พื้นที่ชุ่มรัก
เมื่อได้รับคำขาดจากเหล่าคุณปู่คุณตาว่าต้องการเห็นหน้าหลานเขยหลานสะใภ้ก่อนวันเริ่มศักราชใหม่ซึ่งเหลือเวลาอีกครึ่งปี บรรดาหลานๆจึงปวดหัวหนักเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มตามหาหลานเขยหลานสะใภ้ที่จุดไหนของประเทศ และที่สำคัญกว่านั้น...ถ้าหลานคนใดคนหนึ่งทำตามความต้องการของท่านไม่ได้ ทุกคนจะต้องชดใช้ที่ทำให้คุณปู่คุณตาผิดหวังด้วยเงินและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่พอจะทำให้หลานๆสุดที่รักของพวกท่านล้มละลายกันได้ทีเดียว!!

แล้วจะให้บรรดาหลานสุดที่รักทั้ง 5 คนยอมขัดใจคุณปู่คุณตาได้อย่างไร นอกจากต้องก้มหน้ารับคำสั่งอาญาสิทธิ์แต่โดยดี และคงต้องเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจัง เวลาที่เหลืออยู่คงต้องงัดทุกกลยุทธทุกอย่างขึ้นมาใช้เพราะหลานๆได้ลงมติอย่าง (เกือบ) เป็นเอกฉันท์กันมาแล้วว่างานนี้...แพ้ไม่ได้!
Tags: แผนการ คุณปู่ คุณตา หลาน ความรัก พื้นที่ชุ่มรัก ผลิดอกออกรัก

ตอน: เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 23

ตอนต่อไปมาแล้ว...ตามต่อกันได้เลยจ้าาาา

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน กดไลค์และทิ้งคอมเมนท์ทักทายพูดคุยกันนะคะ :)


----------------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนที่ 23: อดีตอันแสนเจ็บปวดและปัจจุบันที่ตัดสินใจก้าวเดิน



แม้จะไม่เข้าค่อยเข้าในคำพูดของอาจารย์สาวเท่าไรนัก หากอารัทธ์กลับเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่ปริปากถามอะไรไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มเคารพการตัดสินใจของนิชิตาเสมอ ถ้าถึงเวลาที่เธอพร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง เขาก็พร้อมที่จะนั่งลงเคียงข้างและรับฟังเรื่องของเธอ แต่ถ้าหากเธอยังไม่พร้อม...เขาก็ยังคงจะยืนคอยเป็นกำลังใจให้เธออย่างนี้ตลอดไป

BMW 740Li สีตะกั่วจอดสนิทอยู่ด้านหน้าของบ้าน ‘วัชรภูวิศ’ ที่ดูจากภายนอกยังโอ่อ่าใหญ่โต การตกแต่งภายในก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก แม้จะเคยคบอยู่กับนิษศินีช่วงหนึ่ง หากอารัทธ์ก็ไม่เคยเยื้องย่างเข้ามาในบ้านหลังนี้เลยสักครั้งแม้เมื่อครั้งอดีตนิษศินีจะคะยั้นคะยอให้เขามาทำความรู้จักกับคุณหญิงนิพาดาแต่ชายหนุ่มก็เอ่ยปากปฏิเสธทุกครั้งไป แต่ถ้าจะเจอกันและทำความรู้จักกันภายในงานสังคมนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

“สวัสดีค่ะลุง” นิชิตาที่ก้าวลงจากรถเรียบร้อยกระพุ่มมือขึ้นไหว้คุณลุงประกิตที่เดินตรงมาหาเธอ “มากันครบหรือยังคะ” ตามด้วยคำถามที่ต้องการรู้เพื่อจะได้เตรียมตัวตั้งรับ ‘ศึก’ กระหนาบครั้งนี้ได้ถูกกระบวน

“ครบแล้วครับแต่คุณท่านยังอยู่บนห้อง ส่วนคุณหนูใหญ่กับคุณพีนอยู่ในห้องรับแขกครับ คุณหนูเล็กจะไปหาหรือเปล่าครับ ลุงจะได้เข้าไปบอกให้คุณหนูใหญ่เธอทราบก่อน”

“ไม่ล่ะค่ะ” นิชิตาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ไม่อยากที่จะมีเรื่องก่อนเวลาอันควร “หมูหวานนั่งรออยู่ในสวนก่อนดีกว่า เดี๋ยวใกล้เวลาแล้วหมูหวานเข้าไปหาคุณยายเอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวลุงให้เด็กยกของว่างไปเสิร์ฟ”

“ขอบคุณนะคะ” นิชิตากล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม มองจนผู้ที่สูงวัยกว่าเดินเข้าบ้านหลังสวยจนลับตาก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตัวเธอ

“ไปนั่งเล่นในสวนก่อนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวเชื้อเชิญ แต่อารัทธ์กลับสงสัยและไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่นิชิตาไม่เข้าไปกราบคุณหญิงนิพาดาผู้เป็นยายทั้งที่มาถึงบ้านของท่านแล้ว

“ผมว่าคุณไปกราบคุณยายคุณก่อนดีกว่าไหม มาแล้วแต่ยังไม่ไปหาท่าน...ผมว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่” บอกไปก็เพราะเป็นห่วง ดูจากสถานการณ์นิชิตาคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีกับผู้เป็นยายมากนัก แล้วถ้าทำอย่างนี้คุณหญิงนิพาดาจะยิ่งรู้สึกไม่ดีกับหลานสาวคนนี้ไปมากกว่านี้หรือ

“เข้าไปก่อนเวลานัดก็โดนไล่สิคะ” หญิงสาวตอบยิ้มๆราวกับว่าไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของตัวเองผิดกับอารัทธ์ที่รู้สึกเจ็บปวดไปกับทุกคำพูดของเธอ “มานั่งก่อนเถอะค่ะ เรายังพอมีเวลา ถึงคุณไม่ถามแต่ฉันรู้ว่าคุณกำลังรอ...” นิชิตาเว้นวรรคนิดหนึ่ง ร่างเล็กบางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ใต้ต้นหูกระจงที่แผ่กิ่งก้านเป็นชั้น “...รอให้ฉันเล่า ใช่ไหม?”

อารัทธ์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม ดวงตาเรียวเล็กทว่ามั่นคงทุกครั้งยามที่มันสบมองดวงตาอีกคู่หนึ่งที่เล็กเรียวไม่ต่างจากดวงตาของตัวเอง ดวงตาที่มักจะมองตรงไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวและไม่มีทีท่าลังเล หากพอหญิงสาวก้าวเข้ามาภายในรั้วบ้านหลังนี้ ดวงตาที่มีแต่ความเด็ดเดี่ยวกลับสั่นไหวและมีแววของอาการหวาดกลัวอยู่น้อยๆยามที่เธอกำลังจะเอ่ยปากเล่าเรื่องราวในอดีตที่คงฝังใจไม่น้อยยามเมื่อเธออาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้

“ถ้าคุณลำบากใจ...”

“ไม่...” นิชิตาเอ่ยแทรกขึ้นมา “คุณเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้แล้ว คุณมีสิทธิ์จะรู้”

ดวงตาชั้นเดียวของหนุ่มตี๋เบิกกว้างขึ้น ทั้งตกใจและ...ดีใจที่ผู้หญิงตรงหน้ายอมเปิดใจที่จะให้เขาเข้าไปรับรู้ในสิ่งที่เป็น ‘อดีต’ สำหรับเธอ

“คุณเคยคบกับพี่มิ้นท์ใช่ไหม” หากคำถามๆนี้ของนิชิตากลับทำให้อารัทธ์อึ้งไปพักใหญ่แถมกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ใช้เวลาตั้งนานจนอาจารย์สาวคนเก่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นท่าทางของอารัทธ์

“ตกใจทำไม ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำ” นิชิตาหมายความตามที่พูดจริงๆ เธอไม่โกรธอารัทธ์เลยสักน้อยที่เขายังไม่ยอมปริปากพูดบอกออกมาว่าเขาเคยคบกับลูกพี่ลูกน้องของเธออยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

“ผมกลัวคุณโกรธ...” อารัทธ์ยอมรับจากใจจริง “ที่ไม่บอกไปเพราะมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จบไปแล้ว ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก มิ้นท์เป็นแค่ ‘อดีต’ สำหรับผม”

“แต่พิ่มิ้นท์รักคุณมาก รู้บ้างหรือเปล่า และที่คุณถูกคุณยายเชิญมาด้วย รู้มั้ยว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง”

อารัทธ์พยักหน้านิดหนึ่ง แม้นิชิตาจะไม่เคยพูดเคยบอกแต่ชายหนุ่มก็พอรู้ว่านิษศินีนั้นคือหลานสาวคนโปรดของคุณหญิงนิพาดา ไม่ว่าหลานสาวคนนี้ขออะไรไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่คุณหญิงนิพาดาจะใจร้ายปฏิเสธหลานสาว และเมื่อคราวที่เขาบอกเลิกกับนิษศินีเพราะเหตุผลที่ว่า ‘เราเข้ากันไม่ได้’ ก็ทำให้คุณหญิงนิพาดาโกรธจัดจนถึงขนาดประกาศออกมาว่าถ้างานสังคมหรืองานการกุศลไหนมีคนของ ‘วิชญภาส’ ก็จะไม่มีคนของ ‘วัชรภูวิศ’ เด็ดขาด ชายหนุ่มยังคงจำได้ดีว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ชื่อ ‘อารัทธ์ วิชญภาส’ โด่งดังแค่ไหน!

...ผู้ชายที่หาญกล้ามาหักอกหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงนิพาดา วัชรภูวิศ!!...

“คุณยายคุณคงไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่” อารัทธ์บอกเสียงอ่อน

“ท่านก็ไม่ค่อยชอบหน้าฉันด้วย” นิชิตาเสริม

“แต่คุณเป็นหลาน”

“ฉันไม่เคยเป็น ‘หลาน’...” เสียงใสกระตุกไปนิดหนึ่งเพื่ออดกลั้นความขมปร่าที่แทรกขึ้นมา “...ฉันเป็นแค่เด็กคนนึงที่คุณหญิงนิพาดา ‘จำเป็น’ ต้องเลี้ยงต่างหาก”

นิชิตายังจำได้ดีว่าวันที่เธอก้าวเข้ามาในบ้าน ‘วัชรภูวิศ’ ครั้งแรกนั้นเป็นเช่นไร ยามนั้นเธอเป็นเพียงเด็กน้อยอายุแค่เจ็ดขวบที่สูญเสียทั้งบิดามารดาไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์และต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีใครต้องรับนอกจากลุงประกิตซึ่งเป็นพ่อบ้านของที่นี่และคุณนิธิวัจน์...ผู้ชายซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ๆของมารดาเธอ

ครั้งแรกที่เด็กหญิงนิชิตายกมือป้อมๆขึ้นไหว้คุณหญิงนิพาดาผู้เป็นยาย เด็กน้อยวาดฝันไว้เสมอว่าคุณยายของเธอจะเป็นคุณยายผู้แสนใจดี โอบกอดเธอ จับจูงมือเธอและมีรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนอย่างที่เด็กหญิงเคยได้รับจากมารดา หากความฝันก็คือความฝัน เพราะในความเป็นจริงที่เด็กน้อยต้องเผชิญคือสายตาเย็นชาและน้ำเสียงชิงชังของผู้เป็นยายที่เอ่ยกับเธอด้วยประโยคที่นิชิตาไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต

‘ใครอนุญาตให้แกเข้ามาในบ้านของฉัน’ นั่นคือประโยคแรกที่คุณหญิงนิพาดาเอ่ยถามในขณะที่เธอมีอายุเพียงแค่เจ็ดขวบ เอ่ยถาม...ด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจเดียดฉันท์หลานสาวคนนี้เสียเหลือทำให้เด็กหญิงตัวน้อยในยามนั้นร้องไห้จ้าขึ้นมาอย่างขวัญเสียจนคนเป็นลุงต้องอุ้มร่างเล็กจ้อยขึ้นปลอบประโลม

‘ผมจะรับเลี้ยงแก’ บุตรชายคนโตของคุณหญิงนิพาดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แม้นิธิวัจน์จะอยู่ในโอวาทของมารดาเสมอมา หากเรื่องนี้ชายหนุ่มจำเป็นต้องขัดใจเพราะ ‘น้องสาว’ ของตนนั้นได้ลำบากมามากพอแล้วและเขาจะไม่ปล่อยให้หลานสาวคนนี้ต้องลำบากอีก อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่นิธิวัจน์จะทำเพื่อ ‘นิชินันท์’ น้องสาวคนเดียวของตนเองได้ ทำตามคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของบิดา

‘...อย่าทิ้งน้องนะวัจน์ ไม่ว่าจะยังไง...อย่าทิ้งน้อง’

การยอมต่อต้านความต้องการของคุณหญิงนิพาดาในครั้งนั้นทำให้เด็กหญิงนิชิตาได้ก้าวเข้ามาอยู่ภายในหฤหาสน์ของวัชรภูวิศ ภายในบ้านหลังใหญ่ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่พร้อมสรรพ ทั้งเงินทอง สิ่งอำนวยความสะดวกที่แสนหรูหรา ที่สำคัญ...ภายในบ้านหลังนี้คือบ้านที่เธอมีญาติ ภายในบ้านหลังใหญ่ที่มีทุกอย่างพร้อมหากเด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่เคยพบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสุข’ อีกเลยหลังจากก้าวเหยียบเข้ามาที่นี่

ไม่มีใครยอมรับเธอในฐานะหลานสาวของคุณหญิงนิพาดา หญิงสาวเป็นเพียงแค่เด็กที่ไม่มีใครต้องการให้มาอยู่ที่นี่ยกเว้นคุณนิธิวัจน์และลุงประกิต มีเพียงแค่ท่านสองคนเท่านั้นที่ดีต่อเธอ มีเพียงแค่ท่านทั้งสองเท่านั้นที่เห็นเธอเป็น ‘คน’ ไม่ใช่ ‘สิ่งของ’ ที่ใครต่อใครจะคิดเอาแต่ทำร้ายและกลั่นแกล้ง!

นิชิตาไม่เคยได้นั่งรถยนต์คันหรูของบ้านนี้ไปโรงเรียน เธอต้องหัดขึ้นรภเมล์ทั้งๆที่อายุเพียงเจ็ดขวบ มีชีวิตอยู่ภายในบ้านหลังนี้ด้วยสองขาของตัวเองจนเด็กน้อยโตพอที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงลำพังในต่างแดนผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆจึงตัดสินใจที่จะส่งหลานสาวคนนี้ไปเรียนต่อยังต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า...ยามที่เธอก้าวออกจากรั้วของบ้านหลังใหญ่หากไร้ด้วยความสุขหลังนี้ นิชิตาคงพบกับคำว่า ‘อิสระ’ ที่จะทำอะไรได้ตามที่ใจอยากทำ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับคนในบ้านหลังนี้ แม้คนๆนั้นจะเป็นทั้งมารดา ภรรยาและลูกสาวของนิธิวัจน์เองก็ตาม

เรื่องราวในสมัยอดีตพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบของนิชิตา อารัทธ์ได้แต่นั่งฟังคำบอกเล่าของเธออย่างเงียบๆ ไม่มีแม้แต่คำใดหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากหยักลึกแม้ใจจริงชายหนุ่มนั้นอยากจะปลอบประโลมหญิงสาวมากกว่าใคร อยากจะเข้าไปกุมมือเธอแล้วบอกกับเธอว่า ‘ไม่เป็นอะไร’ หากชายหนุ่มก็ไม่กล้าและกลัวว่าถ้าตนเองยื่นมือเข้าไปในอดีตของนิชิตามากกว่านี้จะยิ่งทำให้หญิงสาวเสียใจมากขึ้นหรือไม่ เพราะยามที่อาจารย์คนเก่งของเขาเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งเก่า อารัทธ์ว่าตนเองรู้สึกไม่ผิด รู้สึก...ว่าผู้หญิงที่ดูจากภายนอกทั้งเก่งทั้งแกร่งหากก็ยังมีบางมุมที่แสนเปราะบางราวกับแก้วใส

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” นิชิตาเอ่ยขึ้นเบาๆเมื่อเห็นสายตาห่วงใยจากชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้าม ยิ้มให้เขาน้อยๆเพื่อยืนยันว่าเธอจะ...ไม่เป็นอะไร...จริงๆ

“ผมไม่คิดว่าบ้านหลังนี้จะทำกับคุณทั้งๆที่คุณยังเด็กขนาดนั้น”

“เพราะคุณยายไม่ชอบพ่อของฉัน ไม่สิ...เกลียดเลยมากกว่า” นิชิตายิ้มหยันเมื่อนึกถึงยามที่คุณหญิงนิพาดากล่าวถึงบิดาของเธอ ท่านเกลียดเพียงเพราะพ่อของเธอไม่ใช่คนร่ำรวย เป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมดา ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลดังตระกูลใหญ่ ผู้ชายที่ยายของเธอให้คำจำกัดความว่า ‘ไม่มีหัวนอนปลายเท้า’ “แต่แม่ของฉันดันรักในสิ่งที่คุณยายท่านเกลียด สุดท้าย...ท่านก็เกลียดแม่ของฉันไปด้วย”

“สายเลือดตัดกันไม่ขาดหรอกครับ” อารัทธ์แย้ง เพราะแม้จะโกรธเพียงใดแต่ถ้าหากเป็นลูก ผู้ที่เป็นบิดามารดาย่อมที่จะให้อภัยได้เสมอไม่ว่างเรื่องใดไม่ใช่หรือ

“ไม่ใช่กับคุณยายของฉันแน่” นิชิตาปฏิเสธ ส่ายศีรษะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของอารัทธ์ “ตั้งแต่แม่เดินออกจากบ้านนี้ไป คุณยายก็ไม่เคยเอ่ยถึงแม่ฉันอีกเลย ไม่เคยมาพบ ไม่เคยที่จะติดต่อ ฉันไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองก็มียายเหมือนกันจนพ่อกับแม่ของฉันเสีย”

“ผมเริ่มกลัวคุณยายของคุณแล้วสิ” อารัทธ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดตลกเพราะอยากทำให้บรรยากาศที่อึมครึมรอบตัวค่อยๆสดชื่นขึ้นมา

“คุณ...ไม่เคยเจอคุณยายเลยหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย เพราะสังเกตจากสีหน้าและท่าทางของอารัทธ์ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้นั้นคือความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย

“เคยครับ แต่ผมไม่เคยเข้าไปหาท่านจริงๆจังๆ เคยแต่เจอตามงานสังคมบ้าง” อารัทธ์ตอบตามความจริงแม้จะไม่ได้ขยายความว่าที่ไม่ยอมเข้าไปพบคุณหญิงนิพาดาแบบจริงๆจังๆนั้นเพราะเหตุผลใด

“อ้าว...” นิชิตาอุทานขึ้นมาอย่างตกใจไม่น้อย “ฉันนึกว่าคุณเคยมาที่บ้านนี้แล้วซะอีก”

อารัทธ์ยิ้มแหย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เคยหรอกครับ” ก่อนจะบอกอย่างเต็มปากว่า “ถึงได้กลัวอยู่นี่ไงครับ ท่านโกรธมากซะด้วยตอนที่ผมเลิกกับมิ้นท์ ตอนนี้ผมเลยกลัวว่าจะมีปัญหาถ้าผมจะคบกับคุณ”

นิชิตาชะงักไปนิดหนึ่งเมื่ออารัทธ์ยอมบอกเหตุผลที่เขากลัวออกมา น่าแปลก...เพราะเธอเองก็กลัวอย่างนั้นเช่นกัน กลัวว่าอารัทธ์จะพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป เธอรู้เสมอว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ รู้เสมอมา...และตอนนี้นิษศินีก็คง ‘พอรู้’ เพราะไม่อย่างนั้นลูกพี่ลูกน้องสาวของเธอคงไม่เจาะจงให้คุณหญิงนิพาดาเชิญอารัทธ์มาร่วมมื้อเย็นวันนี้ด้วย อะไรที่หลานสาวคนโปรดของคุณหญิงนิพาดาอยากได้ทว่าไม่ได้แล้วหลานสาวที่ท่านไม่เคยรักไม่เคยบอกใครว่ามีเธอเป็นหลานสาวอีกคนจะมีสิทธิ์ได้รับได้อย่างไร!

หากยังไมทันได้พูดอะไรต่อ หญิงเลยวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินมายังโต๊ะที่ทั้งนิชิตาและอารัทธ์กำลังนั่งคุยกันอยู่ ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นทว่าแววตาที่คมกริบให้ความรู้สึกเย็นเยียบราวกับสายน้ำในฤดูหนาวนั้นยังคงเหมือนเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เป็นสายตาที่มักใช้มองมายังนิชิตาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและคงจะล่วงเลยสู่อนาคต ไม่มีทางที่คนอย่าง ‘ดวงแข’ คนสนิทของคุณหญิงนิพาดาจะมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนและเป็นมิตร...ไม่มีวัน

“คุณท่านลงมาที่ห้องอาหารแล้ว เชิญ” มาบอกเพียงเท่านี้ ‘คุณแข’ ก็เดินคอเชิดหลังตรงเข้าบ้านไป

“นั่นใครครับ” อารัทธ์ถามพร้อมๆกับก้าวเดินตามนิชิตาเข้าไปในบ้านหลังใหญ่

“คนสนิทของคุณยายค่ะ” หญิงสาวกระซิบเบาๆเมื่อก้าวเข้าเขตภายในตัวบ้าน “โหดมาก แน่นอนว่าไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไหร่” นิชิตาหมุนตัวเลี้ยวเข้าไปยังห้องอาหารซึ่งมีคุณหญิงนิพาดา นิษศินีและพีรัชนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

หลานสาวคนเล็กที่ไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้อีกตั้งแต่ถูกส่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ประมุขของบ้านที่รับไหว้เธออย่างขอไปทีก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดไว้ ส่วนอารัทธ์นั้นก็ทำเช่นเดียวกันกับเธอ ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้คุณหญิงนิพาดาแต่อีกฝ่ายกลับเมินหน้าหนีและไม่คิดจะรับไหว้จากผู้อ่อนวัยกว่า แต่อารัทธ์กลับเก็บกิริยาได้เป็นอย่างดี ไม่มีท่าทีหน้าเสียเผยออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าฉันไม่เอ่ยปากเธอก็ไม่คิดที่จะมาบ้านนี้เลยใช่ไหม” คุณหญิงนิพาดา ผู้เป็นเจ้าของบ้านวัชรภูวิศเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะอายุล่วงเลยไปเกือบริมๆเจ็ดสิบปีหากท่านก็ยังแข็งแรงและหน้าตาดูน้อยกว่าอายุจริงอยู่มาก อาจะเป็นเพราะการแต่งตัวที่ดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้ริ้วรอบความเหี่ยวย่นจะมีเพิ่มมากขึ้นจากครั้งล่าสุดที่นิชิตาเคยเจอ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน นั่นคือสายตา...สาตาที่ท่านมองมายังหลานสาวคนนี้ มันยัง...ไร้ซึ่งความอบอุ่น...อ่อนโยน...เหมือนเคย ไม่มีเปลี่ยนแปลง

นิชิตาเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีดำสนิทภายใต้กรอบแว่นครึ่งวงกลมสีทอง เสียงใสตอบคำถามชัดเจน “ไม่ค่ะ”

“อวดดี!” คุณหญิงนิพาดากดเสียงต่ำ ส่วนหลานสาวคนโตนั้นกระตุกยิ้มมุมปากอย่างสะใจที่ ‘คุณย่า’ เริ่มจะจัดการยัยเด็กอวดดีนั่นให้เธอ! “เป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัยริอาจปีกกล้าขาแข็งกับฉันแล้วหรือ? สำนึกเสียบ้าง...ถ้าไม่มี ‘วัชรภูวิศ’ ชีวิตของเธอจะเป็นยังไง”

“หมูหวานสำนึกบุญคุณของ ‘วัชรภูวิศ’ เสมอค่ะ ถ้าไม่มีลุงวัจน์ หมูหวานก็คงไม่มีวันนี้” นิชิตาย้ำชื่อลูกชายคนโตของคุณหญิงนิพาดาเสียงหนักเพื่อให้คนเป็นยายรู้ว่าที่เธอมีชีวิตที่ดีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะนิธิวัจน์ไม่ใช่เพราะท่าน!

คนเป็นยายถึงกับต้องเชิดหน้าขึ้นเพราะสิ่งที่หลานสาวซึ่งท่านไม่ค่อยโปรดเท่าไหร่พูดออกมานั้นถูกต้องทุกคำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณหญิงนิพาดาไม่เคยเลยที่จะดูดำดูดีหลานสาวคนนี้ มีแต่จะดูแคลนเสียด้วยซ้ำว่าคนอย่างนิชิตาไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ และคงเป็นเพราะคำสบประมาทเหล่านั้นที่ทำแรงผลักดันให้มีนิชิตาในวันนี้

“แล้วกับผู้ชายคนนี้...” คุณหญิงปรายตามองไปทางอารัทธ์นิดหนึ่งก่อนจะเสกลับมามองที่นิชิตา “เธอคบกันอยู่หรือ”

“เปล่าค่ะ” หลานสาวคนเล็กตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ปดเลยแม้แต่น้อย จริงอยู่ที่อารัทธ์มีความรู้สึกดีๆมอบให้แก่เธอและการที่เธอตอบไปอย่างนี้ก็อาจจะทำให้เขารู้สึกเสียใจไม่น้อย แต่ความจริงก็คือความจริงเพราะ ‘ตอนนี้’ เธอกับเขา ‘เรา’ ยังไม่ได้คบกันในฐานะของ ‘คนรัก’

“เด็กเลี้ยงแกะ” นิษศินีที่นั่งฝั่งตรงข้ามเปรยออกมาโดยไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่มีหรือที่นิชิตาจะไม่รู้ว่าพี่สาวต้องการที่จะว่าเธอ!

“ถ้าจะว่าหมูหวานก็ว่ากันมาตรงๆเลยดีกว่าค่ะพี่มิ้นท์ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้มันน่ารำคาญ” เอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวว่าคุณยายจะเดือดเนื้อร้อนใจแทนหลานสาวคนโปรดอย่างไร เพราะตอนนี้นิชิตาไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยเมื่อวันวานอีกแล้วที่ต้องคอยพึ่งใบบุญของวัชรภูวิศ ตอนนี้หญิงสาวสามารถยืนได้ด้วยสองขาของตัวเอง อยู่บนโลกใบนี้โดยการเป็น ‘นิชิตา ธีราพิรัตน์’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

“นิชิตา!” คุณหญิงนิพาดาเรียกหลานที่แทบจะไม่มีสายสัมพันธ์ของความเป็นยาย-หลานเสียงต่ำ “เธอมีสิทธิ์อะไรมาว่าหลานสาวของฉัน เด็กนอกคอกอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพูดจาอย่างนี้ใส่คนของวัชรภูวิศ!”
นิชิตารวบช้อนส้อมวางไว้บนจานกระเบื้องใบสวย ดูเหมือนว่าอาหารมื้อนี้คงไม่ได้ตกถึงท้องเสียแล้วในเมื่อเจ้าของบ้านตั้งแง่หาเรื่องเธอตั้งแต่หย่อนตัวลงนั่ง อาหารมื้อนี้ก็คงเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าเพื่อที่จะเรียกตัวเธอมาตักเตือนและแสดงออกให้อารัทธ์ได้เห็นว่าผู้หญิงอย่างเธอนั้นไม่มีดีอะไรเลย เป็นหลานซึ่งคนที่เป็นยายแท้ๆไม่รับว่าเธอเป็นหลาน เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีแต่ตัว...อย่างที่นิษศินีบอก

“ดิฉันไม่มีสิทธิ์พูด” นิชิตาเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองจาก ‘หมูหวาน’ เป็น ‘ดิฉัน’ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นยายไม่เคยเลยที่จะเห็นเธอเป็นหลาน “แต่คนของวัชรภูวิศมีสิทธิ์ที่จะพูดดูถูกใครก็ได้น่ะหรือคะ ดิฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าตระกูลผู้ดีเก่าเขาสอน ‘หลาน’ กันอย่างนี้” หญิงสาวเน้นคำว่า ‘หลาน’ ชัดๆโดยไม่กล่าวถึงลูกของท่านเพราะนิชิตารู้ดีว่าทั้งมารดาและลุงของเธอนั้นเป็นคนดี ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดจากผู้เป็นพ่อ ไม่ได้ถูกถือหางเลี้ยงดูตามใจแบบที่คุณหญิงนิพาดาเลี้ยงดูหลานสาวอย่างนิษศินี

“ยัยหมูหวาน!” ถึงคราวของนิษศินีบ้างที่ต้องร้อนเป็นไฟเมื่อโดนน้องสาวที่คิดว่าต่ำต้อยนักต่ำต้อยหนาสวนกลับแบบเรียบๆทว่าน่าเจ็บแค้นเหลือประมาณ!

นิชิตาไม่สนใจเสียงของนิษศินี หญิงสาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “แค่นี้คงพอใจคุณหญิงแล้วใช่ไหมคะ ที่เรียกดิฉันมาประกาศให้คนอื่นรู้ว่าคุณหญิงไม่เคยนับว่าดิฉันเป็นหลาน ดิฉันก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่คุณหญิงไม่เคยเต็มใจด้วยซ้ำที่จะเอาดิฉันมาเลี้ยงดู ถ้าธุระของคุณหญิงมีแค่นี้ ดิฉันขอลา” อาจารย์สาวยกมือขึ้นไหว้ลาอย่างมีมารยาทก่อนจะหมุนหันออกจากโต๊ะอาหารโดยมีอารัทธ์ที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำตามคำสั่งของนิชิตาลุกขึ้นตาม

“หยุดเดี๋ยวนี้!!” คำสั่งของคุณหญิงนิพาดาประกาศดังลั่นห้อง “ถ้าเธอจะคบกับผู้ชายคนนี้ ฉันไม่อนุญาต! คนที่ริอาจมาหักหน้าวัชรภูวิศด้วยการบอกเลิกกับยายหนูมิ้นท์ ฉันไม่อนุญาตให้พวกเธอคบกัน!!”

คำสั่งอันไร้ซึ่งด้วยเหตุผลทำให้นิชิตาหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มีศักดิ์เป็น ‘ยาย’ ด้วยสายตาที่แน่วแน่ ไม่มีแววเกรงกลัว ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มนิดหนึ่ง

“สรุปได้ง่ายๆว่าอะไรที่พี่มิ้นท์ไม่ได้ ดิฉันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ใช่ไหมคะ”

“ฉันห้าม! เธอมีหน้าที่แค่ ‘ต้อง’ ทำตาม!” คุณหญิงบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ไม่ให้เหตุผลอะไรที่มากกว่านี้เพราะสาเหตุที่แท้จริงก็คือข้อสรุปที่นิชิตาสรุปมานั่นเอง!

...อะไรที่ ‘หลานรัก’ ไม่ได้ ‘หลานนอกคอก’ ก็ย่อมที่จะไม่ได้เช่นกัน!...

“ขอโทษครับ” แล้วอารัทธ์ที่ไม่ได้ปริปากพูดเลยก็พูดแทรกขึ้นมา “ผมรักหมูหวานครับ” คำบอกรักของอารัทธ์แม้ไม่ดังมากหากแต่หนักแน่นทุกคำ “ถ้าคุณหญิงห้าม ผมจะพาเธอหนี” หากประโยคถัดมาของชายหนุ่มแทบทำให้นิชิตาหลุดหัวเราะพรืดออกมาเสียงดัง เข้าใจอยู่ว่าเขาคิดจะช่วยพูดแทนเธอ แต่เล่นพูดไปว่าจะพาเธอหนีอย่างนั้นมันช่วยให้ดีขึ้นหรือแย่ลงกันล่ะนี่

“อะไรนะ!” คุณหญิงนิพาดาย้อนถามเสียงสูง ปากคอสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว “กล้าดียังไงมาพูดกับฉันอย่างนี้!”

“ผู้หญิงที่ผมรักคนเดียวผมดูแลได้ครับ แล้วจะดูแลเธออย่างดีด้วย ถึงเธอจะมีแต่ตัว...เป็นหลานสาวที่คุณหญิงไม่ยอมรับแต่เรื่องแค่นั้นผมไม่สนหรอกครับ...” อารัทธ์หยุดไปนิดหนึ่ง ดวงตาคู่เรียวมองไปยังคุณหญิงนิพาดานิ่งก่อนจะพูดประโยคทิ้งท้ายที่ทำให้คนที่เป็นหลานรักอย่างนิษศินีต้องกัดฟันกรอดเพราะทั้งแค้นทั้งอิจฉา

“คนอย่างผม...ผู้หญิงที่ผมรักต่อให้ไม่มีอะไรเลยผมก็ยังจะรัก แต่ถ้าผู้หญิงที่ผมไม่ได้รัก ต่อให้เธอมีทุกอย่างเพียบพร้อม...ผมก็ไม่รัก” พูดจบก็ยกมือขึ้นไหว้ลาผู้เป็นประมุขของบ้าน

“ลาล่ะครับ” ก่อนจะเอื้อมมือไปจับจูงมือเล็กของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างตัวพร้อมกับออกแรงกระตุกน้อยๆให้เดินออกไปด้วยกัน ออกไปจากบ้านที่ทำให้นิชิตาไร้ซึ่งความสุขและถ้าวันใดที่เธอพร้อม วันใดที่เธอยอมมอบหัวใจดวงนี้ให้กับเขา วันนั้น...อารัทธ์ก็พร้อมที่จะเป็น ‘บ้าน’ ให้เธอได้พักพิง...ตลอดไป

นิชิตามองตามแผ่นหลังที่เดินนำหน้าเธอด้วยความรู้สึกที่มากมายเหลือเกิน หญิงสาวรู้ดีว่าทุกคำที่อารัทธ์พูดออกไปนั้นคือความจริงจากหัวใจ ตลอดเวลาที่ผู้ชายคนนี้วนเวียนอยู่รอบกายเธอ อารัทธ์ไม่เคยโกหกเธอเลยสักครั้ง ตั้งแต่เขาประกาศกร้าวว่าจะโละผู้หญิงในสต๊อกทั้งหมด เขาก็จัดการเคลียร์ ‘อดีต’ คู่ควงของตัวเองได้หมด ย้ำนักย้ำหนาว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะรัก และไม่ว่าเธอจะวิ่งหนีหรือปฏิเสธกี่ครั้ง อารัทธ์ก็ยังคงดื้อดึงและตามติดเธอราวกับเงาตามตัว จนบางครั้งนิชิตาก็อดคิดไปไม่ได้ว่า วันใดที่เธอไม่มีชายหนุ่มผู้นี้เป็นเงา...วันนั้นชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร

สองเท้าที่กำลังก้าวเดินของอารัทธ์ชะงักเมื่อมือเล็กที่ตัวเองกุมอยู่ออกแรงดึงเพื่อเป็นสัญญาณให้หยุดเดิน ร่างสูงจึงหันมามองด้วยแววตาสงสัยเพราะสังเกตจากท่าทางของนิชิตา ดูเหมือนว่าเธอกำลังต้องการที่จะพูดอะไร

“พรุ่งนี้...” เสียงใสเอ่ยเบาๆและเว้นไปนานหากอารัทธ์ก็ไม่ได้เร่งเร้าหรือถามอะไร ชายหนุ่มทำเพียงแค่ยืนเฉยๆ รอ...ทุกถ้อยคำที่กำลังจะออกจากปากของเธอ

“พรุ่งนี้...ฉันไปกินข้าวบ้านคุณ...ได้ไหม” เพราะคำตอบของคำถามที่ว่า...ถ้าวันหนึ่งเธอไม่มีอารัทธ์ตามติดเป็นเงาชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรกระจ่างชัดขึ้นในหัวใจ นิชิตาจึงเอ่ยปากถามเขาเบาๆ รู้ดีว่าอารัทธ์ต้องรู้ว่าเธอต้องการจะสื่อความหมายอย่างไร ต่อไปนี้...ผู้ชายจอมกวนประสาทคนนี้ ผู้ชายที่เธอย้ำนักย้ำหนาว่าจะไม่ให้เขามามีอิทธิพลเหนือหัวใจของเธอ ผู้ชาย...ที่เธอมักจะเดินหนีและปล่อยให้เขาเดิมตามหลังเสมอมา หากเวลานี้...เธอจะให้เขาก้าวขึ้นมาเดิน...เคียงข้างกัน

“ครับ?” อารัทธ์ย้อนถามเสียงสูงทันที แอบหยิกแขนตัวเองด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขากำลังฝันหรืออยู่ในโลกของความเป็นจริง “ไปกินข้าวบ้านผมน่ะหรือ พูดจริงใช่ไหม”

“ทำไม ถ้าไม่อยากให้ไป ไม่ไปก็ได้” นิชิตาบอกด้วยน้ำเสียงของสาวแสนงอนแถมยังสะบัดหน้าใส่อีกฝ่ายเสียด้วย

“ใครว่าล่ะครับ!” อารัทธ์รีบแย้งเสียงดัง ใครว่าเขาไม่เต็มใจให้เธอไปล่ะ เต็มใจสิ...เขาเต็มใจจะตาย เต็มใจสุดๆไปเลย! “ถ้าอย่างนั้นคุณยอมรับแล้วใช่ไหมครับ ยอมรับผมแล้วใช่ไหม” คราวนี้ชายหนุ่มถามอย่างเร่งเร้า ดวงตาเรียวสีดำมีแววดีใจอยู่ล้นปรี่จนแทบจะทะลักออกมา

“อย่างนั้น...ล่ะมั้ง” บอกเบาๆเพราะเจ้าตัวก็เขินไม่น้อยที่ต้องยอมรับออกไปแบบนั้นทั้งที่ตลอดมาเธอวิ่งหนีผู้ชายคนนี้มาตลอด แต่ไม่ว่าจะวิ่งอย่างไรเธอก็เจออารัทธ์ดักได้เสียทุกทาง ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่เธอรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกที่นิชิตาไม่สามารถโกหกตัวเองได้อีกต่อไปว่าเธอเองก็มีความรู้สึกดีๆให้กับอารัทธ์เช่นกัน

“โอ๊ย...” อารัทธ์เอื้อมมือมารวบมือของเธอไว้ทั้งสองข้าง เขย่าไปมาเพราะความดีใจ “ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ดีใจจนไม่รู้จะดีใจยังไงแล้ว...ขอโทษนะครับ”

“อะ...” ยังไม่ได้ถามว่า ‘อะไร’ ได้จบคำเพราะอารัทธ์รวบตัวเธอเข้าสู่อ้อมอกกว้างแถมยังกอดเสียแน่น เสียงทุ้มเริ่มหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะเสียงดังจนนิชิตาคิดว่าทุกคนที่อยู่ภายในบ้านของวัชรภูวิศคงได้ยินกันหมดแน่ แต่ก็นั่นล่ะ...ใครจะได้ยินก็ช่างสิ ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงนิพาดาหรือนิษศินี เธอไม่เคยสนใจอยู่แล้ว จะห้ามไม่ให้อารัทธ์คบกับเธอก็ช่าง เพราะถึงคุณยายจะห้ามนั่นก็เรื่องของคุณยายที่สำคัญผู้ชายที่กำลังกอดเธออยู่ตอนนี้ประกาศต่อหน้าคุณยายของเธอเองนี่นะว่าถ้าคุณยายห้าม...เขาจะพาเธอหนี!!










เช้าวันใหม่วนกลับมาเมื่อพระอาทิตย์สีส้มดวงโตโผล่พ้นจากเส้นขอบฟ้า มุกตาภาก้าวออกจากประตูกระจกล้อมกรอบไม้สีขาวก่อนจะจัดการล็อคกุญแจให้เรียบร้อย หญิงสาวตรวจดูรอบๆบ้านอีกทีหนึ่งเพื่อสำรวจว่าลืมปิดประตูหรือหน้าต่างบานไหนอีกหรือไม่เพราะทั้งคุณลุงคนสวนและคุณป้าแม่บ้านยังไม่กลับจากต่างจังหวัดมาทั้งคู่ หญิงสาวจึงต้องอาศัยอยู่บ้านคนเดียวลำพังไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อพบว่าทุกอย่างเรียบร้อย ช่วงขายาวเรียวจึงก้าวไปเปิดประตูบ้านและเมื่อประตูแง้มมาได้นิดหนึ่งมุกตาภาก็ถึงกับผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อพบว่า ‘ใคร’ คือคนที่ยืนอยู่หน้าหน้าบ้านของเธอ

ผู้ชายรูปร่างสูง โปร่ง ใบหน้าคมทว่าขาวเกลี้ยงเกลา คิ้วเข้มพาดเฉียงบนหน้าผากที่บอกได้อย่างดีว่าคนเป็นคนที่หัวรั้นไม่เบา ผมสีดำสนิทซอยสั้น ริมฝีปากหยักลึกสีสดที่ตัดกับใบหน้าขาวๆได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ...ดวงตาสองชั้นคู่คมสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาลคู่นั้นที่ขนาดเธอมองผ่านๆยังรู้สึกว่ามันมีอำนาจ...เหมือนกับดวงตาของพี่อาร์มของเธอ

“คุณ...กันตวิชญ์” ชื่อของหลานชายคนเล็กของบ้านตตินรากรณ์ดังออกมาพร้อมๆกับความสงสัยที่มีอย่างเต็มเปี่ยมของมุกตาภาว่าเขามาหาเธอถึงบ้านด้วยเหตุผลใด

“มาทำอะไรคะ” ถามออกไปเพราะสงสัยจริงๆ และถ้าปิดปากเงียบไม่ถาม มุกตาภาเชื่อว่าตัวเองต้องอกแตกตาย สมองระเบิดเพราะหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมกันตวิชญ์ถึงมาโผล่อยู่หน้าบ้านของเธอเวลาเช้าขนาดนี้!

“มารับครับ” กันตวิชญ์ตอบสั้นๆ

“รับไปไหนคะ มุกกำลังจะเข้าบริษัทแล้ว” แม้จะไม่เคยได้พูดคุยกันจริงๆจังๆแต่อย่างน้อยกันตวิชญ์ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของชิษวัศ หญิงสาวจึงไม่ค่อยรู้สึกเกร็งเท่าไรนักถ้าจะแทนตัวเองว่า ‘มุก’

“ไปทำงานกับผมน่ะครับ เผอิญว่าวันนี้เลขาฯผมเขาลาหยุดแล้วผมต้องไปประชุมร่วมกับบริษัททางด้านอสังหาฯหลายบริษัทด้วยน่ะครับ ก็เลยคิดว่าจะขอยืมตัวคุณมุกไปเป็นเลขาฯวันนึงน่าจะช่วยอะไรผมได้เยอะ” ชายหนุ่มอธิบาย แต่มุกตาภากลับมีท่าทีอึกอักไม่รู้ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธอย่างไรดี

“จะให้ช่วยก็ได้อยู่หรอกค่ะ...” มุกตาภาเอนเอียงไปทางรับปากช่วยงาน “แต่...คุณกันตวิชญ์...”

“เรียกเกมก็ได้ครับ” กันตวิชญ์พูดแทรกขึ้นเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายยังเรียกตนว่า ‘คุณกันตวิชญ์’

“ค่ะ...” มุกตาภาตอบรับคำอนุญาตนั้น “แล้วคุณเกม...บอกพี่อาร์มหรือยังคะ” คำถามนี้ของหญิงสาวเหมือนจะทำให้กันตวิชญ์นึกอะไรขึ้นได้เพราะชายหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์มากดบนหน้าจอสัมผัสสองสามทีก่อนจะยกขึ้นมาแนบหู

“พี่อาร์ม วันนี้ขอยืมแฟนวันนึงนะครับ เลขาฯผมป่วยแล้วผมดันมีประชุมใหญ่กับบริษัทอื่นด้วย เลยขอยืมคุณมุกมาเป็นเลขาฯผมวันนึง อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก็ไปเคลียร์กับปู่รันเองนะฮะ ผมขออนุญาตท่านแล้ว” แค่นั้น...กันตวิชญ์พูดกับชิษวัศที่อยู่ปลายสายแค่นั้นก่อนจะเป็นฝ่ายตัดสัญญาณทิ้ง มุกตาภามองภาพตรงหน้าด้วยอาการอึ้งๆ ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรแต่สมองกลับพอนึกภาพออกว่าชิษวัศคงกำลังหัวเสีย...ไม่น้อยทีเดียว

“บอกเรียบร้อยแล้วครับ” แม้จะมีดวงตาที่คมดุ ทว่าพอผู้ชายตรงหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ มุกตาภายอมรับจากใจจริงว่าเวลากันตวิชญ์ยิ้มแบบนี้เขาดูหล่อแบบกระชากใจเลยทีเดียว

“ค่ะ...” เมื่อทำอะไรไม่ได้ มุกตาภาจึงได้แต่ตอบไปว่า ‘ค่ะ’ สั้นๆคำเดียว อาจเป็นเพราะการขอตัวเธอไปเป็นเลขาฯ (ชั่วคราว) ในวันนี้ผ่านการอนุมัติจากคุณรันทร์แล้วก็เป็นได้จึงทำให้หญิงสาวไม่รู้จะพูดอย่างไรนอกจาก ‘ค่ะ’ คำเดียว แต่เธอก็คงจะต้องโทรไปบอกชิษวัศด้วยตัวเองเสียหน่อย เพราะเมื่อวานก็เพิ่งจะทะเลาะกันมา อะไรที่หญิงสาวพอจะทำเพื่อให้เส้นทางของความรักราบรื่นเธอก็พร้อมที่จะทำ แม้ว่าช่วงนี้คนที่มักจะเย็นชาสงบเงียบจะลุกขึ้นมาอารมณ์ร้อนด้วยความโมโหหึงอยู่บ่อยๆก็เถอะ!


----------------------------------------------------------------------------------------------------

นายเกม...น้องชายจอมดื้อของบ้านหลังนี้จะทำให้ชีวิตรักของพี่ชายยุ่งเชียวค่ะ ฮ่ะฮ่า...

ส่วนพี่อาร์ทน้านนนนนนน...ฮะฮิ้ววววว...จับหมูหวานมาเป็นหมูในอวยได้แว้วววว เย้........!!!

(ขอเสียงคนรอลุ้นคู่พี่อาร์ทหน่อยค่าาาาาาาาาา อิอิ ><) เขียนเสร็จแล้วอยากจะจุดพลุฉลองงงงงง (ฮ่าาาา เว่อร์จริงๆ)

เขียนตอนนี้แล้วเป็นปลื้มกับพี่อาร์ทมากเลยค่ะ มันต้องอย่างนี้สิ!! (ดูไว้บ้างนะคะพี่อาร์ม!)

ต่อไปก็...มาลุยคู่ของพี่อาร์มกันดีกว่าค่ะ กระซิบบอกนิดนึงสำหรับแม่ยกพี่อาร์ท...เรื่องราวความรักยังมีให้ลุ้นต่อนะเออ...ฮาาาาา



คุยกันหลังเรื่องจ้าาาาาา....

คุณ violette : อยากอ่านต่อก็มาต่อให้แล้วนะคะ อ่านจบแล้วรู้สึกยังไงบ้างคะ พี่อาร์ทน่ารักไหมเอ่ย??

คุณ tutas : บทจะหวานที่อาร์มเธอหวานเว่อร์ค่ะ แต่บทจะงอนนี่ก็ขี้งอนมากเหมือนกัน ฮ่าๆ คู่พี่อาร์ทลุ้นกันเหนื่อยสุดท้ายหมูหวานก็ยอมใจอ่อนซะที :)

คุณ anOO : ตอนนี้คงได้รู้เรื่องราวของหมูหวานแล้วนะคะ และอย่างที่คุณ anOO บอกไว้เลยค่ะ พี่อาร์ททำสำเร็จแล้ววว!!!

คุณ ดาวคันชั่ง : ฮ่าๆ เรื่องของพี่อาร์มอีกไม่ยาวเท่าไหร่ค่ะ เดินทางมาครึ่งหลังแล้วจ้า ส่วนเรื่องนายไวน์...รายนั้นเขารักรันทดแท้ค่ะ อิอิ

คุณ nunoi : ตอนต่อไปมาแล้วค่ะ ส่วนเรื่องของคุณไวน์ รอเคลียร์คู่พี่อาร์มให้ผ่านด่านไปก่อนนะคะ แล้วหลานชายคนรองของตระกูลจะตามมาค่ะ // ดีใจที่ชอบการง้อด้วยเพลงนะคะ :)

คุณ teesaparn : ปอแก้วก็อยากค่ะ เลยเอามาใช้ในนิยายทุกเรื่องเลย (บางทียังกลัวว่าคนอ่านจะเบื่อมั้ยนะ แต่คนเขียนชอบเลยเอามาใช้ตลอดๆเลยล่ะค่ะ อิอิ) ไม่มีใครมาร้องให้เราฟังแต่เก็บไปฝันบ้างมันก็ชื่นฉ่ำหัวใจแหละเนอะ

คุณ Amata : ได้เลยจ้าาาา...ไม่หวงๆ เพราะง้ออย่างนี้ปอแก้วว่าน่ารักมากเลย ><




ปอแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2555, 10:46:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 เม.ย. 2555, 22:53:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1897





<< เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 22   เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 24 >>
violette 31 มี.ค. 2555, 12:07:38 น.
น่ารักมากกกค่า สงสารหมูหวานเนอะ แต่เด็ดเดี่ยวดีมาก ชอบบคุ่
หนูมุกจะเจออะไรมั้ยเนี่ยย


anOO 31 มี.ค. 2555, 12:10:25 น.
ดีใจกับพี่อาร์ทด้วย หวังว่าที่บ้านจะต้อนรับหมูหวานนะ
คุณปู่วางแผนอะไรไว้รึป่าวนี่ ถึงให้นายเกมลงมาป่วนพี่อาร์มแบบนี้


tutas 31 มี.ค. 2555, 15:41:06 น.
กรี๊ดดังๆ ให้กับพี่อาร์ทค่ะ พูดได้โดนใจมากๆ พาหนีไปเลยค่ะไม่ต้องอยู่แล้วบ้านนี้ (คุณปอแก้วค่ะ ตอนนี้อยากอ่านแต่เรื่องพี่อาร์ทอย่างเดียวเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ)


ดาวคันชั่ง 31 มี.ค. 2555, 17:44:06 น.
พี่อาร์ทได้ใจมากค่ะ ปลาบปลื้ม><
แต่นายเกม โผล่มาทำอะไรหว่า เดาไม่ออก ฮ่าๆ รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^


nunoi 1 เม.ย. 2555, 00:31:27 น.
พึ่อาร์ทเลิศมาก ถ้าห้ามจะพาหนี ชอบอ่ะ


หมูบูลิน 1 เม.ย. 2555, 04:54:08 น.
พี่อาร์ทดีใจด้วยนะค่ะ ยังไงเค้าก็ยอมรับเราแล้วเนอะ ฮ่าๆ
หนูมุกสู่ๆนะค่ะ คาดว่าต้องเจออีกไรอีกเยอะแน่นเลย


pattisa 1 เม.ย. 2555, 18:29:16 น.
อารัทน่ารักมากกกกกกกกก


Amata 2 เม.ย. 2555, 12:00:08 น.
เห็นด้วยค่ะอารัทน่ารักจริง พระเอกอย่างนี้...กระโดดออกมานอกจอมั่งได้มั้ย ^^


teesaparn 3 เม.ย. 2555, 11:40:21 น.
เอาซี้ ในชีวิตแต้ๆ จะมีบ่ะจายอย่างอี้ก่อเนี้ย หาไปเต๊อะ ธัมโมสังโฆ งมเข็มในมหาสมุทรแต้ๆ เล้ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account