The Promise...สัญญาใจ สัญญารัก(สนพ.อิงค์)
“สัญญานะพี่มาร์คว่าจะกลับมา เอาเรือลำใหญ่ๆ มารับอลิสด้วยนะ อลิสอยากนั่งเรือไปดูดอกไม้สวยๆ”

เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญากับเด็กชายวัยเก้าขวบยังคงอยู่ในความทรงจำของชญานิศไม่เคยจาง หล่อนมักฝันถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กในสถานเด็กกำพร้าเสมอ พร้อมกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเด็กชายคนนั้นจะกลับมาหาหล่อนตามคำสัญญาที่มีให้กัน

กระทั่งหล่อนได้พบกับกรวิชญ์สถาปนิกหนุ่มแสนกะล่อนและเจ้าชู้

เขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเพื่อคุมความประพฤติหลานชายตัวแสบ ไม่ให้เข้ามาก่อกวนชีวิตโสดของเขา เพราะเหตุนี้นี่เองชญานิศจึงรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว...กรวิชญ์คือพี่มาร์คในความทรงจำของหล่อน !


หากเขายังจำอลิสตัวน้อยได้อยู่อีกเหรอ ในเมื่อตอนนี้...เขาเห็นหล่อนเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเฉิ่มๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น


Tags: เด็ก,เจ้าชู้,สรัน,น่ารัก,สถาปนิก,เปิ่น,ยิปซี,สัญญา

ตอน: บทที่ 1

บทที่ 1


“เพล้ง!...ว้าย!!!”

จานกระเบื้องสีขาวสะอาดตาถูกเคลือบอย่างดีตกลงกระแทกพื้น ตามมาด้วยเสียงเล็กแหลมกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด นำพามาซึ่งความเงียบภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

เสียงเซ็งแซ่ของลูกค้าในร้านยามนี้เงียบกริบเป็นป่าช้า สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมายังหญิงสาวในชุดนักศึกษาสวมรองเท้าผ้าใบที่ยืนหน้าซีดเผือดอยู่กลางร้าน เศษจานชามที่แตกกระเด็นเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ชญานิศได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

“อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น” ผู้จัดการร้านอาหารส่งเสียงดังมาก่อนตัวก่อนสาวเท้าตรงดิ่งมายังที่เกิดเหตุ

แต่แล้วสภาพอาหารที่หกกระจายไปคนละทิศคนละทางเคียงข้างมีถาดอาหารที่คว่ำแหมะอยู่บนพื้นทำให้หญิงมีอายุในชุดสูทกรมท่าถึงกับปรอทแตก หันขวับมายังชญานิศโดยไม่ต้องคิด

“ฝีมือเธออีกแล้วใช่มั้ย”

ชญานิศยิ้มเหยเกให้ผู้จัดการร้าน มือนั้นขยำผ้ากันเปื้อนซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบของร้านด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ หากหารู้ไม่ว่าผู้จัดการร้านอาหารกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุดก่อนเอ่ยเสียงเค้นในลำคอว่า

“ตามฉันออกมานอกร้านเดี๋ยวนี้...ชญานิศ”

“ตะ...แต่ผู้จัดการคะ ฉะ...ฉันมะ...ไม่ได้...” ชญานิศละล่ำละลักเอ่ยได้แค่นั้นผู้จัดการร้านอาหารก็สะบัดหน้าหนี ไม่แม้แต่จะฟังคำแก้ตัวของนักศึกษาสาวออกไปยืนรอหน้าร้านอาหาร

ชญานิศถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เหลือบมองบริกรด้วยกันทั้งหน้าซีด นภเกตน์...เพื่อนนักศึกษาด้วยกันมีสีหน้าเหยเกไม่แพ้กัน รู้ดีว่าเพื่อนต้องถูกผู้จัดการเล่นงานตามเคยเลยทำได้เพียงบีบแขนให้กำลังใจ ขณะที่บริกรรุ่นพี่ที่เดินชนกับชญานิศเบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ รีบเก็บกวาดเศษจานกระเบื้องให้พ้นทางกลัวพลอยจะถูกตำหนิไปด้วยอีกคน

ประตูร้านค่อยๆ ถูกผลักเปิดออกตามแรงของคนด้านใน ชญานิศต้องรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะออกมาพบผู้จัดการตามคำสั่ง แต่ไม่รู้ทำไมแรงหล่อนถึงเหลือน้อยนิดนักถึงได้รู้สึกว่าประตูมันหนักเหลือเกิน

“วันนี้เธอมาสายอีกแล้วใช่มั้ย” หญิงมีอายุที่กอดอกรออยู่หน้าร้านอาหารนานแล้วเอ่ยขึ้นในที่สุด

ชญานิศซึ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังผู้จัดการสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนตอบไม่ค่อยเต็มเสียงว่า “ฉัน...เออ...ฉันผิดไปแล้วค่ะผู้จัดการ ยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”

“ยกโทษ ?” ผู้จัดการทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “นี่เธอยังมีหน้ามาขอร้องให้ฉันยกโทษให้เธออีกเหรอชญานิศ เธอรู้ตัวรึเปล่าว่าตั้งแต่วันแรกที่เธอย่างก้าวเข้ามาทำงานที่ร้าน เธอหาเรื่องมาให้ฉันปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน โอเค เรื่องมาสายฉันยังพอให้อภัยได้บ้างเพราะเธอยังเป็นนักศึกษาอยู่ แต่ถ้าเธอเรียนจบไปแล้วยังทำตัวแบบนี้ฉันบอกตามตรงนะว่าคงยากที่จะมีใครทนเธอได้อย่างฉัน”

“ขอบคุณค่ะผู้จัดการที่เข้าใจฉัน วันหลังฉันจะไม่...”

“ฉันยังพูดไม่จบ” ผู้จัดการสวนกลับมาทันควัน และนั่นทำให้ชญานิศเงียบกริบ

“ถ้าเธอมีข้อเสียแค่เรื่องนั้นฉันคงยังพอทนเธอได้บ้าง แต่การที่เธอกะเปิ๊บกะป๊าบ ทำของในร้านฉันตกแตกเสียหายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วยังจะชอบทำอาหารหกใส่ลูกค้าอีก เธอไม่คิดว่าฉันให้โอกาสเธอแก้ตัวมามากพอแล้วรึไง” ไม่เพียงถามหญิงมีอายุในชุดสูทยังหันมาสบตากับนักศึกษาสาวตรงๆ ภายใต้แววตาตำหนิคู่นั้นดูแคลนในสารรูปของชญานิศอยู่ลึกๆ ที่แม้จะอยู่ในชุดนักศึกษาถูกต้องตามสถาบัน หากด้วยผมเผ้าที่ฟูหยิกหยอยกับรองเท้าผ้าใบสีขาวที่สวมใส่จนชินตาทำให้ผู้จัดการร้านอาหารส่ายหน้าอย่างระอา

ชญานิศเองพอถูกคนตรงหน้ามองตำหนิตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยได้แต่ยืนตัวงอ ก้มหน้ารับชะตากรรม

ที่ผู้จัดการพูดมาผิดเสียที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นความซุ่มซ่ามของหล่อนที่ชอบเดินชนโน่นชนนี่ไม่เว้นแต่ละวัน บวกกับความสะเพร่าในการดูแลลูกค้า นี่ยังไม่นับรวมเรื่องค่าจ้างที่หล่อนถูกหักจนพรุนเพื่อชดใช้ค่าเสียหายที่หล่อนก่อขึ้นอีกเล่า หนี้เก่ายังไม่ทันหาย หนี้ใหม่ก็เข้ามาเพิ่มอีก ให้มันได้อย่างนี้สิยัยนิศ !

ค้านไม่ออกสักคำ รู้ดีว่าคงไม่มีคำว่าให้อภัยจากผู้จัดการร้านอาหารอีกเป็นแน่ ใจจึงหล่นวูบไปที่ตาตุ่มแล้วเมื่อได้ยินทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น

ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับเข้าไปในร้านอาหารได้นัดแนะให้ชญานิศมารับค่าจ้างงวดสุดท้ายในวันหลัง นั่นแหละสาวเจ้าถึงกับหมดแรงทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นบนฟุตปาธหน้าร้านอาหาร ประจวบเหมาะกับที่นภเกตน์สวนทางผู้จัดการออกมาหน้าร้านอาหาร

“ผู้จัดการว่ายังไงบ้างนิศ” ร้องถามเพราะแอบดูผู้จัดการกับเพื่อนสาวอยู่ในร้านนานแล้ว

ชญานิศไม่ตอบเพื่อนในทันที หล่อนยังคงทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงตอบเพื่อนเสียงแผ่วอยู่ในที “ฉันโดนไล่ออกล่ะเกตน์”

“ไล่ออก !” นภเกตน์ถึงกับอ้าปากค้าง

แม้จะเห็นผ่านบานกระจกใสขนาดใหญ่หน้าร้านอาหารว่าเพื่อนสาวถูกผู้จัดการต่อว่าไม่หยุดปาก แต่ด้วยความที่ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดให้ได้ยิน นอกจากอาศัยเดาจากสีหน้าทะมึนทึมของผู้จัดการจึงไม่นึกว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้

เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนไม่น้อย “ผู้จัดการบอกแกอย่างนั้นเหรอ ฉันว่าแกลองเข้าไปคุยกับผู้จัดการอีกรอบดีมั้ย บางทีผู้จัดการอาจใจอ่อนยอมให้แกทำงานที่นี่ต่อก็ได้ ไป ไปกับฉัน เดี๋ยวฉันช่วยแกพูดเอง” ไม่เพียงรบเร้านภเกตน์ยังฉุดเพื่อนสาวให้ลุกขึ้น

หากชญานิศยังคงนั่งปักหลักอยู่บนฟุตปาธ เป็นฝ่ายดึงเพื่อนนั่งลงเคียงข้างเสียเอง

“ช่างเถอะเกตน์ เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ เกตน์ก็รู้ว่าทุกคนในร้านต้องปวดหัวเพราะฉันมามากพอแล้ว อีกอย่าง...ฉันไม่อยากมีเรื่องกับพี่เจนน่ะ” ชญานิศหมายถึงเจนตา...บริกรรุ่นพี่ที่หล่อนเพิ่งเดินชนจนเกิดเรื่องเมื่อครู่ สีหน้าไม่สบอารมณ์ที่แสดงให้เห็นชัดเจนนั้นบ่งบอกได้ดีว่าเจนตาไม่พอใจนักหรอกที่หล่อนก่อเรื่องในร้านไม่เว้นวัน แถมวันนี้หล่อนดันไปทำงานของบริกรรุ่นพี่เสียหายอีก

หล่อนผิดเองที่มาสายแล้วยังวิ่งเข้ามาในร้านไม่ดูตาม้าตาเรือ เลยไม่เห็นว่าเจนตากำลังยกอาหารมาเสิร์ฟลูกค้า ป่านนี้สงสัยเจนตาคงสาปแช่งหล่อนไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดไปแล้วมั้งนั่น

สีหน้าอมทุกข์ของเพื่อนทำให้นภเกตน์ถอนใจออกมาดังเฮือก พอจะรับรู้ถึงความคุกรุ่นระหว่างบริกรรุ่นพี่ผู้นี้กับเพื่อนสาวอยู่เหมือนกันเลยเขย่าไหล่เพื่อนปลอบ “แล้วต่อไปแกจะเอายังไง ให้ฉันลาออกไปสมัครงานที่ใหม่เป็นเพื่อนแกดีมั้ย ไหนๆ ก็ปิดเทอมแล้วทั้งที น่าจะหางานที่มันดีกว่านี้ทำแก้เซ็งได้ง่ายขึ้น”

“ไม่ต้อง จะมาลาออกตามฉันทำไม” ชญานิศค้านเสียงขุ่น

พอเห็นเพื่อนเริ่มเครียดหนักนภเกตน์เลยหัวเราะออกมา ผลักศีรษะเพื่อนหยอก

“ฉันพูดเล่นน่ะยัยนิศ เรื่องอะไรฉันต้องลาออกตามแกไปด้วยล่ะ แค่คิดก็หนาวแล้ว เชิญยัยเบ๊อะอย่างแกเร่ร่อนออกไปหางานพิเศษทำคนเดียวเถอะย่ะ ฉันอยู่ของฉันที่นี่ก็ราบรื่นดีอยู่แล้ว”

ได้ยินนภเกตน์แขวะกลับมาให้ชญานิศเลยแยกเขี้ยวใส่เพื่อนอย่างหมั่นไส้

ระหว่างที่สองสาวกำลังปรับทุกข์กันอยู่นั้น ไม่ได้สังเกตว่ามีรถสีขาวคันหนึ่งแล่นปราดเข้ามาเทียบจอดริมฟุตปาธบริเวณหน้าร้านอาหาร กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลงตามการกดสวิชต์ของคนในรถเผยให้เห็นคนหลังพวงมาลัย

“ทำอะไรกันอยู่ครับสาวๆ”

เสียงเอ่ยทักนั้นเรียกความสนใจทั้งจากชญานิศและนภเกตน์หยุดการสนทนาลงพลัน ด้วยความที่ชญานิศสายตาสั้นจึงต้องขยับแว่นตาเล็กน้อยเพ่งมองคนในรถ แต่แล้วใบหน้าคร้ามคมที่ชะโงกหน้าผ่านกระจกรถออกมาทักทายอย่างคุ้นเคยทำให้ชญานิศยิ้มกว้างด้วยความประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะมาเจอคุณหมอใจดีที่นี่ !

“ทำไมคุณสองคนถึงมาคุยกันตรงนี้ล่ะครับ ร้อนออก หรือว่ามีปัญหาอะไรกันรึเปล่า”

“เอ่อ...” ชญานิศยังคงงุนงงที่เห็นเขา ขณะที่ชายหนุ่มหลังพวงมาลัยนั้นสบมองมาทางหล่อนนิ่ง หากคราวนี้มีแววกังวลฉายชัด

ด้วยความที่สาวเจ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายให้เขาฟังยังไงดีเลยได้แต่อ้ำอึ้ง นภเกตน์นั้นรำคาญเพื่อนที่อึกอักอยู่นั่นเองจึงชิงเล่าเสียเอง “คุณหมอวัลลภมาได้ยังไงคะเนี่ย แหม...มาได้จังหวะพอดีเลยค่ะ เผอิญยัยนิศกำลังมีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อย ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณหมอจนเกินไป เกตน์ฝากคุณหมอดูแลยัยนิศต่อด้วยนะคะ...เผอิญเกตน์ต้องกลับไปทำงานแล้วน่ะค่ะ เดี๋ยวจะถูกผู้จัดการต่อว่าเอา...ไปสิแก ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไง ก็ขึ้นรถคุณหมอไปเลยคุณหมอจะได้ไปส่ง” ว่าแล้วนภเกตน์ก็เปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับก่อนดุนหลังเพื่อนให้เข้าไปในรถ

เป็นชญานิศที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ทำปากขมุบขมิบถามเพื่อน หากนภเกตน์ไม่ได้สนใจสักนิด จับเพื่อนนั่งบนเบาะข้างคนขับเรียบร้อยก็ยิ้มเจ้าเล่ห์โบกมือลา

ไม่วายชะโงกหน้ามาฝากฝังเพื่อนกับวัลลภว่า “ดูแลเพื่อนเกตน์ด้วยนะคะหมอ”

“เดี๋ยวสิเกตน์” ชญานิศพยายามร้องเรียกรั้งเพื่อนไว้ แต่ไม่ได้ผลเพราะนภเกตน์ทำเป็นหูทวนลมเดินหายเข้าไปในร้านอาหารหน้าตาเฉย เล่นเอาทั้งวัลลภและชญานิศเองงุนงงไปตามๆ กัน...เวลานั้นเองที่ชญานิศเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่ในรถกับคุณหมอสองต่อสอง !





**************************



บริกรชายเปิดประตูต้อนรับวัลลภและชญานิศด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนผายมือเชื้อเชิญพาหนุ่มสาวเข้ามายังภายในภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมใจกลางเมืองหลวง

หลังจากที่วัลลภขับรถพาหล่อนออกมาให้พ้นจากร้านอาหารไทยโบราณนั้น เขาก็ซักไซ้ชญานิศจนรู้ว่าหล่อนเพิ่งถูกไล่ออกจากงานมาหมาดๆ ชายหนุ่มจึงพานักศึกษาสาวมาเลี้ยงข้าวมื้อกลางวันเป็นการปลอบใจ หากก้าวแรกที่หล่อนสัมผัสผืนพรมสีน้ำตาลอ่อน เท้าเล็กๆ กลับชะงักงัน ไม่นึกว่าร้านอาหารที่เขาพามานั้นเป็นถึงภัตตาคารอาหารสุดหรูซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมใจกลางเมือง เล่นเอาชญานิศทำตัวไม่ถูก จะเดินท่าไหนก็ขัดเขินไปหมด รู้สึกไม่ใช่ที่ของนักศึกษาตัวเล็กๆ อย่างหล่อนควรเข้ามาเดินเพ่นพ่านเอาเสียเลย

“ว่าไงเจ้าลภ”

เสียงทุ้มของใครบางคนทักดังมาแต่ไกล เรียกความสนใจจากวัลลภ จากที่จะเดินตามบริกรไปยังโต๊ะอาหารจึงหันมาทักทายอีกฝ่ายเช่นกัน “อ้าว พี่เชษ ช่วงสายๆ แบบนี้ผมนึกว่าจะไม่เจอพี่เสียแล้ว”

“พูดไป นี่มันโรงแรมภรรยาฉันก็ต้องมาช่วยดูแลนิดนึง ว่าแต่เราว่างรึไงถึงได้นึกครึ้มขับรถมากินอาหารถึงนี่” ชายหนุ่มผิวขาวหน้าออกไปทางเชื้อสายจีนพูดคุยกับวัลลภอย่างสนิทสนม ไม่ได้สังเกตหรอกว่ามีหญิงสาวยืนมองเขาสองคนคุยกันด้วยสีหน้างงงวย

จากการแต่งตัวที่ดูภูมิฐานและท่าทางการพูดจาของคนมาใหม่ คาดว่าน่าจะสนิทชิดเชื้อกับวัลลภมากพอสมควรถึงได้คุยกันออกรสจนลืมว่ายังมีหล่อนอยู่ข้างกาย

ชญานิศเลยสบโอกาสคุณหมอเผลอกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ อย่างที่ใจต้องการ เพิ่งสังเกตว่าบริเวณที่หล่อนยืนอยู่นั้นเป็นใจกลางห้องพอดี ซึ่งจากที่หล่อนยืนมองตรงไปยังเบื้องหน้าจะเห็นหน้าต่างกระจกบานใสขนาดกว้างเผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ในเมืองหลวงรอบทิศ

รู้สึกสบายตาด้วยการตกแต่งของภัตตาคารที่เน้นไปทางสีครีมแกมขาว กลางลานมีโต๊ะสีขาวทรงกลมและเหลี่ยมวางเรียงสลับกันบนผืนพรม ส่วนฝั่งซ้ายและขวามีโต๊ะขนาดใหญ่ เสริมด้วยเก้าอี้บุนวมตัวยาวติดผนัง เหมาะสำหรับให้แขกนั่งหลบมุมชมวิวผ่านบานหน้าต่างใสข้างกาย

ระหว่างนั้นชญานิศไม่รู้ตัวหรอกว่าวัลลภแอบลอบมองหล่อนอยู่เนืองๆ เพราะยามนี้นักศึกษาสาวเหมือนกำลังถูกสะกดด้วยภาพหลังบานหน้าต่างกว้างตรงหน้า ตึกสูงเสียดฟ้าที่มีเบื้องหลังเป็นท้องฟ้ากว้างสีใสสว่างตาสวยตรึงตาตรึงใจจนชญานิศอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหล่อนได้มาทานอาหารที่ภัตตาคารนี้อีกสักครั้งในยามค่ำคืน บรรยากาศจะแสนอบอุ่นและโรแมนติกขนาดไหน

นั่นเองที่คู่สนทนาของวัลลภหันมาสนใจหญิงสาวหนึ่งเดียวในวงสนทนา

“ไหนๆ เราก็อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่แล้ว เดี๋ยวมื้อนี้ฉันบอกให้เจ้าของร้านลดราคาให้เราเป็นพิเศษเอง ว่าแต่เจ้าลภ ใจคอจะไม่แนะนำสาวข้างๆ ให้รู้จักบ้างเลยรึไง...เอ่อ...อย่าบอกนะว่า...แฟน” ประโยคท้ายสามีเจ้าของโรงแรมถามด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่าพิกล ก่อนหันมายิ้มทักสาวในชุดนักศึกษาเล็กน้อย

ไม่รู้ทำไมชญานิศถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นแห้งแล้งอย่างบอกไม่ถูก จากที่เริ่มคุ้นชินกับสถานที่ใหม่จึงกลายเป็นเหลือตัวเล็กนิดเดียว

เป็นวัลลภที่กระแอมขัดเพราะรู้สึกอึดอัดในสายตาของอีกฝ่ายเหมือนกัน เลี่ยงไม่ตอบตรงๆ

“ผมพานิศมาด้วยน่ะครับ เรารู้จักกันตอนไปเลี้ยงเด็กที่สถานกำพร้า...นิศครับนี่พี่เชษฐา รุ่นพี่ผมเอง เราเรียนจบหมอจากมหา’ลัยเดียวกันครับ แต่ตอนนี้พี่เชษเขาลาออกมาเปิดคลินิกเองแล้วล่ะ หลักๆ จะช่วยภรรยาดูแลกิจการโรงแรมมากว่า”

ไม่มีคำทักทายจากนักศึกษาสาว ชญานิศเพียงยิ้มเหยเกเล็กน้อย เอาแต่งุดหน้ามองพื้นมากกว่าที่จะสบตาอีกฝ่าย

เชษฐาคงรู้ตัวว่าเผลอเสียมารยาทกับสาวของรุ่นน้องจึงเป็นฝ่ายนำทั้งสองไปยังโต๊ะอาหารด้วยตัวเอง ไม่ลืมกำชับบริกรเสร็จสรรพให้ดูแลลูกค้าพิเศษของเขาให้ดีก่อนหายไปรับโทรศัพท์ภรรยาด้านนอก นั่นเองถึงได้ยินเสียงวัลลภถอนใจออกมาดังพรืด

“เรื่องเมื่อครู่นี้ผมต้องขอโทษแทนพี่เชษด้วย นิศอย่าคิดมากไปเลยนะครับ”

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ นิศเข้าใจ” แม้ปากจะว่าเข้าใจแต่รอยยิ้มที่มอบให้คุณหมอนั้นเจื่อนสนิท

ชญานิศรู้ตัวดีว่าสารรูปอย่างหล่อนไม่น่าพิสมัยนักหรอก และเชษฐาไม่ใช่คนแรกที่มองหล่อนด้วยสายตาดูแคลนเช่นนั้น ลำพังหล่อนเองจึงเริ่มชินเสียแล้วล่ะ...หากสำหรับวัลลภแล้วคงไม่ใช่

ชญานิศรู้จักกับคุณหมอผู้นี้ตอนไปเยี่ยมเด็กๆ ที่สถานกำพร้า หล่อนมักไปที่นั่นเป็นประจำทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ในขณะที่หมอวัลลภเองกำลังลงทุนลงแรงสร้างโรงเรียนให้กับสถานเด็กกำพร้า ฝ่ายนภเกตน์เพื่อนสาวของหล่อนนั้นมีโอกาสได้เจอกับวัลลภอยู่เหมือนกันเพราะเคยไปเป็นเพื่อนชญานิศที่สถานเด็กกำพร้า สองสาวเลยสนิทสนมกับคุณหมอใจดีผู้นี้ในเวลาอันรวดเร็ว

หากในความคุ้นเคยสนิทสนมนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าคงไม่รู้ว่าชญานิศกลับมีความรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ เกิดขึ้นในหัวใจ

และนั่นทำให้หล่อนทั้งอายและรู้สึกผิดมากกว่าที่ทำให้วัลลภต้องเสียหน้า ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องขอโทษแทนเพื่อนรุ่นพี่ของเขาด้วยซ้ำ

“ผมว่างเมื่อไหร่จะแวะมากินอาหารที่นี่น่ะครับ” วัลลภคงอ่านสีหน้าหญิงสาวออกจึงชวนเปลี่ยนเรื่อง

ชญานิศรับเมนูจากบริกรมาเปิดอ่านรายการอาหาร ขณะที่วัลลภหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรเป็นอันดับแรก ก่อนร่ายอาหารแนะนำให้สาวตรงหน้าฟังอย่างเชิญชวน “อยากกินอะไรสั่งได้เลยนะครับนิศ มื้อนี้ผมเลี้ยงนิศเอง ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทยกับอาหารจีนครับ แต่ถ้านิศสนใจอาหารทะเลก็มีนะ สดๆ ทั้งนั้น กุ้งที่นี่เขาตัวโตมากเลยล่ะ ผมรับรองว่าถ้านิศได้ชิมต้องติดใจ”

ชญานิศหัวเราะออกมาได้หน่อยเมื่อได้ยินเขาแนะนำรายการอาหารยาวเหยียดอย่างกับเป็นเจ้าของร้านเสียเอง

หญิงสาวยังคงมองไปรอบกายอย่างสนใจระคนตื่นเต้น แววตาเป็นประกายคู่นั้นเรียกรอยยิ้มขันแกมเอ็นดูจากชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย ลึกๆ แล้วคุณหมอแอบดีใจอยู่หรอกที่ไม่ถูกชญานิศปฏิเสธการปลอบใจของเขาครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นการลงทุนไปหาสาวเจ้าถึงร้านอาหารไทยโบราณคงไม่คุ้มเท่าไหร่นัก “ตอนแรกผมว่าจะไปฝากท้องที่ร้านนิศเสียหน่อย ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ผมเสียใจด้วยนะนิศที่...”

“เรื่องเล็กค่ะหมอ” ชญานิศโบกปัดอย่างไม่ยี่หระ

“ผู้จัดการเขาทำถูกแล้วล่ะค่ะ ถ้าหมอรู้ว่านิศไปก่อเรื่องอะไรไว้บ้างคงต้องเห็นด้วยกับผู้จัดการแน่นอน หมอก็รู้นี่คะว่านิศน่ะตัวซุ่มซ่ามของจริงเสียงจริง ดีนะคะที่ตั้งแต่เข้ามาในภัตตาคารนี้นิศยังไม่เผลอไปชนข้าวของเขาเสียหาย...เฮ้อ จะว่าไปนิศก็เริ่มคิดแล้วสิคะว่านิศอาจจะไม่ได้เรื่องจริงๆ”

“อย่าว่าตัวเองแบบนั้นสิครับนิศ ในโลกใบนี้ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบหรอกนะครับ คุณเป็นตัวของคุณเองแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ไม่เพียงปลอบใจ วัลลภยังจับจ้องมายังดวงหน้าหญิงสาวนิ่ง คล้ายต้องการมองผ่านเข้าไปในแววตาคู่นั้นของหญิงสาว

สำหรับเขาแล้ว แม้แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมหนาเตอะที่สาวเจ้าสวมใส่จะบดบังดวงหน้าเรียวสวยนั้นได้ แต่ไม่อาจบดบังความน่ารักในตัวชญานิศได้เลยแม้แต่น้อย

ชญานิศเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พิกล ไม่รู้ว่าหล่อนคิดมากไปเองรึเปล่าถึงเห็นแววกรุ้มกริ่มในสายตาของคุณหมอ พาลหน้าแดงหูแดงให้เขาเห็น ต้องรีบเสมองไปทางอื่นแก้เขิน ไม่ชอบเอาเสียเลยที่ตกเป็นเป้านิ่งให้เขามองอยู่แบบนี้ !

ทำอะไรไม่ถูกเลยคว้าแก้วน้ำมาดื่มเผื่อจะช่วยดับความร้อนรุ่มในกายได้บ้าง แต่ชายหนุ่มตรงหน้ายังมองมาอยู่นั่นเองเล่นเอาชญานิศมือไม้อ่อนสำลักน้ำขึ้นมาเสียดื้อๆ

“เป็นอะไรรึเปล่านิศ”

วัลลภพลอยสติหลุดไปด้วย รีบส่งกระดาษทิชชูให้หญิงสาว

ชญานิศยังคงไอไม่หยุด แถมน้ำในแก้วยังกระเฉาะใส่เสื้อนักศึกษาอีก ร้อนถึงคุณหมอจะลุกมาลูบหลังไล่สำลักให้ สาวเจ้าเลยรีบชิงลุกจากโต๊ะอาหารขอตัวไปเข้าห้องน้ำดื้อๆ

พ้นสายตาคุณหมอเข้ามาในห้องน้ำได้ชญานิศถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่สังเกตป้ายห้องน้ำตั้งแต่เข้ามาแล้วเลยไม่ได้ยืนเก้ๆ กังๆ ให้เขาเห็นนานนัก ต้องเอามือทาบที่หน้าอกตัวเอง สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวและเร็วแทบทะลุออกมาเสียเดี๋ยวนั้น

เมื่อครู่ถ้าหล่อนขืนนั่งให้เขาเชยชมนานกว่านี้ มีหวังได้เผลอทำอะไรเปิ่นๆ ต่อหน้าเขาอีกแน่นอน ก็ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาวัลลภไม่เคยแสดงสีหน้าและแววตาให้หล่อนเห็นในทำนองนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

หรือหล่อนกำลังคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าอีกฝ่ายก็แอบสนใจหล่อนอยู่เหมือนกัน โอ๊ย...ไม่รู้ป่านนี้คุณหมอแอบหัวเราะเยาะหล่อนอยู่รึเปล่า น่าอายจริงๆ เลยยัยนิศเอ๋ย ออกไปจะมองหน้าเขายังไงล่ะเนี่ย

ต่อว่าตัวเองในใจทั้งที่ยังหน้าร้อนผ่าว ตั้งสติได้ชญานิศก็รีบดึงทิชชูในห้องน้ำมาซับน้ำบนเสื้อนักศึกษา แล้วต้องหน้าเหยเกเมื่อเห็นคราบน้ำขยายวงกว้างจนดูน่าเกลียด ไม่ลืมที่จะสำรวจเสื้อผ้า หน้าผมของตัวเองหน้าบานกระจกก่อนสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ

หากเพียงแค่ก้าวพ้นหน้าห้องน้ำมาไม่กี่ก้าว เสียงทะเลาะที่ดังมาจากโต๊ะใกล้ๆ ทำให้ชญานิศหันมอง หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังมีปากเสียงกันบนโต๊ะอาหาร

“ฟังผมบ้างสิโรส ผมกับเขาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด คุณก็รู้ว่าเขาเป็นแค่ลูกค้า...”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะกร เพราะโรสจะไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆ ของคุณทั้งนั้น ตราบใดที่คุณยังยุ่งเกี่ยวกับมัน โรสจะเป็นฝ่ายไปเอง !” ผู้หญิงโต๊ะนั้นสะบัดหน้าหนีก่อนลุกพรวดจากเก้าอี้สาวเท้าตรงดิ่งมายังบริเวณที่ชญานิศยืน

“เดี๋ยวโรส เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ผู้ชายคนนั้นลุกตามมาติดๆ

ร้อนถึงชญานิศได้แต่ยืนลังเลอยู่ตรงนั้น ลำดับความคิดไม่ทันมากกว่าว่าจะเลี่ยงหลบหรือประจันหน้าดี แต่แล้วนักศึกษาสาวต้องมองตาค้างเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเดินตรงมาทางหล่อนเช่นกัน เวลานั้น...ภาพตรงหน้าเหมือนหยุดนิ่งชั่วขณะ สายตาของหล่อนจับจ้องมายังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้าราวกับถูกต้องมนต์

“คุณจะเดินหนีผมไปแบบนี้ไม่ได้นะโรส !”
“แต่โรสไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว !” ผู้หญิงที่ชื่อโรสเดินผ่านหน้าชญานิศไปในระยะประชิด ปลุกเจ้าหล่อนตื่นจากภวังค์

เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมองชายหนุ่มตรงหน้าเคลิ้มจึงสะบัดหน้าแรงไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัวสมอง จะเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง หากแค่คิด ! ผู้หญิงคนนั้นก็คว้าแก้วบนโต๊ะอาหารของลูกค้าแถวนั้นสาดน้ำใส่หน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจัง !

วินาทีนั้น ลูกค้าภายในภัตตาคารเงียบกริบในพริบตา เช่นเดียวกับหนุ่มสาวทั้งสองที่นิ่งงันไปชั่วขณะ

ชญานิศช็อคเช่นกัน ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นต่อหน้าเลยมองตาปริบๆ มายังหนุ่มสาวทั้งสอง แวบนั้นเองชายหนุ่มตรงหน้ากลับมองปราดมายังนักศึกษาสาวอย่างกับหล่อนเป็นคนสาดน้ำใส่หน้าเขายังไงยังงั้น นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่แฝงไว้ด้วยความเคืองขุ่นทำเอาชญานิศเสียวสันหลังวาบ งุดหน้าหนีหลบออกมาแทบไม่ทัน

“เดี๋ยวก่อนโรส ! โรส !”

คล้อยหลังชญานิศพ้นมาจากตรงนั้น เขาก็รีบวิ่งตามผู้หญิงที่ชื่อโรสออกไป ชญานิศแอบเห็นแผ่นหลังกว้างของเขาไวๆ ก่อนหายลับไปในเวลาอันรวดเร็ว



***************


กรวิชญ์ผิวปากอย่างสบายอารมณ์ออกมาจากห้องน้ำในเช้าวันใหม่พร้อมชุดทำงาน หยุดยืนหน้าบานกระจกโต๊ะเครื่องแป้งสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอย่างเช่นทุกวัน ก่อนมีหญิงสาวเข้ามาสวมกอดเขาจากด้านหลัง

“ยังเช้าอยู่เลย ใจคอคุณจะทิ้งโรสไปทำงานจริงๆ เหรอคะ” นางแบบสาวออดอ้อนกับแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่ม

เป็นกรวิชญ์ที่คลายอ้อมแขนสาวเจ้าให้หลุดพ้นจากพันธนาการ เป็นฝ่ายดึงโรสมากอดไว้เสียเอง แต่แล้วร่างบางที่มีเพียงผ้าห่มพันกายเผยให้เห็นไหล่เปลือยขาวเนียนเย้ายวนชายหนุ่มไม่น้อย จมูกซนของเขาถึงได้ซุกไซ้ที่ซอกคอหญิงสาวเย้าหล่อนเล่น

คราวนี้เป็นโรสที่ผลักเขาออกอย่างอายๆ “ไหนว่าจะไปทำงานแล้วไงคะ”

กรวิชญ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สาวตรงหน้า ยังคงกระชับร่างบางเข้าหา “คุณรู้ตัวมั้ยว่าเวลาคุณอ้อน น่ารักที่สุดเลย”

“ไม่เอาค่ะกร” เห็นเขาจะเริ่มรุกอีกรอบโรสเลยเบนหน้าหนี มองเขาเป็นเชิงคาดโทษ “คุณรับปากกับโรสแล้วนะคะว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่อัปสรนั่นอีก ถ้าโรสรู้ว่าคุณผิดคำพูดเมื่อไหร่ล่ะก็ คุณได้เจอฤทธิ์ผู้หญิงขี้อ่อนอย่างโรสแน่นอนค่ะ”

“ไม่เอาน่ะโรส เรื่องมันเลยผ่านมาแล้วนะครับ”

กรวิชญ์เลี่ยงไม่รับปากสาวเจ้าตรงๆ สบโอกาสเผลอยื่นหน้ามาหอมแก้มสาวในอ้อมแขนดังฟอด เล่นเอาสาวที่เพิ่งขู่เขาเสียงเข้มสะดุ้ง ไม่ทันตั้งตัวมากกว่าเลยฟาดที่แขนเข้าให้ทีเป็นการทำโทษ ชายหนุ่มตรงหน้าถึงได้ยอมปล่อยหล่อนเป็นอิสระในที่สุด

โรสแยกไปอาบน้ำแต่งตัวในห้องน้ำ ขณะที่กรวิชญ์จัดเตียงและผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง

แล้วต้องยิ้มขันออกมาเมื่อนึกถึงคำขู่ของนางแบบสาวเมื่อครู่ ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ภัตตาคารเมื่อวาน โรสทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย แต่ถ้าจะให้เขาตัดเยื่อใยกับหล่อนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องคงทำไม่ลง

โรสชอบขู่เขาด้วยเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นเรื่องเคยชินสำหรับเขาไปแล้ว ฉะนั้นเรื่องที่จะให้ตัดสัมพันธ์กับอัปสรตามที่หล่อนขอร้องเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ หญิงรุ่นใหญ่ผู้นี้เป็นถึงลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทของเขาซึ่งข้อนี้โรสเองก็รู้ดี ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนหล่อนคงไม่มาลงเอยที่คอนโดของเขา

เสียงกริ่งหน้าห้องฉุดกรวิชญ์ย้ายตัวเองออกมาจากห้องนอนภายในคอนโดสุดหรู เปิดประตูต้อนรับคนหน้าห้อง

หญิงสาวร่างอวบที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้าพร้อมอาหารใส่ปิ่นโตอย่างดีทำให้กรวิชญ์ชะงักเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นฟ้างามสาวเจ้าของห้องข้างเขานั่นเอง

“เผอิญฟ้าทำอาหารเช้าเยอะไปหน่อยน่ะค่ะ คิดว่าน่าจะกินคนเดียวไม่หมดเลยใส่ปิ่นโตมาฝากคุณด้วย รับไว้ด้วยนะคะ” สาวที่แทนตัวเองว่าฟ้ายื่นปิ่นโตในมือให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องเป็นเชิงบังคับกรายๆ

และนั่นทำให้กรวิชญ์คลี่ยิ้มจางๆ ออกมาอย่างนึกขัน เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้วที่ทุกเช้าต้องมีฟ้างามนำอาหารมาฝากก่อนไปทำงานเสมอ สาวข้างห้องมักจะคอยแวะเวียนมาหาเขาโดยเอาของกินมาอ้างอยู่บ่อยๆ ซึ่งกรวิชญ์เองไม่ได้รังเกียจหล่อนแต่อย่างใด

อย่างเช่นวันนี้ด้วยความที่ไม่อยากเสียมารยาท ทำร้ายจิตใจสาวตรงหน้ากรวิชญ์จึงยอมรับปิ่นโตมาโดยดี

ไม่วายยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยเสียงหวานปานน้ำผึ้งว่า “ขอบคุณนะครับคุณฟ้างามที่อุตส่าห์ทำอาหารมาเผื่อผม เช้านี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเสียด้วยสิ คุณนี้รู้ใจผมจริงๆ”

“แหม...ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ” ฟ้างามตอบพลางบิดกายไปมาอย่างอายๆ มือนั้นพันวุ่นไปหมด “ฟ้าแค่เห็นว่ายังเช้าอยู่น่ะค่ะเลยเดาถูกว่าคุณคงเพิ่งตื่น งั้น...ฟ้ากลับห้องก่อนดีกว่าค่ะ รบกวนคุณมามากแล้ว”

ถึงปากจะบอกลาหากสาวเจ้ายังคงยืนเขินอยู่นั่นเอง ก่อนอายม้วนกลับเข้าห้องตัวเองไปในเวลาถัดมา

กรวิชญ์ต้องกลั้นยิ้มไว้ไม่ให้เผลอหัวเราะขันในท่าทางของสาวร่างท้วมก่อนนำปิ่นโตมาวางทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร ครานั้นสัญญาณโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นเตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามา จึงเลิกนึกถึงอาการเขินอายชวนขันนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู

ทว่ากรวิชญ์กลับขมวดคิ้วเป็นปมยุ่งเมื่อเห็นชื่อของอัปสรปรากฏบนหน้าจอ

ต้องเหลือบมองให้แน่ใจว่านางแบบสาวยังอยู่ในห้องน้ำถึงค่อยเปิดอ่านข้อความ เพียงครู่เดียวเท่านั้นชายหนุ่มก็คว้ากระเป๋าทำงานกับโมเดลที่ทำค้างไว้ผลุนผลันออกจากคอนโดเร็วปานสายฟ้าแลบ #


----------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่านักอ่านทุกคน ><

รันเพิ่งเคยลงนิยายที่นี่เป็นครั้งแรก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

สรัน



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2555, 20:01:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2558, 15:04:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 2009





   บทที่ 2 >>
บุรีวาด 29 มี.ค. 2555, 14:08:46 น.
เจอกันครั้งหน้า หล่อนจะมองหน้าคุณหมอยังไงล่ะเนี่ย
-- มองตรงๆ เลยค่ะ แอร๊ยส์ =+=


สรัน 29 มี.ค. 2555, 15:49:16 น.
อย่าบอกนะคะว่าคุณบุรีวาดจองคุณหมอ 55555


จิรารัตน์ 2 ส.ค. 2555, 22:18:24 น.
ย่องมาอ่านค่าคุณรัณ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account