หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ
วันที่สายน้ำถูกเรียกตัวกลับมาเมืองไทยเพื่อรับรู้เรื่องพ่อถูกฟ้องล้มละลาย เป็นวันที่ราวกับฟ้าผ่า โลกถล่มทลาย

หากทว่าวันที่ถูกแม่ เรียกร้องให้เธอต้องชดเชยวันคืนเก่าๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างคุณหนูบนพรมแดงมากว่า 17 ปี ด้วยการให้เธอ ไปตีสนิทกับย่าเศรษฐีนีบ้านนอก เป็นวันที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่า

ด้วยที่นั่น ทำให้คุณหนูอย่างเธอ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นสาวติดดินเพื่อให้เข้ากับคนชนบท และร้ายยิ่งกว่านั้น เธอต้องพบเจอกับ “เพลิง” ผู้ชายกักขฬะดิบเถื่อนเสียยิ่งกว่าใครๆ ที่เคยพบมา

หาก “เพลิง” กลับเป็นด่านอรหันต์ที่จะทำให้เข้าถึงผู้เป็นย่าได้ หนทางเดียวที่จะเอาชนะใจย่าได้ คือต้องชนะใจเขาด้วย

เรื่องราวความรักของสาวน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างคุณนู้คุณหนู กับหนุ่มนักเรียนนอกที่ใช้ชีวิตได้อย่างกลมกลืนกับคนในท้องถิ่น กระทั่งถูกสาวชาวกรุงมองว่าเป็นคนไร้อารยะธรรม บนดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ผู้คนใช้ชีวิตโดยยึดหลักความพอเพียง ภายใต้โครงการชั่งหัวมันและเกษตรทฤษฎีแนวใหม่

รักวุ่นๆ ของสาวนักเรียนนอกแต่ยังเรียนไม่จบ กับหนุ่มบ้านนอกที่มีดีกรีดอกเตอร์จากต่างประเทศ จะจบลงอย่างไรเมื่อรักครั้งนี้เริ่มต้นด้วยคำว่า “หลอกลวง”


Tags: คีตฌาณ์ หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ

ตอน: ตอนที่ 1/1...เรียกตัวกลับไทย...

ถ้าถาม สายน้ำ ว่าเธอเกลียดอะไรมากที่สุดในชีวิต คำตอบก็คงหนีไม่พ้นคำว่า ล้มละลาย เพราะตลอดชีวิต เธอไม่เคยลิ้มรสชาติความทุกข์ยากของคำๆ นี้ ตราบจนกระทั่งบัดนี้

ด้วยคำๆ นี้ ทำให้ตอนนี้เธอต้องจากเพื่อนฝูงแดนไกลในฝรั่งเศส ที่แต่ละคนล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นผู้ดี เซเลบ หรือผู้มีอันจะกินระดับต้นๆ ของประเทศแถบอเมริกา ยุโรป อังกฤษ และออสเตรเลีย ที่ต่างใช้วันหยุดทำกิจกรรมด้วยการจิบน้ำชาที่ภัตตาคารหรูในโรงแรมดัง ช็อปปิงเสาร์อาทิตย์ในห้างไฮโซย่านผู้ดีของฝรั่งเศส พบปะสังสรรค์และเล่นกีฬาในสโมสรสุดหรูที่ต้องรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิกไว้เดือนละ ๑,๕๐๐ ยูโร หรือ ๒,๐๕๐ ดอลลาร์ต่อเดือน

ใช่...แทนที่ในวันหยุดปิดภาคเรียนฤดูร้อน เธอจะได้ทำกิจกรรมที่แสนโปรดปรานเหล่านั้น กับบรรดาเพื่อนร่วมก๊วนทั้งหลาย แต่กลับต้องมานั่งรถบุโรทั่งปุเลงๆ เข้าไปในบ้านไร่ที่คงจะแสนบ้านนอก และลำบากยากแค้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแค่ รถ ที่ย่าส่งมารับเธอที่สนามบิน ก็ยังเป็นรถที่คงจะใช้ขนสุกรอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจากจะเก่าซอมซ่อ ด้วยสีผุและหลุดลอกออกมาเป็นหย่อมๆ รอบคัน จนดูสีและลวดลายดั้งเดิมไม่ออกแล้ว เธอยังได้กลิ่นตุๆ ของมูลสัตว์โชยมาจากด้านหลังยามลมพัดผ่าน ผสมกับกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทางและฝุ่นที่ตลบขึ้นมาจากถนนลูกรังแคบๆ แห่งนั้น ในทุกคราวที่มีรถเบียดสวนกันไปมาเป็นระยะๆ ตลอดเส้นทางที่ไปไร่

วูบหนึ่ง สายน้ำนึกเกลียดโชคชะตาของตัวเอง และพานให้นึกเกลียดเลยไปถึง พ่อ แม่ และย่า ที่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพตกระกำลำบากอยู่ในตอนนี้ นึกแล้วเธอก็กดผ้าเช็ดหน้าผืนขาวสะอาดราคาแพงที่ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมแดงจากฝุ่นข้างทางไปเรียบร้อยแล้ว กับปลายจมูกโด่งเพื่อป้องกันฝุ่นและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ขณะที่ตามองต้นหญ้าสูงใหญ่ สลับกับดงไม้ยืนต้น และผืนนาเขียวขจีตลอดสองข้างทางด้วยแววตาที่ฉายรอย เซ็ง อย่างเอกอุจนเห็นได้ชัด

ยามนั้นสายน้ำไม่ได้ซึมซับความเขียวขจี ความชุ่มฉ่ำ และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติรอบข้างที่ชวนให้น่าประหลาดใจทั้งที่เมืองไทยยังอยู่ในช่วงหน้าแล้ง แต่ชาวบ้านแถบนั้นกลับสามารถปลูกข้าวได้เขียวขจีไปทั่วผืนแปลงนาซึ่งเป็นสัญญาณว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามและสามารถเก็บเกี่ยวได้

ใช่...ยามนั้น สายน้ำ ไม่ได้ซึมซับถึงความงดงามของมวลธรรมชาติแถวนั้นจริงๆ


สายน้ำเป็นเด็กสาววัย ๑๗ ที่ตลอดชีวิตถูกเลี้ยงมาอย่าง คุณหนู แทบจะเรียกว่าเท้าไม่ติดดิน กระทั่งพ่อแม่และบรรดาญาติๆ ฝ่ายที่เอ็นดู มักจะกระเซ้าว่าเธอคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เพราะเกิดมาในยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริษัทออกแบบก่อสร้างของครอบครัวเฟื่องฟูสุดขีด ความเป็นลูกคนเดียว ทำให้เธอได้รับการประคบประหงมและตามใจมาตั้งแต่เด็ก เธอไม่เคยรู้จักคำว่า ผิดหวัง เพราะไม่เคยถูกขัดใจ อยากได้อะไรเป็นได้หมด

เธอถูกส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศสตั้งแต่ระดับไฮสกูลจวบจนเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความที่ฉลาดและมีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ ส่งผลให้เธอผ่านการคัดเลือกในมหาวิทยาลัยชื่อดังเก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศสและตอนนี้เธอเรียนอยู่ระดับชั้นปีที่ ๒ ช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน เธอมักลงทะเบียนเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเกี่ยวกับการทำอาหารคาวหวานในสถาบันชื่อดังก้องโลกในปารีส ร่วมกับเหล่าเพื่อนๆ

นามสกุลของสายน้ำมีชื่อเสียงไม่น้อย แม้ไม่ดังเท่าสกุลของลูกหลานไฮโซเซเลบเพื่อนร่วมก๊วนทั้งหลาย แต่ก็เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่สื่อมวลชนชาวไทย ด้วยเป็นตระกูลผู้ดีเก่าแก่ เหตุนี้ทุกคราวที่มีแขกบ้านแขกเมืองจากประเทศไทยมาเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยที่เธอศึกษาอยู่ จึงมักได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักศึกษาไทยคอยต้อนรับอยู่เนืองๆ และแน่นอนว่าบรรดาผู้ใหญ่จากเมืองไทยเหล่านั้น ต่างก็เข้ามาพูดคุยซักถามเธออย่างมีอัธยาศัยอันดีรวมถึงสอบถามสารทุกข์สุกดิบไปถึงพ่อแม่ของเธอทันทีที่รู้ว่าเธอใช้สกุลอะไร

ใครๆ ต่างบอกว่าเธอเกิดมาสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมไปด้วยรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ และฐานะชาติตระกูล ทุกอย่างจึงเอื้อให้เธอได้รับการพะเน้าพะนอจากผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศทั้งที่เป็นชาติเดียวกันและต่างชาติ เธอยังได้รับเสียงชื่นชมจากอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยว่าเป็นเด็กขยันตั้งใจเรียน แถมยังหัวดีและเรียนรู้ไว ฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอจึงไม่เคยรู้จักคำว่า ล้มเหลว ผิดหวัง หรือว่า ไม่ได้ดั่งใจ

ใช่...ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้จักคำเหล่านั้นจริงๆ ด้วยไม่เคยอยู่ในสารบบของชีวิตมาก่อน ตราบจนกระทั่งสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางใจเธอ ทุกอย่างพังครืนลงมาไม่ต่างจากปราสาททรายที่ถูกสายน้ำสาดซัด...

สายน้ำได้รับการติดต่อจากพ่อให้เดินทางกลับเมืองไทยในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนนี้ ด้วยเหตุผลว่า เพื่อลดค่าใช้จ่าย อันเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของครอบครัว เธอไม่เชื่อและคิดว่าพ่อพูดเล่น พ่อจึงโอนสายให้คุยกับแม่ และนั่นจึงทำให้เธอรู้ความจริงเป็นครั้งแรกว่าทางบ้าน ขาดสภาพคล่อง อย่างหนักมาตั้งแต่ปิดภาคเรียนที่ผ่านมา แต่พยายามปกปิดเธอ และพยายามประคองโดยการหาเงินกู้จากธนาคารมาเยียวยาฟื้นฟูบริษัท เพื่อทุเลาปัญหา แต่ไม่มีธนาคารใดๆ ยอมให้กู้เลยสักแห่ง ด้วยต่างอ้างเหตุผลว่าพ่อของเธอหมดเครดิต เนื่องจากผลประกอบการขาดทุนมาตลอด ๖ ไตรมาสติดต่อกัน และข่าวที่ว่าไม่มีธนาคารไหนเลยกล้าปล่อยกู้ให้พ่อเธอ ก็แพร่สะพัดไปทั่วกรุงอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ทำให้แม้แต่เพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันก็ไม่มีใครกล้าให้พ่อเธอหยิบยืมหรือกู้เงิน เพราะกลัวว่าจะไม่ได้คืน

แรกๆ อาจจะกล้าเอ่ยปากให้ยืม แต่พอรู้ว่าพ่อเธอไม่มีหลักทรัพย์ใดๆ ค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรูหรือคฤหาสน์ที่เธออาศัยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็ติดจำนองธนาคารหมดแล้วและติดมาหลายเดือนแล้วด้วย บรรดาเพื่อนๆ เหล่านั้นจึงเปลี่ยนใจ โดยต่างหันหลังและตัดสินใจตัดขาดกับพ่อเธอนับแต่นั้น ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อพ่อเธอเสียเครดิตในสายตานักธุรกิจและนักลงทุนด้วยกัน กระทั่งส่งผลกระทบลามมาถึงบริษัทก่อสร้างของพ่อ ที่ไม่มีใครกล้ามาว่าจ้างด้วย

หนทางเดียวที่รอดได้ คือ ตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ แม่เธอไล่ตัดตั้งแต่เลิกจ้างคนรับใช้ในบ้าน ปลดแม่ครัว คนสวน รปภ. จนมาถึงขั้นร้ายแรงสุด เรียกเธอกลับเมืองไทย เธอถามแม่ว่าโอกาสที่จะกลับมาเรียนต่อที่ฝรั่งเศสอีก มีความเป็นไปได้บ้างไหม แม่ตอบว่าก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเธอ เธอจึงถามแม่ต่อว่าพฤติกรรมอะไร แล้วแม่ก็ตอบมาว่า

‘ตอนนี้พ่อหาแหล่งเงินกู้นอกระบบได้แล้ว ก็ไม่เชิงเป็นแหล่งเงินกู้นอกระบบสักทีเดียว เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที รายนี้เขาเสนอตัวที่จะให้พ่อหยิบยืมเงินก้อนหนึ่งซึ่งมากพอที่จะทำให้พ่อสามารถรันธุรกิจต่อไปได้ แต่มีเงื่อนไขว่าพ่อต้องขายที่ดินแปลงนั้นให้เขา’

‘ที่ดินที่ไหนคะ’ ยามนั้นสายน้ำจำได้ว่าเธอถามคำถามนั้นไป

‘ที่ดินซึ่งจะเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อในอนาคต ตอนนี้ยังเป็นของย่าอยู่ แต่ญาติๆ ทุกคนรู้ดีว่าย่าจัดการแบ่งโฉนดออกเป็นแปลงต่างๆ แล้ว เพื่อเตรียมที่จะจัดสรรให้กับลูกๆ แต่ละคน ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของน้ำต้องทำให้ย่าโอนกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแปลงนั้นให้พ่อเร็วที่สุดให้ได้ ถ้าทำได้สำเร็จ แม่ก็จะส่งน้ำกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสโดยเร็วที่สุดเหมือนกัน เข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า หนนี้พ่อกับแม่ต้องพึ่งน้ำแล้ว และแม่ก็หวังว่าน้ำจะไม่ทำให้แม่กับพ่อผิดหวัง’

เธอเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นที่พ่อกับแม่ต้องพึ่งพาเธอดี ด้วยคนทั้งคู่เข้าหน้าย่าไม่ติด เธอไม่รู้ว่าความบาดหมาง เกาหลาที่เรียกกันว่าไม่กินเส้นนั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะสมัยเด็กๆ ที่เธอเริ่มจำความได้ ก็เห็นย่าเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวเธอ ย่าชอบพูดว่าเธอฉลาด ช่างพูด ช่างฉอเลาะ โตขึ้นจะเป็นกาวใจให้ญาติๆ ผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี สมัยนั้นเธอยังไม่เข้าใจประโยคปริศนานั้น กระทั่งบัดนี้เธอคิดว่าเข้าใจแล้ว เหลือแต่เพียงว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ย่ากับพ่อแม่เธอบาดหมางใจกัน นั่นคือสิ่งที่ต้องหาคำตอบ ซึ่งตอนนี้เธอยังเดาต้นสายปลายเหตุไม่ได้

แล้วสายน้ำก็พยายามทบทวนความจำว่าย่าเริ่มห่างหายกับครอบครัวเธอ แม้แต่ทางโทรศัพท์ท่านก็ไม่ติดต่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ใช่...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ย่าขาดการติดต่อ? เธอนึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก บางทีอาจเกิดขึ้นในช่วงที่เธอกำลังวุ่นๆ กับการหาที่เรียนไฮสกูลในฝรั่งเศสกระมัง จึงทำให้ละเลยที่จะใส่ใจในเรื่องเหล่านั้น...


--------------

รถบุโรทั่งยังคงแล่นปุเลงๆ ไปตามถนนดินลูกรัง สลับกับเสียงแค่กๆ ของท่อไอเสียเป็นระยะๆ ราวกับกำลังสำลักควัน ชั่วอึดใจพาหนะที่เป็นที่รวมของ ที่สุด ทั้งเหม็นที่สุด เก่าที่สุด สกปรกที่สุดและอัปลักษณ์ที่สุดชนิดที่เธอไม่เคยพบพานมาก่อนในชีวิต ก็มาหยุดแน่นิ่งข้างทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ราวกับจะประท้วงหรือไม่ก็กำลังจะขาดใจ ลุงคำซึ่งเป็นคนขับรถก้าวลงมา โดยมีเธอกระโดดผลุงตามลงไปติดๆ

“Que s'est-il passé?” เธอเผลออุทานเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่เมื่อเห็นคนงานทำหน้าเหลอหลา เธอก็รีบเปลี่ยนมาเป็นภาษาไทย ด้วยน้ำเสียงที่แปร่งหู ด้วยลิ้นยังแข็ง “เกิดอะไรขึ้น?”

“เครื่องยนต์คงรวน นังสวยมันชอบเก ยิ่งพักหลังนายเพลิงไม่เอาใจ ก็ดูเหมือนยิ่งเก เรียกร้องความสนใจมากขึ้น”

คนงานชาวเหนือตอบด้วยการอู้คำเมืองกลับมา ซึ่งสายน้ำฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว เหมือนเขากับเธอพูดกันคนละภาษา เด็กสาวยกมือขึ้นขยี้หู ก่อนจะบอกว่า “เดี๋ยวนะ ช้าๆ ลุงคำ ลุงช่วยพูดภาษากลางได้มั้ย หนูฟังไม่รู้เรื่อง”

“นี่ก็ภาษากลางของผมแล้ว” คนที่ถูกเรียกว่า ลุง ทั้งที่อายุเพิ่งเลยเลข ๓๐ มานิดๆ ตอบกลับมาทันควัน หากหนนี้เจ้าตัวพยายามพูดช้าๆ อย่างต้องการให้หลานสาวของเจ้าของไร่ฟังออกทั้งหมด

“งั้นลุงคำ พูดอีกครั้งสิคะ” สายน้ำขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าตั้งใจฟังเต็มที่

ฝ่ายนั้นทวนประโยคเดิม

“อีกครั้งสิคะลุงคำ” เธอปั่นหูแรงขึ้น

คนที่ถูกเรียกว่าลุงคำ พูดซ้ำประโยคเดิมอย่างไม่เบื่อ

เด็กสาวชาวกรุงนิ่วหน้า “ใครคือนังสวยแล้วทำไมต้องเรียกร้องความสนใจด้วย”

“ก็พักหลังนายเพลิงไม่ค่อยได้เช็กนังสวย เพราะงานยุ่งๆ นังสวยก็เลยรวนบ่อยๆ มันเรียกร้องความสนใจจากนายเพลิงน่ะครับ” น้ำเสียงที่เรียกนายเพลิง ยกย่องอย่างฟังออกชัด

หลานสาวเจ้าของไร่ ยังคงทำหน้าปูเลี่ยนอย่างมึนงง “นังสวย? ใครคือ นังสวย แล้วมาเกี่ยวอะไรกับรถที่เสียนี่คะ”

ใครๆ ต่างบอกว่าเธอหัวดี หัวไว และเธอก็เชื่อตามนั้นมาโดยตลอด ตราบจนมาเจอคนงานชาวเหนืออย่างลุงคำ ทำให้เธออดสงสัยขึ้นมาตงิดๆ ไม่ได้ว่า คำชมเหล่านั้นแฝงความจริงใจแค่ไหน? เป็นครั้งแรกที่สายน้ำตั้งคำถามกับตัวเอง

“ก็นายเพลิงไม่ค่อยเช็กนังสวยน่ะครับ มันก็เลยเก ผมเลยแหย่ว่านังสวยคงเรียกร้องความสนใจจากนายเพลิง”

“แล้วใครคือนายเพลิง ใครคือนังสวย” เด็กสาวยังคงถามอย่างเด็กจำไม อุปสรรคใหญ่ที่ทำให้สายน้ำไม่เข้าใจ คือภาษา ที่แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าพูดภาษากลาง แต่ก็ด้วยสำเนียงคนพื้นเมือง จึงทำให้ฟังเข้าใจยาก

“นายเพลิงคือหัวหน้าคนงาน ส่วนนังสวยก็คืออีแต๋นคันนี้” ความเป็นคนชนบททำให้ เจ้าของถิ่น แทนคำว่าผู้จัดการ ด้วยคำอธิบายง่ายๆ ว่า หัวหน้าคนงาน แล้วก็บุ้ยปากไปที่รถบุโรทั่ง ซึ่งทำให้เด็กสาวเหลือบมอง พลางตาค้างโดยพลัน

“อะไรนะ เจ้าเศษไม้นี่หรือ นังสวย”

“ครับ รูปลักษณ์มันงดงามสมส่วนและมันก็ลุยสู้งาน ไม่มีถอยมากว่า ๑๐ ปีแล้ว คุณหนูน้ำไม่คิดว่ามันสวยหรือครับ?”

คนที่ถูกเรียกว่า คุณหนูน้ำ กลอกตาขึ้นสูงแทนคำตอบ สายน้ำกำลังคิดว่าตัวเองได้ยินคำที่แปลกพิสดารที่สุดในโลก


------------------

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” สายน้ำถามขึ้นเป็นประโยคที่เท่าไหร่ตัวเองก็จำไม่ได้แล้ว ด้วยหลังจากนั่งรอก็แล้ว ยืนรอก็แล้วตามคำแนะนำของลุงคำ แต่ก็ยังไม่ปรากฏวี่แววว่าจะมีรถในไร่สักคันวิ่งผ่านมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่ให้คำตอบด้วยประโยคเดิมๆ ว่า

“เดี๋ยวก็มาครับ รออีกแป๊บ ผมเชื่อว่าจะมีรถในไร่วิ่งผ่านมาเร็วๆ นี้ ปกติไร่เราจะมีรถวิ่งเข้าออกตลอดครับ”
สายน้ำนิ่วหน้า เธอขี้เกียจขัดคอลุงคำว่าเขาพูดประโยคนี้มาเป็นรอบที่สิบที่ร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นผล ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แล้วลุงคำไม่มีอุปกรณ์ซ่อมรถเลยหรือ”

“ไม่มีหรอกครับ แต่ถึงมี ผมก็ซ่อมไม่เป็น เรื่องอย่างนี้ต้องนายเพลิงเลยครับ”

เด็กสาวจากนอก ถอนหายใจอีกครา เธอรู้สึกเมื่อยขาจึงตัดสินใจสะบัดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ที่ปิดปากอยู่มาปูรองนั่งโดยอาศัยบริเวณที่เงารถทอดผ่าน พลางคิดว่าไหนๆ ก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้เปื้อนสุดๆ ไปเลยก็แล้วกัน สายน้ำมองทิวทัศน์รอบตัวอย่างซังกะตาย วันแรกที่เหยียบเมืองไทย เธอก็เจอสถานการณ์บ้าๆ นี่ เธอบินตรงจากฝรั่งเศสมากรุงเทพฯ แล้วต่อเครื่องมาลงจังหวัดนี้เลย ตามคำแนะนำของผู้เป็นแม่ที่บอกว่า ภารกิจของลูกลุล่วงเร็วเท่าใด ก็ยิ่งดีต่อทุกคนในครอบครัวเท่านั้น เหตุนี้เธอจึงตรงดิ่งมาที่นี่ ไม่ได้แวะบ้าน เพราะคิดแค่มาเจรจาเกลี้ยกล่อมย่าวันสองวันก็คงเรียบร้อย รุ่งเช้าก็น่าจะนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ได้เลย
ทว่าดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คิดแล้ว เพราะบ่ายคล้อยไปทุกทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีรถสักคันโผล่มา เธอตัดสินใจแนะว่า “ทำไมลุงคำไม่ใช้มือถือโทร.หาย่า”

“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ แถวนี้อับสัญญาณเพราะอยู่บนเขา”

สายน้ำหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดู เธอพลันหน้าเหี่ยวหน้าแห้งเมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณสักขีดจริงๆ “แล้วนี่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะติดต่อกันยังไง”

“โดยปกติในไร่มีโทรศัพท์บ้านครับและบางจุดก็พอมีสัญญาณมือถือ หรือไม่ก็ใช้ว.แทน” บุญคำ หมายถึงวิทยุสื่อสาร

“แล้วทำไมลุงคำไม่ใช้ว.ติดต่อคนในสวนเกษตรดิสกร”

“ผมไม่มีว.หรอกครับ นายให้เฉพาะคนที่ต้องอยู่เวรเฝ้าสวนเกษตรฯ”

สายน้ำฟังคำตอบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ บุญคำหันมามอง เขาเห็นสีหน้าละเหี่ยใจของหลานสาวเจ้าของสวนเกษตร ก็กล่าวขึ้นว่า “แดดแรงขึ้นทุกที แถวนี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ด้วย คุณหนูไปนั่งรอในรถไม่ดีกว่าหรือครับ เดี๋ยวผิวสวยๆ จะเสียหมด”

“ข้างในร้อนอบอ้าว” คุณหนูคนสวย พูดพลางกระพือใบไม้ที่ถืออยู่ในมือแรงขึ้นเพื่อให้มีลม เนื้อตัวเธอเหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อที่บัดนี้เริ่มหยดติ๋งๆ จากใบหน้าและแผ่นหลัง เธอใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวจากฝรั่งเศสด้วย เลยทำให้ร้อนตับแลบมากขึ้น

บุญคำ ทำหน้าชั่งใจ แล้วตัดสินใจบอกว่า “ผมว่าผมเดินเข้าไปในไร่เพื่อตามใครมารับคุณหนูดีกว่า ขืนรอนานๆ แบบนี้ คุณหนู มีหวังเป็นลมแดดแน่”

“เดินไป?” สายน้ำทวนคำ ทำเสียงตกใจสุดขีด

“ก็ไม่ไกลนี่ครับ อีกแค่ ๑๐ กิโลฯ ก็ถึงไร่ของคุณย่าของคุณหนูแล้ว”

“๑๐ กิโล?” เธอย้อนคำของลุงคำอีกครา เจ้าตัวเดาว่าเพราะความอ่อนเพลียจากแดดเลยทำให้กลายเป็นนกแก้วนกขุนทองไปแล้ว

“ครับแค่นั้นเอง คุณหนูรออยู่ตรงนี้นะครับ ผมไปตามคนงานมารับ ไม่นานหรอก หรือว่าคุณหนูจะเดินไปพร้อมกับผมดีครับ?” ประโยคหลัง บุญคำ ถามอย่างเกรงๆ ซึ่งเกิดจากความเกรงใจที่ต้องทิ้งเด็กสาวเป็นสำคัญ หากเธอไม่เดินไปด้วยกัน

คุณหนูชาวกรุงทำหน้าเหยเก เพราะครั้นจะเดินไปพร้อมกับลุงคำ เธอคงไม่ไหวเหมือนกัน แดดเปรี้ยงๆ ออกอย่างนี้ แถมยังกลัวกระเป๋าเดินทางใบเขื่องหายด้วย เมื่อคิดแบบนั้นจึงตัดสินใจตอบไปว่า “ไม่ดีกว่า หนูรอลุงอยู่ตรงนี้ดีกว่าค่ะ ว่าแต่แถวนี้ไม่มีอันตรายจากสัตว์มีพิษ หรือสัตว์ดุร้ายอย่างเสือ หมี ช้างป่าอะไรเทือกนั้นใช่ไหมคะ”

บุญคำ ฟังแล้วหัวเราะ เขาตอบว่า “ไม่มีหรอกครับ ถึงมีนายเพลิงก็คงจับไปเลี้ยงหมดแล้ว แถวนี้รับรองไม่มีอันตราย เพราะอยู่ในอาณาเขตที่คุณเพลิงดูแล” อีกคราที่เมื่อพูดถึงนายเพลิง น้ำเสียงของคนพูดเทิดทูนอย่างฟังออกชัด

“แล้วอันตรายจากคนล่ะ” เด็กสาวแกล้งแหย่

“คนยิ่งไม่มีใหญ่เลยครับ เพราะจะว่าไปแถวนี้ก็เป็นที่ดินของแม่นายทั้งนั้น...เอ้อ คุณย่าของคุณหนูน่ะครับ เพียงแต่ให้ชาวบ้านทำกินฟรีๆ โดยไม่คิดเงิน”

“ฟรีๆ?” คนฟัง ตาโตอย่างตกตะลึง เธอมองผืนดินรอบตัวซึ่งเต็มไปด้วยท้องทุ่ง ผืนนา สลับไปกับผืนหญ้าและดงป่า เป็นระยะๆ ด้วยความรู้สึกทึ่งแกมคาดไม่ถึง เพราะสังคมที่เธอจากมา ไม่มีคำว่าทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน ด้วยทุกอย่างเป็น ธุรกิจ ไปหมด เจ้าตัวนึกพลางมองแปลงหญ้าเขียวขจีรอบตัว ความจริงสิ่งที่สายน้ำเห็นเบื้องหน้าไม่ใช่ผืนหญ้า หากแต่เป็นแปลงมันเทศ และถัดมาเป็นไร่ข้าวโพดที่ปลูกแซมกับต้นอ้อย ไม่ใช่ดงป่า เพียงแต่ยามนั้นเด็กสาวแยกความแตกต่างไม่ออกระหว่างใบหญ้ากับใบมันเทศ ดงป่ากับไร่ข้าวโพดที่ยังไม่ออกฝัก

เมื่อพูดต่อ สีหน้าและน้ำเสียงของคนพูด ยกย่องเทิดทูนและแฝงความรักใคร่อย่างเห็นได้ชัด “คุณย่าของคุณหนู มีบุญคุณท่วมหัวพวกผม ท่านแบ่งที่ดินให้พวกคนงานและชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ ไร่ ทำกินโดยไม่เก็บเงินสักแดงเดียว ท่านบอกว่าพวกเราลำบากกันพอแล้ว ถ้าขืนยังต้องเก็บเงินค่าเช่าที่อีกก็คงไม่ต้องลืมตาอ้าปากกันพอดี พวกเรารักและเคารพท่านครับ” พูดมาถึงตรงนี้ คนพูดก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้งใจ เขายกมือไหว้ท่วมหัว พลางกล่าวต่อไปว่า

“แม่นายท่านยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามพ่อหลวง เดี๋ยวพอคุณหนูเข้าไปในไร่ จะเห็นว่าท่านเดินตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านทุกอย่าง ทั้งเกษตรผสมผสานตามหลักเกษตรทฤษฎีแนวใหม่ ทั้งโครงการชั่งหัวมัน และการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้ชาวบ้านแถบนี้สามารถทำนาปลูกข้าวได้ตลอดปี ทุกอย่างก็เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ฉะนั้นพวกผมคนงานรวมถึงชาวบ้านละแวกนี้จึงรักท่านมาก พวกเราจะเป็นคนดีถวายในหลวงตามที่ท่านขอ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด ฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ คุณหนูสามารถเดินแถวนี้ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีใครคิดทำอันตรายแน่ ยิ่งลงได้รู้ว่าคุณหนูเป็นหลานสาวของแม่นายด้วยแล้ว รับรองเลยว่าจะยิ่งรักและปกป้องมากขึ้นต่างหากครับ”

สายน้ำฟังแล้วนิ่งอึ้ง ยามนั้นเธอไม่เข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีแนวใหม่ หรือโครงการชั่งหัวมัน หมายถึงอะไร ใช่...เธอไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร เธอรู้แต่ว่าเธอรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกและใช้คนละภาษากับลุงคำ

----------------------
----------------------



คีตฌาณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2555, 21:43:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2555, 21:47:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1484





   ตอนที่ 1/2...หมีป่า >>
Jelly 16 มี.ค. 2555, 13:52:59 น.
พี่รีบมาอัพนะค่ะ รออ่านต่อ เรื่องน่าสนใจมากกก ;]


นายหญิง 17 มี.ค. 2555, 04:21:11 น.
คุณอุ้ยแวะมาลงที่นี่เลยหรอคะ อิอิ ดีจัง ^^


คีตฌาณ์ 17 มี.ค. 2555, 07:29:16 น.
น้อง Jelly : ขอบคุณมากค่ะ เดี๋ยววันนี้จะอัพตอนใหม่นะคะ ^^

คุณนายหญิง : มาตามหาคุณนายหญิงด้วยความคิดถึงน่ะค่ะ ฮ่าๆ คุณนายหญิงประจำอยู่ที่เวปพี่ตาหรือคะ ส่วนอุ๋ยกลับมาบ้านเก่าด้วยความคิดถึงบรรยากาศเดิมๆค่ะ ความจริงอุ๋ยโตมาจากเวปพี่ตา เคยโพสต์นิยายกันมาตั้งแต่สมัยเกือบ 10 ปีสมัยที่อุ๋ยยังไม่มีงานเขียนเป็นรูปเล่มหรือมีละคร และต่อไปคงจะสิงกับพี่ตาไปอีกนาน ยกเว้นช่วงงานยุ่งอาจจะหายไปจากเน็ต


Littlewitch 23 มี.ค. 2556, 14:33:20 น.
แวะมาเจอ หลังจากเพิ่งอ่านบอร์ดี้การ์ดจบ คงจะสนุกแน่ๆเลย เรื่องนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account