เหงา (เรื่องสั้น สองตอนจบ)

Tags: ลึกลับ,วิญญาณ

ตอน: ตอนจบ

เจษฎา วิชิตและณรงค์ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่กลางบ้าน อากาศภายในเย็นจัดจนต้องห่อไหล่เข้าหากัน ทั้งสามคนกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่เนื่องจากหมอกลงหนา จนมองอะไรแทบไม่เห็น ทำให้ทั้งสามคนต้องหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องนำทาง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

“ไม่อยากเชื่อเลยว่า ในนี้จะมีหมอกลงด้วย บ้าชะมัด!” เจษฎาบ่นเบาๆ วิชิตกับณรงค์หันมาสบตากันในความมืดแล้วยิ้มแห้งๆ คิดตรงกันว่า ต่อให้มีภูเขาไฟระเบิดหรือแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ทั้งคู่ก็เชื่อ เพราะที่พวกเขาเข้ามาเดินอยู่ในตอนนี้ ใช่บ้านคนธรรมดาซะที่ไหน แต่เป็นบ้านผีสิงต่างหาก ฉะนั้น อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ท่ามกลางความมืดสลัวที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอก ทั้งสามคนได้ยินเสียงบางอย่างดังมาทางขวามือ ซึ่งเป็นทางแยกไปห้องครัว เสียงมันคล้ายกับคนกำลังลากของหนักไปตามพื้นห้อง สลับกับเสียงหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนแทรกเข้ามาเป็นระยะ พวกเจษฎาจึงพร้อมใจกันยกไฟฉายส่องไปทางต้นเสียง

ลำแสงสีเหลืองนวลจากกระบอกไฟฉายสามกระบอก ตัดผ่านม่านหมอกไปตรงมุมห้อง ซึ่งเป็นที่มาของต้นเสียง มีเงาดำตะคุ่มของใครคนหนึ่ง กำลังลากเก้าโยกขนาดใหญ่ไปตามพื้นห้อง บนเก้าอี้มีร่างของเด็กคนหนึ่งนอนอยู่บนนั้น ถึงจะมองเห็นไม่ชัด แต่เจษฎาก็รู้ทันทีว่า ร่างที่นอนไม่ได้สติบนเก้าอี้โยกนั่นคือใคร

“ตากล้า!”

เจษฎาอุทานเสียงดัง วิ่งฝ่าม่านหมอกที่ก่อตัวหนาทึบ เพื่อเข้าไปหาลูกชาย จู่ๆ โซฟาขนาดใหญ่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ พุ่งตรงมาที่เจษฎาอย่างรวดเร็ว

“คุณเจษ ระวัง!” วิชิตตะโกนเสียงดัง เจษฎาหันไปมองอย่างตกใจ รีบเบี่ยงตัวหลบแต่ไม่พ้น พนักโซฟากระแทกชายโครงเจษฎาดังปึ้ก ร่างเจษฎาลอยข้ามศีรษะของณรงค์กับวิชิตไปด้านข้าง หล่นกระแทกพื้นห้องเสียงดังโครม ไฟฉายในมือหลุดกระเด็นกลิ้งไปอีกด้าน เจษฎานิ่วหน้าด้วยความเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก แต่โซฟาไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันหมุนติ้วเป็นวงกลม พุ่งใส่เจษฎาที่นอนนิ่งไม่ขยับอยู่กลางพื้นห้องทันที

วิชิตกับณรงค์เบิกตากว้าง กระโจนจากจุดที่ยืนอยู่เข้ามาฉุดแขนเจษฎาให้ลุกขึ้นยืน พาวิ่งหนีไปอีกทางอย่างไม่คิดชีวิต โซฟาจึงพุ่งชนใส่ผนังบ้านเสียงดังสนั่น โคมไฟระย้าที่ห้อยอยู่กลางบ้านแกว่งไกวไปมา หลุดร่วงลงมากระทบพื้นห้องแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ประกายไฟลุกวาบเป็นทางยาว มองเห็นร่างของหนึ่งยืนเด่นอยู่ตรงมุมห้อง หนี่งตวัดสายตามองเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่กลางห้อง เปลวไฟก็ค่อยๆ มอดดับลงเหลือเพียงควันไฟบางเบาที่ลอยกรุ่น

“โอ้โฮ! พวกน้าวิ่งเร็วเหมือนกันนะฮะ ทำเอาผมลุ้นแทบแย่แน่ะ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว” หนึ่งยิ้มชอบใจ มองพวกเจษฎาที่ตอนนี้ขยับถอยไปยืนรวมกลุ่มกันตรงมุมห้องอีกด้านหนึ่ง

เจษฎาหายใจหอบ เจ็บแปลบตรงชายโครงด้านขวาจนเหงื่อซึม จึงใช้มือคลำชายโครงด้านที่ถูกโซฟากระแทกใส่แต่ต้องสะดุ้ง สูดปากเบาๆ ด้วยความเจ็บ สงสัยกระดูกซี่โครงจะหัก แต่ช่างมันเถอะ ให้พาต้นกล้าออกไปจากที่นี่ให้ได้ซะก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ คุณเจษ” ณรงค์ถามด้วยความเป็นห่วง

“สงสัยกระดูกซี่โครงคงจะหักครับ แต่ไม่เป็นไร” เจษฎากัดฟันตอบ หันไปมองหนึ่งอย่างไม่พอใจ อย่าคิดนะว่า เขาจะกลัว เป็นไงเป็นกันสิ คืนนี้ถ้าไม่ได้ตัวต้นกล้ากลับไป ก็อย่าหวังว่าเขาจะยอมกลับเช่นกัน!

“คืนตากล้ามานะ!” เจษฎาตะโกนเสียงดัง

“ต้นกล้าสัญญากับผมแล้วว่า จะอยู่ที่นี่กับผม เราจะเล่นด้วยกัน” หนึ่งตอบเสียงเยือกเย็น

“แต่ตากล้าเป็นลูกชายของน้า เธอไม่มีสิทธิ์กักตัวเขาเอาไว้แบบนี้” เจษฎาว่าอย่างเหลืออด

“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์! ต้นกล้าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมมี ฉะนั้นผมไม่คืนให้! ได้ยินไหม ผมไม่คืนให้!” หนึ่งตวาดลั่นอย่างไม่พอใจ ดวงตาแดงก่ำลุกวาบเหมือนมีเปลวไฟอยู่ข้างใน มองเจษฎาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ พลันพื้นห้องก็สั่นสะเทือนโคลงเคลงไปมาราวกับเกิดแผ่นดินไหว พวกเจษฎารีบหมอบนอนราบกับพื้นทันที

“หึ! อยากได้ต้นกล้าคืนใช่ไหม ก็ได้! ถ้างั้นเรามาเล่นเกมกัน” หนึ่งหัวเราะเสียงดัง ร่างลอยขึ้นสูงจากพื้นห้องทีละนิด พวกเจษฎาเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เมื่อเห็นเก้าอี้โยกที่มีร่างต้นกล้านอนอยู่ ลอยจากพื้นห้องเข้ามาหาหนึ่งอย่างช้าๆ

“จะทำอะไรน่ะ” เจษฎาถาม มองร่างหมดสติของลูกชายที่นอนอยู่บนเก้าอี้โยก ซึ่งลอยค้างอยู่กลางอากาศอย่างเป็นห่วง ขยับตัวจะลุกขึ้นยืน แต่พื้นห้องที่โคลงเคลงไปมา ทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้

หนึ่งไม่ตอบ เคลื่อนร่างเข้ามากอดพนักเก้าอี้ พลางก้มมองใบหน้าไร้สีเลือดของต้นกล้าแล้วยิ้มออกมา

“ผมชอบเล่นเกมซ่อนหามากที่สุด ดังนั้น เรามาเล่นเกมซ่อนหากันเถอะ ผมจะพาต้นกล้าไปซ่อน แล้วให้พวกคุณน้าเป็นคนหา ถ้าหาเจอ ก็พาต้นกล้ากลับไปได้” หนึ่งตวัดสายตามองมาที่เจษฎา แล้วพูดต่อ

“แต่..ถ้าหาไม่เจอ ต้นกล้าจะต้องอยู่กับผมที่นี่ตลอดกาล ตกลงไหม”

เจษฎากำหมัดแน่น มองหนึ่งตาขุ่น ไอ้ผีเด็กเจ้าเล่ห์! ยื่นข้อเสนอมาแบบนี้ เอาเปรียบกันเห็นๆ แต่ถ้าไม่รับข้อเสนอ เขาก็ไม่มีทางได้ตัวต้นกล้าคืนมา เห็นทีต้องเสี่ยงวัดดวงกันสักตั้ง

“ก็ได้ แต่น้ามีข้อแม้สองข้อ”

“อะไรฮะ”

“ข้อแรก เธอซ่อนตากล้าไว้ตรงไหนก็ขอให้ซ่อนไว้ตรงนั้น ห้ามเล่นตุกติกด้วยการเปลี่ยนที่ซ่อนตามอำเภอใจ ข้อสอง เธอจะต้องซ่อนตากล้าไว้ในบ้านหลังนี้เท่านั้น ห้ามพาออกนอกพื้นที่เด็ดขาด เข้าใจไหม”

“เรื่องนั้น ไม่มีปัญหา เพราะผมก็ตั้งใจไว้แบบนั้นอยู่แล้ว”

“เป็นอันว่า ตกลงตามนี้ แล้วพวกเรามีเวลาในการหาตากล้า จนถึงเมื่อไหร่”

“รุ่งเช้า พวกน้ามีเวลาแค่รุ่งเช้าเท่านั้น หากฟ้าสางแล้วยังหาต้นกล้าไม่เจอ พวกน้าจะต้องออกไปจากที่นี่ทันที และห้ามเหยียบกลับเข้ามาอีกเป็นอันขาด!” สิ้นเสียงของหนึ่ง อุณหภูมิภายในห้องก็ลดระดับต่ำลงกว่าเดิม อากาศที่เย็นอยู่แล้ว ทวีความเย็นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

“ขอให้สนุกกับการเล่นซ่อนหานะฮะ” หนึ่งบอกเสียงเย็น ใช้มือจับพนักเก้าอี้โยก ที่มีร่างของต้นกล้านอนอยู่ จากนั้นร่างของหนึ่งพร้อมกับเก้าอี้โยกก็เลื่อนไถล ถอยไปด้านหลังหายเข้าไปในกลุ่มม่านหมอก

พื้นห้องที่โคลงเคลงไปมาเมื่อครู่หยุดการสั่นไหว กลับคืนสู่สภาพเดิม พวกเจษฎาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างระวัง เพราะไม่แน่ใจว่า พื้นห้องจะโคลงเคลงไปมาอีกหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เจษฎาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อควานหาไฟแช็ก จากนั้นจุดไฟจ่อเข้ากับนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา พบว่ามันเป็นเวลาสี่ทุ่ม แสดงว่าพวกเขามีเวลาแค่แปดชั่วโมง สำหรับค้นหาต้นกล้าที่ซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้

“คุณเจษครับ” วิชิตแตะบ่าเจษฎาเบาๆ เจษฎาหันมายิ้มให้

“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาตากล้าให้เจอ”

วิชิตถอนหายใจ ไม่อยากเชื่อเลยว่า เจษฎาจะรับคำท้าของผีเด็กตนนั้น แต่เขาก็พอจะเข้าใจ เพราะถ้าไม่รับคำท้า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช้วิธีไหน ถึงจะทำให้ได้ตัวต้นกล้าคืนมา

“แต่ว่าคุณเจษแน่ใจนะครับว่าไหว” ณรงค์ถาม พลางมองชายโครงของเจษฎา ที่โดนโซฟากระแทกใส่ จนกระดูกซี่โครงหักอย่างนึกห่วง ซึ่งอีกฝ่ายเข้าใจเป็นอย่างดี จึงสั่นหัวไปมา

“เจ็บแค่นี้ไม่ทำให้ถึงตายหรอกครับ ตอนนี้ชีวิตลูกชายของผมสำคัญที่สุด หากพวกเราไม่รีบล่ะก็ ผมอาจจะต้องเสียลูกชายไปจริงๆ ก็ได้”

“ในเมื่อคุณเจษพูดแบบนี้ พวกผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เอาเป็นว่า พวกเรามาช่วยกันหาต้นกล้าให้เจอดีกว่า จะได้ออกไปจากที่นี่กัน”

“ขอบคุณครับ แล้วพวกเราควรจะเริ่มต้นหาตากล้าจากตรงไหนของบ้านก่อนดี”

“ผมคิดว่า เราเริ่มหาจากห้องที่อยู่ข้างล่างก่อน จากนั้นค่อยขึ้นไปหาชั้นสอง ค่อยๆ ไล่หาไปทีละห้อง ดีไหมครับ” วิชิตเสนอขึ้นมา ณรงค์พยักหน้าเห็นด้วย เจษฎายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น

“ดีเหมือนกันครับ ถ้างั้นเราเริ่มหาตากล้า จากห้องที่อยู่ทางขวามือก่อนล่ะกัน” พูดจบ เจษฎาก็เดินนำวิชิตกับณรงค์ฝ่าม่านหมอกไปทางขวามือ โดยมีดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งมองตามหลังไป

“แล้วผมจะคอยดู ว่าพวกน้าจะหาต้นกล้าเจอหรือเปล่า หึหึหึ” เสียงหัวเราะแหลมเย็น ดังออกมาจากเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำที่ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก ก่อนที่จะเลือนหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า

***************************************************************

เกมเล่นซ่อนหาระหว่างคนกับผี โดยมีชีวิตของต้นกล้าเป็นเดิมพันได้เริ่มขึ้น พวกเจษฎาตรวจค้นชั้นล่างอย่างละเอียด นอกจากความเงียบสงัดและหมอกหนาทึบที่ปกคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้วแล้ว ก็ไร้วี่แววของต้นกล้าหรือสิ่งมีชีวิตอื่นอีก

หลังจากค้นหาจนแน่ใจว่า ต้นกล้าไม่ได้ถูกซ่อนไว้ที่ชั้นล่าง เจษฎาก็เดินนำณรงค์กับวิชิตมาหยุดตรงหน้าบันไดทางขึ้นไปชั้นสองของบ้าน พลันได้ยินเสียงหัวเราะลอยมากระทบหู เจษฎาจึงยกไฟฉายส่องขึ้นไปข้างบน เห็นหนึ่งนั่งแกว่งขาเล่นอยู่บนราวบันได

“ว่าไงฮะ หาต้นกล้าเจอหรือยัง”

“ตอนนี้ยังไม่เจอ แต่อีกไม่นาน ก็คงจะเจอ”

“แน่ใจเหรอฮะว่าจะหาเจอ ผมว่าคุณน้ากลับไปดีกว่า” หนึ่งพูดพลางกระโดดลงมายืนอยู่บนขั้นบันได

“ไม่ต้องมากล่อมซะให้ยาก น้าไม่ใช่เด็กอมมือ ถึงจะได้ไม่รู้เจตนาของเธอ หลีกไป อย่ามายืนขวางทาง มันเกะกะ!” เจษฎาว่าอย่างไม่เกรงใจ แต่นอกจากจะไม่หลีกแล้ว หนึ่งยังเอนตัวลงนอนบนขั้นบันไดอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“อ้าว ทำไมไปยืนออกันอยู่ตรงนั้นล่ะฮะ รีบๆ ขึ้นมาสิ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกฮะ เชิญขึ้นมาหาต้นกล้าได้ตามสบาย” หนึ่งพูด เมื่อเห็นพวกเจษฎายืนรีรออยู่ตรงหน้าบันไดไม่ยอมเดินขึ้นมา

“ช่างถามมาได้ ใครจะกล้าขึ้นไป ในเมื่อพ่อคุณเล่นไปนอนดักอยู่ตรงนั้น” วิชิตหันมากระซิบกับณรงค์

“นั่นสิครับ ผมคนหนึ่งล่ะไม่กล้า ขืนขึ้นไป มีหวังถูกเด็กนั่นจับหักคอแหงๆ” ณรงค์เห็นด้วย แต่ทั้งคู่ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเจษฎาเดินก้าวฉับๆ ไปที่บันได

“ถอยไปซะ น้าไม่อยากเดินข้ามร่างของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเธอจะเน่าเปื่อยไปแล้วก็ตาม เพราะการทำแบบนั้น เหมือนกับไม่ให้เกียรติคนตาย ในเมื่อเราตกลงกันแล้ว เธอก็ควรจะรักษาสัญญา ปล่อยให้พวกน้าได้หาต้นกล้าจนถึงที่สุดก่อน ถ้าไม่เจอจริงๆ ค่อยว่ากัน”

หนึ่งยังคงนอนนิ่งทำเหมือนไม่ได้ยิน แถมยังผิวปากอย่างสบายอารมณ์อีกด้วย เจษฎามองอย่างหงุดหงิด ผีเด็กตนนี้กำลังยั่วโมโหเขา ในเมื่อขอทางกันดีๆ ไม่ยอมให้ เห็นทีเขาคงต้องเดินข้ามศพกันแล้ว อาจจะดูแย่สักหน่อย แต่มันช่วยไม่ได้ คิดแล้วเจษฎาก็ยกขาจะก้าวข้ามร่างที่นอนขวางอยู่ แต่หนึ่งลุกพรวดขึ้นยืนประจันหน้ากับเจษฎา พร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ชายโครงของเจษฎาเต็มแรง

“โอ๊ย!” เจษฎาร้องลั่น หน้าเหยเกเพราะความเจ็บ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที

“ขอโทษฮะ ผมลืมไปว่าคุณน้าได้รับบาดเจ็บ เอ ดูเหมือนว่ากระดูกซี่โครงหักใช่ไหมฮะ แล้วหักกี่ซี่ล่ะ หนึ่ง สองหรือว่าสาม” หนึ่งถามหน้าระรื่น เจษฎามองหนึ่งตาเขียว พยายามข่มใจไม่ให้โกรธ แล้วพูดขึ้น

“ขอแค่พาต้นกล้าออกไปจากที่นี่ได้ จะกระดูกหักกี่ซี่ก็ช่างมัน น้าไม่สนหรอก”

“เหรอฮะ ได้ยินคุณน้าพูดแบบนี้ ผมค่อยสบายใจหน่อย เพราะการปล่อยให้พวกคุณน้าเดินก้มหน้าก้มตา ค้นหาต้นกล้ากันเงียบๆ แบบนี้ ผมว่ามันน่าเบื่อ จริงไหมฮะ” หนึ่งพูดเสียงแหบพร่าชวนขนลุก ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงใบหู เจษฎามองหนึ่งอย่างไม่ไว้ใจ

“เธอพูดแบบนี้ คิดจะทำอะไร”

“ไม่มีอะไรหรอกฮะ แค่อยากจะช่วยเพิ่มบรรยากาศให้มันตื่นเต้นเล็กน้อย พวกคุณน้าจะได้รู้สึกคึกคัก กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง แต่อาจจะต้องออกกำลังขากันสักนิด ไม่อย่างนั้น ผมไม่รับรองเหมือนกันว่า กว่าจะถึงตอนเช้า พวกคุณน้าจะยังมีอวัยวะครบถ้วนสามสิบสองประการอีกหรือเปล่า” หนึ่งพูดจบ ร่างก็เลือนหายไปจากตรงนั้น พลันเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น

“กึกๆๆ”

“เสียงอะไรน่ะ” ณรงค์ถามเสียงสั่น เจษฎากับวิชิตส่ายหัวเป็นทำนองว่าไม่รู้ ทั้งสามคนขยับมารวมกลุ่มกันตรงกลางห้องพร้อมกับเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง

“อ๊ะ ดูนั่นสิ” วิชิตชี้ให้ดูหน้าต่างทางขวามือ มันกำลังสั่นเบาๆ เหมือนถูกลมพัดกระแทกใส่

“ไม่ใช่แค่บานเดียวนะครับ” เจษฎาบุ้ยปากให้ณรงค์กับวิชิตดูหน้าต่างบานอื่นๆ ที่กำลังสั่นเช่นกัน

“ท่าจะไม่ดีแล้วล่ะครับ หน้าต่างเล่นสั่นกันหมดทุกบานแบบนี้ ผมว่า..” วิชิตพูดไม่ทันจบประโยค หน้าต่างก็สั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงดังกึกๆๆ หนักยิ่งกว่าเดิมดังก้องไปทั่วห้อง ณรงค์เหงื่อแตกพลั่ก ใจเต้นโครมครามด้วยความกลัว บีบแขนวิชิตที่ยืนข้างกันแน่น

“เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!”

กระจกหน้าต่างที่สั่นอยู่เมื่อครู่ แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เศษกระจกปลิวว่อนกระจัดกระจาย ทั้งสามคนรีบก้มลงต่ำหมอบกับพื้น

เสียงกระจกหล่นกระทบพื้นห้องดังเกรียวกราว พวกเจษฎาได้ยินเสียงดีดนิ้วดังเปาะ จึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนเบิ่งตากว้างอย่างตกใจ เมื่อเศษกระจกที่ร่วงอยู่บนพื้นลอยขึ้นสูง หันปลายแหลมมาทางที่พวกตนหมอบอยู่

“เฮ้ย!” ณรงค์ตาเหลือก ตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เจษฎาสติดีกว่าทุกคน รีบลุกขึ้นยืนตะโกนบอกเพื่อนทั้งสองคนให้หนีขึ้นไปชั้นสอง วิชิตได้สติ ฉุดมือณรงค์ให้ลุกขึ้นวิ่งตามเจษฎาไป

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นอีกครั้ง เศษกระจกที่ลอยค้างกลางอากาศเริ่มขยับ แล้วไล่ตามพวกเจษฎาที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดหนีไปชั้นสองด้วยความเร็ว

“มะ..มะ...มันตามแล้ว” ณรงค์พูดตะกุกตะกัก ชี้ให้เจษฎากับวิชิตหันไปมองด้านหลัง ทั้งคู่หันไปมอง จึงเห็นเศษกระจกจำนวนมากกำลังพุ่งตรงมา

“ใส่เกียร์หมาเลยครับ คุณณรงค์!” วิชิตตะโกนดังลั่น ฉุดมือณรงค์ให้วิ่งตามมา

เสียงกระจกแหวกอากาศดังก้องไปทั่ว ฟังบาดลึกไปถึงหัวใจ พวกเจษฎาใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ไม่คิดเลยว่า จะต้องมาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้ ให้ตายสิ! นี่พวกเขาหลุดเข้ามาอยู่ในภาพยนตร์แอ๊คชั่นผจญภัยหรือไง

“เร็วเข้าครับ!” เจษฎาบอกพลางซอยเท้าขึ้นบันไดอย่างเร่งรีบ วิชิตกับณรงค์ที่ตามหลังมา ต่างหายใจหอบกันถ้วนหน้าด้วยความเหนื่อย แต่กัดฟันวิ่งขึ้นบันไดอย่างไม่คิดชีวิต

“เป็นยังไงบ้างฮะ เริ่มตื่นเต้นกันแล้วใช่ไหม” เสียงหนึ่งลอยมาตามสายลม แต่พวกเจษฎาไม่สนใจจะโต้ตอบ เพราะสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือ วิ่งไปให้ถึงชั้นสองของบ้านเท่านั้น

การวิ่งขึ้นบันไดในบ้านหลังนี้ ยากกว่าที่คิด ไม่เพียงแต่บันไดจะสูงและชันแล้ว จำนวนขั้นก็มีมากกว่าบันไดตามบ้านปกติทั่วไป พวกเจษฎาวิ่งอยู่เกือบยี่สิบนาที ก็ยังมองไม่เห็นบันไดขั้นบนสุด

“โอย..ทำไมจำนวนขั้นมันถึงได้เยอะแบบนี้ แฮ่ก..แฮ่ก..วิ่งจนจะยกขาไม่ขึ้นอยู่แล้ว ยังไม่ถึงข้างบนอีก” ณรงค์พูดปนหอบ รู้สึกจุกเสียดแน่นหน้าอกจนหายใจแทบไม่ทัน ไม่ต่างจากวิชิต ที่เหนื่อยจนพูดไม่ออกเช่นกัน

เจษฎาอาการหนักกว่าคนอื่น ไม่เพียงแต่เหนื่อยเท่านั้น อาการบาดเจ็บบริเวณชายโครงเริ่มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกชาไปทั่วร่างจนแทบจะขยับไม่ได้ แต่ยังกัดฟันฮึดวิ่งต่อไปโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ

ปกติการวิ่งขึ้นบันไดที่ทั้งสูงและชันก็เหนื่อยแทบขาดใจอยู่แล้ว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่ไล่ตามพวกเขามาชนิดหายใจรดต้นคอนี่สิ ทำเอาพวกเจษฎาเสียวสันหลังวาบ ไม่กล้าหันกลับไปมอง ทำได้เพียงวิ่งสุดฝีเท้า เพื่อขึ้นไปให้ถึงข้างบนเท่านั้น

“ใกล้ถึงแล้วครับ อีกนิดเดียว” เจษฎาชี้ให้วิชิตกับณรงค์ดูขั้นบนสุดของบันไดที่มองเห็นอยู่ไม่ไกล

“เฮ้อ..ถึงสักที” ณรงค์พูดอย่างดีใจ เมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นห้องของชั้นสอง เจษฎากวาดสายตามองฝ่าม่านหมอกเพื่อหาที่หลบ เห็นประตูห้องทางซ้ายแง้มอยู่เล็กน้อย รีบวิ่งนำณรงค์กับวิชิตไปทางนั้น

“ปัง!” เจษฎาใช้ไหล่กระแทกประตูห้องที่แง้มอยู่ให้เปิดกว้างแล้ววิ่งเข้าไป ตามด้วยณรงค์กับวิชิตที่สวมวิญญาณหลวงพ่อโกย กระโจนพรวดเดียวเข้ามาในห้อง

“ปิดประตูเร็ว!” เจษฎาตะโกนดังลั่น วิชิตรีบปิดประตู เป็นจังหวะเดียวกับที่เศษกระจกพุ่งถึงมาพอดี

กระจกพุ่งปักประตูที่ปิดได้ทันเวลาอย่างหวุดหวิด เศษกระจกบางชิ้นปักทะลุประตู ซึ่งเป็นเนื้อไม้เข้ามาเกือบครึ่ง มองเห็นปลายแหลมสะท้อนแสงแวววาวอยู่ในความมืด

ณรงค์กับวิชิตมองประตูที่ถูกกระจกปักทะลุอย่างหวาดเสียว ไม่อยากคิดเลยว่า หากเปลี่ยนจากเนื้อไม้ของบานประตู มาเป็นร่างของพวกเขาแทน จะมีสภาพสยองขนาดไหน แสดงว่าผีเด็กตนนี้ตั้งใจจะเล่นงานพวกเขาให้ถึงตาย ทำแบบนี้มันร้ายกาจเกินไปแล้ว!

เจษฎายืนหายใจหอบ พิงผนังห้องอย่างเหนื่อยอ่อน ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ใบหน้าของเจษฎาในตอนนี้ซีดเผือด เสื้อที่ใส่เปียกชื้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาพยายามหายใจเข้าออกลึกๆ หลายครั้ง เพื่อข่มความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาแต่ไม่เป็นผล ดูเหมือนว่า การวิ่งเมื่อครู่จะส่งผลกระทบต่อบาดแผลของเขามากทีเดียว

“คุณเจษ!” วิชิตกับณรงค์เข้ามาพยุงเจษฎาคนละด้าน พบว่าร่างของเจษฎาเย็นเฉียบ

“ไม่เป็นไรครับ แค่เหนื่อยนิดหน่อย” เจษฎาพูดกระท่อนกระแท่น กัดฟันข่มความเจ็บปวด ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืน แต่ขาทั้งสองข้างสั่นระริกจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่

“ผมว่าคุณเจษ อย่าฝืนดีกว่าครับ” ณรงค์บอกพลางใช้มือกดบ่าเจษฎาให้นั่งลงตามเดิม เจษฎาอ้าปากจะท้วงว่าตนยังไหว แต่วิชิตรีบดักคอ

“ผมรู้ครับว่าคุณเจษยังไหว แต่เมื่อกี้พวกเราเพิ่งจะวิ่งกันมาหยกๆ ควรจะนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน แล้วค่อยค้นหาต้นกล้ากันต่อ เชื่อผมเถอะครับ”

“นั่นสิ ยังมีเวลาอีกตั้งสามชั่วโมงก่อนจะรุ่งเช้า ไม่เห็นจะต้องรีบเลย จริงไหมฮะ” เสียงแหลมเล็กเยือกเย็นดังขึ้นใกล้ตัว วิชิตกับณรงค์สะดุ้ง หันมามองด้านหลัง แล้วร้อง “เฮ้ย” ออกมาดังลั่น เมื่อเห็นหนึ่งยืนยิ้มเผล่อวดฟันขาวอยู่ด้านหลัง ทั้งคู่กระโดดถอยไปหลบตรงมุมห้องพร้อมกัน ส่วนเจษฎายังคงนั่งนิ่ง ไม่ขยับตัว

“ทำไมพวกน้าสองคนต้องตกใจมากขนาดนั้นด้วยล่ะฮะ ผมคิดว่าเราน่าจะคุ้นเคยกันแล้วซะอีก เพราะเจอกันบ่อย” หนึ่งถามณรงค์กับวิชิตด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

คุ้นที่ไหนกันเล่า ณรงค์บ่นอุบอยู่ในใจ ต่อให้เจอกันบ่อย ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำใจให้คุ้นเคยกับผีได้ซะเมื่อไหร่ ยิ่งผีเด็กเอาแต่ใจแถมยังโหดแบบนี้ด้วยแล้ว จ้างให้ เขาก็ไม่มีวันญาติดีด้วยหรอก

เจษฎามองหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วหลับตาลง ตอนนี้อย่าว่าแต่จะวิ่งเลย แค่หายใจเข้าออกก็ทำได้ลำบาก เขาไม่รู้ว่าอวัยวะภายในบอบช้ำมากน้อยแค่ไหน แต่คิดว่าคงสาหัสเอาการ

เจษฎาพยายามตั้งสติ คิดหาวิธีอื่นที่ดีกว่าเล่นซ่อนหา เพราะจากที่เห็น เด็กที่ชื่อหนึ่งไม่มีทางยอมให้พวกเขาหาต้นกล้าเจอ ไม่อย่างนั้นจะขัดขวางพวกเขาทำไม เห็นทีเขาคงต้องคุยกับหนึ่งให้รู้เรื่อง อาจฟังดูพิลึกไปสักหน่อยที่เขาจะคุยกับวิญญาณ แต่เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ลองเสี่ยงดูแล้วจะรู้ได้ยังไง

“เธอชื่อหนึ่ง ใช่ไหม” เจษฎาถามทั้งที่ยังหลับตา หนึ่งเอียงคอมองเจษฎาอย่างแปลกใจ

“ฮะ ผมชื่อหนึ่ง คุณน้าถามทำไม”

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อยากจะรู้จักเพื่อนของลูกบ้าง ไม่ได้เหรอ”

คำตอบของเจษฎาสร้างความประหลาดใจให้กับณรงค์และวิชิตเป็นอย่างมาก ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเจษฎาคิดจะทำอะไร แต่การชวนวิญญาณสนทนาแบบนี้ เป็นสิ่งที่เหนือคาดมาก

“เพื่อนของลูก? เมื่อกี้คุณน้าพูดคำนี้ใช่ไหม”

“ใช่ เธอได้ยินไม่ผิดหรอก”

หนึ่งมองเจษฎาที่นั่งหลับตาพิงผนังห้องก่อนหรี่ตาลง ท่าทางพ่อของต้นกล้าจะเป็นคนใจดีเหมือนกัน ขนาดโดนเล่นงานจนเจ็บปางตายแบบนี้ ก็ไม่ต่อว่าเราสักคำ บางที..เราอาจจะตกลงเรื่องของต้นกล้ากันได้

“คุณน้าเจ็บแผลมากหรือฮะ หน้าซีดเชียว” หนึ่งถามน้ำเสียงอ่อนลง เจษฎาลืมตามองหนึ่ง ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มเล็กน้อย

“ฮื่อ..แต่ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้ไกลหัวใจตั้งเยอะ”

“ไกลหัวใจก็จริง แต่ถ้าไม่รีบไปหาหมอ คุณน้าอาจจะเป็นเหมือนผมก็ได้นะฮะ” หนึ่งเลี่ยงที่จะพูดคำว่าตายออกมาตรงๆ ซึ่งเด็กชายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เกลียดคำๆ นี้นัก เวลาได้ยินใครพูดถึงคำนี้ทีไร เขาจะรู้สึกปวดหนึบๆ ในใจทุกครั้ง

ตอนที่ได้ยินเจษฎาพูดว่า ไม่อยากเดินข้ามร่างของเขา เพราะเหมือนกับไม่ให้เกียรติคนตาย เขารู้สึกโกรธมาก จึงใช้นิ้วจิ้มลงไปบนแผลของอีกฝ่าย เพราะอยากให้เจษฎาได้รู้ถึงความรู้สึกของเขาว่า เจ็บปวดกับคำว่า ตายไปแล้ว ว่าเป็นอย่างไร ถึงจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่อย่างน้อย มันก็น่าจะใกล้เคียงกัน

“ที่พูดนี่ เพราะเป็นห่วงเหรอ”

“ก็ไม่เชิงฮะ คุณน้าเป็นพ่อของต้นกล้านี่นา หากเป็นอะไรไป ต้นกล้าคงเสียใจแย่” หนึ่งตอบตามตรง

“เธอไม่อยากให้ต้นกล้าเสียใจเหรอ”

“ฮะ ก็เราเป็นเพื่อนกัน ต้นกล้าน่ะใจดีกับผมมากเลย เวลามาเล่นด้วยกันทีไร ก็มักจะเอาขนมหรือไม่ก็ผลไม้มาฝากผมเสมอ แต่เสียดายผมกินไม่ได้” หนึ่งถอนหายใจเบาๆ แล้วถามขึ้นมา

“คุณน้าคงจะมีเพื่อนเยอะแยะสินะฮะ”

“ก็พอมีบ้าง แต่ไม่เยอะหรอก”

“ดีจังเลยฮะ ผิดกับผมลิบลับ ตั้งแต่จำความได้ ผมก็เล่นคนเดียวเสมอ”

“เธอไม่มีเพื่อนเลยเหรอ”

“ร่างกายผมไม่ค่อยแข็งแรง ต้องเข้าๆ ออกๆ ระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่มีเวลาไปสุงสิงกับใคร ก็เลยไม่มีเพื่อนฮะ ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่นอนอยู่บนเตียง ห้องที่คุณน้ากำลังนั่งอยู่นี้ คือห้องนอนของผมฮะ”

ณรงค์กับวิชิตยิ้มเจื่อน มิน่าล่ะ บรรยากาศในห้องถึงได้หดหู่ชอบกล ที่แท้เป็นห้องที่เด็กคนนี้ตายนี่เอง

“แล้วเธอไม่ได้ไปโรงเรียนเหรอ”

“ไปฮะ แต่ไปเรียนได้แค่เดือนเดียว ผมก็ไม่ไปอีกเลย”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

หนึ่งส่ายหน้าไปมา เหมือนกับไม่อยากพูด เจษฎามองท่าทางนั้นด้วยความสงสัย แต่ไม่อยากซักถามให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ จึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นแทน

“พ่อกับแม่ของเธอ ดุหรือเปล่า”

“ไม่ดุฮะ พ่อกับแม่ใจดีมาก แม่ชอบเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอน แม่บอกว่านิทานไม่เพียงแต่สนุกหรือให้ความเพลิดเพลินเท่านั้น แต่ยังมีคติสอนใจอีกด้วย ส่วนพ่อเล่านิทานไม่เป็น แต่ร้องเพลงเก่ง พ่อชอบร้องเพลงให้ผมฟัง พ่อบอกว่าเสียงเพลงทำให้เรานอนหลับสบาย และก็ทำให้เราลืมความเจ็บปวดได้ด้วย”

“เวลาผมไม่สบาย ผมจะเจ็บตามตัวไปหมดเลยฮะ เหมือนกับมีเข็มเป็นร้อยๆ เล่มแทงอยู่ข้างใน มันเจ็บมากเลยฮะ เจ็บจนผมต้องร้องไห้ออกมา พ่อกับแม่จะรีบเข้ามากอดผม จากนั้นจะผลัดกันร้องเพลงหรือไม่ก็เล่านิทานให้ผมฟัง แปลกเหมือนกันนะฮะ ทั้งๆ ที่เจ็บมากขนาดนั้น แต่พออยู่ในอ้อมกอดของพ่อกับแม่ ผมรู้สึกว่ามันเจ็บน้อยลง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม” ประโยคสุดท้าย หนึ่งพูดเสียงเบาคล้ายจะรำพึงกับตนเองมากกว่า แต่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนนิ่งอึ้งด้วยความรู้สึกสงสาร

“ถ้าเจ็บมากขนาดนั้น ทำไมไม่ไปหาหมอ”

“ไปสิฮะ ทำไมจะไม่ไป แต่ถ้าเลี่ยงได้ ผมก็ไม่อยากไปหาหมอหรอกฮะ”

“ทำไมล่ะ”

“เวลาไปหาหมอที่โรงพยาบาลทีไร ผมรู้สึกไม่ดีเลย ผมว่าบรรยากาศของโรงพยาบาลมันน่ากลัว มีแต่คนหน้าตาซีดเซียวเดินกันเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังเหม็นยาอีกด้วย” หนึ่งทำหน้าเหยเกเมื่อนึกถึงความหลัง

“มีครั้งหนึ่ง คุณหมอเอาสายอะไรก็ไม่รู้มาใส่ในร่างกายผม จำได้ว่ามันเจ็บมากเลยฮะ ผมร้องไห้จนคอแทบแตกแน่ะ นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ผมรู้สึกขนลุกทุกที ตั้งแต่นั้นมา ผมจึงบอกพ่อไปว่า ผมจะไม่มาโรงพยาบาลอีกแล้ว ผมไม่อยากให้คุณหมอเอาเครื่องมือแปลกๆ มาใส่ในร่างของผม มันน่ากลัวมากเลยนะฮะ พ่อคงสงสารก็เลยไม่พาผมมาที่โรงพยาบาลอีก”

“ทำแบบนั้นได้ยังไง แล้วถ้าเกิดเธอเจ็บขึ้นมาอีกจะทำยังไง”

“ไม่เป็นไรฮะ เพราะพ่อจะมารับยาจากคุณหมอทุกเดือน เวลาผมเจ็บขึ้นมาก็กินยาที่คุณหมอให้มา ถึงรสชาติจะแย่ไปสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่ามาโรงพยาบาลล่ะ”

“ท่าทางเธอคงดื้อเหมือนกันนะนี่” เจษฎาว่าพลางส่ายหัว หนึ่งหัวเราะเบาๆ ลุกไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ จากนั้นยืนกอดอกหันหลังให้พวกเจษฎา พูดน้ำเสียงเนิบๆ

“เด็กทุกคนก็ดื้อเหมือนกันหมดนั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะดื้อมากดื้อน้อยก็เท่านั้นเอง ผมชอบมายืนที่หน้าต่างบานนี้ เฝ้ามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เพราะอยากรู้ว่า คนที่มีร่างกายแข็งแรง เขาใช้ชีวิตกันแบบไหน ผมเห็นเด็กบางคนวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็เตะฟุตบอล หรือไม่ก็ขี่จักรยาน” หนึ่งถอนหายใจ

“บอกตรงๆ นะฮะว่า ผมรู้สึกอิจฉาพวกเขา ที่สามารถทำในสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้” หนึ่งพูดเสียงเศร้า แต่ยังคงเล่าต่อ ราวกับว่า หากได้พูดออกมาแล้ว สิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจมานานจะหายไป

“แม่บอกผมว่า หากผมอยากมีเพื่อนเล่น ผมก็ต้องกินยาตามที่หมอสั่ง จะได้หายไวๆ และไปโรงเรียนได้ แม่บอกว่าที่โรงเรียน มีเด็กรุ่นเดียวกันกับผมเยอะแยะ พอได้ยินแบบนั้น ผมดีใจมากเลยฮะ พยายามฝืนกินยาจนร่างกายแข็งแรงขึ้นและก็ไปโรงเรียน โดยหวังว่า จะได้มีเพื่อนเล่นกับเขาบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงๆ” เสียงพูดของหนึ่งขาดหายไป เด็กชายพยายามกลั้นก้อนแข็งๆ ที่จุกขึ้นมา แล้วหันมายิ้มให้เจษฎา

“โรงเรียนของผมน่ะ กว้างขวางและใหญ่โตมากเลยนะฮะ มีเด็กรุ่นเดียวกับผมตั้งหลายคน ห้องที่ผมนั่งเรียนมีเด็กตั้งสามสิบกว่าคนแน่ะ แต่คุณน้าเชื่อไหมฮะว่า ทั้งๆ ที่มีเด็กนั่งกันอยู่เต็มห้อง แต่ไม่มีใครชวนผมเล่นแม้แต่คนเดียว ทุกคนมองผ่านผมไปหมด ทำเหมือนกับว่าผมไม่มีตัวตน” หนึ่งเม้มปากแน่น พูดเสียงแห้ง

“คุณน้าคงไม่รู้หรอกว่า ผมรู้สึกยังไง บอกให้ก็ได้ฮะว่า ผมรู้สึกแย่มากเลย คิดดูสิฮะว่า ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ นั่งพูดคุยหยอกล้อกัน แต่ทำไมมีเฉพาะผมเท่านั้น ที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียว ไม่มีคนสนใจ ไม่แม้แต่จะมองมาทางผมด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันแท้ๆ แต่เหมือนกับถูกผลักไสให้ไปอยู่กันคนละโลก”

“ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ ผมยอมนอนเจ็บปางตายอยู่ที่บ้านดีกว่า เพราะที่บ้าน ผมยังมีพ่อกับแม่นั่งพูดคุยเป็นเพื่อน แต่ที่โรงเรียน ผม..ไม่มีใครเลย จนผมอดคิดไม่ได้ว่า ผมเป็นคนน่ารังเกียจมากเลยเหรอ ทุกคนถึงไม่ต้องการเล่นกับผม” หนึ่งพูดเสียงสั่นด้วยความน้อยใจ น้ำตาเอ่อขึ้นมา

เจษฎาคอแห้งผาก พูดอะไรไม่ออก มองหนึ่งอย่างสงสารจับใจ หากตัดเรื่องที่ว่า หนึ่งเป็นวิญญาณทิ้งไปซะ ร่างที่ยืนสะอื้นอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“ดังนั้น พอต้นกล้ามาชวนผมเล่น ผมจึงรู้สึกดีใจมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตัวเองจะมีเพื่อนกับเขาด้วย”

หนึ่งเดินมานั่งคุกเข่าข้างๆ เจษฎา ดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้ มองอย่างอ้อนวอน

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณน้ากับเพื่อนอีกสองคนเลยนะฮะ ผมแค่ไม่อยากให้คุณน้าพาต้นกล้ากลับไป คุณน้ามีเพื่อนตั้งมากมาย ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของผมหรอกว่าเป็นยังไง ผมไม่อยากอยู่คนเดียวเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ผมอยากมีเพื่อนฮะ อยากมีคนที่พูดคุยและเล่นด้วยกัน ต้นกล้าคือคนๆ นั้นฮะ”

เอาแล้วไง หนึ่งกำลังขอในสิ่งที่เขากลัวที่สุด ถึงจะสงสาร แต่เขาก็ไม่อาจยกลูกชายให้กับวิญญาณเด็กตนนี้ได้ เจษฎาถอนหายใจอย่างหนักใจ

“น้าเห็นใจเธอนะ แต่น้าอยากให้เธอคิดถึงความรู้สึกของน้าบ้าง” เจษฎาพูดน้ำเสียงอ่อนโยน หนึ่งมีสีหน้าแข็งเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เด็กชายมองเจษฎาตาวาว แต่เขาไม่สนใจยังคงพูดต่ออย่างนุ่มนวล

“ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากสูญเสียลูกไปหรอกนะ น้าอยากให้เธอลองนึกถึง เมื่อครั้งที่เธอเสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย เธอจำได้ไหมว่าตอนนั้น พ่อแม่ของเธอมีสภาพอย่างไร”

หนึ่งนั่งนิ่ง นึกย้อนภาพในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นภาพที่พ่อกับแม่ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตายตาม ตอนที่นำร่างของตนใส่ในโลงศพ ภาพที่พ่อเข้ามานอนกับศพของตนในห้องทุกคืน หรือภาพที่แม่นอนสะอื้นหลังจากตัดสินใจว่าจะเผาร่างของตน ยังไม่นับภาพที่แม่ตรอมใจไม่ยอมกินข้าวจนป่วยหนัก จนพ่อทนไม่ไหวต้องพาแม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น ภาพต่างๆ ที่ย้อนเข้ามาในห้วงความคิด ทำให้หนึ่งน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เจษฎาน้ำตาซึม เข้าใจความรู้สึกของร่างที่อยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี พูดเสียงสั่น

“อย่าให้น้าต้องมีสภาพแบบเดียวกันกับพ่อแม่ของเธอเลยนะ คืนตากล้ามาให้น้าเถอะ แล้วน้าจะให้ตากล้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เธอ เพื่อที่เธอจะได้ไปสู่ที่ที่ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเหงาคนเดียวแบบนี้อีกต่อไป”

“ทำแบบนั้นแล้วผมจะไม่ต้องอยู่คนเดียวจริงๆ หรือฮะ” หนึ่งถามเหมือนไม่แน่ใจ แต่ทำให้เจษฎาใจชื้นขึ้นเป็นกอง เริ่มมีความหวังขึ้นมา พูดน้ำเสียงนุ่มนวล

“จริงสิ คืนตากล้ามาให้น้านะ ได้โปรดเถอะ”

หนึ่งลุกขึ้นยืน ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใช้ความคิด เจษฎา ณรงค์และวิชิตมองท่าทางของหนึ่งอย่างลุ้นระทึก ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ในที่สุด หนึ่งก็พูดขึ้นมา

“ตกลงฮะ ผมจะคืนต้นกล้าให้ คุณน้ารออยู่ที่นี่แล้วกัน อีกหนึ่งชั่วโมง ผมจะพาต้นกล้ามาส่ง”

“ทำไมต้องรอถึงหนึ่งชั่วโมงด้วย” ณรงค์สงสัย หนึ่งหันมายิ้มให้

“ผมอยากคุยกับต้นกล้าสักหน่อยฮะ ก็เลยเผื่อเวลาเอาไว้ ว่ายังไง ตกลงหรือเปล่าฮะ” หนึ่งถามเจษฎา

“ได้สิ”

“ขอบคุณฮะ”

****************************************************************

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

หนึ่งพาต้นกล้ามาคืนตามสัญญา แต่ต้นกล้ายังไม่ได้สติ ซึ่งหนึ่งบอกว่า อีกสองชั่วโมง ต้นกล้าจึงจะรู้สึกตัว เจษฎาจึงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

“ขอบใจมากนะ ที่ยอมคืนต้นกล้าให้น้า”

“ไม่เป็นไรฮะ” หนึ่งยิ้มให้แล้วหันไปมองหน้าต่าง พระอาทิตย์ดวงโตกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า อากาศยามรุ่งอรุณเย็นสบายกำลังดี หมอกหนาทึบกำลังละลายหายไปในอากาศ

“คุณน้าพาต้นกล้ากลับไปเถอะฮะ แล้วก็รีบไปหาหมอด้วย” หนึ่งพูดโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากภาพข้างนอก น้ำเสียงของหนึ่งราบเรียบพอๆ กับสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

“แล้วเธอล่ะ จากนี้ไปจะทำยังไงต่อ” เจษฎาถามพลางขยับจะลุกขึ้นเพื่อไปอุ้มต้นกล้า แต่ต้องนิ่วหน้า เพราะเจ็บแปลบตรงชายโครงจึงนั่งลงกับพื้นตามเดิม วิชิตจึงเข้ามาอุ้มต้นกล้าให้แทน ส่วนณรงค์เข้ามาประคองร่างเจษฎาให้ลุกขึ้นยืน

“นั่นสิฮะ ผมยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะอยู่ที่นี่ต่อ หรือไม่ก็ไปตามทางของผม”

“เธอจะไปไหน บอกได้ไหม”

หนึ่งหันมายิ้มให้ เจษฎารู้สึกเหมือนกับเห็นแววตาซุกซนเหมือนเด็กขี้เล่นเต้นระริกอยู่ในดวงตาคู่สวย แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ดวงตาคู่นั้นก็กลับมานิ่งสงบตามเดิม

“ความลับฮะ” หนึ่งตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความ เจษฎาพยักหน้าเข้าใจ ไม่เซ้าซี้หรือถามอะไรอีก

“ถ้าอย่างนั้น พวกน้ากลับล่ะนะ รักษาตัวด้วย” เจษฎาบอก

“เช่นกันฮะ” หนึ่งยิ้มพลางโบกมือให้ ยืนมองพวกเจษฎาเดินออกจากประตูห้องไป เจษฎาชะงักเท้าเล็กน้อย หันกลับมามองหนึ่ง

“เธอคุยอะไรกับต้นกล้าเหรอ พอจะบอกได้ไหม”

หนึ่งอมยิ้ม ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะปากเบาๆ พร้อมกับส่ายหัวไปมา ก่อนพูดเสียงกระซิบ

“ความลับเช่นกันฮะ”

เจษฎาถอนหายใจอย่างยอมแพ้ โบกมือให้หนึ่งแล้วหันหลังเดินจากไป หนึ่งยืนกอดอกมองจนกลุ่มของเจษฎาเดินออกจากประตูรั้วบ้านของตนไป แล้วยิ้มออกมา ร่างค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ

หลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญในครั้งนั้น เมื่อฟื้นขึ้นมา ต้นกล้ากลับจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ จำได้แค่ว่าตัวเองวิ่งเล่นอยู่นอกบ้านและเป็นลมหมดสติไป เจษฎาจึงลองถามเรื่องของหนึ่ง แต่ต้องประหลาดใจ เมื่อต้นกล้าย้อนถามกลับมาว่า หนึ่งคือใคร ดูเหมือนว่า ต้นกล้าจะลืมเรื่องราวของหนึ่งจนหมดสิ้น

เจษฎากับวิภาดาจึงปรึกษากันว่า จะเก็บเรื่องของหนึ่งไว้เป็นความลับ จากนั้นก็ตัดสินใจย้ายที่อยู่ใหม่ เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ผ่านมาอีก ทั้งคู่จึงประกาศขายบ้าน และไปซื้อบ้านใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าบ้านหลังเก่า เมื่อตกลงราคากันได้ ทั้งหมดจึงย้ายครอบครัวไปที่นั่น

สองเดือนต่อมา

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 12 ขวบ ของต้นกล้า เขาลุกขึ้นตื่นใส่บาตรตั้งแต่เช้า หลังจากใส่บาตรเรียบร้อย วิภาดาให้ต้นกล้ากรวดน้ำอุทิศส่วนบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลายรวมถึงหนึ่งด้วย

“คนที่ชื่อหนึ่ง นี่เป็นใครฮะ”

“เป็นเด็กรุ่นเดียวกันกับลูกจ้ะ”

“เหรอฮะ แล้วผมรู้จักเขาหรือเปล่าฮะ”

วิภาดายิ้มเล็กน้อย เก็บขันใส่ข้าวและพานเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ตอบคำถาม ต้นกล้ามองตามไปก่อนยิ้มออกมา ดวงตาฉายแววประหลาดแวบหนึ่งก่อนจางหายไป ลุกขึ้นเดินขึ้นไปที่ห้องของตน

ต้นกล้าเดินมาหยุดตรงหน้าต่าง จากตรงนี้หากมองออกไป จะมองเห็นผู้คนในหมู่บ้าน เดินสัญจรผ่านไปผ่านมาได้ชัดเจน เด็กชายยืนพิงกรอบหน้าต่าง ยกมือกอดอก แล้วพูดขึ้นมา

“นายชอบบ้านหลังใหม่ของเราหรือเปล่า”

“ชอบสิ ชอบมากเลยล่ะ ขอบใจนะ” เสียงแหลมเล็กเยือกเย็น ดังมาจากปากของต้นกล้า แต่เป็นเสียงของใครอีกคนที่ต้นกล้าคุ้นเคยและรู้จักดี ใบหน้าของต้นกล้าในตอนนี้ มีเงาของใครคนหนึ่งทาบทับขึ้นมาแทนที่ ดวงตาคู่สวยเต้นระริกด้วยความพอใจอย่างปิดไม่มิด

“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกันนี่นา เพื่อนย่อมไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว”

“ขอบใจนะ ต้นกล้า ต่อไปนี้เราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

“ใช่ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป!” ต้นกล้าพูดไปยิ้มไป ยืนมองภาพทิวทัศน์ยามรุ่งอรุณด้วยความสุขใจ

***************************************************

^^ สวัสดีค่ะ ตอนแรกว่าจะเอาตอนจบมาส่งให้วันพุธ แต่กลัวว่าจะติดธุระหรือยุ่งจนมาล่าช้า ก็เลยตัดสินใจเอาตอนจบมาส่งให้วันนี้เลยล่ะกันค่ะ ต้องบอกตามตรงค่ะว่า ตอนเขียนเรื่องนี้นั้น ทองหยอดคิดอยู่นานเหมือนกันว่า จะให้จบแบบไหนดี สุดท้ายก็เลือกจบแบบ อย่างที่เอามาลงให้อ่านกันค่ะ ^--^ ขออนุญาตตอบเม้นท์จากตอนก่อนหน้านะคะ
1. คุณแมวสามสี – ขอบคุณค่ะที่คิดถึงกัน และขอบคุณสำหรับคำอวยพรค่ะ ตอนนี้ทองหยอดร่างกายดีขึ้นมากแล้วค่ะ ส่วนเฮียภพกับหนูลินนั้น ไม่นานเกินรอค่ะ
2. คุณ siang – ขอบคุณสำหรับคำอวยพรค่ะ คาดว่าอีกไม่นาน คงได้อ่านเฮียภพกับหนูลินค่ะ ตอนนี้เริ่มกลับมาเขียนต่อแล้วค่ะ รอนิดนึงนะคะ
3. คุณ Pat – ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะพี่ แต่ตอนนี้ปูงดชาเย็นมาเดื่อนกว่าแล้วค่ะ หันมากินชาร้อนแทน ถึงจะอร่อยน้อยกว่าชาเย็นหน่อยนึง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กินค่ะ อิอิ
4. น้องคิมหันตุ์ – จ้า พี่เอาเรื่องสั้นมาลงคั่นเวลาก่อนค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับคำอวยพร ตอนนี้พี่แข็งแรงขึ้นมากแล้วค่ะ
5. น้องรอรัก – หุหุ เรื่องนี้ระดับความขนลุกไม่ถือว่าเยอะนะจ๊ะป่าน พี่ว่าอยู่ในระดับพอดีๆ ค่ะ ไม่มากไปหรือน้อยไปจ้ะ
6.
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน และขอบคุณทุกคนที่กดไลท์ให้ด้วยค่ะ สำหรับคนที่รอเรื่องเสียงปริศนา ขอเวลาสักนิดนะคะ เพราะทองหยอดร้างการเขียนนิยายไปนานมาก ต้องมาอ่านเนื้อเรื่องเก่าสักนิดก่อนจะลงมือเขียนต่อ ทั้งนี้เพื่อความต่อเนื่องของอารมณ์และเนื้อหาค่ะ แต่จะรีบปั่นให้เร็วที่สุดค่ะ ^--^
ไปแล้วค่ะ ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ



thongyod
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ม.ค. 2555, 17:37:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ม.ค. 2555, 17:37:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 2015





<< ตอนแรก   
Pat 10 ม.ค. 2555, 18:54:22 น.
หุหุ รออีกสองเรื่อง^____^


คิมหันตุ์ 10 ม.ค. 2555, 21:09:04 น.
อยู่ด้วยกัน...ห้าห้า ดีนะไม่เกาะหลังแบบชัตเตอร์ง่ะ


sai 10 ม.ค. 2555, 23:13:28 น.
พี่ปูกลับมาแว้ววว ได้อ่านสองตอนแอบซึ้งนะเนี่ย แหมว่าจะหลอนๆไปบ้างแฮ่ๆๆ


Siang 11 ม.ค. 2555, 08:35:08 น.
ตอนจบมาเร็วมาก เห็นด้วยกับคุณคิมหันต์ที่ไม่เกาะหลังแบบชัตเตอร์ และรออ่านเฮียภพ กับหนูลินด้วยใจจดจ่อค่ะ


mhengjhy 11 ม.ค. 2555, 09:08:12 น.
เหอะ เหอะ เหอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account