ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 1 : ประสบเหตุ

เสียงไซเรนกรีดร้องขอทางแผดดังใกล้เข้ามา ผสานกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงของผู้คนรอบข้าง อุบัติภัยที่เกิดขึ้นบนท้องถนนซึ่งก็มีให้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ทว่าเหตุการณ์ครั้งไหนๆ ก็คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจคนเรามากนัก หากว่าเหตุการณ์นั้นๆ จะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเกิดขึ้นกับตนเอง

เสื้อเชิ้ตที่เคยเรียบขาวสะอาดตาอยู่เป็นนิจ ยามนี้เป็นรอยยับเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีแดงเกรอะกรังอยู่ทั่วบริเวณอก หากแต่บุรุษหนุ่มผู้สวมกลับมิได้ใส่ใจนำพา ด้วยเขากำลังว้าวุ่นกระวนกระวาย ใจจดใจจ่อกับอาการบาดเจ็บของคนตัวน้อยที่ตนเพิ่งโอบอุ้มขึ้นมาจากพื้นคอนกรีตอันแสนร้อนระอุด้วยแดดเผา ร่างน้อยหลับตานิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ปราศจากการตอบสนองใดๆ ต่อเสียงเรียกซึ่งดังอยู่รอบกาย จะมีก็แต่เพียงลมหายใจรวยรินเท่านั้นที่บ่งบอกถึงการคงอยู่ ทว่าแผ่วเบาลงไปทุกขณะ ความรู้สึกผูกพันกับร่างในอ้อมแขนผุดพรายขึ้นมาที่กลางใจ ตามมาด้วยอาการใจหายและเศร้าใจกับความโชคร้ายของพ่อหนูน้อยในอ้อมกอดที่กลับเด่นชัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะเจ้าหนู อยู่กับฉันก่อน อดทนไว้ หายใจลึกๆ” ภูวิช พร่ำกระซิบบอกต่อร่างเล็กในอ้อมแขนครั้งแล้วครั้งเล่า สองมือโอบกอดกระชับมั่น เคลื่อนไหวแต่เพียงช้าๆ พยายามเบามืออย่างที่สุด ด้วยเกรงว่าจะกระทบกระเทือนต่อคนเจ็บตัวน้อย

“คุณหนู... โธ่... ไม่น่าเลย...ช่วยด้วยค่ะ ช่วยคุณหนูของบัวด้วย....” หญิงวัยกลางคน ร่ำร้องรำพันอย่างแสนห่วงอยู่ด้านข้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก รอบด้านยังคงเต็มไปด้วยบรรดาไทยมุง

“ฮือ....ใบหม่อน....เจ็บมากมั้ย...ใบหม่อนตื่นสิ...ใบหม่อนตื่นมาคุยกับตัวไหมก่อน ฮือ...แม่จ๋า... แม่จ๋าอยู่ไหน แม่จ๋าช่วยใบหม่อนด้วย ใบหม่อนแย่แล้ว ฮือ....” เสียงร่ำไห้ ร้องหามารดาอย่างเสียขวัญ ดังขึ้นเป็นระยะๆ จากร่างเล็กของเด็กน้อยอีกคน สองมือกุมมือข้างหนึ่งของคนตัวเล็กที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าร่างตรงหน้าจะหายวับไป

ภูวิชเหลียวมองตามเสียงเล็กๆ ที่ร่ำไห้ร้องเรียกไม่ขาดปาก ก็พบกับคนตัวน้อย ใบหน้าเล็กกลมป้อมเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา หากว่าลบเอาคราบเลือดกับรอยแผลของเด็กน้อยในอ้อมอกออกเสีย ชายหนุ่มลงความเห็นในใจว่าทั้งคู่มีเค้าโครงใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมาก มากเสียจนมั่นใจได้เลยว่าจะต้องมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน จากสิ่งที่ได้ยิน ทำให้เดาได้ไม่ยาก ว่าเด็กคนที่นอนบาดเจ็บกับอกเขามีชื่อว่า “ใบหม่อน” และเจ้าตัวน้อยที่ส่งเสียงโหวกเหวกไม่หยุดหย่อนอยู่ตอนนี้คือ “ตัวไหม” ทั้งสองต่างกันเพียงแค่หนึ่งเป็นเด็กชาย และอีกหนึ่งเป็นเด็กหญิงเท่านั้นเอง

รถพยาบาลฉุกเฉินมาถึงจุดเกิดเหตุ ทันทีที่รถจอดเทียบบุรุษพยาบาลประจำหน่วยกู้ภัยในชุดปฏิบัติงานสามนาย ก้าวลงมาพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน ส่งเสียงร้องบอกให้ผู้คนที่กำลังมุงดูเหตุการณ์ถอยห่างออกไป รับช่วงผู้ได้รับบาดเจ็บจากมือชายหนุ่มที่โอบอุ้มร่างน้อยเอาไว้นับแต่นาทีแรกที่ประสบเหตุ เคลื่อนย้ายลงบนเปลก่อนนำขึ้นรถฉุกเฉินอย่างเบามือ พยายามให้เกิดความกระทบกระเทือนเพียงน้อยนิด อย่างผู้ชำนาญการ แล้วกระบวนการช่วยชีวิตแบบเร่งด่วนจึงเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่รถพยาบาลจะเคลื่อนตัวมุ่งสู่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้การรักษาพยาบาลในขั้นถัดไป
--------------------------------------
ร่างสูงในชุดเสื้อขาวกางเกงยีนส์ ตลอดตัวเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบเลือด เฝ้าแต่เดินวนเวียนไปมาจนจะนับได้เป็นพันรอบอยู่บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนลือชื่อ สีหน้าเต็มไป ด้วยความวิตกกังวล เป็นห่วงสารพัดถึงคนตัวน้อยที่โอบอุ้มไว้แนบอกเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ความห่วงหาอาทรจู่โจมโถมทับเข้ามาชนิดไม่มีสาเหตุ จนทำให้รู้สึกฉงนใจเหลือคณา ชายหนุ่มไม่เข้าใจ ว่าเป็นเพราะเหตุใด ใยเขาจึงรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกกับเหตุการณ์นี้

ภูวิชย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อช่วงเย็น ระหว่างทางที่เขากำลังขับรถจะกลับเข้าไปที่บริษัทของตน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ กระแสผู้คนที่กำลังแตกตื่นดึงความสนใจจากดวงตาคู่คมให้หันไปตรึงนิ่งอยู่กับภาพอุบัติภัยบนท้องถนน ที่เกิดขึ้นห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร สิ่งแรกที่กระทบกับสายตาเขาคือร่างเล็กนอนอยู่กับพื้นถนน ซึ่งมารู้ภายหลังว่าถูกรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนจนล้มลงไป เหตุการณ์เช่นนี้หากเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ก็คงจะไม่กระไรนัก ทว่าคราวนี้ผู้ประสบเหตุเป็นเด็ก ผลของมันจึงหนักหนาสาหัสกว่ากันหลายเท่าส่วนคนขับรถคู่กรณีก็บึ่งรถหลบหนี ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมาดูในสิ่งที่ตนก่อ

เขารีบรุดลงไปดูเหตุการณ์ใกล้ๆ สภาพของเด็กน้อยที่นอนกองอยู่บนพื้น สร้างความรู้สึกสะท้อนใจจนไม่อาจเพิกเฉย ชายหนุ่มสั่งตัวเองให้สาวเท้าเข้าไปหา สองมือประคองร่างน้อยขึ้นมาพร้อมๆ กับกวาดตาสำรวจทั่วร่าง พบว่าตามเนื้อตัวของเด็กน้อยมีรอยถลอกปอกเปิกอยู่ทั่วไปหมด ที่สำคัญคือรอยบาดแผลตรงบริเวณศีรษะซึ่งเป็นจุดที่มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก มาถึงตอนนี้สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุดคือ โทรตามหน่วยกู้ภัย หรือรถพยาบาลให้มาช่วยเหลือ

โชคยังดีที่ละแวกนี้มีโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง และที่สำคัญ นัทธีธรเพื่อนรักของเขาเองก็ประจำอยู่ที่นี่ โทรศัพท์มือถือถูกนำออกมากดหาเบอร์อันแสนคุ้นเคย และกรอกเสียงบอกให้คนในสายช่วยดำเนินการส่งรถพยาบาลและหน่วยกู้ชีพออกมาช่วยเหลือเป็นการด่วน ดังนั้นเพียงไม่กี่อึดใจหลังจากที่วางสาย กระบวนการลำเลียงผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลจึงเริ่มขึ้น เขาส่งญาติของผู้บาดเจ็บให้ไปพร้อมกับรถพยาบาล จากนั้นก็กลับไปที่รถของตนแล้วรีบขับตามไปติดๆ

และในระหว่างที่กำลังขับตามรถพยาบาลอยู่นั้น พลันบางอย่างก็แวบขึ้นในหัวของเขา เป็นความรู้สึกที่ยากจะบอกว่ามันคืออะไร รู้แต่เพียงว่าในทันทีที่ได้เห็นใบหน้าเล็กๆ ของเด็กทั้งสองคน อาการใจหายวาบก็เข้าจู่โจมเขาอย่างกะทันหัน และที่สำคัญ เขารู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าคู่นั้นอย่างประหลาด แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามนึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วหันไปตั้งใจกับการขับรถ เพราะสิ่งสำคัญสำหรับเขา ณ เวลานั้นคือให้แน่ใจว่าคนเจ็บถึงมือหมออย่างปลอดภัย ไร้อุปสรรคใดๆ มากีดขวาง

ครั้นเมื่อส่งคนบาดเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว ภูวิชจึงหันมาสอบถามกับหญิงสูงวัยที่ร่วมทางมากับพวกเด็กๆ จนได้ความว่านางเป็นพี่เลี้ยงดูแลคู่แฝด นางบอกกับเขาว่า ตามปกติแล้วมารดาของเด็ก จะเป็นผู้ดูแลเรื่องการรับส่งพวกแกไปโรงเรียนด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากในวันนี้เธอมีงานด่วนเข้ามาอย่างกะทันหัน นางจึงต้องเป็นธุระมารับเด็กทั้งสองแทน

ครั้งแรกที่ภูวิชได้ยินว่า มารดาของคู่แฝด ชื่อ “ณิชญาฎา” เขาเองก็ยังนึกอยู่ว่าเคยได้ยินชื่อแปลกๆ แบบนี้มาจากที่ไหน ทว่านั่นไม่ใช่เวลาที่จะมานึกสงสัยในเรื่องชื่อเสียงเรียงนามของใคร สิ่งที่ต้องรีบทำคือพยายามต่อสายหาเธอ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามโทรเท่าไหร่ ปลายทางก็ยังไม่มีผู้รับ ยิ่งเวลาผ่านไปมันยิ่งทำให้เขาร้อนใจแทนเด็กน้อยทั้งสอง และอึดอัดใจจนแทบระเบิด

ชายหนุ่มรู้สึกพะวักพะวนเป็นอยางยิ่ง ไหนจะโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ไหนจะเสียงร้องไห้จ้าของแม่หนูตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ เขา ใบหน้าเล็กๆ กลมๆ ของแม่หนูน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาชนิดที่เช็ดเท่าไหร่ไม่รู้จักหมด จนแม้แต่ผู้เป็นพี่เลี้ยงยังอ่อนอกอ่อนใจ เพราะสุดปัญญาจะหาวิธีมาปลอบโยน ภูวิชย่อตัวลงนั่งจนอยู่ในระดับเดียวกับคนตัวเล็กที่เอาแต่สะอึกสะอื้น เห็นแล้วชวนให้น่าสงสารยิ่ง เขาเพ่งมองดวงหน้ากลมเล็กอย่างพยายามตั้งสติ และเริ่มต้นคุยกับเธอ

“หนูชื่ออะไรคะ”

“ฮือ....” แม่หนูน้องไม่ยอมตอบ เอาแต่ร่ำไห้ดังเดิม

“ชื่อตัวไหมค่ะ คุณหนูไหม เธอเป็นพี่สาวฝาแฝดของคุณหนูหม่อนน่ะค่ะคุณ โธ่... ไม่น่าเลยคุณหนูของบัว...” นางบัวส่งเสียงตอบแทนเด็กหญิงที่ยังเอาแต่ร้องไห้ พลางเหลือบตามองไปทางหน้าห้องฉุกเฉิน แล้วโอดครวญขึ้นมาอีกครั้งอย่างใจเสีย

“โอ๋... อย่าร้องนะครับคนเก่ง ตอนนี้คุณหมอกำลังรักษาใบหม่อนอยู่ อีกแป๊บเดียวก็ออกมาแล้วล่ะ ตัวไหมต้องเข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้น้องนะครับลูก” ชายหนุ่มดึงร่างน้อยเข้ามากอด ลูบหลังลูบไหล่ อย่างปลอบใจ วูบหนึ่งเขาให้รู้สึกคุ้นเคยคำว่า ’ลูก’ ขึ้นมาอย่างประหลาด ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามายังจิตใจจนภูวิชถึงกับนิ่วหน้า นึกฉงนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ใบหม่อน... ใบหม่อนเลือดไหลเต็มเลย” เสียงเล็กๆ แบบเด็กที่ยังพูดไม่ชัดของแม่หนูน้อย พูดขึ้นพร้อมกับสะอื้นฮักๆ เธอเอาแต่ก้มหน้าเนื้อตัวสั่นเทา เหลือบตามองไปตรงอกเสื้อของคนแปลกหน้าแล้วยิ่งก้มหน้างุด ทำท่าว่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม ภูวิชก้มลงมองสำรวจตัวเองแล้วถึงได้รู้ว่า เกือบทั้งแผ่นอกของเขามีแต่คราบเลือดเปรอะอยู่จนทั่ว มิน่าเล่าแม่หนูน้อยถึงเอาแต่ชำเลืองมองแล้วร้องไห้ไม่ยอมหยุด เข้าใจว่ามันคงจะย้ำเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุกับแฝดผู้น้องของเธอนั่นเอง ภูวิชแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน รู้สึกจนแต้มกับสถานการณ์ตรงหน้า กระแสความเครียดก่อตัวเป็นคลื่นสูงโถมทับใส่เขาอีกหนึ่งระลอก

“ติดต่อแม่เด็กได้หรือยังครับ ผมพยายามโทรหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีคนรับสายเลย” เมื่อเครียดหนักๆ เข้า เขาจึงลองหันไปถามกับ พี่เลี้ยงเด็กอีกครั้ง

“เอ้อ! จริงสิ ป้าลืมไปเลย เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวป้าจะโทรหาเธอดู” นางพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกและรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมารายงานผลเขาในช่วงอึดใจถัดมา

“ไม่มีคนรับสายค่ะ”

ภูวิชได้แต่ส่ายหน้า เขาทั้งหนักใจและก็เข้าใจความรู้สึกของนาง ทว่าส่วนตัวแล้วเขาให้หงุดหงิดใจยิ่ง ในที่สุดก็ลองยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรอีกครั้ง ปากก็พูดกับนางไปด้วย

“มีวิธีไหนทำให้แกหยุดร้องไห้ได้บ้างไหมครับป้า” ถามไปแล้วชายหนุ่มก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เพราะสีหน้าของคนถูกถามบ่งบอกถึงคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าคงยาก

ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แตะมาบนมือของเขา ภูวิชเหลือบตามองแล้วพบกับมือเล็กกระจ้อยร่อยกำลังเกี่ยวนิ้วๆ หนึ่งของเขาไว้แน่น ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนอุปทานไปเองหรือเปล่า ทว่าเขารู้สึกได้จริงๆ ว่าอาการสะอื้นฮักของแม่หนูน้อยดูเหมือนจะลดลงกว่าเดิมเป็นกอง

ภูวิชจ้องมองไปยังดวงหน้าเล็กๆ ที่กำลังประสานสายตากับเขาอย่างจริงจัง พลันความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้าก็แวบกลับเข้ามาสู่ใจของเขาอีกครั้งราวกับ ’ไฟช็อต’
---------------------------------------------------
การประชุมอันเคร่งเครียดกินเวลายาวนานนับแต่ช่วงบ่ายต้นของวันได้ดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้าย สถาปนิกสาวสวยเจ้าของเรือนร่างระหง ผู้รับผิดชอบในการออกแบบให้กับโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์การค้าแห่งใหม่ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง เป็นผู้กล่าวสรุปและปิดการประชุม ก่อนจะหันไปส่งยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มที่นั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยอำนวยความสะดวกตลอดจนประสานงานให้การประชุมสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

“เสร็จงานแล้ว แพรจะไปไหนต่อ”

หนุ่มหล่อผู้มีใบหน้าซึ่งบ่งบอกถึงเชื้อสายที่มีในกาย ผู้เป็นทั้งนายจ้าง และเพื่อนสนิท เอ่ยถามขึ้น ขณะที่หญิงสาวกำลังง่วนกับการเก็บอุปกรณ์ประกอบการนำเสนอผลงาน

“กลับบ้านสิจ๊ะ ‘พีท’ ป่านนี้เจ้าสองแสบคงจะคอยแพรแย่แล้ว ยิ่งวันนี้ไม่ได้ไปรับที่โรงเรียน ขืนแพรกลับช้า มีหวังได้งอนไปนานแน่ๆ”

วงหน้างามเก๋ส่งยิ้มละไม แววตาเปี่ยมสุขยามพูดถึงลูกแฝดทั้งสอง ที่ตามปกติในเวลาแบบนี้ เธอควรจะได้กลับไปอยู่กันพร้อมหน้าแม่ลูกที่บ้านนานแล้ว

“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นวันนี้พีท ขออาศัยทานข้าวเย็นบ้านแพรด้วยคนนะ”

นายจ้างหนุ่มถือโอกาสขอติดตามไปบ้านเพื่อนสาวคนสนิทที่ตนเฝ้าตามรักตามห่วงตลอดมา จนสองตาไม่เคยเหลือบแลสาวใด ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าสักวันหนึ่งหญิงสาวจะเห็นความดีและยอมใจอ่อนกับเขาบ้าง ทว่าหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา ความหวังที่ว่าก็ยังไม่เคยปรากฏวี่แววเป็นจริงขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย

“เอาสิจ๊ะ ว่าแต่ว่า กับข้าวคนจนอย่างบ้านแพรนี่สิ เถ้าแก่ใหญ่อย่างพีท จะทานลงหรือเปล่าน้า” ณิชญาฎา เอียงคอยิ้มเก๋ เผยเขี้ยวเสน่ห์ ส่งสายตาล้อเลียนไปยังเพื่อนหนุ่มด้วยความคุ้นเคย ที่สนิทสนมกันมานานหลายปี

“โธ่แพร พูดเสียอย่างกับว่าพีทไม่เคยกินข้าวบ้านแพรอย่างนั้นล่ะ ดีเสียอีกละไม่ว่า พีทไม่ได้ทานกับข้าวฝีมือแพรมานานแล้วนะ อีกอย่างหนึ่งพีทก็ไม่ได้เจอเจ้าสองป่วนมาพักใหญ่ๆ แล้วด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้ จะลืมลุงพีทคนนี้ไปแล้วรึยัง หรือว่าจะตัวโตจนอุ้มไม่ไหวเสียแล้วก็ไม่รู้ พูดแล้วก็คิดถึงติดหมัดขึ้นมาทันทีเลยเชียว

“แหมๆ มาทำเป็นปากหวาน หิวข้าวละสิไม่ว่า ระวังน้า...มัวแต่กินข้าวพลางเล่นกับลูกแพรไปพลาง เกิดสาวๆ เขาพากันเข้าใจผิด จนพีทขายไม่ออกขึ้นมา จะมาโทษแพรไม่ได้นา....”

“เข้าใจผิดน่ะพีทไม่กลัวหรอก กลัวแต่ว่าแพรจะไม่รับผิดชอบดูแลชีวิตพีท นี่ซี้”

“พอเลยพอ นอกเรื่องเหลวไหลไปกันใหญ่แล้วพีท เดี๋ยวใครเผลอเข้ามาได้ยินเราคุยเล่นกันแบบนี้ จะพานเข้าใจผิดไปกันใหญ่ แพรว่าเรารีบไปกันเถอะ ขืนช้าเดี๋ยวรถจะติดหนัก แล้วจะยิ่งพาให้ช้า แต่เอ๊ะ! โทรศัพท์หายไปไหน เอ...สงสัยว่าแพรจะลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในห้อง ขอเวลาแป๊บเดียวเดี๋ยวแพรมา”

หญิงสาวหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องประชุมที่เพิ่งเดินออกมา มองหาทุกที่ที่เป็นไปได้ว่าตนน่าจะทำโทรศัพท์มือถือตกไว้ และก็เป็นดังคาด โทรศัพท์เจ้ากรรมตกลงไปอยู่ที่พื้น ณิชญาฎาหยิบมันขึ้นมาสำรวจ แล้วจึงเปลี่ยนจากที่ตั้งเป็นระบบสั่นให้กลับมาทำงานด้วยระบบเสียงตามเดิม

‘20 missed call!!! ใครกัน โทรมาเสียถี่ยิบ เบอร์ไม่เห็นจะคุ้นเลย’ สาวมั่นเปรยเบาๆ กับตนเอง ก่อนจะกดโทร ย้อนกลับไป

“ฮัลโหล ณิชญาฎาพูดค่ะ ไม่ทราบว่า คุณได้โทรเข้ามือถือดิฉันหรือเปล่าคะ” ทันทีที่สิ้นเสียงของณิชญาฎา เจ้าของสาย missed call ทั้งยี่สิบสายก็ตอบกลับ ชนิดที่รัวใส่เป็นชุด

“นี่แม่คุณ ไปหลบอยู่ที่หลุมไหนมาไม่ทราบ ผมกดโทร หาคุณจนปุ่มเครื่องผมแทบจะพัง ทำไมไม่ยอมรับสาย”

“อ๊ะ! นี่นาย โรคจิตรึเปล่า จู่ๆ โทร มาด่าฉันทำไม ประสาทกลับหรือไงกัน” ถ้อยคำที่ได้ฟังทำเอาหญิงสาวถึงกับมือสั่น ตัวสั่น ดังนั้นน้ำเสียงของเธอจึงพานสั่นตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ฟังนะ ผมไม่มีเวลาจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคุณตอนนี้ คุณรีบมาที่โรงพยาบาล... ด่วน! ลูกชายคุณถูกรถชน ตอนนี้ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินอยู่เลย” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

“อ...อะไรนะ... คุณพูดบ้าอะไร ใครถูกรถชน???”

“ผมบอกว่าใบหม่อนลูกชายคุณ ถูกรถชน ได้ยินชัดรึยัง ถ้าชัดแล้วก็รีบๆ มาเสียที ตัวไหมร้องไห้จ้าหาแม่ตลอดเวลา จนผมจะเครียดตายอยู่แล้ว อ้อ! แล้วก็โปรดรับทราบเอาไว้ด้วยว่า ผมไม่ได้เป็นโรคประสาท แต่ที่ประสาทจะกินนี่ก็เพราะคุณไม่ยอมรับสายนี่แหละ แค่นี้นะ รีบๆ มาเข้าล่ะ ยายเพี้ยน”

“อะ...อ๊าย....ไอ้บ้า... เดี๋ยวสิ จะรีบวางไปไหน กลับมาให้ด่าก่อน ไม่แน่จริงนี่นา....อ๊ะ! เออจริงสิ ตายแล้ว! ใบหม่อน ใบหม่อนลูกแม่ พีทคะ พีทอยู่แถวนี้หรือเปล่า”

“ว่าไง แพรมีอะไร ทำไมทำหน้าตาตื่นขนาดนี้” แม้ว่าพฤทธิ์จะยืนฟังอย่างตั้งใจ ทว่าการฟังการสนทนาจากฟากเดียว ย่อมจับใจความอันใดได้ยาก เท่าที่สังเกตจากสีหน้าผิดปกติไปอย่างเด่นชัดของณิชญาฎาแล้ว ก็พอจะเดาออกว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

“ใบหม่อนค่ะพีท ใบหม่อนถูกรถชน” ณิชญาฎาตอบคำถามอย่างลนลาน ทำเอาตารูปรี ของพฤทธิ์ถึงกับเบิกโพลง

“อะไรนะ! แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่โรงพยาบาล... เมื่อกี้เพิ่งมีคนโทรมาบอก” หญิงสาวเอ่ยชื่อโรงพยาบาลตามที่ภูวิชได้บอกกับเธอเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวพีทขับรถให้เอง แพรรีบเก็บข้าวของ เสร็จแล้วลงไปรอที่หน้าตึก พีทจะไปเอารถออก ใจเย็นๆ นะแพร ลูกต้องไม่เป็นอะไร” พฤทธิ์ ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว บอกบทกับหญิงสาวเป็นฉากๆ แล้วผละจากไปโดยไว จนเกือบจะเป็นวิ่ง

“เร็วๆ นะพีท” ณิชญาหญิงสาวตะโกนไล่หลัง ทว่าชายหนุ่มมิได้หันกลับมามอง
------------------------------
เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มที่รถเบนซ์เอสคลาสสีเทากระจ่างพยายามฝ่าการจราจรอันแสนจะติดขัดในช่วงเวลาเร่งด่วน ดั้นด้นจนมาถึงจุดหมายคือโรงพยาบาล ซึ่งมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ด้วยอาการ ตามแต่สภาวะที่แต่ละคนกำลังเผชิญ

“แพรลงไปก่อนนะ พีทเอารถไปจอด แล้วจะรีบตามไป”

“จ้ะ ขอบใจนะจ๊ะพีท”

ณิชญาฎาก้าวเท้าลงจากรถ สาวเท้ายาวจนเกือบจะเป็นวิ่ง ตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล รัวคำถามใส่เจ้าหน้าที่อย่างร้อนรน

“ดิฉันเป็นแม่ของเด็กชายภาณิน พิทยไพศาลที่ถูกรถชน เข้ามาเมื่อช่วงเย็น ไม่ทราบคนไข้อยู่ห้องไหน อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ”

“ค่ะๆ ใจเย็นๆ ค่ะ สักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันเช็กให้ คนไข้ชื่ออะไรนะคะ” ประชาสัมพันธ์สาว ตอบ พลางก้มหน้าเริ่มกดคีย์บอร์ดเพื่อรอค้นหารายชื่อ ตามทะเบียนผู้ป่วยที่ได้รับแจ้งไว้

“ภาณิน ค่ะ เด็กชายภาณิน พิทยไพศาล”

“เอ... ดูเหมือนว่าคนไข้จะยังอยู่ในห้องฉุกเฉินนะคะ”

“ยังไม่ออกมาอีกหรือคะ” ได้รับคำตอบแล้ว ดวงหน้าขาวของณิชญาฎายิ่งซีดหนักไปกว่าเดิม ความวิตกกังวลเข้าครอบคลุมจนเต็มใบหน้า

“ยังค่ะ” เจ้าหน้าที่สาวตอบ พลางส่ายหน้าน้อยๆ

“ถ้าอย่างนั้น ห้องฉุกเฉินไปทางไหนคะ”

“เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย ห้องฉุกเฉินอยู่ทางด้านขวามือค่ะ” หญิงสาวคนเดิมบอกพร้อมผายมือบอกทิศทางให้กับณิชญาฎา

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

ร่างบางหมุนกายออกวิ่งตัวปลิว แรงห่วงในตัวลูกน้อยมีมากกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ใส่ใจแม้สายตาของคนรอบข้างที่มองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ในอาการลุกลี้ลุกลนของเธอ สองสามนาทีต่อมาหญิงสาวจึงมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าห้องซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นห้องฉุกเฉิน

“ตัวไหมลูกแม่ เป็นอย่างไรบ้างลูก ตกใจมากรึเปล่า โอ๋ๆๆๆ แม่จ๋ามาแล้วนะจ๊ะ” ณิชญาฎาพุ่งตรงเข้าไปสวมกอดร่างเล็กของลูกสาวคลายความกดดันในใจลงไปได้ครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยหนึ่งในสองลูกแฝดของเธอก็ยังคงปลอดภัยดี

“แม่จ๋ามาแล้ว ฮือ... แม่จ๋าช่วยใบหม่อนด้วย ใบหม่อนแย่แล้ว ฮือ..เลือด... เลือดไหลเต็มเลย ฮือ....” ตัวไหมโผเข้ากอดมารดาทันทีราวกับได้พบที่พึ่งอันแสนอบอุ่น เด็กน้อยร้องไห้จ้าพร่ำบอกเป็นการใหญ่ถึงเหตุระทึกขวัญที่ได้ประสบ ด้วยเหตุนี้เสียงร้องที่เพิ่งจะเงียบไปได้เพียงครู่จึงกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง

“โอ๋ๆ เงียบซะลูก อย่าร้องนะจ๊ะ ใบหม่อนไม่เป็นไรหรอก ให้คุณหมอคนเก่งรักษาแป๊บเดียว เดี๋ยวใบหม่อนก็ออกมาแล้วล่ะ นิ่งนะจ๊ะ คนดีของแม่จ๋า” หญิงสาวพยายามปลอบใจลูกสาวตัวน้อย ทั้งที่จะว่าไปแล้วกำลังใจของตน ก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนตัวเล็กสักเท่าไรนัก

“จริงนะจ๊ะ แม่จ๋า แม่จ๋าพูดเหมือนคุณลุงใจดีเปี๊ยบเลย” เด็กหญิงตัวน้อยบอกพลางสะอื้นน้อยๆ ใบหน้าเล็กเริ่มจะคลี่ยิ้มออกได้ กำลังใจเริ่มมา คงเพราะมีมารดาอยู่ใกล้ๆ ทำให้หนูน้อยรู้สึกอุ่นใจนั่นเอง

“เหรอจ๊ะลูก โอ๋ๆๆๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เงียบซะนะลูก แม่จ๋าไม่โกหกหรอก เชื่อแม่จ๋านะจ๊ะ หยุดร้องไห้นะจ๊ะลูก” ณิชญาฎาปลอบลูก พร้อมกับเหลียวมองไปรอบตัว มองหาบุคคลที่บุตรสาวเพิ่งพูดถึง จึงได้พบกับร่างสูงที่นั่งเงียบมองดูความเคลื่อนไหวรอบกายอย่างคอยสังเกตการณ์

ฉับพลันสายตาเธอถึงกับชะงักนิ่งจับจ้องไปที่ใบหน้าขาวคมเข้ม หน้าตาแบบนี้ต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันลืม แววประหวั่นฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่งาม ชนิดที่อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น หญิงสาวพร่ำนึกในใจว่าคงเป็นเวรกรรมจริงๆ ต่อให้เธอจะพยายามหลบลี้หนีจากคนตรงหน้าสักเพียงไหน ทว่าเมื่อถึงเวลาของมัน อย่างไรเสียก็ต้องวนกลับมาเจอกันสักวันหนึ่งจนได้ และวันที่ว่านั่น ก็คือวันนี้นี่เอง

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไรคะป้าบัว ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ แล้วใบหม่อนเป็นอย่างไรบ้างคะ” ณิชญาฎาหลบสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้า หันไปรัวคำถามชุดใหญ่ใส่พี่เลี้ยงที่ตนไว้ใจแทน วงหน้าสวยยังคงเปี่ยมไปด้วยร่องรอยของความวิตกกังวล หาได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด

“มันเร็วมากค่ะคุณแพร เมื่อเย็นป้าไปรับคุณหนูทั้งสองตามที่คุณโทรมาบอก ระหว่างทางป้าดันนึกขึ้นมาได้ว่าต้องซื้อของบางอย่างที่ตลาดก็เลยแวะไปซื้อ พอตอนจะกลับป้าเห็นว่ารถมันติดมากกลัวจะถึงบ้านช้า ก็เลยจูงมือเธอสองคนข้ามถนนมารอรถอีกฝั่ง แต่ว่ายังไม่ทันจะพ้นทางดี ไอ้รถมอเตอร์ไซค์บ้านั่นมันก็วิ่งแซงขึ้นมาชนคุณหม่อนจนล้ม แล้วมันก็หนีไปเลยค่ะคุณแพร โชคดีที่คุณใจดีคนนี้เธอเข้ามาช่วยดูแลเรียกรถพยาบาลให้ นี่ตำรวจก็เพิ่งจะกลับไปไม่นานเอง ป้าขอโทษนะคะคุณแพร เพราะป้าแท้ๆ คุณหนูหม่อนถึงได้ต้องมาเจ็บแบบนี้ โถ! พ่อคุณของบัว จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ โฮ...” นางบัวร่ายยาว พร่ำบอกกับเจ้านายสาวอย่างรู้สึกผิด ดูจากอาการของนางแล้ว เดาออกได้ไม่ยากว่า เจ้าตัวเองก็เสียใจจนสุดจะบรรยาย

“เอาเถอะค่ะๆ ใจเย็นๆ ไว้ก่อนนะคะป้า อย่างไรตาหม่อนก็อยู่ในมือหมอแล้ว ตอนนี้แพรขอแค่ให้ลูกปลอดภัยเรื่องอื่นเอาไว้เราค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกันนะคะ”

“แม่คุณของป้า ป้าทำให้คุณหนูหม่อนต้องเจ็บขนาดนี้ ทำไมไม่ว่าป้าสักคำ”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ มันไม่ใช่ความผิดของป้าเสียหน่อย ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษกรรมเวร อีกอย่างมันคงเป็นคราวเคราะห์ของตาหม่อนแกเองนั่นแหละ ถึงได้มีเหตุมากมายซะขนาดนี้ แพรฝากตัวไหมไว้ครู่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวแพรมา”

ณิชญาฎาส่งร่างน้อยในอกที่เริ่มตาปรอยง่วงจนใกล้จะหลับเต็มทีให้กับนางบัว ก่อนจะหมุนตัวเดินไปหาชายหนุ่มซึ่งนั่งนิ่งไม่พูดจา ส่งแค่สายตามองมายามเธอพูดคุยกับพี่เลี้ยงและลูกน้อยที่ผล็อยหลับไปด้วยหมดแรง อยู่เป็นระยะๆ

“คุณเองเหรอ ที่ช่วยเหลือลูกฉันเอาไว้ ขอบคุณ” ณิชญาฎาทรุดกายนั่งลงที่ด้านข้างเอ่ยคำขอบคุณที่ฟังดูแล้วช่วงห้วนห้าวนัก มิหนำซ้ำยังเอาแต่ก้มหน้ามองมือตนเอง ไม่ยอมแม้แต่จะสบตาคนที่ตนกำลังเจรจาด้วย

“ทำไมไม่ยอมรับสาย” ภูวิชไม่ยอมตอบรับคำขอบคุณ ย้อนถามพลางชำเลืองมองไปยังหญิงสาวซึ่งนั่งข้างๆ อยู่ในอากัปกิริยาแบบเดิม ชวนให้คิดจริงๆ ว่าเธอกำลังจงใจจะหลบสายตาของเขา

“ก็แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ” เสียงที่ตอบกลับมาสะบัดห้วน พร้อมกับวงหน้างามที่หันมาต่อสายตา จ้องหน้าราวกับจะเอาเรื่อง

“มันไม่ได้เกี่ยวกับผม แต่มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของลูกคุณ” ภูวิชจ้องลึกลงไปในดวงตากลมใสแล้วก็ให้เกิดอาการแบบเดิมขึ้นมาในทันใด แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร แต่ที่แน่ๆ เขารู้ว่ามันทำให้เขาเกิดความขุ่นเคืองในใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ก็แล้วฉันจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า ว่ามันจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นแบบนี้ อีกอย่างฉันก็กำลังติดประชุมสำคัญ จะให้รับโทรศัพท์กลางคันได้อย่างไร” แม้จะรู้ว่าเหตุผลที่กำลังให้กับเขานั้น ฟังดูไม่ค่อยจะเข้าท่านัก แต่เธอก็ยังคงขึ้นเสียงเถียงอย่างไม่ลดละ

“ก็หัดเตรียมพร้อมไว้ซะบ้างสิคู้ณ.... งานกับลูกคุณอย่างไหนมันสำคัญกว่ากัน คราวนี้เป็นไงล่ะ งานนั่นมันสำคัญพอไหม” ภูวิชลากเสียงยาวต่อปากต่อคำ เกิดอาการหมั่นไส้หญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาตงิดๆ

“เอ๊ะ! นี่คุณตั้งใจจะมาหาเรื่องกันหรืออย่างไรไม่ทราบ” ณิชญาฎา สุดจะกลั้นลุกขึ้นยืน หันมาเผชิญหน้าชายหนุ่มเต็มตัว

“ใครกันแน่ที่หาเรื่อง อย่างพี่นี่นะจะหาเรื่องกับแพร คิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า?” ภูวิชเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แหงนมองพร้อมทำหน้ายียวน จงใจกวนประสาทหญิงสาวเต็มที่

“ก็แล้วใครกันที่มานั่งพร่ำต่อว่าฉันอยู่ตอนนี้ล่ะ”

“ก็มันน่าให้ว่าไหมล่ะ คนอื่นเขาร้อนใจจะแย่ ตัวเองมัวแต่ทำงานสบายใจเฉิบ”

“ก็แล้วจะเอาอย่างไร ขอบคุณฉันก็ขอบคุณไปแล้วนี่นา”

“ก็ไม่เอาอย่างไรหรอก ก็แค่อยากจะต่อว่านิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง เอ... แต่จะว่าไปแล้ว...มันก็น่า... อยู่หรอกนะ ผ่านไปก็ตั้งหลายปี ไม่นึกว่าแพรจะยัง...” ชายหนุ่มแสร้งพูดให้คิด แสยะยิ้มตรงมุมปาก กวาดสายตาโลมเลียมองเธอไปทั่วทั้งร่าง อย่างจงใจยั่วอารมณ์เต็มที่ ทั้งที่ความจริงแล้วเขายังจำได้ได้ดี ณิชญาฎาในอดีตนั้น แสนจะเรียบร้อยทว่ามีความดื้อรั้นอยู่ในตัว และที่สำคัญ เขายังคงจำได้แม่นว่าหญิงสาวน่ารักขนาดไหนขณะที่เธอ ‘นอนหลับ’

“อ๊ะ! อ...ไอ้คนบ้า คิดอะไรน่ะ คนทุเรศ พูดจาก็ทุเรศ อย่ามาพูดพล่อยๆ ทำปากสกปรกกับฉันนะ” หญิงสาวบันดาลโทสะเกือบจะถึงขีดสุด เอ่ยคำผรุสวาทออกมาเป็นชุด

“ลูกอายุเท่าไหร่แล้ว” จู่ๆ ภูวิชก็เกิดเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมากะทันหัน จนณิชญาฎาถึงกับอ้าปากค้าง เพราะตั้งสติรับเรื่องใหม่ไม่ทัน

“พูดบ้าอะไรของคุณ ลูกฉันจะอายุเท่าไหร่ มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับคุณ” หญิงสาวพยายามตั้งสติปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ถามกลับน้ำเสียงเรียบๆ พยายามเต็มที่เพื่อกลบเกลื่อนพิรุธทั้งที่อยู่ในใจและที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าของตน

“แน่ใจหรือว่าไม่เกี่ยว เอ... เมื่อกี้ป้าบัวพูดว่าอะไรน้า เห็นแกบอกว่า ตัวไหมกับใบหม่อนอายุสี่ขวบครึ่ง หากว่าพี่เอาช่วงเวลาตอนที่แพรหายหน้าหายตาไป มาบวกกับอายุของลูกตอนนี้ ถ้าจะให้เดา พี่ว่าเวลามันก็น่าจะพอดีกันอยู่นะ บอกพี่มาดีกว่า ว่าเรื่องราวมันเป็นไงมาไงกัน แล้วแพรกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่” ชายหนุ่มแสร้งถาม แล้วไล่เรียงเหตุการณ์ที่เขาพยายามนั่งทบ ทวน และปะติดปะต่อ ให้หญิงสาวฟัง ขณะลอบสังเกตอากัปกิริยาของเธอไปพร้อมๆ กัน

“ทำอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ คุณอย่ามาทำเป็นนักสืบเดาเรื่องเรื่อยเปื่อยไปหน่อยเลย มันไม่มีอะไรทั้งนั้น หยุดคิด หยุดฝันลมๆ แล้งๆ ได้แล้วคุณภู” ณิชญาฎาตัวสั่น ปากสั่น ละล่ำละลักตอบปฏิเสธเสียงดัง

“มีอะไรกันหรือเปล่าแพร ทำไมส่งเสียงลั่นฟลอร์แบบนั้น” ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพร้อมกับส่งเสียงทักถาม ทำให้การโต้เถียงทุกอย่างที่กำลังดำเนินอย่างดุเดือดยุติลงได้อย่างฉับพลัน

“อ๊ะ! มาแล้วหรือพีท เอ้อ... คือ... ก็ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พอดีคุณ...ภูวิช เป็นคนช่วยพาตาหม่อนมาโรงพยาบาลน่ะ แพรกำลังขอบคุณเขาอยู่พอดี” ณิชญาฎาหันมาตอบแบบไม่ยอมมองหน้า พยายามกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอย่างฝืดฝืน

“อ้าว พี่ภูเองหรือครับที่ช่วยตาหม่อนไว้ ทำไมบังเอิญอย่างนี้ ต้องขอบคุณพี่แทนแพรจริงๆ เลยนะครับคราวนี้” พฤทธิ์หันไปทักทายพร้อมกับขอบคุณ ส่งยิ้มอย่างจริงใจให้กับหนุ่มรุ่นพี่ สีหน้ายินดียิ่งในความบังเอิญที่ได้มาพบกับคนรู้จัก นานเท่าไหร่แล้วนะที่พวกเขาทั้งหมดไม่ได้มีโอกาสเจอกันเลย

“ไม่เป็นไรหรอกพีท พี่ก็แค่ทำตามหน้าที่พลเมืองดี ที่บังเอิญผ่านไปเจอเหตุการณ์ ก็เท่านั้น” หนุ่มรุ่นพี่ตอบเสียงเรียบ มีแค่เพียงช่วงท้ายประโยค ที่ออกแนวประชดประชันในที ส่งสายตาไปยังหญิงสาวคนเดียวในที่นี้ บอกเป็นนัยว่าเกมส์ยังไม่จบ แค่รอเวลาเริ่มเล่นใหม่ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินผลแพ้ชนะ

“แล้วนี่พีทกลับมานานแล้วหรือ เห็นคุณลุงบอกว่าไปเรียนต่อที่เมืองนอก หลายปีไม่ได้เจอกันเลย” ภูวิชเท้าความตามที่ได้ยินมา ซึ่งพฤทธิ์เองก็พยักหน้ารับเป็นคำตอบก่อนจะพูดเสริมว่า

“นั่นสิครับพี่ภู ผมเองเพิ่งจะกลับมาได้ราวๆ หกเดือน อันที่จริงก็ยังไม่ค่อยอยากกลับเท่าไหร่ ตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์ทำงานที่โน่นซักพัก แล้วค่อยกลับมาช่วยงานที่บริษัทป๊า แต่พอดีบังเอิญว่าแพรต้องย้ายกลับมาประจำที่เมืองไทยเสียก่อน ผมเลยต้องรีบตามกลับมา” พฤทธิ์เล่าด้วยน้ำเสียงติดตลก พลางส่งสายตาหวานเชื่อมไปยังหญิงสาวที่ตนพึงใจอย่างไม่คิดจะปกปิด

“แล้วนี่ตาหม่อนเป็นอย่างไรบ้าง เจอหมอหรือยังแพร” พฤทธิ์หันไปทางณิชญาฎา ถามไถ่ถึงอาการของเด็กน้อยผู้เคราะห์ร้าย

“ยังเลยพีท ไม่รู้ตาหม่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง ป้าบัวบอกว่า แกเข้าไปข้างในนั้นตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นออกมาสักที แพรชักจะใจไม่ดีแล้วนะพีท เป็นห่วงลูกยังไงไม่รู้” ณิชญาฎา เกาะแขนเพื่อนหนุ่มไว้แน่น จงใจเน้นคำว่าลูกหวังเบี่ยงเบนความสนใจของภูวิชให้ไขว้เขวไปว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกของชายหนุ่มที่มีนามว่าพฤทธิ์

“คงไม่เป็นไรมากหรอกแพร ทำใจดีๆ ไว้ก่อน เดี๋ยวเรารอฟังจากคุณหมอ อย่าเพิ่งด่วนตีตนไปก่อนไข้ นั่นแน่ะ คุณหมอออกพอดี” พฤทธิ์พยายามปลอบใจเพื่อนสาวเต็มที่ นึกแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวข้างกาย ที่จู่ๆ ก็หันมายืนเกาะเขาแจ

“คุณหมอคะ ลูกดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ” ณิชญาฎาหันมองไปตามที่พฤทธิ์บอก แล้วรีบวิ่งถลาไปถามอาการบุตรชายกับนายแพทย์ที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน

“ผู้ปกครองของเด็กชายภาณิน ใช่หรือเปล่าครับ” นายแพทย์หนุ่มย้ำถามเพื่อความมั่นใจ

“ค่ะ ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นแม่ของแก”

“ในเบื้องต้นเด็กปลอดภัยดีครับ มีแค่รอยฟกช้ำกับถลอกตามตัว ส่วนแผลที่ศีรษะหมอจัดการเย็บทำความสะอาดแผลให้แล้ว แต่ยังไงก็ยังต้องรอให้ผลเอ็กซเรย์สมองออกมาก่อน เพื่อดูว่ามีเลือดคั่งในสมองหรือเปล่า คนไข้หมดสติไปค่อนข้างนานเนื่องจากสมองได้รับความกระทบกระเทือนค่อนข้างแรงจากการที่ศีรษะกระแทกพื้น ทางเราเลยคงต้องรอดูอาการเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผลข้างเคียงอะไรแล้วจึงจะทำการย้ายผู้ป่วยไปยังห้องพักฟื้น ส่วนเรื่องห้องพักผู้ป่วย ทางฝ่ายพยาบาลจะแจ้งให้ทราบอีกที ไม่ทราบว่าคุณยังมีอะไรจะถามเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ”

“เอ่อ... คือลูกดิฉันไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะคุณหมอ”

“เอ...ดูจากบาดแผลภายนอก กับผลเอ็กซเรย์กระดูก ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ เหลือแค่รอผลเอ็กซเรย์สมองซึ่งคงต้องรอพรุ่งนี้หมอถึงจะตอบได้ ที่แกสลบไปนั่นคงเป็นเพราะตกใจ ตอนนี้หมอให้ยานอนหลับกับยาระงับปวดกับคนไข้ไว้ คิดว่าแกคงจะหลับไปจนถึงเช้า อย่างไรคืนนี้ญาติก็คงอยู่เฝ้าไม่ได้ หมอแนะนำว่าให้มาอีกทีพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณหมอ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวก่อน แล้วพบกันพรุ่งนี้ครับ”
แพทย์หนุ่ม หายกลับเข้าไปในห้องที่เพิ่งเดินออกมา ณิชญาฎาทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้หน้าห้อง อย่างหมดแรง บวกกับโล่งใจ

“ในเมื่อหมอยืนยันแล้วว่าใบหม่อนไม่เป็นอะไร พีทว่าแพรกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ตัวไหมหลับคอพับคออ่อนอยู่กับป้าบัวแบบนั้น ป่านนี้ป้าแกคงจะเมื่อยแย่แล้ว” พฤทธิ์มองเห็นสีหน้าอิดโรยของณิชญาฎา กอปรกับสงสารพี่เลี้ยงชราผู้อุ้มเด็กหญิงตัวไหมซึ่งกำลังหลับสบายอยู่ จึงอยากให้ทุกคนได้ไปพักผ่อน

“ดีเหมือนกัน ขอบใจมากนะจ๊ะ ถ้าพีทไม่ได้อยู่กับแพรวันนี้ แพรต้องแย่แน่ๆ เลย” หญิงสาวพยักหน้าพลางตอบอย่างเห็นด้วย ค่อยๆ ลุกยืนเหมือนคนหมดแรง แปลกใจตัวเองที่จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นพี่ขอตัวกลับเลยแล้วกัน เอาไว้พรุ่งนี้จะแวะมาใหม่อีกทีตอนที่เจ้าตัวเล็กตื่นแล้ว” ภูวิชเอ่ยขึ้นมาอย่างทะลุกลางปล้องขอตัวกลับเสียดื้อๆ ไม่เพียงแค่นั้นชายหนุ่มจงใจเดินเฉียดไปตรงที่หญิงสาวยืน แล้วกระซิบทิ้งท้ายพอให้ได้ยินกันสองคน

“อย่านึกนะ ว่าแพรจะหนีพี่พ้น อะไรก็ตามที่แพรพยายามปิดบังไว้ สักวันพี่จะต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่เชื่อก็คอยดู”

“อี๋...ฝันไปเถอะนายภู ไม่มีวันซะล่ะ” ณิชญาฎาออกอาการหัวเสียที่ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่าย ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เก็บความประหวั่นใจไว้จนลึก ตัดใจหันหลังไปรับหนูน้อยตัวไหมมาไว้ในอ้อมอก แล้วออกเดินไปยังลานจอดรถ พากันกลับบ้านไปพักผ่อน ก่อนที่จะกลับมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกครา เมื่ออรุณรุ่งของวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง

--------------------------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 เม.ย. 2554, 22:28:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ค. 2554, 10:36:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 2464





   ตอนที่ 2 : ใช่ หรือไม่ใช่ >>
เพียงรอยฝัน 25 เม.ย. 2554, 08:11:00 น.
หวัดดีค้าบพี่ ยินดีต้อนรับนะคะ อิอิ มาแบบไม่บอกไม่กล่าว เอิ๊กกก


นิลวนา 25 เม.ย. 2554, 14:07:36 น.
หวัดดีจ้าน้องเจี๊ยบ ก็ว่าจะบอกอยู่ แต่อากาศ มันน่านอน ฟ้าฝนตกกระหน่ำ เลยยังไม่ทันได้ยกหูไปบอก ตอนที่เอามาลงนี่เป็น ฉบับรีไรท์ ที่พี่จ๋าช่วยดูให้นะจ๊ะ ถ้ามีอะไรจะติชม ก็ตามสบายเลยนะจ๊ะ


หมู้หมู 30 เม.ย. 2554, 21:07:10 น.
แม่แพร ดูจะไม่ค่อยทุกใจเลยอ่ะ.. แต่ยังไงเป็นกำลังใจให้ ไรเตอร์นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account