็นอุ่นเรือนมากกว่าใครอื่น
ครั้นลูบหน้าลูบตา ทำให้ตาสว่างขึ้นบ้าง หญิงสาวที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า กลับเป็นอีกคน
"เจ้า... เธอ..."
ทำเอาทรงธรรมเริ่มต้นบทสนทนาแทบไม่ถูก
"อิฉันชื่อแสงเพ็งเจ้าค่ะ"
"อ้อ แม่แสง... แสงเพ็ง มาทำอะไรในนี้ดึกๆ ดื่นๆ"
พอได้เห็นหน้ากันชัด ทรงธรรมก็แทบสร่าง รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่รอบตัว
ดวงหน้าของหญิงสาวงามกระจ่างแจ่มสมชื่อ คิ้วโค้งเรียวเหมือนวาด รับกับดวงตาสุกใส จมูกโด่งงามเล็กๆ รับกับรูปริมฝีปากจิ้มลิ้ม แม้นจะดูซีดเซียวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงามนั้นได้เลย
"ดีใจจริง ที่ได้พบกับแม่แสงเพ็งอีกครั้ง"
พูดไปก็ยิ้มไป ใช้ผ้าผืนที่คาดเอวนั่นละขึ้นมาเช็ดซับใบหน้า
พอเห็นว่าแสงเพ็งยังอมยิ้มนิ่งอยู่ ทรงธรรมจึงชวนสนทนาต่อไป
"ฉันดีใจจริงๆ นะที่ได้พบกับแม่แสงอีกครั้ง"
"คุณทรงธรรมเมาแบบนี้ ยังจำดีฉันได้อีกหรือเจ้าคะ"
ผีสาวก็รู้สึกถูกชะตากับเขาไม่น้อย ไม่คิดสักนิดว่าจะกลั่นแกล้งอะไรแบบน่าเกลียดน่ากลัว
"จริงสินะ... แต่ว่า ดึกดื่นป่านนี้ ทำไมแม่แสงมาอยู่ที่นี่ได้"
อยากลุกขึ้นยืนจากการนั่งเหยียดแข้งขา แต่ก็ทำได้ยากเย็น จึงได้แต่หดเข้ามาเป็นท่ากึ่งๆ ขัดสมาธิ
"แล้วคุณทรงธรรมเล่าเจ้าคะ ทำไมถึงย้ายมาพักที่บ้านรกร้างอย่างนี้"
"ข้าไม่มีบ้านพัก ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่"
ถึงตอนนี้ฤทธิ์เหล้าที่ดื่มกินมาค่อนคืน ก็แทบจะเจือจางไปหมดแล้ว
สายตานั้นยังจับอยู่ที่ดวงหน้าละมุนละไมแฝงแววขี้เล่นไร้เดียงสาอยู่ไม่วาย
"ดีฉันก็เหมือนกัน ไม่มีที่อยู่ เลยต้องมาอยู่ที่นี่"
คำตอบนั้นสะกิดใจให้ทรงธรรมรู้สึกแปลกๆ
"แสงเพ็ง..."
เป็นสตรีอีกคนที่เข้ามาสมทบ ทรงธรรมไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่รู้ว่าอยู่ๆ นางเดินมาจากทางไหน
เจตนาของคุณแสก็คือไม่อยากให้แสงเพ็งร่ำไรอยู่นานนัก
ชายหนุ่มเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก่อนจะถามไปว่า
"มาอีกคน... มาทางไหนกันละเนี่ย"
พอสบตาก็ต้องรีบหลบตานาง เพราะแววตาที่จ้องมานั้น ทั้งแห้งแล้งทั้งชิงชัง
"เจ้าคือ... เออๆ ขอให้กระผมแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน กระผม ทรงธรรมคนเมืองพริบพรี"
ทรงธรรมพยายามยิ้มให้คุณแส แต่นางก็ยังตีหน้านิ่งอยู่
"ดีฉันชื่อแสงเพ็ง... อ้อ! บอกไปแล้ว นี่พี่สาวของดีฉัน ชื่อคุณแส พวกเราเป็นพี่น้องกัน คุณแสคะ พี่กลับเข้าเรือนไปก่อนเถอะค่ะ"
แสงเพ็งเดาออกว่าคุณแสจะเข้ามาทำอะไร จึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ชายหนุ่มได้รับอันตราย
ข้างนอกนั้น มีเสียงสุนัขหอนระงม มันโหยหวนจนรู้สึกเย็นยะเยือก รับกันเป็นทอดๆ จากที่ไกล จนใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา
"ทำไมมัวพูดอยู่ได้เล่าแสงเพ็ง"
คุณแสตำหนิผีสาวเบาๆ
แต่ไม่ทันที่คนถูกตำหนิจะได้กล่าวแก้ ทรงธรรมรีบแทรกขึ้นว่า
"พี่สาวก็หน้าตาดี น้องสาวก็น่ารักขนาดนี้ วันนี้ไอ้ธรรม์ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน"
"เจ้าชื่อทรงธรรมใช่ไหม"
คุณแสไม่ได้สนใจคำของเขาเลยสักนิด ถามกลับในสิ่งที่ชายหนุ่มเพิ่งบอกไปหยกๆ
"ใช่แล้วขอรับ ส่วนคุณพี่ของแม่แสงเพ็ง ก็น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นแสงสุรีย์นะขอรับ"
แสงเพ็งหัวเราะคิก แอบเข้าใจว่า ทรงธรรมยังแกล้งตั้งชื่อให้พ้องกับอารมณ์ร้อนแรงที่คุณแสเป็นอยู่ในขณะนี้
แต่ผู้ถูกแนะนำให้เปลี่ยนชื่อไม่สนุกด้วย
"ถ้าไม่กลัวตาย ก็รีบไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้!"
คุณแสลงเสียงหนักทุกคำ ขับไล่เอาดื้อๆ ชี้มือให้เห็นว่าต้องออกไปทางไหน
ทรงธรรมทำหน้าจริงจังบ้าง แล้วก็ทำเป็นไตร่ตรองก่อนจะตอบกลับ
"หรือว่าพวกเจ้าเป็นนางโจร คิดจะฆ่าข้าปิดปาก เหมือนหลวงเซ่งอะไรนั่นน่ะ"
"พวกเราไม่ใช่โจร และไอ้หลวงนั่นก็สมควรตายอยู่แล้ว"
คุณแสยังเสียงเครียด แสงเพ็งสัมผัสได้ว่ารังสีอำมหิตกำลังแผ่ซ่านออกมา
"ไม่ใช่นางโจรแล้วเป็นอะไร"
เขาพยายามตีหน้าทะเล้นเข้าใส่
"เป็นผี!!"
คุณแสจริงจังเต็มที่ แต่ทรงธรรมกับหัวเราะลั่น
"เป็นผี เป็นผีอย่างนั้นรึ ผีที่ไหนจะสวยงามหยดย้อยถึงเพียงนี้ ถ้าพวกแม่เป็นผี ข้าก็ผีเหมือนกัน"
พูดจบก็หัวเราะเสียงใสต่อไป แสงเพ็งก็พลอยขันไปด้วย คิดว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างดูไม่มีสติสตังดีแท้ๆ
"ทำไม เจ้า... เจ้าไม่กลัวอย่างนั้นรึ!"
คุณแสยิ่งโกรธาเมื่อเห็นอาการดังนั้นของเขา
"พุทโธ่เอ๊ย! ก็บอกแล้ว สวยงามปานจะหยดกันขนาดนี้ กระผมจะเกรงจะกลัวไปไยเล่าขอรับ"
ทรงธรรมยื่นหน้าใกล้เข้ามาจนคุณแสต้องเป็นฝ่ายถอย
"อย่างนั้นก็ดูให้ดี ว่าอย่างนี้จะสวยอยู่อีกหรือไม่!"
พูดจบ สีหน้าของคุณแสก็แปรเปลี่ยนไปต่อหน้า กลายเป็นเขียวคล้ำแล้วปูดพอง ดวงตาข้างหนึ่งถูกดันจากภายใน จนหลุดออกมานอกเบ้า
ทว่า ทรงธรรมยิ่งเห็นยิ่งหัวเราะก๊าก
"โอ้โฮ! เป็นนักมายากลก็ไม่บอก นึกว่าข้าจะกลัวรึ ไอ้กลหลอกเด็กพรรค์นี้"
แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาสู้เสียอีก
แสงเพ็งหัวเราะชอบใจ แต่คุณแสยิ่งเดือดจัด ใบหน้านั้นกลับเป็นปกติแล้ว แต่ดวงตาวาวนั้นแดงก่ำด้วยความโกรธ
"อย่างนั้นก็ดูนั่นสิ"
คุณแสวาดมือเป็นวง ชี้เหมือนสั่งให้ขันสาครใบใหญ่ ลอยกลับไปตั้งบนที่เดิม
พอมันลอยขึ้นไปได้จริง ทรงธรรมก็ชักพูดไม่ถูก
"เอ... แบบนี้ทำยาก แสดงว่าแม่แส... เอ่อ คุณแสเป็นมืออาชีพ"
"นี่เจ้ายังไม่เชื่ออีกรึ!"
"ก็... ข้าบอกแล้วว่า..."
ไม่รอให้เขาพูดอีก คุณแสก็ชี้ไปตรงขันใบเขื่องนั้นอีกครั้ง
"ไปดูซิว่าในนั้นมีอะไร!"
ทรงธรรมทำตามอย่างว่าง่าย อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้จะมาไม้ไหนต่อไป
แล้วก็ต้องถึงกับผงะ หลังแทบหงาย เพราะในขันมีศีรษะของคุณแส ลืมตาโพลง
เขาพยายามขยี้ตา เพ่งให้แน่อีกครั้งว่าไม่ใช่หัวหุ่น คราวนี้ศีรษะในขันกะพริบตาพร้อมกับแลบลิ้นหยอก
ทรงธรรมหันขวับกลับมาทันที
"ตายโหง!"
เขาสบถออกมาเต็มเสียง เพราะภาพที่เห็นคือ ตัวคุณแสยังอยู่ แต่หัวไม่มี
ไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีผู้หญิงอีกสามสี่นางปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับเด็กชายอีกคนหนึ่ง แล้วพวกนางกับเด็กนั่นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้มือจิกหัวตัวเอง กระตุกกึกเดียว ทั้งหมดก็หัวหลุดจากบ่า
ทรงธรรมรู้สึกว่าขนหัวลุกเกรียว มือไม้เย็นเฉียบทั้งทีเหงื่อซึมไปทั้งแผ่นหลัง
"ผี... ผีจริงๆ หรือเนี่ย!...ผีหลอก ผีหลอกข้าหรือนี่"
เขาได้แต่ครางซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นั้น แม้แสงเพ็งจะยังยืนคุมรูปร่างให้เป็นปกติอยู่ แต่ก็เชื่อสนิทแล้วว่า เป็นผีทั้งนั้นที่หลอกหลอนอยู่ต่อหน้า
พอตั้งสติได้ก็หันหนี แต่หันหนีก็ไม่พ้น เพราะห้องน้ำนี้มีแค่ทางออกเดียว
คือที่ผีหัวขาดทั้งหลายยืนขวางทางอยู่
"อะไรวะ! ไม่เอาแล้ว ไม่อยู่แล้วโว้ยยยย!!!!"
ทรงธรรมตะโกนก้อง ใช้เสียงนั้นเรียกกำลังใจ
หลับหูหลับตาพุ่งผ่านฝูงผีตรงหน้าออกไปอย่างเป็นยังไงก็เป็นกัน!!!
************
ตะวันเริ่มยอแสง ภายในบริเวณบ้านอเนกคุณากรจึงยิ่งร่มครึ้ม ความวิเวกดูจะไปด้วยกันได้ดี กับเสียงลมพรูพัด ไม้หอมเริ่มส่งกลิ่น ซ้ำยังมีเสียงหรีดหริ่งเรไร ช่วยเพิ่มความวังเวงให้กับบรรยากาศอันชวนขนลุก
แต่ทรงธรรมกลับเห็นเป็นความสงบอันสุนทรี ดีเหมือนกันที่เจ้าหมอเกตุมันผิดนัด จะได้ไม่ต้องมีไอ้คนขี้ปอดพรรค์นั้นมายุ่มย่าม ส่วนที่เขาโวยกับนายวงศ์เรื่องเอาเครื่องรางสารพัดมาผูกพันให้รุงรังนั่น ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะอย่างไรอุ่นเรือนจะต้องเข้าข้างเขาอยู่วันยันค่ำ
นึกไปนึกมาก็อดเคืองนายวงศ์ไม่ได้ ไม่รู้จะเคร่งครัดในคำสั่งอะไรนักหนา ถึงได้พาคนมาวงสายสิญจน์ไม่รู้กี่รอบ ท่าทางคงมาจากหลายสำนัก กับสารพัดยันตร์กันภูตผีปิศาจนั่นอีก กว่าทรงธรรมจะไล่เก็บทิ้งได้ครบ ก็ถึงกับหอบ เฉลวบางอันใหญ่เท่ากระด้ง ผ้ายันตร์บางผืนใหญ่กว่าผ้าจีวรพระเสียอีก
"ทำไมมันเยอะขนาดนี้กันเล่า"
เขาบ่นพึมกับตัวเอง ทั้งที่ยังไม่ละความพยายามจะปีนขึ้นไปปลดบางอันที่ห้อยแขวนอยู่บนเพดานสูง
พอก้าวพาดพลั้งล้มลง ก็คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมากับสายลม แต่ทรงธรรมก็ยังไม่สนใจ กลับตะเกียกตะกายขึ้นไปปลดผ้ายันตร์ผืนยักษ์นั้นลงมาจนได้
เสียงหัวเราะที่แว่วแผ่ว ที่แท้แล้วก็คือเสียงของบรรดาผีสาวที่ยังเฝ้าสังเกตการอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
"เห็นไหมคะคุณแส คุณทรงธรรมเขาดูตลกดีออกเจ้าค่ะ"
"ตลกแล้วอย่างไร ผู้ชายน่ะ พูดอย่างทำอย่าง ปากอย่างใจอย่างทั้งนั้น"
แล้วคุณแสก็ไม่พูดอะไรอีก พาผีสาวทั้งกลุ่มเดินตามดูพฤติกรรมของชายหนุ่มต่อไป
กระทั่งทรงธรรมเดินไล่มาจนถึงห้องหนึ่ง เขานึกว่าประตูปิดสนิท จึงเผลอพิง ทำให้เสียหลักผลุบเข้าไปในห้อง
ผีสาวอดตกใจไม่ได้ พากันวิ่งตามมาดูใกล้ๆ ยกเว้นแต่คุณแสคนเดียว
"คุณแส เป็นอะไรเจ้าคะ"
แสงเพ็งต้องกลับมาประคอง
"ไม่รู้สิ กับห้องนี้ ทุกครั้งที่ข้าผ่านมา จะต้องเป็นอย่างนี้ทุกที รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก"
อาการทั้งหมดก็เพราะกระแสวิญญาณของคุณแสกระทบกับกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง ที่นางเองก็ยังหาสาเหตุไม่พบ
"เจ็บอยู่ตรงหน้าอกนี่ละ มากที่สุด"
"ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะเจ้าคะ"
ผีสาวอื่นๆ ถามกันไปมา ขณะที่เจ้าหลงพยายามเฝ้าดูการกระทำของชายหนุ่มอย่างไม่วางตา
ห้องนี้เป็นห้องทึบไม่มีหน้าต่าง อาศัยช่องลมซึ่งเป็นซี่ลูกกรงบิดเกลียว ช่วยให้อากาศถ่ายเท ภายในรุงรังเพราะไม่มีใครเข้ามาเก็บกวาดเหมือนที่อื่นๆ หยากเยื่อใยแมงมุมเต็มไปหมด ฝุ่นก็จับหนากว่าตรงส่วนอื่นของบ้าน แสดงให้เห็นว่าห้องนี้ถูกละเลยมานานนัก
ทั้งที่การประดับตกแต่ง ดูเหมือนจะเป็นห้องของหญิงสาว ที่จะต้องมีรสนิยมดีไม่น้อย หรือไม่... คนที่จัดแต่งห้องให้หญิงสาวผู้นี้อยู่ ก็จะต้องมีรสนิยมอันศิวิไลซ์ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสแต่งห้องลูกผสมระหว่างไทยกับเทศ ได้ลงตัวเหมาะเจาะขนาดนี้
โต๊ะกลางเป็นโต๊ะกลมรี มีผ้าอะไรสองสามผืนวางซ้อนอยู่ ทรงธรรมเกือบจะเปิดดูอยู่แล้ว หากไม่จามออกมาเสียก่อน
เพราะอากาศตลบฝุ่น ที่สูดลมหายใจเข้าไปก็ล้วนแต่ฝุ่นผง เขาเลยจำต้องเผ่นออกมาก่อนที่จะได้สำรวจภายในห้องให้ละเอียด
และหลังจากหมดใจจะตรวจดูบ้านช่อง ด้วยเห็นว่าเย็นย่ำลงเสียแล้ว เขาก็จัดแจงล้างเนื้อล้างตัว แล้วลิ่วออกจากบ้านไป
"ดูๆ ไปก็ไม่มีพิษมีภัยอะไรนะเจ้าคะ"
กระถิน ผีที่สนุกกับการหลอกหลอนคนมากที่สุดชักใจอ่อน
"อย่างไรเสียก็ต้องไล่เขาออกไป"
คุณแสยังยืนยัน
"ใช่ขอรับ ต้องไล่เขาออกไป เพราะเขามาทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ เต็มไปหมด"
คราวนี้เจ้าหลงเห็นดีด้วยกับคุณแส
"นั่นสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเราคงไม่ต้องวุ่นวายกันขนาดนี้"
ผกาเอ่ยขึ้นบ้าง โดยมีผีตนอื่นๆ สนับสนุนเต็มที่
"แต่ว่า เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายสักหน่อย"
ตอนนี้เหลือเพียงแสงเพ็งคนเดียวที่ยังไม่ได้คิดร้ายกับชายหนุ่ม
"จริงอยู่ สายสิญจน์ ยันตร์อะไรนั่น ไม่เป็นเพราะเขาก็คงไม่มีใครเอามาติดให้รก แต่ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เก็บทิ้งจนหมดน่ะ"
พอพูดๆ ไป ผีอื่นๆ ก็ชักเริ่มคล้อยตาม
"จะว่าไป ดูเขาเป็นคนดีออกเจ้าค่ะ"
"เจ้าคงไม่คิดจะให้เขาอยู่ที่นี่หรอกนะแสงเพ็ง"
คุณแสเน้นคำชัด ไม่อยากคิดเลยว่า ผีสาวฝึกหัดจะตกหลุมรักเข้าเสียแล้วกระมัง
"ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แค่คิดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องทำกับเขาเหมือนที่ทำกับคนอื่นๆ ก็ได้นี่คะ"
ผีสาวยังพยายามหว่านล้อม คุณแสเลยต้องตัดบทเสียว่า
"เรื่องนั้นไว้พูดกันทีหลังก็ได้ ข้าคงต้องขึ้นไปพักสักหน่อย แต่ว่าเจ้าอย่าลืม..."
"อย่าลืมว่าเราอยู่คนละภพกัน แหม ไม่ลืมหรอกเจ้าค่ะ ก็คุณแสเล่นย้ำแล้วย้ำอีกขนาดนี้ อย่างนั้น พอขึ้นไปข้างบน เรามาวางแผนกันดีกว่า ว่าจะจัดการกับเขายังไง"
นั่นละ บรรดาผีที่เหลือจึงเห็นดีเห็นงาม พากันขึ้นไปยังห้องบน เพื่อช่วยกันคิดแผนการหลอกหลอนที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้
ทรงธรรมไม่ได้มาเรือนไทยตามที่อุ่นเรือนนัดไว้ เขาค่อนข้างแน่ใจว่า นายวงศ์คงจะอยู่เป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ หรือไม่อาจจะมีนางบ่าวนางไพร่อีกหลายนาง คอยกางกั้น จึงไม่คิดจะเสียเวลาเสียอารมณ์ กับสถานการณ์อย่างนั้น
เขาย้อนกลับมายังโรงแรมที่พัก ตั้งใจจะเอาข้าวของเครื่องใช้ที่เหลือกลับไปไว้ที่บ้านเรือนตึก พอดีเจอกับหญิงงามเมืองคนคุ้นเสียก่อน จึงตั้งวงจัดฉลองขึ้นอย่างเป็นกันเอง
"พี่จะย้ายไปอยู่บ้านแล้วนะจ๊ะแม่นวล"
เขาคลอเคลียกับหล่อน ตามประสาคนเนื้อร้อนด้วยกันทั้งคู่ พอยิ่งแนบชิด พร้อมมีสุราราดลงไปในกองอารมณ์ ความคุกรุ่นอันนั้นจึงยิ่งโชนฉาน
ชายหนุ่มเกี่ยวแขนกับนวล เพื่อดื่มเหล้าแก้วของตน ทำให้ระยะหายใจใกล้ชิดจนได้กลิ่นรัญจวนของอีกฝ่าย กระทั่งแม่นวลเองก็อดเขินไม่ได้
"คุณทรงธรรมช่างเก่งกาจเหลือเกินนะเจ้าคะ ดีฉันเจอคนมาก็มาก ไม่เห็นมีใครทำตัวสนุกสนานได้อย่างนี้"
เพราะความตรงๆ ของแม่นวลนี่ละ ที่ทรงธรรมถูกคอที่จะคุยด้วย
หลังจากนั้นแม่นวลก็ปรนนิบัติพัดวี นวดเฟ้นต่อไปตามอาชีพหน้าที่ วาจาก็ฉอเลาะเป็นถ้อยคำชื่นชมความเป็นเลิศชายทั่วไป จริงบ้างเท็จบ้างในอารมณ์นี้ใครเล่าจะไปใส่ใจ
จนเวลาล่วงเลยมาอีกพักใหญ่ ที่ทรงธรรมกำลังมึนได้ที่ หมอเกตุอาคมจึงได้โผล่เข้าสมทบ
"ทำไมมาเอาดึกป่านนี้ ข้าต้องปรับให้เอ็งกินเหล้ารวดเดียวขวดหนึ่ง"
ที่เขาพูดอย่างนั้น ก็เพราะก่อนมาได้แวะไปหา และชวนไว้ก่อนแล้ว
"งานเอ็งก็ไม่ต้องทำ หรืองอนที่ชวดเงินก้อนโต เรื่องทำพิธีอะไรนั่น"
"บ้านนั้นน่ะ เขาไม่เชื่อถือข้าแล้วละมั้ง ช่างเถอะๆ เรื่องมันผ่านไปก็ดีแล้ว แต่เรื่องเหล้ายานี่ ข้าขอสักวัน"
แม้จะพูดดังนั้น แต่หมอเกตุอาคมก็ยอมนั่งลงร่วมโต๊ะแต่โดยดี
ผู้เพิ่งมาถึงยังคงแต่งกายด้วยเสื้อขาวกางเกงขาว คล้องประคำใหญ่เส้นหนึ่ง กับในมือยังมีอีกเส้นหนึ่งเป็นสรณะ
"ข้ามันคนเล่นของมีอาคม ต้องถือศีลถือสัตย์ จะกินจะเมาพร่ำเพรื่อได้ยังไง"
"ได้! ถ้าอย่างนั้นตกลงตามที่เอ็งพูด เอ็งขอสักวันก็ได้ แต่..."
"แต่อะไร"
หมอผีหนุ่มตามไม่ค่อยทัน เพราะสติปัญญานั้นทึบเต็มที
"แต่นี่มันตอนกลางคืน ฉะนั้น ต้องกิน"
"พี่ธรรม์... อย่ามาคารมกับข้าหน่อยละ แต่ก็... พี่พูดมากันก็ถูก ถือว่าข้าไม่รอบคอบเอง มาๆ ข้ารินเอง แต่ว่า..."
"แต่อะไรนักหนากันเล่า"
ทรงธรรมชักเริ่มรำคาญ แต่ก็ต้องแปลกใจ กับสายตาที่พินิจพิจารณาของฝ่ายตรงข้ามที่มองมา
"แต่ว่า พี่ธรรม์ไปอยู่บ้านผีสิงนั่นทั้งวัน ไม่เห็นบุบสลายที่ตรงไหนเลย ใช้ได้ๆ"
"ก็ใช่น่ะซี" เขาเลยรีบคุยอวด "คนที่จิตใจดีน่ะ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ผีไม่ทำอะไรหรอก ไม่เคยได้ยินรึ ที่เขาว่า คนดีผีคุ้มไงเล่า"
จบคำก็หันไปพยักเพยิดกับแม่นวลอีกครั้ง
"ไม่มีผีจริงๆ เหรอ"
หมอผีหนุ่มยังไม่วาย
"ข้าก็บอกเอ็งมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าโลกนี้มีผีสางเทวดาที่ไหนกัน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เขาก็ว่ากันออกให้เกลื่อนไป นี่ที่ชวนมากินเหล้าด้วยกัน ก็เพราะอยากจะขอบใจ ถ้าไม่ใช่เอ็งพาไปเรือนตึกนั่น ชาตินี้ก็คงไม่รู้จะทำยังไงต่อไป"
"พี่ธรรม์ก็กล้าเสียเกินไปละ ที่ไปพักเรือนตึกนั่นจริงๆ จังๆ"
"คุณท่านคะ บ้านๆ ผีๆ อะไรกัน หมายถึงอะไรกันเจ้าคะ"
แม่นางงามเมืองฟังอยู่นานแล้ว จึงเอ่ยขึ้นบ้าง
"ก็เรือนใหญ่ราวกับคฤหาสน์ที่พี่ไปอยู่ไงเล่า อีกสักประเดี๋ยวแม่นวลจะไปดูก็ได้นะ"
เขาเชยคางหญิงสาวขึ้น เหมือนจะดึงมาจุมพิต แต่หล่อนยังหลบ ตามวิสัยของหญิงมีอาชีพ ที่การสัมผัสจับต้องดอมดม ควรจะต้องมีอัฐฬสมาแลกเปลี่ยน
หล่อนผลักหน้าเขาออก ก่อนจะเอ่ยว่า
"ว่าแต่ เรือนตึกคฤหาสน์อะไรนั่น อยู่ที่ไหนกันหรือคะ"
"ก็เรือนตึกเจ้าคุณอเนก บ้านคลองมหานาคไงเล่า"
ได้ยินแค่นั้นแม่นวลก็ตาค้าง พูดไม่ออกอยู่อีกเป็นนาน
"ว่ายังไรนะเจ้าคะ นั่นมันบ้านผีสิงมีชื่อเชียวนะ"
หล่อนปัดมือไม้ที่ป่ายปะของทรงธรรม เพราะอยู่ๆ ก็นึกรำคาญขึ้นมาเฉยๆ
"แถมเมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีคนไปตกบ่อตาย"
คำท้ายๆ ปากคอก็เริ่มสั่น เห็นได้ชัดว่าหล่อนกลัวขนาดไหน
"ใช่เลย ถูกต้องนะขอรับ"
"อย่างนั้นดีฉันไม่ไปด้วยหรอกนะเจ้าคะ"
แม่นวลรีบหันไปปฏิเสธคำชวนเมื่อครู่ของทรงธรรม
"พุทโธ่พุทถัง! จะกลัวอะไรกันเล่า พี่ก็พักอยู่ที่นั่น มีพี่ทั้งคนจะกลัวอะไร"
"คุณท่านพูดจริงหรือพูดเล่น ถ้าพูดจริง ดิฉันไม่ไปด้วยหรอกเจ้าค่ะ"
พอพูดมาถึงตรงนี้ก็เกิดระแวง ขยับตัวออกห่างจากทรงธรรม รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเป็นเงาๆ ติดตามชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่เป็นความรู้สึกที่พอจะตามอารมณ์ตนเองได้ทันว่า เป็นอุปาทานล้วนๆ แต่แม่นวลก็ยังระแวดระวังอยู่เต็มที่
"ไม่เอาดีว่า ดีฉันรู้สึกไม่สบาย ต้องขอตัวดีกว่านะคะ"
แล้วหล่อนก็ลุกพรวดพราดออกไป
"แม่นวล แม่นวลจะไปไหนเล่า ประเดี๋ยวสิ อย่างเพิ่งไป"
ทรงธรรมร้องจะตาม แต่ความมึนเมายึดขาเขาเอาไว้
"เพราะเอ็ง เพราะเอ็งทำเสียเรื่องอีกแล้วไอ้หมอผีกะโหลกกะลา"
"อะไรกันเล่า พี่ธรรม์ก็มีคุณอุ่นเรือนอยู่แล้ว ทำไมยังไม่เลิกสำมะเลเทเมา"
ที่หมอเกตุอาคมพูดอย่างนี้ ก็เพราะเดาออกว่าสวรรค์ของทรงธรรมเพิ่งจะล่มลงไปต่อหน้า เพราะแม่นวลสคราญลุกหนีไปเสียเฉยๆ จึงไม่ได้ถือสาคำปรามาสของเขาเท่าไรนัก
"คนอย่างเรา มันก็ต้องมีบ้าง ยังหนุ่มยังแน่นกันอยู่แท้ๆ และอีกอย่าง ข้าไม่ได้ชอบแม่อุ่นเรือนจริงจังกระไรนัก นี่ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะบ้านนางร่ำรวย ข้าไม่เสียสละขนาดนี้หรอก"
"โอ้โห! ความเสียสละเขาแปลกันอย่างนี้นะหรือพี่"
หมอเกตุอาคมอดหมั่นไส้ไม่ได้
"พวกเรียนสูงรู้สูงนี่ พูดจาพลิกแพลงไปได้เรื่อยๆ เลยนะ"
แม้ปากจะพูดไป มือของหมอผีหนุ่มก็ยังรินสุราเติมให้ฝ่ายตรงข้าม
"เอ็งรู้ไว้ก็ดี แต่ว่าเอ็งก็ไม่เลวนักนี่ ไม่ได้มีอาคมเข้มขลังอะไรเลย กลับมีศาลเจ้าใหญ่โต แต่ดูข้าสิ บ้านช่องห้องหอ ที่เท่าแมวดิ้นตายก็ยังไม่มีจะซุกหัว"
"นั่นมันของปู่ย่าตาทวดทิ้งไว้ อีกอย่าง เขาเรียกว่าตำหนักเทพไม่ใช่ศาลเจ้า"
หมอเกตุอาคมรู้สึกภูมิใจขึ้นอีกนิด กับที่ได้พูดออกไปดังนั้น
"ช่างเถอะๆ สำหรับเอ็ง จะศาลเจ้า จะตำหนักเทพ มันก็ไม่ต่างอะไรกันนักหรอก ยังไงเอ็งก็ไม่รู้วิชาอาคมอะไรอยู่ดี"
ทรงธรรมเติมเหล้าอีกแก้ว กระดกเข้าไปจนหมด แล้วก็เติมอีกจนเต็ม
"ไม่เห็นต้องพูดตรงๆ อย่างนั้นก็ได้นี่นะ"
หมอเกตุอาคมได้แต่บ่นกับตัวเองเบาๆ
"ก็เราจะคบหาเป็นมิตรสหายกัน ก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันอีกไงเล่า จะคิดมากทำไม"
"พี่ธรรม์พูดจริงเรอะ เอาเถอะข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงพี่หรอกนะ ยังไงข้าก็ตัดสินใจแล้ว ว่าแต่นี้ต่อไปจะตั้งใจฝึกฝนวิชาอาคม พอเชี่ยวชาญชำนาญการแล้วก็จะออกไปปราบผีให้ทั่วสารทิศ"
คนพูดออกท่าออกทางเต็มที่ เพราะดวดเหล้าเข้าไปมากแล้วนั่นเอง
"อีกอย่าง จะต้องไปแก้แค้น ไม่ให้พวกผีบ้านเรือนตึกนั่นมาหลอกอยู่ฝ่ายเดียว"
แต่ทรงธรรมก็ยังขัดคอ
"เอ็งนี่มันโง่งี่เง่าไม่เลิก ข้าบอกแล้วไงเล่า ว่าโลกนี้น่ะไม่มีผีสางเทวดาอะไรหรอก"
"พี่นั่นละไม่ยอมเข้าใจโลก ว่าโลกนี้มันมีผีจริงๆ"
หมอเกตุก็ยังเถียงคอเป็นเอ็น จนทรงธรรมต้องเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้
"เอาละๆ จะมีหรือไม่มีก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียเราก็ดื้อด้านพอกัน อย่างนั้นเรามาฉลองที่จะคบหากันต่อไปภายหน้าดีกว่า"
จันทร์ข้างแรมกระจ่างแสง หมู่ดาวพรายพริบอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าสีดำสนิท สายลมพัดเรื่อย พลิ้วผิวน้ำให้เกิดเป็นคลื่นระยิบพราว แมลงกลางคืนครวญเสียงสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจึงมีเสียงนกกลางคืนส่งเสียงกู่ก้องรัตติกาล
ภายในบริเวนบ้านอเนกคุณากรยิ่งวิเวกวังเวง หมู่ไม้ใบหนา กางกั้นแสงจันทร์ไว้ให้มืดมิด ในบ้านยังปราศจากผู้คนเคลื่อนไหว มีแต่ภูตพรายที่กำลังจะเริ่มแผนการสุขสนุก
"ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้วขอรับ"
เจ้าหลงเป็นต้นเสียง ปลุกเรียกบรรดาผีสาวที่เหลือให้ตื่นจากนิทรา
"เพราะนายคนนั้นแท้ๆ เชียว ทำให้เราต้องอดหลับอดนอน"
ผีมาลีบ่นพึมพำ ยังงัวเงียอยู่มากเพราะเพิ่งได้พักผ่อนก็เมื่อใกล้เที่ยงคืน
"ข้าก็บอกแล้วว่าถ้ายุ่งเกี่ยวกะคนเมื่อไร ก็ต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมา"
คุณแสบอกเรียกๆ เบื่อตัวเองอยู่เหมือนกันที่ต้องพูดเรื่องนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ไม่ขนาดนั้นละมังเจ้าคะ ถ้าไม่ไปยุ่ง เราก็ไล่พวกเขาไปไม่ได้"
ผีกระถินยิ่งอารมณ์บูด นอกจากเรื่องแกล้งหลอกหลอนผู้คน นางชอบการนอนมากที่สุด
"ช่างเถอะๆ" แสงเพ็งรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณแส "วันนี้เรามาแกล้งนายทรงธรรมนั่นให้สนุกกันดีกว่า นะคะคุณแส"
"ใช่ๆ แกล้งเขาซะให้เข็ด พอเขาหนีไป วันหน้าเราก็จะได้ไม่ยุ่งยากอีก"
เจ้าหลงเออออ คันไม้คันมือเต็มที่แล้ว
พวกที่เหลือ พอได้ยินก็ส่งเสียงสนับสนุนกันเต็มที่
"อย่างนั้นเราลงไปดูว่า จะจัดการกับข้าวของของเขายังไงดี"
"ดีๆ ไปถล่มเสียให้ราบ"
แล้วบรรดาผีสาวก็หายวับจากตรงนั้น มาปรากฏตัวอีกทีก็ตรงห้องล่าง ซึ่งขณะนี้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นห้องนอนและห้องส่วนตัวของทรงธรรม
ข้าวของที่ยกมาประดับตกแต่งยังไม่เข้าที่ทางดีนัก สมบัติสำคัญที่เขามีติดตัวมา เป็นพวกตำรา ดินสอปากกา กับกระดาษสมุด ส่วนที่นอนหมอนผ้าห่ม ชุดเปลี่ยนหรือของใช้อื่นๆ ต่างๆ เหล่านี้ล้วนถูกทำให้เละเทะกระจัดกระจาย เพราะฝีมือของพวกนาง
บุปผากับมาลี ตั้งท่าจะฉีกกระดาษสมุดให้หลุดออกเป็นชิ้นๆ ส่วนเจ้าหลงก็เริ่มจะราดน้ำหมึกลงบนกระดาษอีกกองหนึ่ง
"อย่าทำอย่างนั้นกันซี ของใช้สำคัญของเขาไม่ใช่หรือ คุณแสเจ้าคะ มันไม่เกินไปหรอกหรือคะนี่"
เพราะคำแรกๆ ผีสาวผีเด็กหาฟังไม่ เธอจึงต้องหันไปทางผีผู้เป็นใหญ่สุดในบ้าน ที่ยืนดูเฉยอยู่
"เถอะน่ะแม่แสงเพ็ง อย่างไรเราก็จะไล่เขาไปอยู่แล้ว ก็ให้เล่นๆ กันไปเถิด"
ว่าแล้วคุณแสก็ทำท่าเหมือนคันไม้คันมืออยากจะร่วมการกลั่นแกล้งเหล่านี้ด้วย
"เอ๊ะ! ตรงนี้มีกระดาษเขียนใหม่ๆ นิทานหรืออะไร นายคนนี้แต่งนิทานด้วยหรือขอรับ"
เจ้าหลงอ่านหนังสือไม่แตกดีนัก เมื่อเห็นมีตัวอักษรเป็นแถวๆ ตั้งแถวเป็นสองบัญชร หน้าตาคล้ายกลอนนิทาน ที่หลวงตาเคยบังคับให้มันอ่านตอนยังมีชีวิต
"ไม่ใช่... พี่ก็อ่านไม่คล่องนักหรอก แต่นี่..."
แสงเพ็งนิ่งไปครู่หนึ่ง
"เขาเรียก... เพลงยาว... ผู้ชายเขาแต่งไว้เกี้ยวผู้หญิง"
แล้วเธอก็ทำท่ายื่นส่งคืน แต่เจ้าหลงกลับคะยั้นคะยอให้อ่านออกมาดังๆ
แสงเพ็งจึงต้องอ่านให้ช่วยกันฟังอย่างเสียไม่ได้"
". ลมละเมอเพ้อครวญรัญจวนจิต
ไม่สมใจอย่างไรก็ให้คิด ถึงพลาดผิดหวังน้องไม่หมองใจ
ตั้งแต่ได้พานพบประสบพักตร์ ก็นึกรักอยากร่วมอัชฌาสัย
ร่วมเรียงร่วมเคียงร่วมเตียงใน แต่ก็เกรงนวลฤทัยไม่ยินดี
คราเปล่าเปลี่ยวเหลียวหาก็บ้าเปล่า ต้องทำร้ายตัวเข้าเศร้าศักดิ์ศรี
โปรดเถิดเจ้านวลใยช่วยไยดี มาช่วยพี่ให้แคล้วแล้วรอดไป
มาลงเล่นชลธารละหานห้วย นวลจงช่วยชักรากบัวตรงตัวพี่
มันแข็งขันพันแข้งช่วยแบ่งที ส่วนพี่นี้จะเก็บดอกปทุมมาลย์..."
อ่านได้แค่นั้นก็หยุดอ่าน หน้าแดงขึ้นมาจนทุกตนสังเกตได้ จนคุณแสต้องฉวยเพลงยาวนั้นมาอ่านต่อ
คุณแสอ่านในใจต่อไปอีกสักพัก สีหน้าก็แสดงความโกรธขึ้งมากมาย
"บัดสีบัดเถลิง เพลงยาวอะไรกัน มีแต่บทอัศจรรย์วิปริต!"
"ไม่เห็นมียักษ์มีมาร มีพระอินทร์มาท้าตีท้าต่อย มันจะมีอัด-สะ- จอ -- ร หัน -- การันต์ยอ เกิดขึ้นได้ยังไรเล่าขอรับ"
เจ้าหลงสงสัย ว่าอะไรคือบทอัศจรรย์
"ช่างเถอะ เห็นไหมล่ะว่าผู้ชายน่ะเลวขนาดไหน มีอุ่นเรือนอยู่แล้ว ยังมาเขียนเพลงยาวถึงผู้หญิงอื่น"
"คุณแสรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ"
ผีผกาถามขึ้นบ้าง
"ก็แม่นวล นวลนั้นนวลนี้ ไม่รู้นวลไหนไงเล่า ย้ำอยู่ต้องหลายครั้งหลายหน"
"อ๋อออออ!..."
หลายเสียงจึงลากเสียงยาว ตรงที่เข้าใจว่าทรงธรรมเขียนเพลงยาวถึงผู้หญิงอื่นนั่นหรอก แต่ไม่ได้เข้าใจเรื่องบทอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอีกสักเท่าไร
"ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นละ มักมากหลายใจ..."
บรรดาผีสาวต่างพากันพยักหน้าคล้อยตาม มีเพียงแสงเพ็ญตนเดียวที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคำพูดของคุณแสนัก
"หาดีไม่ได้สักคนจริงๆ พวกทรยศทั้งนั้น!"
แต่ก่อนที่คุณแสจะอารมณ์เดือดไปมากกว่านี้ เสียงเอะอะของทรงธรรมก็ดังผ่านเข้ามา
เขาเมาแอ๋แทบเดินไม่เป็น เดินสามก้าวก็ถอยหลังเสียสองก้าว แขนหนึ่งหนีบขวดเหล้า อีกมือหนึ่งต้องคอยหาที่เกาะประคองตัว
"ใครว่าข้าคิดจะรวยทางลัด ใครๆ ใครหน้าไหน!"
เสียงของเขาโวยวายพร่ำเพ้อ คงเป็นความในใจที่ลึกๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกไม่ควรนั่นละ
"เขากลับมาแล้ว"
"เมาแอ่นหน้าแอ่นหลังมาเลย"
ผีกระถินกล่าวสมทบ
"ใคร ใครว่าข้าเมา ข้าไม่เมา"
แล้วผีสาวก็ถึงกับสะดุ้ง ไม่แน่ใจว่าที่ชายหนุ่มตอบคำได้นั้น เพราะอิทธิฤทธิ์ตนที่บันดาลให้เขาได้ยิน หรือเขาบังเอิญมีหูทิยพ์เกิดขึ้นขึ้นกันแน่
"เรามาจัดการให้เสร็จเรื่องไปเถอะ"
คุณแสเสียงเข้ม กางกรงเล็บออกอย่างหมายจะขย้ำเหยื่อ
พอเห็นผู้นำทำดังนั้น ผีอื่นก็ทำตาม แลบลิ้นปลิ้นตาตั้งใจจะหลอกหลอนเต็มที่ กระทั่งแสงเพ็งยังต้องฝืนใจร่วมกระทำการ
ทว่าทรงธรรมกลับรู้สึกเหมือนหูแว่ว หรือไม่ก็หูอื้อตาลาย เห็นโลกที่กำลังหมุนๆ เวียนๆ มีภูตผีกำลังหลอกหลอน ห้อมล้อมอย่างน่าหวาดเสียว แต่ความมึนงง ทำให้ภาพนั้นโงนๆ เงนๆ บิดเบี้ยวไปมา จนทรงธรรมต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลางเดินเปะปะไปยังโต๊ะตัวใกล้ เข้าใจว่าตัวเองเมาจนตาลายมากกว่าอื่น
ผีสาวทั้งหมดต้องชะงัก
"ทำไมเขาไม่กลัวเราเลย"
ผีกระถินซึ่งเมื่อครู่แสดงฤทธิ์ถึงขนาดแหกอกปลิ้นไส้พุงให้เห็น สูญเสียความมั่นใจไปไม่น้อย
"มันน่าแค้นใจนัก"
คุณแสคำรามในลำคอ สะบัดมือนิดเดียว เก้าอี้ที่ทรงธรรมใช้นั่งก็มีอันปลิวกระเด็นไปทางหนึ่ง จนเขาหงายหลังก้นกระแทกพื้น บรรดาผีๆ ต่างเฮลั่น
ชายหนุ่มยังมึนไม่สร่าง พยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น พอบอกว่าตัวเองเมาหนัก ก็คิดว่ากะระยะพลาด หลงนั่งลงบนเก้าอี้ลม ทำให้ก้นจ้ำเบ้า
"ไม่ไหวๆ ไอ้เหล้าฝรั่งรีเจ้นซ์นี่ เห็นทีต้องลาขาด อะไรจะเมาได้ขนาดนี้"
ทรงธรรมบ่นกับตัวเอง พร้อมกับขว้างขวดเหล้าที่ยังหนีบติดกายอยู่ได้อย่างน่ามหัศจรรย์นั้นไปทางหนึ่ง
"ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยวะ เผื่อจะสร่าง"
เขาบอกกับตัวเองดังๆ พยายามพาสังขารอันไม่เป็นใจจะเดินเหินสักเท่าไร มาจนถึงห้องน้ำใหญ่
ผีสาวตามกันมาเป็นพรวน บ้างลุ้นอยู่ว่า เขาจะทำอะไรในห้องน้ำล่ะเนี่ย
ห้องน้ำกว้าง กั้นไว้เป็นสัดส่วน หลังฉากฉลักลาย มีอ่างกระเบื้องเคลือบใบใหญ่ ขังน้ำไว้สำหรับอาบ อีกด้านมีตั่งเล็กๆ ตั้งขันสาครใบเขื่อง คงแยกไว้เป็นน้ำสำหรับล้างหน้า ทรงธรรมรีบคว้าขันใบเล็กจ้วงลงไปเต็มที่
แล้วก็จ้วงได้แต่อากาศเปล่า จนแม่ขันกับลูกขันกระทบกันดังเปรื่อง
ส่วนเขาก็เสียหลักล้มลง แขนที่ค้างอยู่ พาขันสาครนั่น กลิ้งหล่นลงมาด้วย
ทรงธรรมยังไม่สิ้นความพยายาม ควานหาขันใบเล็กมา หมายจะตักน้ำจากอ่างกระเบื้องที่ตั้งอยู่กับพื้น เพราะเมื่อกี้เห็นชัดๆ ว่า มีน้ำอยู่เต็มปริ่ม
แล้วก็จ้วงได้แต่อากาศเปล่าๆ อีกครั้ง แต่หลักมั่นคงกว่าเดิม ด้วยว่ายังนั่งอยู่กับพื้น ขณะขยับจะเอามือควานลงไปดูในอ่าง ว่ามันไม่มีน้ำขังไว้จริงๆ แน่หรือ ก็มีมือหนึ่งมาสะกิดไหล่
พอหันกลับ ในขันใบเล็กก็มีน้ำเต็มปริ่มยื่นให้
ทรงธรรมรีบรับมาก่อน ไม่สนหรอกว่าใครเป็นคนส่งให้
พอมือรับปุ๊บ ขันก็มีอันพลิกเข้ามาเหมือนมีคนแกล้งปัด น้ำทั้งขันสาดเข้าหน้าเขาเต็มๆ
"จะมาแกล้งกันทำไมล่ะเนี่ย"
ทรงธรรมบ่นออกไป ใจคิดว่าคงเป็นอุ่นเรือนมากกว่าใครอื่น
ครั้นลูบหน้าลูบตา ทำให้ตาสว่างขึ้นบ้าง หญิงสาวที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า กลับเป็นอีกคน
"เจ้า... เธอ..."
ทำเอาทรงธรรมเริ่มต้นบทสนทนาแทบไม่ถูก
"อิฉันชื่อแสงเพ็งเจ้าค่ะ"
"อ้อ แม่แสง... แสงเพ็ง มาทำอะไรในนี้ดึกๆ ดื่นๆ"
พอได้เห็นหน้ากันชัด ทรงธรรมก็แทบสร่าง รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่รอบตัว
ดวงหน้าของหญิงสาวงามกระจ่างแจ่มสมชื่อ คิ้วโค้งเรียวเหมือนวาด รับกับดวงตาสุกใส จมูกโด่งงามเล็กๆ รับกับรูปริมฝีปากจิ้มลิ้ม แม้นจะดูซีดเซียวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงามนั้นได้เลย
"ดีใจจริง ที่ได้พบกับแม่แสงเพ็งอีกครั้ง"
พูดไปก็ยิ้มไป ใช้ผ้าผืนที่คาดเอวนั่นละขึ้นมาเช็ดซับใบหน้า
พอเห็นว่าแสงเพ็งยังอมยิ้มนิ่งอยู่ ทรงธรรมจึงชวนสนทนาต่อไป
"ฉันดีใจจริงๆ นะที่ได้พบกับแม่แสงอีกครั้ง"
"คุณทรงธรรมเมาแบบนี้ ยังจำดีฉันได้อีกหรือเจ้าคะ"
ผีสาวก็รู้สึกถูกชะตากับเขาไม่น้อย ไม่คิดสักนิดว่าจะกลั่นแกล้งอะไรแบบน่าเกลียดน่ากลัว
"จริงสินะ... แต่ว่า ดึกดื่นป่านนี้ ทำไมแม่แสงมาอยู่ที่นี่ได้"
อยากลุกขึ้นยืนจากการนั่งเหยียดแข้งขา แต่ก็ทำได้ยากเย็น จึงได้แต่หดเข้ามาเป็นท่ากึ่งๆ ขัดสมาธิ
"แล้วคุณทรงธรรมเล่าเจ้าคะ ทำไมถึงย้ายมาพักที่บ้านรกร้างอย่างนี้"
"ข้าไม่มีบ้านพัก ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่"
ถึงตอนนี้ฤทธิ์เหล้าที่ดื่มกินมาค่อนคืน ก็แทบจะเจือจางไปหมดแล้ว
สายตานั้นยังจับอยู่ที่ดวงหน้าละมุนละไมแฝงแววขี้เล่นไร้เดียงสาอยู่ไม่วาย
"ดีฉันก็เหมือนกัน ไม่มีที่อยู่ เลยต้องมาอยู่ที่นี่"
คำตอบนั้นสะกิดใจให้ทรงธรรมรู้สึกแปลกๆ
"แสงเพ็ง..."
เป็นสตรีอีกคนที่เข้ามาสมทบ ทรงธรรมไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่รู้ว่าอยู่ๆ นางเดินมาจากทางไหน
เจตนาของคุณแสก็คือไม่อยากให้แสงเพ็งร่ำไรอยู่นานนัก
ชายหนุ่มเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก่อนจะถามไปว่า
"มาอีกคน... มาทางไหนกันละเนี่ย"
พอสบตาก็ต้องรีบหลบตานาง เพราะแววตาที่จ้องมานั้น ทั้งแห้งแล้งทั้งชิงชัง
"เจ้าคือ... เออๆ ขอให้กระผมแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน กระผม ทรงธรรมคนเมืองพริบพรี"
ทรงธรรมพยายามยิ้มให้คุณแส แต่นางก็ยังตีหน้านิ่งอยู่
"ดีฉันชื่อแสงเพ็ง... อ้อ! บอกไปแล้ว นี่พี่สาวของดีฉัน ชื่อคุณแส พวกเราเป็นพี่น้องกัน คุณแสคะ พี่กลับเข้าเรือนไปก่อนเถอะค่ะ"
แสงเพ็งเดาออกว่าคุณแสจะเข้ามาทำอะไร จึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ชายหนุ่มได้รับอันตราย
ข้างนอกนั้น มีเสียงสุนัขหอนระงม มันโหยหวนจนรู้สึกเย็นยะเยือก รับกันเป็นทอดๆ จากที่ไกล จนใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา
"ทำไมมัวพูดอยู่ได้เล่าแสงเพ็ง"
คุณแสตำหนิผีสาวเบาๆ
แต่ไม่ทันที่คนถูกตำหนิจะได้กล่าวแก้ ทรงธรรมรีบแทรกขึ้นว่า
"พี่สาวก็หน้าตาดี น้องสาวก็น่ารักขนาดนี้ วันนี้ไอ้ธรรม์ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน"
"เจ้าชื่อทรงธรรมใช่ไหม"
คุณแสไม่ได้สนใจคำของเขาเลยสักนิด ถามกลับในสิ่งที่ชายหนุ่มเพิ่งบอกไปหยกๆ
"ใช่แล้วขอรับ ส่วนคุณพี่ของแม่แสงเพ็ง ก็น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นแสงสุรีย์นะขอรับ"
แสงเพ็งหัวเราะคิก แอบเข้าใจว่า ทรงธรรมยังแกล้งตั้งชื่อให้พ้องกับอารมณ์ร้อนแรงที่คุณแสเป็นอยู่ในขณะนี้
แต่ผู้ถูกแนะนำให้เปลี่ยนชื่อไม่สนุกด้วย
"ถ้าไม่กลัวตาย ก็รีบไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้!"
คุณแสลงเสียงหนักทุกคำ ขับไล่เอาดื้อๆ ชี้มือให้เห็นว่าต้องออกไปทางไหน
ทรงธรรมทำหน้าจริงจังบ้าง แล้วก็ทำเป็นไตร่ตรองก่อนจะตอบกลับ
"หรือว่าพวกเจ้าเป็นนางโจร คิดจะฆ่าข้าปิดปาก เหมือนหลวงเซ่งอะไรนั่นน่ะ"
"พวกเราไม่ใช่โจร และไอ้หลวงนั่นก็สมควรตายอยู่แล้ว"
คุณแสยังเสียงเครียด แสงเพ็งสัมผัสได้ว่ารังสีอำมหิตกำลังแผ่ซ่านออกมา
"ไม่ใช่นางโจรแล้วเป็นอะไร"
เขาพยายามตีหน้าทะเล้นเข้าใส่
"เป็นผี!!"
คุณแสจริงจังเต็มที่ แต่ทรงธรรมกับหัวเราะลั่น
"เป็นผี เป็นผีอย่างนั้นรึ ผีที่ไหนจะสวยงามหยดย้อยถึงเพียงนี้ ถ้าพวกแม่เป็นผี ข้าก็ผีเหมือนกัน"
พูดจบก็หัวเราะเสียงใสต่อไป แสงเพ็งก็พลอยขันไปด้วย คิดว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างดูไม่มีสติสตังดีแท้ๆ
"ทำไม เจ้า... เจ้าไม่กลัวอย่างนั้นรึ!"
คุณแสยิ่งโกรธาเมื่อเห็นอาการดังนั้นของเขา
"พุทโธ่เอ๊ย! ก็บอกแล้ว สวยงามปานจะหยดกันขนาดนี้ กระผมจะเกรงจะกลัวไปไยเล่าขอรับ"
ทรงธรรมยื่นหน้าใกล้เข้ามาจนคุณแสต้องเป็นฝ่ายถอย
"อย่างนั้นก็ดูให้ดี ว่าอย่างนี้จะสวยอยู่อีกหรือไม่!"
พูดจบ สีหน้าของคุณแสก็แปรเปลี่ยนไปต่อหน้า กลายเป็นเขียวคล้ำแล้วปูดพอง ดวงตาข้างหนึ่งถูกดันจากภายใน จนหลุดออกมานอกเบ้า
ทว่า ทรงธรรมยิ่งเห็นยิ่งหัวเราะก๊าก
"โอ้โฮ! เป็นนักมายากลก็ไม่บอก นึกว่าข้าจะกลัวรึ ไอ้กลหลอกเด็กพรรค์นี้"
แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาสู้เสียอีก
แสงเพ็งหัวเราะชอบใจ แต่คุณแสยิ่งเดือดจัด ใบหน้านั้นกลับเป็นปกติแล้ว แต่ดวงตาวาวนั้นแดงก่ำด้วยความโกรธ
"อย่างนั้นก็ดูนั่นสิ"
คุณแสวาดมือเป็นวง ชี้เหมือนสั่งให้ขันสาครใบใหญ่ ลอยกลับไปตั้งบนที่เดิม
พอมันลอยขึ้นไปได้จริง ทรงธรรมก็ชักพูดไม่ถูก
"เอ... แบบนี้ทำยาก แสดงว่าแม่แส... เอ่อ คุณแสเป็นมืออาชีพ"
"นี่เจ้ายังไม่เชื่ออีกรึ!"
"ก็... ข้าบอกแล้วว่า..."
ไม่รอให้เขาพูดอีก คุณแสก็ชี้ไปตรงขันใบเขื่องนั้นอีกครั้ง
"ไปดูซิว่าในนั้นมีอะไร!"
ทรงธรรมทำตามอย่างว่าง่าย อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้จะมาไม้ไหนต่อไป
แล้วก็ต้องถึงกับผงะ หลังแทบหงาย เพราะในขันมีศีรษะของคุณแส ลืมตาโพลง
เขาพยายามขยี้ตา เพ่งให้แน่อีกครั้งว่าไม่ใช่หัวหุ่น คราวนี้ศีรษะในขันกะพริบตาพร้อมกับแลบลิ้นหยอก
ทรงธรรมหันขวับกลับมาทันที
"ตายโหง!"
เขาสบถออกมาเต็มเสียง เพราะภาพที่เห็นคือ ตัวคุณแสยังอยู่ แต่หัวไม่มี
ไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีผู้หญิงอีกสามสี่นางปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับเด็กชายอีกคนหนึ่ง แล้วพวกนางกับเด็กนั่นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้มือจิกหัวตัวเอง กระตุกกึกเดียว ทั้งหมดก็หัวหลุดจากบ่า
ทรงธรรมรู้สึกว่าขนหัวลุกเกรียว มือไม้เย็นเฉียบทั้งทีเหงื่อซึมไปทั้งแผ่นหลัง
"ผี... ผีจริงๆ หรือเนี่ย!...ผีหลอก ผีหลอกข้าหรือนี่"
เขาได้แต่ครางซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นั้น แม้แสงเพ็งจะยังยืนคุมรูปร่างให้เป็นปกติอยู่ แต่ก็เชื่อสนิทแล้วว่า เป็นผีทั้งนั้นที่หลอกหลอนอยู่ต่อหน้า
พอตั้งสติได้ก็หันหนี แต่หันหนีก็ไม่พ้น เพราะห้องน้ำนี้มีแค่ทางออกเดียว
คือที่ผีหัวขาดทั้งหลายยืนขวางทางอยู่
"อะไรวะ! ไม่เอาแล้ว ไม่อยู่แล้วโว้ยยยย!!!!"
ทรงธรรมตะโกนก้อง ใช้เสียงนั้นเรียกกำลังใจ
หลับหูหลับตาพุ่งผ่านฝูงผีตรงหน้าออกไปอย่างเป็นยังไงก็เป็นกัน!!!
************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มี.ค. 2555, 14:02:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มี.ค. 2555, 14:02:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 1469
<< บทที่ ๐๕ | บทที่ ๐๗ >> |