รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๘ (1) คู่ปรับ
แหะๆ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ กับตอนที่แล้วที่ลงตอนเดิม ขออภัยจริงๆ ครับพี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน ใครที่กำลังอารมณ์ขึ้น ขอให้กลับไปอ่านใหม่นะ เผื่ออารมร์จะได้ดีๆ ขึ้นมาอีกหน่อยในครั้งที่อ่านตอนนี้ แหะๆ
แบบว่าไอ้คนเขียนน่ะ มันอารมณ์แปรปรวนตามสภาพอากาศอ่ะ อย่าไปถือสากับมันเลยนะ ไอ้นี่มันบ้า แบะๆ
เอ้า...แวบก่อนดีฟ่า อยู่นานมันไม่ดี เดี๋ยวโดนสาก โดนครกเหวี่ยงใส่หน้า
แวบบบบ......
*****
ตอนที่ ๘
จอมทัพเอามืออังที่หน้าผากของปุณชิกา ก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างคำที่รติกรบอก ฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงบัดนี้ยังคงหลับตา ไม่รับรู้ถึงสิ่งไหนทั้งสิ้น หากทั่วทั้งตัวของเธอกลับร้อนอย่างกับอยู่ในเตาอบ
“เป็นไข้จริงๆ ด้วย”
เมยาวีขยับเข้ามานั่งอีกฟากหนึ่ง เธอทำเช่นเดียวกับที่ชายหนุ่มทำ ก่อนกรอบหน้าสวยจะขาวซีดไม่คิดว่าปุณชิกาจะบอบบางถึงกับเป็นไข้ในเช้าวันนี้ไปได้ ก็เมื่อวานยังมาต่อว่าเธอฉอดๆ อยู่นี่
“สงสัยจะไม่คุ้นกับอากาศค่ะ เหมยว่ารีบพาเธอไปโรงพยาบาลจะดีกว่านะคะ ชัยเอารถออกพาคุณปูเป้ไปโรงพยาบาลเร็ว” เธอหันมาสั่งน้องชายที่ยืนมองร่างบางบนเตียงด้วยสายตาเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“ผมพาไปดีกว่า ม่ะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ คุณไม่รู้จักโรงพยาบาลแถวนี้ เดี๋ยวก็หลงกันพอดีให้ชัยพาไปดีกว่าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเอารถของผมไปละกัน” พูดพร้อมกับยื่นกุญแจรถส่งให้กับชัย ขณะชัยก็รีบเข้ามาช้อนตัวอุ้มร่างบางของปุณชิกาขึ้นและพาออกไปในทันที เช่นเดียวกับรติกรที่ตามออกไปอีกคนด้วยความเป็นห่วงคนไข้เช่นกัน
“คุณอย่าเพิ่งไปตอนนี้ดีกว่าค่ะ ให้ชัยกับคุณรติไปก่อน แล้วเดี๋ยวเหมยจะพาคุณตามไปนะคะ” เมยาวีเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเป็นเชิงห้าม ก่อนจะรีบพากันออกมาจากห้องของปุณชิกาในที่สุด
*******
ปุณชิกาถึงมือหมอในเวลาต่อมาด้วยความปลอดภัย โดยที่หน้าห้องมีชัยและรติกรยืนรอลุ้นอยู่ด้วยใจที่เป็นห่วงคนไข้ไม่แพ้กัน
ไม่นานคุณหมอก็เปิดประตูออกจากห้องนั้นมา ชัยจึงรีบเข้าไปสอบถามอย่างรวดเร็ว “คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ปลอดภัยแล้วล่ะครับ แค่เป็นไข้นิดหน่อยเองน่ะ ตอนนี้หมอให้ยาไปแล้วล่ะ อีกสักพักแหละเธอถึงจะรู้สึกตัว”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าไปเยี่ยมเธอนะครับ”
“ได้สิครับ” คุณหมออนุญาต ก่อนจะขอตัวไปอีกทางหนึ่ง...
ประตูห้องเปิดออก พร้อมกับชัยและรติกรที่ถลาตามกันเข้ามา ซึ่งบัดนี้ในห้องนั้นมีร่างบางของปุณชิกาหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง การหายใจสม่ำเสมออย่างคนที่หลับทั่วไป ชายหนุ่มเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะพบว่า มันไม่ร้อนเหมือนเมื่อชั่วโมงก่อนแล้ว ก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ไข้ลดแล้วหรือคะ คุณชัย”
“ครับ...ลดไปบ้างแล้วล่ะครับ”
“เฮ้อ...รติตกใจหมดเลยค่ะ” เธอชวนเขาคุย เพราะไม่อยากจะอยู่ในห้องนั้นแบบเงียบๆ
“คงจะเจอกลับอากาศที่เปลี่ยนกะทันหันน่ะครับ คนเราเมื่อเจออะไรที่ปุ๊บปั๊บ ก็เป็นไข้กันได้”
“แต่รติไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ” เธอคลี่ยิ้มมองกรอบหน้าขาวใสของชายหนุ่มตรงหน้า สลับกับอีกร่างหนึ่งที่อยู่บนเตียง
“คุณรติอาจจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าคุณปูเป้ก็ได้ครับ จึงไม่เป็นอะไร แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่ไม่เป็น”
“แต่บางทีรติก็อยากจะเป็นเหมือนกันนะคะ อยากจะรู้ว่ามีใครเป็นห่วงเหมือนห่วงคุณปูเป้หรือเปล่า”
เธอพูดประโยคนั้น พร้อมกับมองนิ่งที่กรอบหน้าของชายหนุ่ม ซึ่งชัยก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอเช่นกัน แล้วก็พากันเงียบไปอีกครั้ง ต่อเมื่อในเวลาต่อมา เขาคลี่ยิ้มและเอ่ยออกมานั่นแหละ ก็แทบจะทำให้หัวใจของหญิงสาวละลายอยู่ตรงนั้น
“ถ้าเป็นคุณรติ ทุกคนก็เป็นห่วงทั้งนั้นแหละครับ เพราะพวกคุณเป็นแขกของไร่ศีตกรรณ เป็นผมก็ต้องดูแลอย่างดีเหมือนกันกับคุณปูเป้น่ะแหละ”
รติกรยอมรับว่า นั่นเป็นยิ้มจากเขาที่อ่อนโยนที่สุด เธอคลี่ยิ้มก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ขอบคุณค่ะ คุณชัย แล้วรติจะลองเป็นดูสักวัน เผื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่คุณชัยพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่”
“โหคุณ...คิดจะเป็นไข้เลยหรือครับ แน่ใจนะว่าจะมานอนซมแบบนี้เป็นวันสองวัน”
“ก็อยากจะลองดูนี่คะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบท้องของตัวเองด้วยความหิว
“เอ่อ...รติหิวแล้วล่ะค่ะ เป็นโรคกระเพาะด้วย จะต้องกินอาหารให้ตรงเวลา รบกวนคุณชัยพาไปกินจะได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ แต่คุณปูเป้” เขามองร่างบนเตียงด้วยความเป็นห่วง รติกรฉายแววตาผิดหวังแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนร่องรอยเหล่านั้นไว้อย่างรวดเร็ว
“คุณปูเป้ถึงมือหมอแล้วล่ะค่ะ ทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไปนะคะ รติก็คิดว่าคุณก็หิวเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินนำเขาออกจากห้องนั้นไปในทันที ภายในใจก็นึกกระหยิ่มถึงบางสิ่งบางอย่างที่ได้สร้างสัมพันธ์กับเขาได้ไปอีกขั้นหนึ่ง
อย่างน้อยการได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา เธอก็ดีใจที่สุดแล้ว...
*****
หลังทานอาหารเช้า เมยาวีจึงชวนจอมทัพไปเยี่ยมไข้ปุณชิกา ทว่ายังไม่ทันจะขึ้นรถ รถจากไร่พรรณกร ก็เคลื่อนมาจอดเทียบ พร้อมกับวัสนางค์ที่กระโดดลงจากรถด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม
“สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณจอมทัพ ยายเหมย จะไปไหนกันเนี่ย”
“เราจะไปโรงพยาบาลน่ะ เธอจะไปด้วยกันไหม”
“โรงพยาบาล แล้วนี่ใครเป็นอะไรอีกล่ะ” วัสนางค์ถามอย่างตกใจสุดๆ เธอมองทั้งสองหนุ่มสาวสลับกันอย่างใคร่รู้
“พอดีคุณปูเป้เป็นไข้น่ะ ชัยกับคุณรติพาไปโรงพยาบาลกันตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เราสองคนก็กำลังจะตามไปเนี่ย”
เมยาวีตอบเพื่อนสาว ขณะวัสนางค์มีสีหน้าตื่นเต้น จึงอาสาติดรถไปด้วยอีกคน
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วย”
“ป่ะ...รีบไปเถอะ มีอะไรก็ไปคุยกันบนรถ” สาวเจ้าของไร่เอ่ยพร้อมกับเดินตรงไปที่รถ จอมทัพตามไปเปิดประตูขึ้นอีกฝาก ขณะวัสนางค์ก็ตามขึ้นไปนั่งเบาะหลัง
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ยายนั่น...เอ่อ คุณปูเป้ถึงเป็นไข้ได้ล่ะ” หญิงสาวจงใจถามมาที่เพื่อนสาวมากกว่าทางจอมทัพที่นั่งเงียบๆ อยู่ตั้งแต่ขึ้นรถมา
“น่าจะผิดอากาศน่ะ แต่เมื่อกี้ชัยเพิ่งโทรมาว่าปลอดภัยแล้วล่ะ”
“อืม...ก็อย่างนี้แหละ อากาศบ้านเราเป็นอีกแบบบ้านเค้าเป็นอีกแบบ พอมาเจอก็เป็นไข้ได้” วัสนางค์พึมพำไปตามเรื่องตามราว
“เอ้อ...เธอมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือ ฝน”
“ก็นิดหน่อยน่ะ พอดีนายปูนเอาเช็คเงินค่าดอกไม้มาให้น่ะ นี่อ่ะ” ว่าพร้อมกับยื่นเช็คเงินสดส่งให้กับเพื่อนสาว เมยาวีรับไปดู ก่อนจะพับและเก็บลงไปในลิ้นชักของรถ
“อ้อ...เหมย มีอีกเรื่องนึง” สาววัสนางค์คิดอะไรออก ก่อนจะคลี่ยิ้มและหัวเราะออกมาในที่สุด
“เธอขำแบบนี้ จะต้องเป็นเรื่องตลกแน่ๆ เลยใช่ไหม”
“ตลกแน่จ้ะ คุณจอมทัพอยากจะฟังไหมคะ” หันมาทางชายหนุ่มที่นั่งเงียบๆ เป็นเชิงชวนคุย ขณะจอมทัพหันมาส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้า
“ครับ...ถ้ามันไม่เป็นความลับสำหรับคุณสองคน”
“คือแบบนี้จ้ะเหมย นอกจากจะให้เช็คฉันมาแล้ว นายปูนยังฝากมาบอกว่า มีโรงละครงิ้วแห่งหนึ่งเค้ายังขาดนางเอกก็เลยฝากมาติดต่อเธอน่ะ”
“โรงละครงิ้ว!!”
ทั้งจอมทัพและเมยาวีอุทานขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างอัตโนมัติ สำหรับจอมทัพที่มองหญิงสาวนั้นก็เพราะเขายังงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมยาวี
แต่สำหรับสาวเจ้าแล้ว กรอบหน้าสวยยิ่งแดงเข้มขึ้นอย่างถนัดตาเมื่อคิดถึงเรื่องทุเรศๆ ที่ตนทำไปจากคำบอกเล่าของเพื่อนสาวก็ยิ่งเดือดจัด เธอเข่นเขี้ยวดวงตาคู่สวยมองไปข้างหน้าอย่างไม่พอใจสุดๆ
“เธอหมายความว่ายังไง ยายฝนกับนายนั่นด้วย จะเอาเรื่องนี้มาล้อฉันหรือยังไง”
“ก็มันจริงนี่ เขาติดต่อมาแล้วนะว่าอยากได้เธอไปแสดงงิ้วด้วย”
“บ้า...เธอก็ไปเองสิ ใครอยากจะไปก็เชิญ แต่ฉันไม่”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะครับ” จอมทัพเอ่ยแทรกขึ้นดูเหมือนว่าเรื่องที่ทั้งสองสาวเล่า มันจะทำให้เขาสนใจ
“คือแบบนี้ค่ะ...” วัสนางค์กำลังจะเล่าตามหน้าที่ หากแต่กลับถูกเพื่อนสาวขัดคอขึ้นเสียก่อน
“หยุดเลยแก...คือ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะค่ะ” เธอหันมาส่งยิ้มให้กับเขาเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรและอยากจะขอให้เขาไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก
เห็นว่าเพื่อนสาวไม่พอใจวัสนางค์จึงไม่ได้ต่อความให้มากไปอีก เธอกอดอกก่อนจะเอนหลังพิงเบาะไปอย่างเงียบๆ เช่นเดียวกับจอมทัพ ที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธจึงได้นิ่งตามไปอีกคน กลัวว่าถ้าถามให้มากความ หญิงสาวจะพาลโกรธเขาไปอีกครั้ง
*****
จอมทัพเอื้อมมือไปลูบที่ศีรษะของปุณชิกาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะขยับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กับเตียง
“หมอให้ยาฉีดไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน บอกว่าอีกสักพักคุณปูเป้ถึงจะรู้สึกตัวครับ” ชัยบอก โดยสายตาไม่วางที่จะมองไปยังร่างบนเตียง
“อืม...ยังไงก็ขอบใจคุณมากนะคุณชัย ที่ดูแลปูเป้”
“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วครับ ในฐานะเจ้าของสถานที่ ใช่ไหมครับพี่เหมย”
“ใช่ค่ะจะเป็นใคร เราก็ต้องแคร์ทั้งหมดค่ะไม่แม้กระทั่งคุณรติ คุณจอมทัพหรือไม่แม้แต่คนงานในไร่ศีตกรรณ
ทุกๆ คน” เมยาวีช่วยเสริมคำของน้องชายให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
“ใช่ค่ะ เพื่อนของฝนน้ำใจงามอยู่แล้ว...อ้อ ฉันลืมไปว่ามีธุระถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะเหมย”
“เธอจะไปไหน แล้วจะไปยังไงล่ะนั่น เธอมากับฉันนะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อน ฉันกลับเองได้ ทางก็ไม่ได้ไกลสักหน่อย” วัสนางค์พูดให้เพื่อนสาวคลายใจ
“ไม่ได้ เธอมากับฉันก็ต้องกลับกับฉัน ไปเอารถที่ไร่แล้วค่อยไปธุระต่อก็ได้ คุณจอมทัพคะจะกลับกันก่อนไหม เหมยก็จะกลับไปทำงานแล้วเหมือนกัน”
“ใช่ค่ะคุณจอม รติว่าเรากลับไปดูงานกันต่อดีกว่าเถอะค่ะ ยังไงแล้วคุณปูเป้เธอก็ปลอดภัยแล้ว” รติกรช่วยเสริม
“ผมจะอยู่เฝ้าคุณปูเป้เองครับ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง” ชัยเอ่ยแทรกขึ้น เพื่อที่จะให้ทุกคนคลายใจ
“อืม...ขอบใจคุณมากนะชัย ถ้าอย่างนั้นผมว่าเรากลับกันก่อนก็ได้ครับ คุณเหมยว่าจะพาผมเข้าไปดูพันธุ์กุหลาบไม่ใช่หรือครับ”
“ใช่ค่ะ รติก็ว่าเราน่าจะไปทำงานกันก่อนนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่จะทิ้งรถเอาไว้ให้ชัยใช้ที่นี่ก็แล้วกันนะ พี่กับฝนจะกลับพร้อมกับรถของคุณจอมทัพ”
ชัยพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนออกไปจากห้องนั้นในที่สุด ซึ่งคนสุดท้ายเป็นรติกรที่มองไปทางชายหนุ่มและปุณชิกาสลับกันด้วยความเป็นห่วงในความรู้สึกของเขาว่าจะเพิ่มขึ้นกับปุณชิกามากแค่ไหนกับการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน
ไม่รู้ว่าปล่อยให้เขาอยู่กับอีกฝ่ายตามลำพังแบบนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นอีก...
*****
เดินออกมาด้านหน้าของโรงพยาบาลและกำลังจะไปที่รถของจอมทัพซึ่งจอดอยู่ เห็นสีหน้าที่เป็นห่วงของจอมทัพแล้ว เมยาวีจึงรีบเอ่ยขึ้นเพื่อให้เขาคลายใจ
“วางใจได้เถอะค่ะ ชัยน้องชายของฉันเขาจะดูแลคุณปูเป้อย่างดีค่ะ ตอนเย็นคนทั้งสองก็คงจะกลับไปที่บ้านได้แล้วนะคะ” จอมทัพหันมาทางหญิงสาวที่เดินเคียงข้าง ก่อนจะคลี่ยิ้มส่งให้
“ขอบคุณ คุณเหมยมากๆ นะครับ ที่ดูแลเรื่องนี้ให้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใครพวกเรายินดีดูแลอย่างดีค่ะ” เธอพยักหน้าส่งยิ้มให้เขา ในใจก็ยิ่งเต้นแรงกับการที่ได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มและได้พูดคุยกันเช่นนี้
แต่ก่อนจะทันได้เข้าไปนั่งในรถเวลานั้นวัสนางค์ก็ได้เอ่ยแทรกขึ้นอีกครั้ง เพราะในเวลานั้น ดวงตาคู่คมของหญิงสาว มองเห็นหลังของใครคนหนึ่งอยู่แวบหนึ่งและก็แน่ใจว่าเป็นนายคนนั้น สมองได้สั่งการในทันที ว่าเธอจะต้องไปสะสาง
“นี่เหมย ฉันคงจะไปกับเธอไม่ได้จริงๆ แล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะทุกคน” ว่าพร้อมกับรีบวิ่งออกไปในทันที ก่อนเมยาวีจะบ่นอุบกับความปุบปับของเพื่อนสาวและบอกให้คนทั้งสองวางใจ
“เพื่อนของเหมยก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเธอหรอก”
เมื่อเป็นเช่นนั้น บนรถจึงเหลือแค่จอมทัพ เมยาวีและรติกรเท่านั้นก่อนจอมทัพจะพารถเคลื่อนออกจากที่ในที่สุด
*****
เห็นหลังของนายคนนั้นเดินไปตามทางเท้าอยู่แวบๆ วัสนางค์ จึงรีบวิ่งตามไปทางนั้นในทันที ก่อนจะพบกับความผิดหวัง เมื่อเธอวิ่งไปถึงตรงนั้น กลับไร้วี่แววของเขา
“หายไปไหนซะนะ บ้าที่สุด อย่าให้เจอตัวนะแม่จะเอาให้ถึงตายเลย” เธอกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ดวงตาคู่สวยมองกราดไปรอบๆ พร้อมกับมองหาเขาอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งไปอีกทางหนึ่ง เพื่อที่จะมองหาเขาอีกที่คิดว่าคงจะยังอยู่แถวนั้น
ทว่าเธอก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกเช่นกัน เมื่อไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของเขาเลย
“เชอะ...อย่าให้เจอนะ ไอ้คนบ้าแม่จะแจ้งตำรวจให้จับไปนอนเล่นในคุกเลยข้อหากลั่นแกล้งผู้หญิง คิดจะเอาฉันส่งออกไปขายต่างประเทศหรือ ชิ”
“ที่พูด หมายถึงผมหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวต้องตกใจเป็นที่สุด ก็อีตาคนนั้นเล่นโผล่ออกมาจากไหนเธอก็สุดจะรับรู้ได้ แถมเขายังตะโกนเสียงดัง จนเธอสะดุ้งและแทบจะกรีดร้องออกมาในเวลานั้น
“อีตาบ้า...ใครใช้ให้นายมาตะโกนใส่หูฉันแบบนี้เนี่ย ตกใจหมด”
“อ้าว...ก็คุณกำลังตามหาผมอยู่ไม่ใช่หรือ ผมมานี่แล้วยังไงล่ะ มีอะไรจะพูดกับผมล่ะ” รักษ์ราชเลิกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าชู้ หญิงสาวจึงเชิดหน้าท้าทายและตอบปฏิเสธไปในที่สุด
“ใครว่าฉันตามนายมา ฉันมาทำธุระของฉันต่างหากล่ะ”
“แต่เมื่อกี้ ผมเห็นคุณชะเง้อมองหาผมอยู่นะ”
“ใครว่าฉันมองหานาย ฉันมองหาคนรู้จักของฉันต่างหาก ชิ อย่าถือตัวไปมากเลย” ว่าแล้วก็จะก้าวเดินผ่านไป หากแต่ในเวลานั้นชายหนุ่มกลับดึงร่างของเธอเอาไว้เสียก่อน
วัสนางค์สะบัดข้อมือของตนเองอย่างแรง ก่อนจะเอ็ดเสียงลั่น “ปล่อยนะ...ไอ้คนบ้า โรคจิต” บริภาษเสร็จก็กระทืบลงไปบนหลังเท้าของเขาอย่างแรงหนึ่งที จนทำให้อีกฝ่ายร้องลั่นใบหน้าบิดเบี้ยว
“หึๆ สมน้ำหน้า ไปละนะ บาย” แล้วก็รีบเชิดหน้าเดินจากไป รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้แกล้งเขาอย่างสาสมใจ
“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ยายโก๊ะเอ้ย...” รักษ์ราชใบหน้าเหยเก ก้มลงมองหลังเท้าของตนเอง ก่อนจะหันมองไปยังทางที่หญิงสาวเพิ่งเดินจากไปด้วยความแค้นเคืองสุดๆ เจอคราวหน้าก่อนเถอะ พ่อจะแกล้งให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย คอยดู
แบบว่าไอ้คนเขียนน่ะ มันอารมณ์แปรปรวนตามสภาพอากาศอ่ะ อย่าไปถือสากับมันเลยนะ ไอ้นี่มันบ้า แบะๆ
เอ้า...แวบก่อนดีฟ่า อยู่นานมันไม่ดี เดี๋ยวโดนสาก โดนครกเหวี่ยงใส่หน้า
แวบบบบ......
*****
ตอนที่ ๘
จอมทัพเอามืออังที่หน้าผากของปุณชิกา ก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างคำที่รติกรบอก ฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงบัดนี้ยังคงหลับตา ไม่รับรู้ถึงสิ่งไหนทั้งสิ้น หากทั่วทั้งตัวของเธอกลับร้อนอย่างกับอยู่ในเตาอบ
“เป็นไข้จริงๆ ด้วย”
เมยาวีขยับเข้ามานั่งอีกฟากหนึ่ง เธอทำเช่นเดียวกับที่ชายหนุ่มทำ ก่อนกรอบหน้าสวยจะขาวซีดไม่คิดว่าปุณชิกาจะบอบบางถึงกับเป็นไข้ในเช้าวันนี้ไปได้ ก็เมื่อวานยังมาต่อว่าเธอฉอดๆ อยู่นี่
“สงสัยจะไม่คุ้นกับอากาศค่ะ เหมยว่ารีบพาเธอไปโรงพยาบาลจะดีกว่านะคะ ชัยเอารถออกพาคุณปูเป้ไปโรงพยาบาลเร็ว” เธอหันมาสั่งน้องชายที่ยืนมองร่างบางบนเตียงด้วยสายตาเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“ผมพาไปดีกว่า ม่ะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ คุณไม่รู้จักโรงพยาบาลแถวนี้ เดี๋ยวก็หลงกันพอดีให้ชัยพาไปดีกว่าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเอารถของผมไปละกัน” พูดพร้อมกับยื่นกุญแจรถส่งให้กับชัย ขณะชัยก็รีบเข้ามาช้อนตัวอุ้มร่างบางของปุณชิกาขึ้นและพาออกไปในทันที เช่นเดียวกับรติกรที่ตามออกไปอีกคนด้วยความเป็นห่วงคนไข้เช่นกัน
“คุณอย่าเพิ่งไปตอนนี้ดีกว่าค่ะ ให้ชัยกับคุณรติไปก่อน แล้วเดี๋ยวเหมยจะพาคุณตามไปนะคะ” เมยาวีเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเป็นเชิงห้าม ก่อนจะรีบพากันออกมาจากห้องของปุณชิกาในที่สุด
*******
ปุณชิกาถึงมือหมอในเวลาต่อมาด้วยความปลอดภัย โดยที่หน้าห้องมีชัยและรติกรยืนรอลุ้นอยู่ด้วยใจที่เป็นห่วงคนไข้ไม่แพ้กัน
ไม่นานคุณหมอก็เปิดประตูออกจากห้องนั้นมา ชัยจึงรีบเข้าไปสอบถามอย่างรวดเร็ว “คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ปลอดภัยแล้วล่ะครับ แค่เป็นไข้นิดหน่อยเองน่ะ ตอนนี้หมอให้ยาไปแล้วล่ะ อีกสักพักแหละเธอถึงจะรู้สึกตัว”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าไปเยี่ยมเธอนะครับ”
“ได้สิครับ” คุณหมออนุญาต ก่อนจะขอตัวไปอีกทางหนึ่ง...
ประตูห้องเปิดออก พร้อมกับชัยและรติกรที่ถลาตามกันเข้ามา ซึ่งบัดนี้ในห้องนั้นมีร่างบางของปุณชิกาหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง การหายใจสม่ำเสมออย่างคนที่หลับทั่วไป ชายหนุ่มเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะพบว่า มันไม่ร้อนเหมือนเมื่อชั่วโมงก่อนแล้ว ก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ไข้ลดแล้วหรือคะ คุณชัย”
“ครับ...ลดไปบ้างแล้วล่ะครับ”
“เฮ้อ...รติตกใจหมดเลยค่ะ” เธอชวนเขาคุย เพราะไม่อยากจะอยู่ในห้องนั้นแบบเงียบๆ
“คงจะเจอกลับอากาศที่เปลี่ยนกะทันหันน่ะครับ คนเราเมื่อเจออะไรที่ปุ๊บปั๊บ ก็เป็นไข้กันได้”
“แต่รติไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ” เธอคลี่ยิ้มมองกรอบหน้าขาวใสของชายหนุ่มตรงหน้า สลับกับอีกร่างหนึ่งที่อยู่บนเตียง
“คุณรติอาจจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าคุณปูเป้ก็ได้ครับ จึงไม่เป็นอะไร แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่ไม่เป็น”
“แต่บางทีรติก็อยากจะเป็นเหมือนกันนะคะ อยากจะรู้ว่ามีใครเป็นห่วงเหมือนห่วงคุณปูเป้หรือเปล่า”
เธอพูดประโยคนั้น พร้อมกับมองนิ่งที่กรอบหน้าของชายหนุ่ม ซึ่งชัยก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอเช่นกัน แล้วก็พากันเงียบไปอีกครั้ง ต่อเมื่อในเวลาต่อมา เขาคลี่ยิ้มและเอ่ยออกมานั่นแหละ ก็แทบจะทำให้หัวใจของหญิงสาวละลายอยู่ตรงนั้น
“ถ้าเป็นคุณรติ ทุกคนก็เป็นห่วงทั้งนั้นแหละครับ เพราะพวกคุณเป็นแขกของไร่ศีตกรรณ เป็นผมก็ต้องดูแลอย่างดีเหมือนกันกับคุณปูเป้น่ะแหละ”
รติกรยอมรับว่า นั่นเป็นยิ้มจากเขาที่อ่อนโยนที่สุด เธอคลี่ยิ้มก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ขอบคุณค่ะ คุณชัย แล้วรติจะลองเป็นดูสักวัน เผื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่คุณชัยพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่”
“โหคุณ...คิดจะเป็นไข้เลยหรือครับ แน่ใจนะว่าจะมานอนซมแบบนี้เป็นวันสองวัน”
“ก็อยากจะลองดูนี่คะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบท้องของตัวเองด้วยความหิว
“เอ่อ...รติหิวแล้วล่ะค่ะ เป็นโรคกระเพาะด้วย จะต้องกินอาหารให้ตรงเวลา รบกวนคุณชัยพาไปกินจะได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ แต่คุณปูเป้” เขามองร่างบนเตียงด้วยความเป็นห่วง รติกรฉายแววตาผิดหวังแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนร่องรอยเหล่านั้นไว้อย่างรวดเร็ว
“คุณปูเป้ถึงมือหมอแล้วล่ะค่ะ ทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไปนะคะ รติก็คิดว่าคุณก็หิวเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินนำเขาออกจากห้องนั้นไปในทันที ภายในใจก็นึกกระหยิ่มถึงบางสิ่งบางอย่างที่ได้สร้างสัมพันธ์กับเขาได้ไปอีกขั้นหนึ่ง
อย่างน้อยการได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา เธอก็ดีใจที่สุดแล้ว...
*****
หลังทานอาหารเช้า เมยาวีจึงชวนจอมทัพไปเยี่ยมไข้ปุณชิกา ทว่ายังไม่ทันจะขึ้นรถ รถจากไร่พรรณกร ก็เคลื่อนมาจอดเทียบ พร้อมกับวัสนางค์ที่กระโดดลงจากรถด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม
“สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณจอมทัพ ยายเหมย จะไปไหนกันเนี่ย”
“เราจะไปโรงพยาบาลน่ะ เธอจะไปด้วยกันไหม”
“โรงพยาบาล แล้วนี่ใครเป็นอะไรอีกล่ะ” วัสนางค์ถามอย่างตกใจสุดๆ เธอมองทั้งสองหนุ่มสาวสลับกันอย่างใคร่รู้
“พอดีคุณปูเป้เป็นไข้น่ะ ชัยกับคุณรติพาไปโรงพยาบาลกันตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เราสองคนก็กำลังจะตามไปเนี่ย”
เมยาวีตอบเพื่อนสาว ขณะวัสนางค์มีสีหน้าตื่นเต้น จึงอาสาติดรถไปด้วยอีกคน
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วย”
“ป่ะ...รีบไปเถอะ มีอะไรก็ไปคุยกันบนรถ” สาวเจ้าของไร่เอ่ยพร้อมกับเดินตรงไปที่รถ จอมทัพตามไปเปิดประตูขึ้นอีกฝาก ขณะวัสนางค์ก็ตามขึ้นไปนั่งเบาะหลัง
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ยายนั่น...เอ่อ คุณปูเป้ถึงเป็นไข้ได้ล่ะ” หญิงสาวจงใจถามมาที่เพื่อนสาวมากกว่าทางจอมทัพที่นั่งเงียบๆ อยู่ตั้งแต่ขึ้นรถมา
“น่าจะผิดอากาศน่ะ แต่เมื่อกี้ชัยเพิ่งโทรมาว่าปลอดภัยแล้วล่ะ”
“อืม...ก็อย่างนี้แหละ อากาศบ้านเราเป็นอีกแบบบ้านเค้าเป็นอีกแบบ พอมาเจอก็เป็นไข้ได้” วัสนางค์พึมพำไปตามเรื่องตามราว
“เอ้อ...เธอมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือ ฝน”
“ก็นิดหน่อยน่ะ พอดีนายปูนเอาเช็คเงินค่าดอกไม้มาให้น่ะ นี่อ่ะ” ว่าพร้อมกับยื่นเช็คเงินสดส่งให้กับเพื่อนสาว เมยาวีรับไปดู ก่อนจะพับและเก็บลงไปในลิ้นชักของรถ
“อ้อ...เหมย มีอีกเรื่องนึง” สาววัสนางค์คิดอะไรออก ก่อนจะคลี่ยิ้มและหัวเราะออกมาในที่สุด
“เธอขำแบบนี้ จะต้องเป็นเรื่องตลกแน่ๆ เลยใช่ไหม”
“ตลกแน่จ้ะ คุณจอมทัพอยากจะฟังไหมคะ” หันมาทางชายหนุ่มที่นั่งเงียบๆ เป็นเชิงชวนคุย ขณะจอมทัพหันมาส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้า
“ครับ...ถ้ามันไม่เป็นความลับสำหรับคุณสองคน”
“คือแบบนี้จ้ะเหมย นอกจากจะให้เช็คฉันมาแล้ว นายปูนยังฝากมาบอกว่า มีโรงละครงิ้วแห่งหนึ่งเค้ายังขาดนางเอกก็เลยฝากมาติดต่อเธอน่ะ”
“โรงละครงิ้ว!!”
ทั้งจอมทัพและเมยาวีอุทานขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างอัตโนมัติ สำหรับจอมทัพที่มองหญิงสาวนั้นก็เพราะเขายังงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมยาวี
แต่สำหรับสาวเจ้าแล้ว กรอบหน้าสวยยิ่งแดงเข้มขึ้นอย่างถนัดตาเมื่อคิดถึงเรื่องทุเรศๆ ที่ตนทำไปจากคำบอกเล่าของเพื่อนสาวก็ยิ่งเดือดจัด เธอเข่นเขี้ยวดวงตาคู่สวยมองไปข้างหน้าอย่างไม่พอใจสุดๆ
“เธอหมายความว่ายังไง ยายฝนกับนายนั่นด้วย จะเอาเรื่องนี้มาล้อฉันหรือยังไง”
“ก็มันจริงนี่ เขาติดต่อมาแล้วนะว่าอยากได้เธอไปแสดงงิ้วด้วย”
“บ้า...เธอก็ไปเองสิ ใครอยากจะไปก็เชิญ แต่ฉันไม่”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะครับ” จอมทัพเอ่ยแทรกขึ้นดูเหมือนว่าเรื่องที่ทั้งสองสาวเล่า มันจะทำให้เขาสนใจ
“คือแบบนี้ค่ะ...” วัสนางค์กำลังจะเล่าตามหน้าที่ หากแต่กลับถูกเพื่อนสาวขัดคอขึ้นเสียก่อน
“หยุดเลยแก...คือ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะค่ะ” เธอหันมาส่งยิ้มให้กับเขาเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรและอยากจะขอให้เขาไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก
เห็นว่าเพื่อนสาวไม่พอใจวัสนางค์จึงไม่ได้ต่อความให้มากไปอีก เธอกอดอกก่อนจะเอนหลังพิงเบาะไปอย่างเงียบๆ เช่นเดียวกับจอมทัพ ที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธจึงได้นิ่งตามไปอีกคน กลัวว่าถ้าถามให้มากความ หญิงสาวจะพาลโกรธเขาไปอีกครั้ง
*****
จอมทัพเอื้อมมือไปลูบที่ศีรษะของปุณชิกาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะขยับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กับเตียง
“หมอให้ยาฉีดไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน บอกว่าอีกสักพักคุณปูเป้ถึงจะรู้สึกตัวครับ” ชัยบอก โดยสายตาไม่วางที่จะมองไปยังร่างบนเตียง
“อืม...ยังไงก็ขอบใจคุณมากนะคุณชัย ที่ดูแลปูเป้”
“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วครับ ในฐานะเจ้าของสถานที่ ใช่ไหมครับพี่เหมย”
“ใช่ค่ะจะเป็นใคร เราก็ต้องแคร์ทั้งหมดค่ะไม่แม้กระทั่งคุณรติ คุณจอมทัพหรือไม่แม้แต่คนงานในไร่ศีตกรรณ
ทุกๆ คน” เมยาวีช่วยเสริมคำของน้องชายให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
“ใช่ค่ะ เพื่อนของฝนน้ำใจงามอยู่แล้ว...อ้อ ฉันลืมไปว่ามีธุระถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะเหมย”
“เธอจะไปไหน แล้วจะไปยังไงล่ะนั่น เธอมากับฉันนะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อน ฉันกลับเองได้ ทางก็ไม่ได้ไกลสักหน่อย” วัสนางค์พูดให้เพื่อนสาวคลายใจ
“ไม่ได้ เธอมากับฉันก็ต้องกลับกับฉัน ไปเอารถที่ไร่แล้วค่อยไปธุระต่อก็ได้ คุณจอมทัพคะจะกลับกันก่อนไหม เหมยก็จะกลับไปทำงานแล้วเหมือนกัน”
“ใช่ค่ะคุณจอม รติว่าเรากลับไปดูงานกันต่อดีกว่าเถอะค่ะ ยังไงแล้วคุณปูเป้เธอก็ปลอดภัยแล้ว” รติกรช่วยเสริม
“ผมจะอยู่เฝ้าคุณปูเป้เองครับ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง” ชัยเอ่ยแทรกขึ้น เพื่อที่จะให้ทุกคนคลายใจ
“อืม...ขอบใจคุณมากนะชัย ถ้าอย่างนั้นผมว่าเรากลับกันก่อนก็ได้ครับ คุณเหมยว่าจะพาผมเข้าไปดูพันธุ์กุหลาบไม่ใช่หรือครับ”
“ใช่ค่ะ รติก็ว่าเราน่าจะไปทำงานกันก่อนนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่จะทิ้งรถเอาไว้ให้ชัยใช้ที่นี่ก็แล้วกันนะ พี่กับฝนจะกลับพร้อมกับรถของคุณจอมทัพ”
ชัยพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนออกไปจากห้องนั้นในที่สุด ซึ่งคนสุดท้ายเป็นรติกรที่มองไปทางชายหนุ่มและปุณชิกาสลับกันด้วยความเป็นห่วงในความรู้สึกของเขาว่าจะเพิ่มขึ้นกับปุณชิกามากแค่ไหนกับการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน
ไม่รู้ว่าปล่อยให้เขาอยู่กับอีกฝ่ายตามลำพังแบบนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นอีก...
*****
เดินออกมาด้านหน้าของโรงพยาบาลและกำลังจะไปที่รถของจอมทัพซึ่งจอดอยู่ เห็นสีหน้าที่เป็นห่วงของจอมทัพแล้ว เมยาวีจึงรีบเอ่ยขึ้นเพื่อให้เขาคลายใจ
“วางใจได้เถอะค่ะ ชัยน้องชายของฉันเขาจะดูแลคุณปูเป้อย่างดีค่ะ ตอนเย็นคนทั้งสองก็คงจะกลับไปที่บ้านได้แล้วนะคะ” จอมทัพหันมาทางหญิงสาวที่เดินเคียงข้าง ก่อนจะคลี่ยิ้มส่งให้
“ขอบคุณ คุณเหมยมากๆ นะครับ ที่ดูแลเรื่องนี้ให้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใครพวกเรายินดีดูแลอย่างดีค่ะ” เธอพยักหน้าส่งยิ้มให้เขา ในใจก็ยิ่งเต้นแรงกับการที่ได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มและได้พูดคุยกันเช่นนี้
แต่ก่อนจะทันได้เข้าไปนั่งในรถเวลานั้นวัสนางค์ก็ได้เอ่ยแทรกขึ้นอีกครั้ง เพราะในเวลานั้น ดวงตาคู่คมของหญิงสาว มองเห็นหลังของใครคนหนึ่งอยู่แวบหนึ่งและก็แน่ใจว่าเป็นนายคนนั้น สมองได้สั่งการในทันที ว่าเธอจะต้องไปสะสาง
“นี่เหมย ฉันคงจะไปกับเธอไม่ได้จริงๆ แล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะทุกคน” ว่าพร้อมกับรีบวิ่งออกไปในทันที ก่อนเมยาวีจะบ่นอุบกับความปุบปับของเพื่อนสาวและบอกให้คนทั้งสองวางใจ
“เพื่อนของเหมยก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเธอหรอก”
เมื่อเป็นเช่นนั้น บนรถจึงเหลือแค่จอมทัพ เมยาวีและรติกรเท่านั้นก่อนจอมทัพจะพารถเคลื่อนออกจากที่ในที่สุด
*****
เห็นหลังของนายคนนั้นเดินไปตามทางเท้าอยู่แวบๆ วัสนางค์ จึงรีบวิ่งตามไปทางนั้นในทันที ก่อนจะพบกับความผิดหวัง เมื่อเธอวิ่งไปถึงตรงนั้น กลับไร้วี่แววของเขา
“หายไปไหนซะนะ บ้าที่สุด อย่าให้เจอตัวนะแม่จะเอาให้ถึงตายเลย” เธอกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ดวงตาคู่สวยมองกราดไปรอบๆ พร้อมกับมองหาเขาอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งไปอีกทางหนึ่ง เพื่อที่จะมองหาเขาอีกที่คิดว่าคงจะยังอยู่แถวนั้น
ทว่าเธอก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกเช่นกัน เมื่อไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของเขาเลย
“เชอะ...อย่าให้เจอนะ ไอ้คนบ้าแม่จะแจ้งตำรวจให้จับไปนอนเล่นในคุกเลยข้อหากลั่นแกล้งผู้หญิง คิดจะเอาฉันส่งออกไปขายต่างประเทศหรือ ชิ”
“ที่พูด หมายถึงผมหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวต้องตกใจเป็นที่สุด ก็อีตาคนนั้นเล่นโผล่ออกมาจากไหนเธอก็สุดจะรับรู้ได้ แถมเขายังตะโกนเสียงดัง จนเธอสะดุ้งและแทบจะกรีดร้องออกมาในเวลานั้น
“อีตาบ้า...ใครใช้ให้นายมาตะโกนใส่หูฉันแบบนี้เนี่ย ตกใจหมด”
“อ้าว...ก็คุณกำลังตามหาผมอยู่ไม่ใช่หรือ ผมมานี่แล้วยังไงล่ะ มีอะไรจะพูดกับผมล่ะ” รักษ์ราชเลิกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าชู้ หญิงสาวจึงเชิดหน้าท้าทายและตอบปฏิเสธไปในที่สุด
“ใครว่าฉันตามนายมา ฉันมาทำธุระของฉันต่างหากล่ะ”
“แต่เมื่อกี้ ผมเห็นคุณชะเง้อมองหาผมอยู่นะ”
“ใครว่าฉันมองหานาย ฉันมองหาคนรู้จักของฉันต่างหาก ชิ อย่าถือตัวไปมากเลย” ว่าแล้วก็จะก้าวเดินผ่านไป หากแต่ในเวลานั้นชายหนุ่มกลับดึงร่างของเธอเอาไว้เสียก่อน
วัสนางค์สะบัดข้อมือของตนเองอย่างแรง ก่อนจะเอ็ดเสียงลั่น “ปล่อยนะ...ไอ้คนบ้า โรคจิต” บริภาษเสร็จก็กระทืบลงไปบนหลังเท้าของเขาอย่างแรงหนึ่งที จนทำให้อีกฝ่ายร้องลั่นใบหน้าบิดเบี้ยว
“หึๆ สมน้ำหน้า ไปละนะ บาย” แล้วก็รีบเชิดหน้าเดินจากไป รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้แกล้งเขาอย่างสาสมใจ
“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ยายโก๊ะเอ้ย...” รักษ์ราชใบหน้าเหยเก ก้มลงมองหลังเท้าของตนเอง ก่อนจะหันมองไปยังทางที่หญิงสาวเพิ่งเดินจากไปด้วยความแค้นเคืองสุดๆ เจอคราวหน้าก่อนเถอะ พ่อจะแกล้งให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย คอยดู
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2555, 20:27:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2555, 20:27:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1627
<< ตอนที่ ๗ (หวง) ของ...แก้ไขแล้ว... | ตอนที่ ๘ (2) แอบรัก >> |
anOO 16 มี.ค. 2555, 13:17:01 น.
มีคู่ที่สองโผล่มาแจมแล้ว
มีคู่ที่สองโผล่มาแจมแล้ว