เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด

ตอน: ตอนที่ ๒ ดอกไม้ปริศนา

ตอนที่ ๒

หลังจากมารดาจัดการปฐมพยาบาลบุตรสาวจนฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้งแล้ว รายการสอบถามจึงได้เกิดขึ้นแต่บัดนั้น

“เกิดอะไรขึ้น จันทร์” ผู้เป็นแม่ถามอย่างนึกห่วง

ความตื่นเต้นตกใจยังไม่หาย นับแต่วินาทีแรกที่เปิดประตูห้องนอนของลูกสาวเข้ามาและเห็นจันทร์เจ้ายืนนิ่ง ใบหน้าซีดเผือด ก่อนร่างนั้นจะทรุดลงไปอย่างรวดเร็ว

กรอบหน้าสวยเริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้งแล้ว ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองโดยรอบก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของมารดา

“ไม่...ไม่รู้ค่ะแม่ เอ่อ...แล้วจันทร์เป็นอะไรหรือคะ”

“แม่ต่างหากที่จะต้องถามจันทร์ ว่าจันทร์เป็นอะไร”

“เป็นอะไร เมื่อกี้จันทร์เป็นอะไรหรือคะ” เหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาจากนิทราหญิงสาวยังนึกงง เมื่อครู่เธอยังอยู่ในห้องนอนและตอนนี้เหตุใดถึงมาอยู่ข้างนอกได้

ดั่งกับว่าห้วงความทรงจำเมื่อครู่จะถูกตัดทอนออกไปอย่างไรอย่างนั้น

ก่อนจะค่อยๆ เวียนกลับมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง...

“ลูกเป็นลม จันทร์ไม่รู้สึกตัวหรือลูก”

“เป็นลม” จันทร์เจ้าหล่นเสียงถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

“จันทร์เป็นลมหรือคะ”

“ใช่จ้ะ...แม่เรียกลูกอยู่ตั้งนาน เมื่อจันทร์หันกลับมาก็หน้าซีด แล้วก็วูบหมดสติไป”

“นานหรือเปล่าคะแม่”

“เกือบครึ่งชั่วโมง ดีที่แม่มาเจอ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นอะไรไป แม่จะทำยังไง” นางเพ็ญโผเข้าไปสวมกอดบุตรสาวอย่างรวดเร็ว

ทั้งห่วงใยและนึกกลัว จันทร์เจ้าเป็นลูกสาวคนเดียวของนาง หากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วนางจะอยู่ได้อย่างไร

“ยังไงหนูก็ฟื้นแล้วยังไงล่ะคะ ไม่เป็นอะไรแล้ว”

หญิงสาวคลี่ยิ้ม พยายามจะไม่ทำให้บรรยากาศโดยรอบต้องอึดอัดอย่างน่ารำคาญและทำให้ผู้เป็นมารดานึกกลัวในความรู้สึก

“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกถึงได้เป็นลม”

“ไม่รู้เหมือนกันสิคะแม่” หญิงสาวหยุดประโยคนั้น พร้อมกับครุ่นคิดและลำดับเรื่องราว “เมื่อกี้หนูได้ยินเสียงคนเรียกด้วยค่ะ”

“เสียงคนเรียก ใครกัน” ผู้เป็นแม่อุทาน นางยกมือขึ้นทาบอกอย่างไม่แพ้กัน

เวลาเย็นเช่นนี้ ใครกันจะมาเรียก จะว่าสามีของนางก็ใช่ที่เพราะตอนนี้ก็คงจะคุมงานอยู่ที่ค่ายหรือไม่ก็ไปสังสรรค์กับเหล่าเพื่อนๆ ข้าราชการด้วยกัน

ก็เขาเป็นคนใหญ่คนโตในค่ายทหารนี่ ชีวิตการทำงานมักจะเข้มกว่าชีวิตครอบครัวเสียด้วยซ้ำไป จะกลับบ้านมาทีหนึ่งก็ห้าหกทุ่มโอกาสเจอกับลูกสาวก็น้อยไปด้วย

นอกจากจะได้หยุดงานราชการนั่นแหละ ถึงได้อยู่กับครอบครัวสักครั้ง

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่...เป็นเสียงผู้ชาย จะว่าเสียงคุณพ่อก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะคุณพ่อก็ยังไม่กลับ”

หญิงสาวเอ่ยบอกเสียงแผ่ว สรรพสำเนียงการเรียกนั้นยังติดหูไม่รู้ลืม

จะให้ลืมได้อย่างไรก็เพราะว่าเสียงนั้น มันได้เดินทางมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวด แม้จะพยายามลืม ทว่ามันกลับเหมือนมีสิ่งหนึ่งมาดึงให้เธอจดจำ

ทั้งจดและจำ ทั้งดีใจและเจ็บปวด

“และก็มี....ก่อนหน้านั้นคุณแม่ได้เอาดอกพุดซ้อนไปไว้ในห้องให้หนูไหมคะ”

หลังเริ่มลำดับเหตุการณ์บางอย่างได้อย่างกระจ่างชัดแล้ว หญิงสาวจึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนสติของเธอจะหมดไปนั้นยังจะมีไม้ดอกหอมอีกชนิดหนึ่งวางอยู่พร้อมปริศนา ที่ตามมาอีกเป็นชุด

“ดอกพุดซ้อน...” นางเพ็ญเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“ใช่ค่ะ ดอกพุดซ้อน อยู่นี่อย่างไรล่ะคะ”

พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับที่ซอกหู ก่อนจะดึงเอาไม้ดอกหอมสีขาวสะอาดมาให้กับมารดาเป็นการยืนยัน

“ไม่...ไม่นี่จ๊ะ” นางเพ็ญรับดอกไม้ดอกนั้นมาพินิจ “แม่ไม่ได้เข้าไปในห้องของลูกเลยก่อนหน้านั้นกับดอกพุดซ้อนนี่ ในบ้านของเราก็ไม่เคยมี”

ความสงสัยพลันก่อเกิดขึ้นภายในหัวใจของบุคคลทั้งสองในทันที

สำหรับนางเพ็ญแล้ว กำลังคิดหาว่าไม้ดอกนี้มาอยู่ที่ห้องของบุตรสาวได้อย่างไร

แต่สำหรับจันทร์เจ้า...หญิงสาวกลับคิดไปอีกแบบ

ผู้ชายคนนั้นคือใครกันแน่และเหตุใด เมื่อเห็นหน้าของเขาแล้ว เธอถึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดและอยากจะวิ่งหนีเหลือแสน

มันน่าจะดีใจไม่ใช่หรือ ที่ได้กลับมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง

‘ไม่...ไม่มีทาง...ตราบชั่วชีวิต จักต้องไม่คิดเช่นนั้น’

พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจะคอยเอ่ยเตือนอยู่ในใจให้ยิ่งสับสน

“แล้วมันมาได้ยังไงล่ะคะแม่...”

เรียวปากบางเผลอหลุดถ้อยคำสำเนียงออกมาอย่างสงสัย ดวงตาคู่สวยก่อเกิดประกายเหล่านั้นอย่างชัดเจน

สักวัน...เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าระหว่างความรู้สึกกับชายคนนั้น มันเกิดอะไรขึ้น

///////

สิชลทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ผ้า ภายในห้องที่เหมือนจะดูรก ทว่าก็ยังมีหลายสิ่งที่ถูกจัดให้เรียบร้อย เขาจ้องมองหน้าของภูริตไม่วาง นับตั้งแต่การก้าวเข้ามาภายในห้องแห่งนี้

และเขาก็เชื่อสายตาของตนว่า เมื่อครู่เพื่อนหนุ่มของเขากำลังเหม่อมองก้อนหินก้อนนั้นอยู่จริงๆ แม้จะเอ่ยถามเป็นสิบรอบ ทว่าภูริตกลับไม่ให้ความกระจ่างแต่อย่างใด

“ฉันก็บอกว่าฉันไม่ได้เหม่ออะไร อย่างไรล่ะชล”

“ฉันไม่เชื่อ นับตั้งแต่ฉันก้าวเข้ามาในห้องของแกเป็นสิบนาที แกก็ยังนั่งเหม่อมองก้อนหินก้อนนี้อยู่และตอนที่ฉันจะเรียกนาย กว่านายจะรู้สึกตัวมันก็นานแล้ว บอกฉันมาเถอะว่าหินก้อนนี้มันมีความสำคัญอะไรให้นายนั่งมองมันอยู่เป็นนานแบบนี้”

การจะเค้นเอาความกับเพื่อนหนุ่ม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นสิชลจึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก แถมยังจะต้องชักเอาทฤษฎี ความเชื่อทั้งหลายมาแบบมีหลักการเพื่อที่จะให้ได้ความจริงมาจากเจ้าเพื่อนจอมปิดคนนี้ได้

“ก็บอกแล้วยังไงล่ะว่าไม่มีอะไรจริงๆ” เจ้าตัวยังไม่ยอมพูดแถมยังบอกปัดไปอย่างหน้าตาเฉย

“เอ้า...ถ้าอย่างนั้นฉันเปลี่ยนคำถามใหม่ละกัน” อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม สำหรับเขาแล้ว ถ้าไม่รู้ความจริง บอกได้เลยว่าคืนนี้เขาก็นอนไม่หลับเหมือนกัน

“คำถามอะไรอีกล่ะ”

“ก็จะถามว่า...นายเอาหินก้อนนั้นมาจากไหน มันมีความสำคัญอย่างไรกับนาย ทำไมนายจะต้องเก็บมันเอามาศึกษาด้วย โบราณเค้าห้ามเอาสิ่งของที่อยู่ในพื้นที่ประวัติศาสตร์มาไม่ใช่หรือ บรื๋อ นี่ผีจะตามมาทวงหรือเปล่านี่”

คำถามเป็นชุด จนคนฟังแทบนับแต้มไม่ทัน

“บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเลิกคบ”

“อ้าว...ได้นี่ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เลิกเป็นเลิก ไม่คบก็ไม่คบ” ภูริตรู้ว่าเพื่อนพูดเล่น แถมเจ้าเพื่อนคนนี้ ชอบที่จะให้เขาแหย่อยู่เรื่อยอีก

และคนที่โกรธจริงๆ ก็คือคนเริ่มทีแรกนั่นแหละ

“โห...ไอ้นี่ เอาจริงหรือ”

รู้ทั้งที่รู้ว่าแม้จะพูดประโยคนี้สักพันครั้ง แต่ความเป็นเพื่อน มันก็ไม่ได้จางหายไปจากบุคคลทั้งสองเลยสักนิด ด้วยเพราะรู้นิสัย ติดตามกันมาตั้งแต่เด็กๆ จึงพอจะทำให้รู้ว่าเพื่อนแต่ละคนเป็นอย่างไร

สิชล แม้จะเป็นคนที่พูดเล่น แต่เวลาทำงานเขาก็เอาจริงเหมือนกัน

เช่นเดียวกับที่ทั้งสอง แม้จะพูดเล่นและในบางครั้งที่ภูริตจะเอาจริง สิชลนั่นแหละจะเป็นฝ่ายยอมความเองในที่สุด

“เออ...เอาจริงสิวะ”

“ไม่เอาเว้ย...นี่ภูกับไอ้แค่หินก้อนเดียว แกจะไม่คิดบอกฉันเลยหรือ”

“บอก...แต่มันยังไม่ถึงเวลา”

คำตอบเรียบง่าย ความลับแม้บางครั้งจะไม่ใช่ แต่ใช่ว่าเรื่องสำคัญเหล่านี้จะเอามาพูดเล่นๆ กันได้

“แล้วนายพอจะบอกฉันได้ไหม ว่านายจะเอามันมาทำไม”

“ฉันก็จะเอามันมาศึกษาน่ะสิ”

“หินก้อนเดียวเนี่ยนะ”

สิชลดูจะแปลกใจเป็นยิ่งนักกับสิ่งที่ภูริตเอ่ยบอก รู้ว่าเพื่อนชอบศึกษาในเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดี แต่เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีกับหินรูปร่างประหลาดเพียงก้อนเดียวตรงหน้ามันจะบอกอะไรกับภูริตได้

“อืม...หินก้อนนี้แหละที่มันจะบอกอะไรบางอย่างกับฉัน”

“แล้วนายแน่ใจได้ยังไงล่ะ”

“ความรู้สึกยังไงล่ะเพื่อน นับตั้งแต่ที่ฉันได้มันมามันก็เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะบอกฉันและฉันก็เชื่อว่าสักวัน ฉันก็จะต้องรู้”

“นี่หรือ สิ่งที่นายกำลังจะบอกฉัน” อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม มองกรอบหน้าของเพื่อนหนุ่มนิ่ง ก่อนเสียงหัวเราะจะตามมา

“อือ...ฉันเชื่อแล้วล่ะว่านายมีเลือดของนักโบราณคดีตัวจริง เอาเป็นว่าวันนี้เอาพอแค่นี้ก่อนละกัน ออกไปข้างนอกเปิดหูเปิดตากันเถอะ จะสองทุ่มแล้ว ฉันหิว”

ไม่พูดเปล่า เจ้าเพื่อนจอมท่องราตรีก็เดินมาดึงแขนภูริตและพาออกไปจากห้องนั้นในทันที

ลับเงาของทั้งสองหนุ่มที่เดินผ่านประตูออกไป พลันหินก้อนนั้นที่ยังวางนิ่งอยู่ดุจเดิมก็เกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น
มันเริ่มขยับ...

จากช้า ก็ยิ่งแรงขึ้น แรงขึ้น...

เสียงกุกกักเมื่อครั้งที่มันกระทบโต๊ะ พลันนั้นก็ก่อเกิดประกายแสงสีเงินขึ้นจากจุดเล็กๆ กึ่งกลางของวัตถุประหลาดนั้น แล้วแสงนั้นก็เจิดจ้าจนสว่างไปทั่วทั้งห้องแห่งนั้น

หลังแสงนั้นจืดจางลง ปรากฏเป็นร่างหนึ่งในชุดสีขาวสะอาดหมดจด ไม่แม้กระทั่งที่ศีรษะที่โล้นเลี่ยน ร่างนั้นมองไปยังบานประตูซึ่งเมื่อครู่ทั้งภูริตและสิชลเพิ่งเดินจากไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

เป็นเพียงแค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้น ร่างนั้นก็แตกสลายหายไปชั่วพริบตา...

/////

ห้าทุ่มเศษ...

หลังเกิดเหตุการณ์ประหลาดกับตนเองและไม้ดอกสีขาวกลิ่นหอมระรื่นจมูก ที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างไร้ที่มา ภายในความรู้สึกของจันทร์เจ้าก็พลันมีความคิดที่จะต้องการหาความจริงบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

เสียงนั้นเป็นเสียงของใคร

แล้วดอกพุดซ้อนดอกนี้มันมาได้อย่างไร

กับเธออีกล่ะ ทั้งสามสิ่งนี้ มันเกี่ยวกันมากแค่ไหน

ทว่าคำตอบในเวลานี้ที่มันเด่นชัดอยู่ในหัวคือไม่ทราบ...

สิ่งที่จะทำได้คือการค้นหา...เธอตั้งคำถามอยู่ในใจ พร้อมกับเริ่มศึกษาหาประวัติของเจ้านางจันทร์อย่างละเอียดอีกครั้งเพราะการเกิดความรู้สึกที่หลากหลายนี้ มันเกิดขึ้นนับตั้งแต่เธอได้ฟังลำนำเพลงพื้นเมืองซึ่งเกี่ยวกับแม่หญิงผู้นี้เท่านั้น

เธอเชื่อว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันจะต้องเชื่อมหากันได้อย่างแน่นอน

คำตอบอยู่ที่เธอ ว่าเธอจะค้นหามันอย่างไร...

ร่างบางทรุดลงนั่งบนเตียงของตนอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังโต๊ะคอมพ์ ตำแหน่งเดียวที่เกิด
เหตุการณ์ประหลาด นั่นก็คือการปรากฏตัวของดอกพุดซ้อนดอกนั้น

ไม้ดอกหอม...ดอกพุด นั้นมีหลายหลากชนิด แต่ที่เธอยอมรับว่าชอบที่สุด เนื่องเพราะกลิ่นหอมของมันช่างระรื่นจมูกเหลือเกิน นั่นก็คือดอกพุดซ้อน

กลีบบางเบาสีขาวสะอาดเรียงซ้อนกันบานออก ยังมีบางส่วนที่คล้ายดั่งจะยังไม่ผลิบาน กลีบบางเหล่านั้นวนซ้อนกันอย่างสวยงาม ตั้งชันขึ้นคล้ายดั่งเกสรสีขาวหรือมือที่พนมไหว้บนฐานของพานอันบางเบา

นี่แหละคือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง มันช่างเป็นภาพสวยยิ่งนัก สำหรับไม้ดอกชนิดนี้ ความน่าอัศจรรย์อยู่ที่ว่า ทำไมกลีบไม้ในส่วนที่ตั้งขึ้นนั้น ถึงไม่ได้บานอย่างกับกลีบอื่นๆ

มันคล้ายดั่งกับเกสร ทว่ากลับไม่ใช่

มันคือกลีบดอกดีๆ นี่แหละ เพียงแต่ว่ามันไม่บานเท่านั้น

และนั่น ก็คือที่มาของชื่อ...ดอกพุดซ้อน

มือบางยกขึ้นมามอง กลางฝ่ามือมีไม้ดอกสีขาวซึ่งบัดนี้กลีบบางส่วนช้ำไปบ้างแล้ว ดวงตาคู่สวยจรดนิ่งยังจุดกึ่งกลางบนฝ่ามืออย่างค้นหาทว่าสุดท้ายแล้วคำตอบที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม

เธอจึงวางดอกไม้ดอกนั้นลงบนโต๊ะคอมพ์ดุจเดิม กะว่าพรุ่งนี้จะตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อจะค้นหาประวัติของเจ้านางผู้นี้มาอ่านให้กระจ่างชัดไปเลย

ศีรษะน้อยค่อยๆ วางลงบนหมอน ก่อนดวงตาที่มองอยู่บนเพดานห้องจะหลุบลงปิดอย่างเชื่องช้า

ทันทีที่หัวแตะหมอนและหลับตาลง พลันความรู้สึกภายในหัวก็เหมือนจะหมุนวนจากช้าก็ค่อยๆ กลายเป็นเร็ว

ก่อนจะหมุนคว้างในที่สุด...แล้วสติที่เหลืออยู่ ก็ค่อยๆ ดับลงไป

สายลมพัดพาเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง พร้อมกับกลิ่นหอมของไม้ดอกยามราตรีซึ่งพัดโชยเข้ามาตามสายลม บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท ไร้ซึ่งสรรพสัตว์ที่มักจะออกมาขับขานบรรเลงเสียงเพลงอย่างที่ควรจะเป็น
มันนิ่งคล้ายดั่งจะหลบภัยบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

ทันใดนั้น...

กลุ่มหมอกควันสีขาวก็พวยพุ่งเข้ามาภายในห้องนั้นผ่านทางบานหน้าต่างและผ้าม่านสีหวาน ก่อนจะค่อยๆ มารวมตัวกันข้างๆ เตียงนอนของหญิงสาว

เพียงชั่วพริบตา...กลุ่มควันเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยน

กลายเป็นชายหนุ่มช่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อเป็นมัดกล้ามแน่นขนัดมันวาว กรอบหน้านั้นไม่ถึงกับคม แต่ก็จัดว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่หน้าตาดี ทว่าสิ่งที่ขัดกับรูปร่างหน้าตาเป็นยิ่งนัก นั่นก็คือแววตาของเขา

แววตาในยามที่มองร่างบางซึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียง กลับกลายเป็นแววตาอันหม่นเศร้าเป็นยิ่งนัก

เศร้า...ดั่งจะเป็นความรู้สึกที่เกิดจากการพลัดพราก สูญเสีย

ชายผู้นั้นค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งบนเตียงกว้าง ตาจ้องมองนิ่งยังกรอบหน้าสวยหวานของจันทร์เจ้าไม่วาง รอยยิ้มบางๆ จุดขึ้นบนเรียวปากหนา ก่อนมือของเขาจะยกขึ้นแล้วลงลูบที่เส้นผมสลวยของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

“เจ้างาม สดต้ายอ้ายก็ได้เจอกับเจ้านาง...”

สรรพเสียงที่ดังขึ้นแหบแผ่ว เหมือนล่องลอยมาจากที่อันแสนไกล โดยที่ผิวปากของชายผู้นั้นมิได้ขยับสักเพียงนิด

ร่างบางของจันทร์เจ้าเริ่มขยับอีกครั้ง หลังรับรู้ได้ถึงมือของใครคนหนึ่งซึ่งลูบตรงศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน
สัมผัสนั้นช่างคุ้นเคย ดั่งกับว่าสิ่งนี้ เธอเพิ่งได้เคยเจอมาก่อน เสียงทอดถอนใจดังแผ่วเบา หากดวงตาคู่สวยก็ยังไม่ได้ลืมขึ้น จนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คลี่ยิ้มบางเบา แล้วหยัดตัวลุกขึ้นอีกครั้ง

ร่างสูงใหญ่นั้นค่อยๆ เดินถอยหลังจนไปติดกับหน้าต่าง โดยสายตายังไม่วางที่จะมองร่างของหญิงสาวตรงหน้า แล้วในเวลานั้น กลุ่มควันสีขาวก็เริ่มก่อเกิดขึ้นอีกครั้ง มันวนเวียนไปทั่วร่างกายของชายผู้นั้น ก่อนจะเริ่มหนาขึ้น ปกปิดจนทั่วทั้งร่าง

ตราบเมื่อกลุ่มควันที่ลอยอยู่ภายในห้องนั้นจางลง เสมือนมันได้ล่องลอยแล้วเลือนหายไปกลายเป็น
อากาศธาตุ ก็มิได้เห็นร่างที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นอีกเลย...




พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2555, 19:34:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2555, 19:34:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1510





<< ตอนที่ ๑ สัมผัส   ตอนที่ ๓ แรกพบ >>
tookta 25 มี.ค. 2555, 17:00:03 น.
สนุกค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account