รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน

เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้

Tags: ฤดูหนาว

ตอน: ตอนที่ ๘ (2) แอบรัก

หลายชั่วโมงผ่านไป...อาการไข้ที่ทุเลาลงทำให้ร่างซึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงมาตั้งแต่ตอนเช้าเริ่มจะรู้สึกตัวอีกครั้งจนทำให้คนที่ซบอยู่ข้างๆ รู้สึกตัวตามไปด้วย

“อ้าวคุณ...ฟื้นแล้วหรือ” ชัยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ขณะปุณชิกาหันมองไปโดยรอบด้วยความสงสัยว่าบัดนี้ตนเองกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ แม้ว่าพิษไข้จะทุเลาลงแล้ว ทว่าอาการปวดหัวก็ยังคงอยู่ เธอยกมือขึ้นกุมที่ศีรษะแล้วหันไปทางคนถามด้วยประกายตาแกมแปลกใจ

“นาย...”

พยายามจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าชัยกลับเข้ามาเธอขวางเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับเอ่ยปราม “อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาดีกว่าครับ คุณเพิ่งฟื้นไข้ เดี๋ยวจะเป็นอะไรขึ้นมาอีก”

“ไข้...ฉันเป็นไข้หรือ แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน”

“โรงพยาบาลครับ เมื่อเช้าคุณไข้ขึ้น ผมก็เลยพาคุณมา”

“เมื่อเช้า...แล้วพี่จอมล่ะ พี่จอมอยู่ที่ไหน”

“คุณจอมทัพกลับไปทำงานของเขาต่อแล้วล่ะครับ เมื่อเช้าเขาก็มาเยี่ยมคุณ”

“ฉันจะไปหาพี่จอม”

เธอไม่ยอมฟังก่อนจะพยายามหยัดกายจะลุกขึ้นให้ได้ แต่ชัยก็ยังไม่ยอมให้เธอลุกขึ้นนั่งได้ง่ายๆ เหมือนกัน อะไรกัน เขาเพิ่งบอกเธอว่าเพิ่งฟื้นไข้นี่กลับจะหัวดื้อลุกให้ได้อีก

“อย่าดื้อสิคุณ นอนพักให้ดีขึ้นกว่านี้หน่อยเถอะ เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว”

“แต่ฉันจะกลับตอนนี้”

คนเอาแต่ใจยังขัดขืนอีก เธอคิดว่าเธอดีขึ้นมากแล้วและก็ต้องการไปหาจอมทัพ เธอทิ้งให้พี่จอมอยู่กับเมยาวีนานไม่ได้ เกิดมันให้ท่าพี่จอมของเธอล่ะเธอจะทำอย่างไร

“คุณนี่ดื้อเหมือนกันนะ ขนาดจะไม่มีแรงแล้วยังจะพยายามอีก”

“นั่นมันเรื่องของฉัน นายไม่เกี่ยวหลีกไปเลย”

คนเพิ่งฟื้นไข้จอมดื้อลุกจากเตียงได้ในที่สุด ก่อนจะใช้ความพยายามเดินออกนอกห้อง ทว่าไปได้ไม่เท่าไรเรี่ยวแรงที่มีอยู่ก็หมดลงก่อนจะทรุดกายลงตรงนั้น ดีที่ชัยเข้ามารับเอาไว้ได้เสียก่อน

“เห็นไหม ผมบอกแล้วก็ไม่เชื่อ”

“ก็บอกแล้วยังไงล่ะว่ามันเรื่องของฉัน ปล่อยนะ” หญิงสาวยังโวยวายไม่เลิก ยิ่งตอนถูกเขาช้อนตัวขึ้นอุ้มและพามาวางที่เตียงเธอก็ยิ่งโวยวายอย่างไม่พอใจสุดๆ

“ฉันบอกให้ปล่อยยังไงล่ะ ปล่อย”

“เชื่อผมเถอะคุณนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมง ผมสัญญาว่าเดี๋ยวจะพาคุณกลับไปเอง ไม่ต้องกลัวคุณจอมทัพจะหนีกลับกรุงเทพหรอกนะ”

เห็นเขาว่าเช่นนั้น ปุณชิกาจึงไม่อาจที่จะขัดขืนอะไรได้อีก ประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอที่ดูเหมือนจะขาดไปเยอะ ขัดขืนไปก็ไม่ได้เป็นผลดี สู้นอนพักสักพักแล้วกลับไปพร้อมกับนายนี่ที่ว่าก็ดีเหมือนกัน

หากหญิงสาวไม่มีวันรู้ บัดนี้...ภายในหัวใจของตนเอง มีจุดของความรู้สึกอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และก็ดูเหมือนว่ามันจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นโดยที่เธอก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

*****

หลังกลับมาจากการเยี่ยมปุณชิกา เมยาวีได้พาจอมทัพและรติกรเข้าไปในสวนดอกไม้อีกครั้ง หญิงสาวแนะนำดอกกุหลาบสีสวยซึ่งปลูกเป็นแปลงยาวห่างไกลออกไป บางดอกกำลังบานสะพรั่งแม้จะสายมากแล้ว ก็ยังมีน้ำค้างเกาะพราวอยู่อย่างสวยงาม

“ก่อนหน้านี้ คุณเหมยส่งดอกไม้พวกนี้กับที่ไหนบ้างคะ”

รติกรถาม ดอกไม้พวกนี้สวยเหลือเกิน สวยจนเธอคิดว่าน่าจะมีบริษัทอื่นๆ ติดต่อมาบ้างแล้วเหมือนกัน

“ค่ะ...เหมยส่งดอกไม้ให้กับร้านดอกไม้ในจังหวัดใกล้ๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นพะเยา น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน ไปจนร้านดอกไม้บางส่วนในเชียงใหม่ค่ะ”

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่สินค้าของคุณจะพอส่งพวกเราหรือคะ”

“เหมยคิดว่าผลผลิตของเหมยเพียงพอกับการส่งให้กับบริษัทของพวกคุณค่ะ ยังมีอีกไม่น้อยนะคะที่เห็นอยู่นี่แค่บางส่วนเท่านั้นและเหมยก็คิดว่าดอกไม้จากไร่ของตนเองอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิครับ ยินดีด้วยนะครับกับก้าวแรกระหว่างบริษัทของผมกับสวนดอกไม้ของคุณ” จอมทัพบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ก้าวแรก หมายความว่ายังไงคะ” เมยาวีช้อนตาขึ้นมองเขา เธอคลี่ยิ้มอย่างดีใจสุดๆ เมื่อประโยคต่อมาของชายหนุ่มที่ดังตามมา

“ใช่ครับ เมื่อคืนผมได้ปรึกษากับคุณรติกรแล้วว่า ผมจะสั่งซื้อสินค้าจากสวนดอกไม้ของคุณ เพราะเท่าที่ดูตัวอย่างบางส่วนของเมื่อวานและวันนี้ มันก็ยิ่งทำให้ผมตัดสินใจได้เร็วขึ้น”

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นให้เหมยดีใจเลยค่ะคุณจอมทัพ มันยังมีอีกหลายที่นะคะที่พวกคุณจะต้องดู เผื่อมันอาจจะทำให้การตัดสินใจของพวกคุณเปลี่ยนไปก็ได้”

“แต่ผมกลับคิดว่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะครับ สำหรับการตอบรับของผม” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้พูดเช่นนั้นออกมาได้ อาจจะเป็นเพราะเขาแน่ใจก็เป็นได้ว่าสวนดอกไม้ของไร่ศีตกรรณจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง โดยเฉพาะเมยาวี

“ถ้าคุณจอมทัพพูดแบบนั้น เหมยก็ดีใจค่ะ ยินดีนะคะที่คุณรับดอกไม้จากไร่ศีตกรรณ ขอบคุณมากๆ ค่ะ”
“ครับ ผมก็รู้สึกยินดีเป็นที่สุดเช่นกันครับ”

ชายหนุ่มบอก ขณะรติกรมองหน้าชายหนุ่มอย่างนึกงงปกติจอมทัพเป็นผู้บริหารที่เมื่อเห็นอะไรแล้ว เขาจะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเองและสั่งการกับลูกน้องเสียมากกว่า ดังนั้นเธอจึงรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเจ้านายหนุ่มว่าเขาได้ปรึกษากับเธอและพึงพอใจที่จะร่วมงานกับเมยาวี แม้ลึกๆ แล้วจะแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาเพราะนอกจากจะมองเมยาวีด้วยแววตาที่สื่อความหมายถึงความรู้สึกระหว่างหนุ่มสาวแล้ว เธอยังสัมผัสได้ว่า ความหมายเหล่านั้น มันมีมากกว่าคำว่าร่วมงานเยอะ

เป็นไปได้ที่เจ้านายของเธอ จะรู้สึกพิเศษกับหญิงสาวตรงหน้าแล้วจริงๆ

****

รถของเมยาวีซึ่งขับเข้ามาโดยชัยจอดเทียบที่หน้าเรือนไม้ รถดับเครื่องสนิทก่อนชายหนุ่มจะลงจากรถแล้วรีบวิ่งมาอีกทาง เพื่อเปิดประตูให้กับปุณชิกาได้ก้าวลงมา

“ค่อยๆ นะครับคุณ”

คนเพิ่งสร่างไข้ ก้าวลงจากรถอย่างเชื่องช้า หากสายตาก็ยังมิวายมองกราดไปข้างหน้าเพื่อมองหาจอมทัพ “พี่
จอมไปไหนน่ะ ทำไมบนบ้านเงียบกันจัง”

เธอตั้งคำถามแบบลอยๆ แต่ก็คงจะไม่พ้นคนที่ได้ยินอย่างชัยนักหรอกและประเด็นก็คงจะเป็นการถามจากชายหนุ่มเสียมากกว่า

“ไม่รู้ครับ ผมก็เพิ่งมาถึงพร้อมกับคุณนี่ยังไงล่ะ”

“นี่นายย้อนฉันหรือ”

ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่ใสซื่อ หากปุณชิกากลับคิดว่าเขายอกย้อนเธอ

“ผมไม่ได้ย้อนคุณนะ อ้อ...ผมว่าน่าจะลงไปที่ทุ่งดอกไม้นะ” เห็นว่าเธอทำท่าจะโกรธ เขาจึงพูดให้เธอคลายใจ

“ฉันจะไปหาพี่จอม นายช่วยพาฉันไปหน่อยสิ” สาวรั้นพยายามอย่างที่สุด เพื่อจะให้ชายหนุ่มพาเธอไปหาจอมทัพให้ได้

“ไม่ดีกว่าครับ คุณเพิ่งจะสร่างไข้ ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงสักเท่าไร ผมว่ารออยู่ที่นี่จะดีกว่านะครับ”

“แต่ฉันจะไปนี่ ให้พี่จอมอยู่กับพี่สาวของนาย ไว้ใจได้เสียที่ไหน”

ได้ยินประโยคนั้น ชัยก็เปิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ปุณชิกาจึงหันมามองหน้าเขาด้วยดวงตาเขียวปัด ก่อนจะเค้นเสียงถามอย่างไม่พอใจ

“นายหัวเราะอะไร”

“เปล่าครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธ

“แต่ฉันเห็นว่านายหัวเราะฉันนี่ บอกมานะว่านายหัวเราะอะไรฉัน” หญิงสาวไม่ยอม ยังพยายามที่จะรู้ความจริงให้ได้ในเวลานั้น

“นี่นาย บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าขำอะไรฉัน ฉันมันตลกมากเลยหรือยังไง”

ว่าแล้วก็ฟาดเพียะลงที่ต้นแขนแข็งแรงของเขาไปหลายที โดยที่ชัยได้หลบแต่อย่างใด เขายังคงให้เธอตีแบบนั้น จนคนไข้เหนื่อยและหยุดลงเองนั่นแหละชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น

“คุณอยากจะรู้จริงๆ หรือว่าผมหัวเราะอะไร” เขาถามกลับด้วยดวงตาใสซื่อ ขณะปุณชิกาจิกสายตามองเขาอย่างไม่พอใจเช่นเดิม

“ใช่...บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“บอกก็ได้ครับ ผมก็แค่คิดว่า ขนาดคุณเป็นไข้ยังจะหึงได้อีกนะ”

“แล้วไง พี่สาวของนายไว้ใจได้เสียที่ไหนล่ะ”

“แต่ผมกลับคิดไปอีกแบบครับ พี่เหมยของผมเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอคงไม่ไปรักใครง่ายๆ หรอกครับ” สิ่งที่เขาคิด มันผิดคาดไปเสียถนัด เพราะเขาไม่มีวันรู้ เมยาวีมอบหัวใจให้กับจอมทัพไปทั้งหมดหัวใจแล้ว

“แต่ฉันไม่เชื่อหรอก หน้าตาอย่างพี่สาวนายน่ะ ไว้ใจได้เสียที่ไหนล่ะ อมพระอมโบถส์ฉันก็ไม่เชื่อ ยายนั่นหูตาแพรวพราวอย่างกับอะไรดี”

“แต่ก็โทษพี่เหมยคนเดียวไม่ได้นะคุณ คุณจอมทัพก็น่าไว้ใจได้เสียที่ไหนล่ะ บางที สิ่งที่คุณคิดอาจจะเป็นจริงกับทางฝ่ายของคุณจอมทัพก็ได้นะ พี่สาวของผมน่ะ สวยอยู่แล้ว มีอย่างที่ไหนที่ผู้ชายไม่มอง”

“ไม่ได้การละ อย่างนี้ ฉันเห็นทีจะต้องรีบไปขัดขวาง” คำของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้ปุณชิกากระตือรือร้นเป็นที่สุดและท่าทีของเธอก็ยิ่งทำให้เจ้าหนุ่มนึกขำที่สุดไม่แพ้กัน

“ผมว่าคุณรออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ อ้อ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปนั่งที่สวนด้านนี้รอพวกเขาก็ได้” ว่าแล้วเขาพยายามจะพยุงเธอไปยังสวนหย่อมด้านหน้า หากแต่หญิงสาวกลับขืนเอาไว้อย่างไม่พอใจ

“ฉันไม่ไป ฉันจะไปหาพี่จอม”

“โธ่คุณ ดูสังขารตัวเองบ้างเถอะว่าจะไปรอดไหม ผมว่าคุณรอพวกเขาอยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวก็คงจะมากันแล้ว นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย”

“แต่ฉันไม่ไว้ใจพี่สาวของนาย” หญิงสาวยังยืนยันคำเดิม ก็มันจริงนี่ เหยื่ออยู่ใกล้ปากนกปากกา มันไว้ใจได้เสียที่ไหนล่ะ

“คุณปูเป้ครับ...เอาล่ะ เพื่อความสบายใจของคุณผมจะบอกอะไรให้ก็แล้วกัน”

“อะไรล่ะ”

“คือแบบนี้ครับ คุณวางใจเรื่องพี่สาวของผมเถอะครับ เพราะยังไงแล้ว คุณจอมทัพกับพี่สาวของผม ก็เจอกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ผมเชื่อครับว่าพี่สาวของผม เธอไม่มีวันรักคนที่เพิ่งเจอกันแน่ เรื่องความรักน่ะมันจะเป็นไปไม่ได้เข้าใจหรือยังครับ”

“แต่ฉันไม่เชื่อ...” เธอยังยืนยันเสียงแข็งที่จะเชื่อเช่นนั้น เพราะดูๆ แล้ว เมยาวีดูท่าจะชอบพี่จอมของเธอเข้าแล้วด้วย

“เชื่อผมเถอะครับ อีกไม่กี่วันพวกคุณก็กลับกันแล้ว จะกลัวไปทำไมล่ะคุณกับคนที่เจอกันแค่ไม่กี่วันเท่านั้น พวกเขาไม่มีวันรักกันได้หรอก”

“จริงหรือ...” หญิงสาวเริ่มจะลังเลและคำของเขามันก็เพียงพอจะยืนยันให้เธอเชื่อไปได้ในระดับหนึ่ง

“ครับ เชื่อผมเถอะ จบจากงานนี้แล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกแน่ ความรักมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ หรอกนะ” เขาเชื่อเช่นนั้น ทว่าก็ไม่อาจจะตอบตัวเองได้ว่า สิ่งที่ตนรู้สึกกับผู้หญิงคนนี้มันคืออะไร
มันจะเป็นความรัก ที่เรียกว่าแรกพบอย่างที่ในนิยายเขียนกันหรือเปล่านะ

******

หลังจากกล่อมให้ปุณชิกาเชื่อได้ไประดับหนึ่งแล้ว ชัยก็พาเธอมานั่งเล่นที่สวนหย่อมด้านหนึ่ง ซึ่งจากที่ตรงนั้น สามารถมองไปยังท้องไร่อันไกลสุดลูกหูลูกตาและทุ่งดอกไม้กำลังบานงามสะพรั่ง ซึ่งมันก็พอจะทำให้หญิงสาวมีอาการดีขึ้นตามลำดับ

“สวยจัง ฉันน่าจะมาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะเนี่ย”

“เห็นไหมครับ ผมชวนคุณมาตั้งแต่ทีแรกคุณยังจะขัดและจะไม่มาอีก”

“ก็ฉันไม่รู้นี่ ว่ามันจะสวยขนาดนี้” ปุณชิกาทำแก้มป่องอย่างน่ารักขณะตอบ ชัยหันมามองเห็นภาพนั้นพอดี เขาจึงแอบยิ้มกับความน่ารักของเธอ

“แล้วสวยไหมล่ะครับ”

“สวยสิ ฉันเพิ่งเคยเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ”

การที่ได้พูดคุยกับชัยและอยู่ด้วยกันหลายชั่วโมง มันพอที่จะทำให้เธอรู้สึกไว้วางใจเขามากขึ้น เพราะดูๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร นายคนนี้ดูจะตามใจเธอเสียด้วยซ้ำ ในเวลาที่เธอต้องการอะไร เขาก็มักจะหามาให้ได้หมดและถ้าไม่แล้วเขาก็จะยื่นเหตุผลที่เธอเห็นด้วยให้เธอคิดตามอยู่เสมอ

นับว่าน้ำใจของนายคนนี้อยู่ในระดับที่ดีพอสมควร

พอเห็นดีกับหัวใจของตัวเองแล้ว ความไว้วางใจก็มากกว่าเดิม เธอจึงเริ่มที่จะพูดดีกับเขามากขึ้นด้วยอีกเช่นกัน

“คุณปูเป้ครับ ดูนู้นสิครับ นกบินกลับรังเป็นฝูงเลย”

ชัยชี้ชวนให้หญิงสาวมองไปอีกด้านหนึ่งของไร่ ขณะปุณชิกามองตาม ก็เห็นนกสีขาวฝูงหนึ่งกำลังบินข้ามทิวเขาสูงเบื้องหน้าและผ่านมาทางทุ่งดอกไม้ตแล้วไปอีกด้านหนึ่ง มันเกาะกลุ่มกันเป็นรูปสามเหลี่ยมอย่างสวยงาม

“สวยจังเลย น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมาด้วย จะได้ถ่ายไปอวดเพื่อนๆ ด้วย”

“นู้นอีกครับ พระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมดอยแล้ว สวยไหมครับ”

เขาบอกให้เธอมองไปยังอีกด้านหนึ่ง ซึ่งพระอาทิตย์กำลังจะเคลื่อนตัวลงลับหลังทิวเขาสูง แสงสีส้มทาทาบอยู่ที่ปลายฟ้าอย่างสวยงาม

ปุณชิกาผ่อนลมหายใจออกมาเสียยืดยาว อยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิด ก็มีครั้งนี้เป็นครั้งแรกนั่นแหละ ที่เธอได้เห็นภาพสวยงามกับบรรยากาศยามเย็นที่น่าหลงใหลเช่นนี้และนั่นมันก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของหญิงสาวอ่อนโยนตามไปด้วย

ไม่ต้องบอกว่าเธอสุขใจมากแค่ไหน แค่มองจากกรอบหน้าสวยที่สดใสนั้น ชัยก็รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจตามเธอไปด้วยอีกคน หลายครั้งที่มองหน้าของเธอและหลายครั้งที่แอบมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยโดยที่เธอไม่รู้สึกตัว เขายอมรับ มันเป็นความสุขที่เขาไม่เคยพบเจอและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาควรจะเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำตลอดไป

*****

สายลมหนาวพัดมาอีกรอบพร้อมกับความมืดที่โรยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว เหล่าคนงานต่างรีบพากันเก็บจอบเก็บเสียมและกลับบ้านกลับเรือน สายหมอกเส้นบางๆ เริ่มก่อตัวลอยคว้างอยู่เหนือทุ่งดอกไม้ ไกลออกไป มองเห็นทิวเขาตะคุ้มสงบนิ่งปานมังกรยักษ์นอนหลับใหลไปกับราตรีกาลที่ดำเนินผ่านเข้ามา

แสงไฟตามทางเดินถูกจุดไปถึงเฉพาะหน้าเรือนไม้เท่านั้น อาคันตุกะทั้งสามเดินมาตามเส้นทาง เพื่อจะมารับประทานอาหารเย็นที่เรือนใหญ่ ซึ่งเจ้าของสถานที่สาวได้จัดโต๊ะรอเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

“อ้าว มากันแล้วหรือคะ เชิญค่ะ เชิญ...”

เมยาวีผายมือเชื้อเชิญคนทั้งหมดให้นั่ง ก่อนดวงตาคู่สวยจะเลื่อนไปหยุดที่ปุณชิกา เธอส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับอีกฝ่าย หวังเพื่อสร้างไมตรีก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงต่อท้าย

“คุณปูเป้ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ เป็นอย่างไรบ้าง”

“อือ...ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” อีกฝ่ายตอบแค่นั้นก็เงียบเสียงลง แต่กระนั้นสายตาก็มิวายหันมองไปยังชัยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามไม่ได้

“ค่ะ เชิญทุกคนรับประทานได้เลยค่ะ คิดว่าคงจะหิวกันมากแล้ว” เจ้าของสถานที่เอ่ยบอก ก่อนจะลงมือทานอาหารไปตามปกติ

เวลาผ่านไป ทุกคนทานอาหารกันจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอจึงปล่อยให้แขกทั้งสามกลับที่พักไป เพื่อจะให้พักผ่อนตามอัธยาศัย โดยไม่ได้ขัดหรือดึงรั้งเอาไว้แต่อย่างไร แม้ลึกๆ นั้นหญิงสาวอยากจะไปพูดคุยกับจอมทัพมากมายเท่าไรก็ตาม

สิ่งเดียวที่ทำได้ ก็คือการขึ้นห้องของตัวเองพร้อมกับโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อนสาวอีกสองคน โดยการประชุมสาย ที่มักจะทำเป็นประจำ

“เป็นยังไงบ้างวันนี้ ยายเหมย”

เสียงของวัสนางค์ดังมาตามสาย ถามหาความคืบหน้าทั้งเรื่องการตอบรับจากฝ่ายจอมทัพและเรื่องหัวใจของเพื่อนสาว

“เธอหมายถึงเรื่องอะไรล่ะยายฝน” เมยาวีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ แม้จะแอบยิ้มอยู่คนเดียวก็ตาม

“เรื่องความรักของเธอมั้งยายเหมย” มณีกานดาเอ่ยขัดขึ้น

“ความรัก ความรักอะไรกัน”

“ก็ความรักระหว่างเธอกับคุณจอมทัพน่ะ” วัสนางค์ช่วยเสริมอีกคน

“บ้า...ยายฝน เธอด้วยยายคีน ความรักอะไรกัน ไม่มีสักหน่อย”

“เชอะ...ทำเป็นใสซื่อไม่รู้อะไร วันๆ เอาแต่ลงสวนดอกไม้พร้อมกับเขา ได้ใกล้ชิดกันตลอดเวลา อย่างนี้มัน
พอจะมีลุ้นหรือเปล่าล่ะเจ้”

“ใช่ๆ พอมีลุ้นหรือเปล่าเหมย”

“ไม่รู้...ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” เมยาวียังคงปฏิเสธ ทั้งๆ ที่บัดนี้เธอกำลังเขินและอายและม้วนตัวไปมาอยู่บนที่นอน

“เออ...ไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้วทางคุณจอมทัพเขาตอบรับอะไรบ้างหรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องงานน่ะ”

วัสนางค์ถามมาอีกอย่างเป็นงานเป็นการมากขึ้น เพราะรู้ หากตนและมณีกานดาซักเมยาวีในตอนนี้ คงจะไม่ได้ความอะไรมากนัก เมยาวีเป็นคนปากแข็งอยู่แล้วอีกฝ่ายคงไม่ยอมบอกอะไรพวกเธอตอนนี้หรอก

“ก็ดีนะ...”

ว่าแล้วเมยาวีก็เล่าถึงเรื่องการที่เธอพาจอมทัพและรติกรไปชมสวนดอกไม้ของตนเองในวันนี้ โดยไม่มีปุณชิกาตามไปด้วยเพราะเป็นไข้นอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลและจากการที่ได้ดูทั้งคำพูดที่คุยกัน มันพอจะยืนยันได้ว่าจอมทัพจะพอใจกับสิ่งที่เธอนำเสนออยู่เหมือนกันและตอบรับเป็นอย่างดี

“ก็ดีน่ะสิ ที่คุณจอมพูดแบบนั้น” มณีกานดาเอ่ยแทรกขึ้นอย่างพึงพอใจกับคำที่เพื่อนสาวบอก

“อือ...ฉันล่ะดีใจเป็นที่สุดเลย ว่าแล้วก็ยังไม่ได้กรี๊ดเลย ขอกรี๊ดแปบนึงนะ”

“พอๆ พอเลยแก เดี๋ยวหูของพวกฉันก็หนวกกันพอดี เอาไว้เมื่อวางสายแล้วค่อยร้องก็แล้วกัน” วัสนางค์เอ่ยสวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าตัวเองและมณีกานดาจะได้กอดคอกันไปตรวจเช็คระบบประสาทหูเพราะต้องมานั่งฟังเสียงร้องโหยหวนของแม่เพื่อนสาว

“เออๆ ก็ได้ ไม่ร้องก็ไม่ร้อง”

“เรื่องงานจบแล้ว เหมยฉันอยากจะรู้น่ะว่าคุณจอมทัพว่ายังไงบ้าง เขามีท่าทีสนใจเธอหรือเปล่า” เสียงจากมณีกานดาดังมาอีกครั้งหนึ่ง เธออยากจะรู้ว่าเพื่อนสาวของเธอกับจอมทัพจะเหมือนชีวิตเหมือนในหนังสือนิยายที่เธอกำลังอ่านอยู่หรือเปล่า

“ใช่ๆ เป็นยังไงบ้าง คุณจอมทัพเขาว่ายังไง”

“ว่ายังไง...” ว่าแล้วก็เริ่มจะอายม้วน โดยการกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน ก่อนจะเผลอตัวกลิ้งเกินพิกัด ตกเตียงไปในที่สุด

เสียงตุ๊บ...พร้อมกับเสียงร้องด้วยความตกใจของเพื่อนสาว ทำให้ทั้งมณีกานดาและวัสนางค์ต่างตะโกนเรียกแข่งกันด้วยความเป็นห่วง

“ยายเหมย เกิดอะไรขึ้น เธอเป็นอะไร”

“ใช่เธอเป็นอะไรน่ะเหมย ตอบสิ...”

“เอ่อ...อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ อูย...”

เมยาวีบ่นอุบกับเรื่องที่เกิดขึ้น สาวเปิ่นค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น มือหนึ่งยังถือสายค้าง ส่วนอีกมือหนึ่งเกาะขอบเตียง ผมเผ้าฟูอย่างไม่เป็นทรง

“โอเคไหมเพื่อน แล้วเป็นอะไรน่ะ”

“แค่ตกเตียงนิดหน่อยน่ะ ตอนนี้โอเคแล้วล่ะ” เมยาวียิ้มแหยใส่โทรศัพท์ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้จนสำเร็จ

“เธอนี่น้า ซุ่มซ่ามจริงๆ” สาวคีนบ่นมาอีกรอบตามนิสัย

“ใช่ๆ อย่าไปทำเปิ่นให้คุณจอมทัพเห็นล่ะ เดี๋ยวเขาเผ่นกลับกรุงเทพฯ ไปอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ”

“พวกเธอก็พูดเกินไป ยายฝน ยายคีน คนอย่างฉันไม่ซวยถึงขนาดนั้นหรอก”

“จ้า...แม่คุณคนสวย” วัสนางค์เอ่ยอย่างความหมั่นไส้สุดๆ

“ใช่ ระวังเถอะ เกิดคุณจอมทัพกลับกรุงเทพฯ ไปจริงๆ ระวังเธอจะร้องไห้ฟูมฟายล่ะ”

“นี่พวกเธอหยุดให้ร้ายกันสักทีเถอะ...”

“พวกฉันไม่ใด้ให้ร้ายเธอเลยนะเหมย แค่อยากจะรู้ว่าเธอคิดยังไงกับคุณจอมทัพกันแน่ฮึ”

“ใช่ ฉันอยากจะรู้ว่าเธอรักคุณจอมทัพแล้วใช่ไหม”

คำของมณีกานดายิ่งทำให้กรอบหน้าสวยของเมยาวียิ่งเข้มเข้าไปอีก ก็คำนั้นมันตรงกับความเป็นจริงของเธอนี่

“บ้า...ยายคีน”

“ฉันไม่ได้บ้านะ แต่เท่าที่ดูๆ แล้ว ชีวิตของเธอน่ะเหมือนกับนิยายที่ฉันกำลังอ่านอยู่เลยล่ะ นางเอกเป็นเจ้าของสวนดอกไม้ พระเอกเป็นเจ้าของธุรกิจส่งออก เขามาดูเกรดดอกไม้ที่สวนของนางเอก แค่ไม่กี่วันนางเอกก็แอบหลงรักพระเอก แล้วเธอว่ามันจะเป็นจริงอย่างในนิยายหรือเปล่า”

“ยายคีน...หยุดเลยนะเธอ หยุดเลย มันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย” ยิ่งปฏิเสธใบหน้าสวยของเธอก็ยิ่งแดงจัดขึ้นอีกตามอารมณ์เขินที่มันเพิ่มมากขึ้นในยามที่เพื่อนสาวเอ่ยแซว

“มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ชิ...ขอให้มันจริงเถอะ” วัสนางค์เอ่ยแทรกอย่างหมั่นไส้อีกไม่ได้

“พอๆ ถ้าพวกเธอพูดถึงเรื่องนี้อีกฉันจะวางสายแล้วนะ” กลัวว่าเพื่อนสาวจะแซวและจับผิดความรู้สึกของตนได้
เมยาวีจึงแกล้งงอนจะวางสายในทันที เป็นผลให้ทั้งวัสนางค์และมณีกานดาโวยวายเป็นการใหญ่

“โอ๋ๆ มามะไม่คุยก็ไม่คุย”

“ใช่...ฉันไม่แซวเธอก็ได้ ว่าแต่มันจริงหรือเปล่าล่ะ”

“ยายคีน...”

เมยาวีขึ้นเสียงดังและทำท่าจะวางสายไปจริงๆ มณีกานดีจึงรีบเอ่ยปลอบและรีบเปลี่ยนเรื่องในที่สุด ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของวัสนางค์ ที่เธอก็พอจะดูออกว่าเมยาวีนั้นรู้สึกอย่างไรกับจอมทัพ แม้ว่าด้วยระยะเวลาแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ตาม แต่ความรู้สึกของเธอกลับแน่ใจว่าเพื่อนสาวของเธอคิดเช่นนั้น



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มี.ค. 2555, 19:20:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มี.ค. 2555, 19:20:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1641





<< ตอนที่ ๘ (1) คู่ปรับ   ตอนที่ ๙ ปฏิบัติการลักไก่ ๑ >>
anOO 17 มี.ค. 2555, 17:06:48 น.
เอ....งานนี้มีสลับคู่รึป่าว ระหว่างยัยปูเป้กับรติกร ชัยจะเลือกใครกันนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account