รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๑๑ พรหมลิขิต
ตอนที่ ๑๑
ชัยได้ช่วยเหลือปุณชิกาขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ แต่กระนั้นหญิงสาวกลับหมดสติไปแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆ วางร่างบางลงกับพื้นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเขย่าเรียกเธอด้วยความเป็นห่วง
“คุณปูเป้ครับ คุณปูเป้...”
ร่างนั้นยังนิ่งไม่ไหวติง ก่อนความรู้สึกกลัวจะเข้าแทนที่ เขาเขย่ากรอบหน้าสวยนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนความคิดหนึ่งจะเข้าแทนที่ แล้ววิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็เริ่มขึ้น เขาเอื้อมมือลงไปวางทาบตรงตำแหน่งของหัวใจของหญิงสาว และปั้มอยู่เช่นนั้นอยู่ระยะหนึ่ง และก็หยุดมองหน้าของเธอ...
ผายปอด...คำนี้ไล่เวียนวนในหัวสมองและมันก็ยิ่งทำให้เขาลังเล เขาจะทำอย่างไรดี จะผายปอดเธอจริงๆ หรือ
แล้วถ้าไม่ช่วยล่ะ ปุณชิกาอาจจะเป็นอันตรายได้...
“ผมขอโทษนะครับ คุณปูเป้”
แล้วกรอบหน้าคมก็ก้มลงเอาปากทาบลงกับปากบาง ทำเช่นนั้นสลับกับการปั้มหัวใจอยู่อีกสามรอบ ก่อนร่างนั้นจะเริ่มมีปฏิกิริยา ร่างบางสำลักน้ำออกมา ชายหนุ่มมองกรอบหน้าสวยที่แดงซ่านด้วยความดีใจเป็นที่สุด
“คุณปูเป้...คุณฟื้นแล้ว คุณปูเป้”
เขย่าเรียกเธอได้สักระยะ ร่างบางก็เริ่มจะได้สติ เธอกรอกสายตามองไปโดยรอบด้วยสีหน้าตาตื่น ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่กรอบหน้าคมเขาที่อยู่ใกล้ๆ
“นายชัย...” เสียงแหบปร่าดังขึ้น ก่อนเธอจะโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาในทันที
“มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณปูเป้...”
“น้ำ ตกน้ำ ฉันตกน้ำ...” เธอสะอื้นไห้ ชัยจึงลูบที่เส้นผมสลวยของเธอแล้วพูดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ คุณปลอดภัยแล้วนะ”
“ฉันกลัว...ฉันกลัวน้ำ ฉันกลัว”
“อย่ากลัวเลยครับ ผมยังอยู่ทั้งคน ไม่มีอะไรแล้วนะครับ ผมจะไม่มีวันให้คุณปูเป้เป็นอะไร เชื่อผมนะครับ”
“นายชัย...”
ดวงตาคู่สวยที่ไหวระริกและอาบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาจ้องนิ่งที่กรอบหน้าคมของชัยอย่างรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขา ก่อนร่างที่สั่นเทานั้นจะโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
“ผมสัญญาครับว่าจะไม่มีวันทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้อีก คุณปูเป้”
/////
“หา...มันเกิดเรื่องนี้ได้ยังไง แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน” เมยาวีทะลึ่งตัวลุกขึ้นอย่างตกใจเมื่อน้ำบุษย์เข้ามารายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากชัยที่บัดนี้ได้พาปุณชิกาไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลแล้ว
“ตอนนี้ชัยได้พาคุณปูเป้ไปที่โรงพยาบาลค่ะ ส่วนคุณรติกรเธอหายตัวไปค่ะ ชัยเลยโทรมาบอกว่าให้คุณเหมยสั่งคนงานให้ช่วยตามหาคุณรติกรค่ะ”
“ตายแล้ว แล้วนี่ฉันจะทำยังไงเนี่ย” เจ้าของไร่สาวยกมือขึ้นทาบอก กรอบหน้าสวยซีดเผือดอย่างรู้สึกผิด
“เกิดอะไรขึ้นยายเหมย มีใครเป็นอะไร” วัสนางค์และมณีกานดาที่ยังไม่กลับ เดินเข้ามาในที่นั่นถามด้วยความแปลกใจ
“คือเกิดเรื่องขึ้นที่ท้ายไร่ค่ะ คุณปุณชิกาตกน้ำแต่ตอนนี้ชัยได้พาไปโรงพยาบาลแล้วค่ะ แต่คุณรติกรที่ไปด้วยกันสิคะ หายตัวไป”
“หา...หายตัวไป”
มณีกานดาเป็นอีกคนหนึ่งที่ยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนความรู้สึกนั้นจะมีผลต่อเรี่ยวแรงการทรงตัวของตนเอง จนเป็นผลให้เธอต้องทรุดกายลงนั่งบนโซฟาอย่างแรง
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง เหมย...”
หันมาทางเพื่อนสาว หากแต่กลับไม่ได้รับคำตอบอะไร เพราะขณะนี้เมยาวีก็อยู่ในลักษณะเดียวกับเธอเช่นกัน
วัสนางค์ที่มีสติดีกว่า จึงยื่นมือเข้ามาช่วยอีกแรง เธอหันไปสั่งการกับน้ำบุษย์ให้นำคนงานออกตามหารติกร
ก่อนจะเข้ามาปลอบทั้งสองเพื่อนสาว
“ไม่เป็นไรหรอกน่าเหมย คีน คุณรติเธอไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็ต้องตามกันพบ”
“แต่ฉันไม่คิดนี่ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในไร่ของฉัน ฝน คีน นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เมยาวีเสียงสั่นหวิว ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจม เช่นเดียวกับอาการเขินอายเมื่อครู่กลับหายไปอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้
“ไม่มีอะไรหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ เธอสองคนต้องตั้งสติให้ดีนะ แล้วก็ให้คิดว่ามันไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวเรื่องมันก็ดีเอง”
วัสนางค์เข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างเพื่อนสาว แล้วยกมือขึ้นลูบที่เส้นผมสลวยของทั้งสองเป็นเชิงปลอบใจ เช่นเดียวกับมณีกานดาและเมยาวีที่เริ่มจะคลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
ทั้งสามสาวนั่งรอข่าวอยู่ที่ในบ้านเป็นชั่วโมง ก่อนจะเห็นน้ำบุษย์วิ่งเข้ามาในที่นั่นอีกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างน้ำบุษย์” วัสนางค์รีบเข้าไปถาม เช่นเดียวกับเมยาวีและมณีกานดาที่รีบตามกันเข้ามายืนรอฟังผล
“เจอคุณรติกรแล้วค่ะ ตอนนี้บุษย์ให้นายคมพาคุณเธอไปโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ”
อาการโล่งอกจึงเข้าแทนที่ความตกใจ เมยาวีมีสีหน้าดีขึ้นตามลำดับ ก่อนจะยิ้มออกมาได้และชวนเพื่อนสาวทั้งสองไปที่โรงพยาบาล
“ฉันว่าเราตามกันไปที่โรงพยาบาลเถอะ”
“เกิดอะไรขึ้นครับ ผมเห็นคนงานในไร่วุ่นวายกันไปหมด” ยังไม่ทันที่จะได้ไปไหน จอมทัพก็เดินเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
“เกิดเรื่องนิดหน่อยค่ะ คุณจอมไปกับเรานะคะ เดี๋ยวฝนจะเล่าให้ฟังบนรถค่ะ” วัสนางค์ทำหน้าที่บอกชายหนุ่ม ก่อนจะรีบจูงแขนเพื่อนสาวตรงไปที่รถในทันที
////
ร่างของรติกรถูกส่งถึงมือหมออย่างปลอดภัย ขณะชัยที่ทราบเรื่องจึงรีบพาปุณชิกาซึ่งตรวจร่างกายแล้วพบว่าไม่เป็นอะไรมากมายังห้องฉุกเฉินในเวลาต่อมาเช่นกัน
มาถึงหน้าห้องฉุกเฉินได้ไม่นาน เมยาวี วัสนางค์ มณีกานดาและจอมทัพก็เดินทางมาถึง ยังไม่ได้คุยอะไรกันมากประตูห้องก็เปิดออก นายแพทย์ได้เดินออกมา...
“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณหมอ”
จอมทัพเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเลขาฯ สาวของตนเองเป็นยิ่งนัก เขาทราบเรื่องทั้งหมดบนรถระหว่างเดินทางมาที่โรงพยาบาล ทว่าสีหน้าที่ตอบรับกลับมาของคุณหมอกลับไม่ค่อยจะดีนัก
“เกิดอะไรขึ้นครับ หรือว่า...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอยังไม่ฟื้นก็เท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง
คือ...” นายแพทย์หยุดประโยคเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะทอดถอนใจออกมา
“อะไรครับ...”
“ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” เมยาวีเข้าไปยืนข้างกับจอมทัพแล้วถามด้วยความตกใจ ในใจของเธอรู้สึกกลัวไปต่างๆ นานา
“คือตอนก่อนที่คนไข้จะหมดสติไปนั้น หมอคิดว่าเธอได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาน่ะครับ อีกอย่างหนึ่ง แผลตรงที่ศีรษะของเธอนั้นอาจจะมีผลกระทบไปถึงระบบความจำ จนอาจจะเป็นผลให้เธอความจำเสื่อมน่ะครับ”
“ความจำเสื่อม!!!”
ทุกคนในที่นั่น ไม่แม้กระทั่งชัยและปุณชิกาต่างอุทานคำนั้นออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้
“โอ...คุณรติกร” มณีกานดายกมือขึ้นทาบอกและสงสารรติกรจับใจ
เช่นเดียวกับเมยาวีที่หน้าสลดลงไปในทันที เธอขยับเข้าไปซบที่ไหล่วัสนางค์อย่างหมดเรี่ยวแรง ไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะพากันมาเกิดขึ้นกับคนรู้จักของเธอ แถมคนนั้นยังเป็นแขกของไร่ศีตกรรณอีก
“หมอขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนครับคุณหมอ ผมขอเข้าไปเยี่ยมเธอจะได้ไหมครับ”
“คงยังไม่ได้หรอกครับ ในห้องเป็นห้องปลอดเชื้อ ทางเราให้เยี่ยมเป็นเวลาเท่านั้น ขอตัวก่อนนะครับ”
ว่าแล้วคุณหมอก็เดินจากไปในทันที ขณะชัยได้ก้มลงมองปุณชิกาอย่างนึกสลดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะพากันเงียบไปด้วยกันทั้งหมด
/////
เมยาวีมองหน้าของชัย สลับกับปุณชิกา คล้ายดั่งจะขอความจริงจากคนทั้งสอง ก่อนเธอจะหันไปถามผู้ญาติผู้น้องในทันที
“มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร ทำไมคุณรติถึงได้ไปพลัดตกที่เนินปู่ย่าได้” ชัยเงยหน้าขึ้นมองเมยาวี สลับกับทุกคนในที่นั่น ด้วยประกายตาขอโทษ ก่อนจะตอบคำนั้น
“ผมไม่รู้ครับ พอผมช่วยคุณปูเป้ที่ตกน้ำขึ้นมาได้ ก็ไม่เจอคุณรติแล้วครับ”
“แล้วทำไมเธอไม่โทรมาบอกพี่ คุณรติเธอเป็นแขกของเรานะ ทำไมเธอถึงได้ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้”
“ผมขอโทษ...”
เมื่อไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มากกว่าคำนั้น ชัยจึงก้มหน้าลงมองพื้นอีกครั้ง ขณะเมยาวีก็ทอดถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ เธอพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอาการออกมาให้ทุกคนเห็นว่าเธอกำลังอ่อนแอ
“ชัย...พี่ว่าเธอพาคุณปูเป้ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นไข้กันอีกรอบหรอก” วัสนางค์เข้ามาบอกกับหนุ่มรุ่นน้อง เธอไม่อยากจะให้เมยาวีคาดคั้นเขาไปมากกว่านั้น เท่านี้ชัยก็เจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมามากแล้ว
“ครับ...คุณปูเป้ เรากลับกันก่อนนะครับ”
ชายหนุ่มหันมาทางปุณชิกาที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ กับตัวเอง ทว่าปุณชิกากลับส่ายหน้าและเลือกที่จะขยับเข้าไปหาจอมทัพแทน
“ไม่...ฉันจะอยู่กับพี่จอมที่นี่ ให้ปูเป้อยู่กับพี่นะคะ ถ้าพี่จอมกลับ ปูเป้ค่อยกลับ”
จอมทัพมองกรอบหน้าสวยที่แดงซ่านของปุณชิกาสลับกับเมยาวีนิดหนึ่ง แล้วหันมามาปลอบและกล่อมญาติสาวอีกแรงหนึ่ง
“ปูเป้ครับ พี่ว่าน้องกลับไปก่อนเถอะนะ ดูสิเปียกไปหมดแล้ว เดี๋ยวจะเป็นหวัดกันพอดี เชื่อพี่นะคะ”
“แต่ปูเป้จะอยู่กับพี่จอมนี่คะ”
“เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน ขอรอเข้าเยี่ยมคุณรติและจัดการกับเรื่องทางนี้ก่อน ปูเป้เปียกและคงจะเหนื่อยมาก พี่ว่าเรากลับไปพักผ่อนที่ไร่ก่อนน่าจะดีนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
เธอเห็นด้วยในที่สุด เพราะคำพูดของจอมทัพเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอจะเชื่อฟัง ขณะชัยได้หันไปมองกรอบหน้าคมของจอมทัพด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแกมริษยา หากแต่เมื่ออีกฝ่ายหันมาทางเขา ชายหนุ่มจึงรีบเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ชัย...ผมฝากปูเป้ด้วยนะ”
เห็นรอยยิ้มและการฝากฝังจากอีกฝ่าย เขาก็ยิ้มออกมาได้ ก่อนจะชวนปุณชิกากลับไปในที่สุด
////
“เหมยขอโทษแทนน้องด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณรติต้องเป็นแบบนี้” เมยาวีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจอมทัพพร้อมกรอบหน้าที่รู้สึกผิดสุดๆ
ทว่าจอมทัพกลับคลี่ยิ้ม เขามองไปยังกรอบหน้าสวยหวานนั้น ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณไม่ผิดหรอกครับคุณเหมย อีกอย่างคุณชัยก็ไม่ได้ผิดด้วย มันเป็นอุบัติเหตุน่ะครับ”
“แต่มันเกิดที่ไร่ของเหมยนี่คะ ในฐานะเจ้าของสถานที่ เหมยคิดว่าเหมยจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องเหล่านี้ค่ะ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด”
“ไม่ครับ ผมก็บอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่ามันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใครโทษคุณหรอกและก็เชื่อว่าปูเป้กับคุณรติก็ไม่ได้โกรธคุณด้วย”
“คุณจอม...”
พูดได้แค่นั้นจริงๆ ความอัดอั้นที่มันจุกแน่นอยู่ในหัวใจก็พลันพากันกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่เอ่อไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนร่างบางจะถูกจอมทัพดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
วัสนางค์และมณีกานดาที่ยืนอยู่ห่างๆ ทั้งสองสาวหันมาส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะพากันเดินเลี่ยงออกจากตรงนั้นไปอย่างเงียบๆ
////
“ดูเหมือนว่าคุณจอมทัพจะมีความรู้สึกบางอย่างกับยายเหมยนะ มันไม่ใช่แค่เพื่อนของเราคนเดียวแล้วล่ะคีน” วัสนางค์ทำหน้าเพ้อฝันและหันมาทางเพื่อนสาวที่เดินเคียงคู่มาด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าดีใจเช่นกัน
“มันก็ดีไม่ใช่หรือ ถ้าคุณจอมทัพกับยายเหมยลงเอยกัน พวกเราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะกลัวยายเหมยจะเป็นบ้าที่ยังลืมนายปูนไม่ได้”
“ใช่ ลืมได้ก็ดีแล้วล่ะ”
“ให้ยายเหมยเริ่มต้นชีวิตใหม่สักที เราจะได้สบายใจ” มณีกานดาเอ่ย ก่อนจะพากันเดินมายังด้านนอกโรงพยาบาล หาร้านอาหารสักร้านเพื่อจะนั่งฆ่าเวลาระหว่างรอเข้าเยี่ยมไข้รติกร
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นในช่วงวันสองวันนี้ ทำไมมีแต่เรื่องที่ร้ายแรงและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับพวกเธอตั้งหลายอย่าง เมยาวีได้พบกับจอมทัพและได้รักเขา แล้วพวกเธอล่ะ เนื้อคู่ของพวกเธออยู่ที่ไหนกัน เมื่อไรจะออกมาให้พวกเธอได้รู้จักและรักสักที
ทั้งสองคิดเช่นนั้นจริงๆ โดยเฉพาะมณีกานดาที่ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าคู่แท้ของเธอจะต้องได้เจอกับเธอในไม่ช้านี้ และเธอยังจะเชื่อว่า เมยาวีจะต้องสมหวังกับความรักที่มีต่อจอมทัพอย่างแน่นอน โลกใบนี้มันคงไม่โหดร้ายเสมอไปหรอก
“ฝน...ทำไมวันนี้ตาขวาของฉันกระตุกไม่หยุดเลยนะ นี่แน่ะ กระตุกอีกแล้ว” ระหว่างการสนทนากันในร้านอาหารแห่งนั้น มณีกานดาก็เอ่ยแทรกขึ้น เพื่อเปิดประเด็นใหม่กับเพื่อนสาว
โบราณว่า ขวาร้าย...ซ้ายดี แล้วนี่มันจะเกิดเรื่องร้ายอะไรกับเธออีก
“ตายละเธอ ฉันว่าเราจะต้องไปทำบุญกันเสียแล้วล่ะ โบราณเขาทักว่ามันไม่ดีนะ”
“ไม่ดี...เอ่อ ฉัน จะทำยังไงดี” มณีกานดาเริ่มลังเลและรู้สึกกลัวกับสิ่งที่คิด ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ปลอดภัยกับเธอขึ้น
“ฉันว่าวันนี้โอกาสเหมาะ เราไปทำบุญกันเถอะ”
“ทำบุญ...”
“ใช่ทำบุญ ไปวัดแถวนี้ก็ได้ เราไปกันเถอะนะ” เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้ว ทั้งสองสาวก็พากันมายังวัดแห่งนั้นที่อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลในทันที
ทั้งสองสาวซื้อสังฆทานมาถวาย พอได้ฟังพระเทศน์และกรวดน้ำแล้ว ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะมณีกานดา ที่พอจะลืมเรื่องตาของเธอกระตุกไปชั่วขณะ
“ทำบุญแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือยัง คีน”
“อือ...ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ใจฉันก็สบายขึ้นด้วย” มณีกานดาบอกพร้อมกับสีหน้าที่สดใสมากขึ้นกว่าเดิม
“ที่นั่นมีการทำบุญช่วยเหลือคนยากไร้ด้วย ฉันว่าเราไปทางนั้นกันเถอะ”
เลื่อนสายตาไปเห็นป้ายบอกบุญ วัสนางค์จึงพาเพื่อนสาวไปทางนั้นในทันที หลังการทำบุญทำทานเรียบร้อย โดยปิดท้ายด้วยการปล่อยปลา ทั้งสองสาวจึงเดินมาหยุดนั่งพักศาลาริมน้ำของวัด
“นานแล้วนะที่เราไม่ได้มาทำบุญกันแบบนี้”
มณีกานดาเปรยขึ้น เธอคลี่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับทอดสายตามองไปยังแม่น้ำสายนั้นที่ไหลเอ่ยอย่างเชื่องช้าสงบนิ่ง
“ใช่ เมื่อกี้ก็ลืมชวนยายเหมยมาด้วย”
“คงจะไม่ดีมั้ง ปล่อยให้ยายเหมยอยู่กับคุณจอมทัพก่อนเถอะ”
“อืม...จริงด้วย เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”
วัสนางค์หยัดกายขึ้นอีกครั้ง บิดกายไปมาด้วยความเมื่อยขบ ก่อนจะหันมาชวนเพื่อนสาวกลับเพราะเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเข้าเยี่ยมรติกรแล้ว
“ฉันว่าเรากลับไปที่โรงพยาบาลกันเถอะ ใกล้จะถึงเวลาเข้าเยี่ยมคุณรติแล้วล่ะ”
แล้วทั้งสองสาวก็พากันเดินออกมาจากวัดแห่งนั้นอย่างอารมณ์ดี ทว่าพวกเธอกลับไม่ได้เฉลียวเลยว่าเวลานั้นมีใครคนหนึ่งตามมาอย่างเงียบๆ และพอเดินมาถึงตรงทางโค้งแห่งหนึ่ง ประกอบกับการเป็นที่โล่ง ปลอดคน ชายคนนั้นก็ปฏิบัติการในทันที
มันวิ่งมาชนมณีกานดา พร้อมกับกระชากกระเป๋าของหญิงสาวและวิ่งจ้ำอ้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทั้งสองสาว ต่อสิ่งที่มันกะทันหันและไม่ทันได้ตั้งตัว
“ว้าย...”
“ว้าย...ช่วยด้วย คนกระชากกระเป๋า”
วัสนางค์ที่ได้สติก่อนเพื่อนสาวตะโกนลั่นเพื่อขอความช่วยเหลือ หากแต่ก็ต้องหยุดเอาไว้เพียงแค่นั้นเมื่อร่างบางของมณีกานดาที่ตกใจสุดขีดและทานทนต่อความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้ ล้มลงมาซบที่หัวไหล่ เธอจึงเลือกเข้ามาช่วยรับเพื่อนสาวเอาไว้เป็นอันดับแรกก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ล้มลงไปกับพื้น
“ยายคีน...ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยด้วย มีคนกระชากกระเป๋าค่ะ...ยายคีน อย่าเป็นอะไรนะ คีน...”
/////
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับที่เขาหันไปตามเสียงร้องเรียก เห็นหญิงสาวคนหนึ่งร้องโวยวายและมีชายอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ชายหนุ่มพอจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในเวลานั้น
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เพราะสถานการณ์มันไม่เคยรอใคร ร่างในชุดเสื้อยืดกางเกงยืนส์สีขาวจึงรีบวิ่งตามคนกระชากกระเป๋าไปในทันที
“หยุดโว้ย...หยุดนะโว้ย”
เจ้าคนร้ายก็ไวอย่างกับอะไรดี แต่มันก็คงจะไม่พ้นไปจากอดีตนักวิ่งลมกรดของโรงเรียนอย่างชายหนุ่มไปได้หรอก เขาวิ่งจ้ำตามไอ้คนนั้นได้สักระยะ ก่อนจะหยุดมันได้ด้วยการกระโจนเข้าหามันในระยะหนึ่งเมตรสุดท้าย
คนทั้งคู่ล้มกลิ้งโคโร่ลงไปบนพื้นพร้อมๆ กัน ก่อนกระเป๋าของมณีกานดาจะกระเด็นไปอีกทาง ไอ้โจรห้าร้อยพยายามตะเกียกตะกายหนี หากแต่ชายหนุ่มกลับยึดข้อเท้าของมันเอาไว้ได้เสียก่อน
“ปล่อยโว้ย...ปล่อยกู”
“ไม่ปล่อย นี่แน่ะ”
ว่าพร้อมกับขว้างหมัดใส่ไอ้คนนั้นแบบไม่ยั้ง หากแต่ไอ้คนร้ายเมื่อหมดหนทางหนี มันก็คิดต่อสู้ พอหยัดกายลุกขึ้นได้ ทั้งหมัดทั้งเท้าก็กระหน่ำมาแบบไม่ยั้ง จนชายหนุ่มโดนไปหลายหมัดและมึนไปเหมือนกัน
วืด...ผัวะ
เป็นจังหวะเดียวที่โดนจังๆ เข้ากับดั้งจมูกของเขาจนเลือดไหล ชายหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับไอ้วายร้ายที่ตั้งตัวได้ มันไม่รอช้ารีบตะกายไปหยิบกระเป๋าและทำท่าจะวิ่งออกไปอีกครั้ง
หากแต่...มันก็ไม่อาจไปต่อได้ เมื่อโดนเท้าของชายหนุ่มเตะเข้าที่สีข้างอย่างจัง จนมันจุกและสบถลั่น
“เชี่ยเอ้ย...ทำกูหรือวะ”
ว่าแล้วก็กระโจนเข้าหาหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง แลกหมัดกันไปมาอุตลุด ทว่าโอกาสกลับมีทางขุนเขามากกว่า หลังใกล้จะหมดแรงกันไปทั้งคู่ เขาก็ใช้พลังเฮือกสุดท้าย ขว้างหมัดเข้าที่ปลายคางของไอ้โจรคนนั้น จนอีกฝ่ายสลบกลางอากาศ หล่นตุ๊บลงกองกับพื้น
แต่กระนั้นก็เล่นเอาเขาหมดเรี่ยวแรงไปเหมือนกัน ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งหอบอยู่กับพื้น ก่อนจะมองกระเป๋าใบนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดีใจ อย่างน้อยคิดว่าไอ้โจรคงจะไม่ลุกมาเอากระเป๋าใบนั้นลุกวิ่งไปต่อได้อีก
ไม่นานตำรวจท้องที่ก็เดินทางมาถึง หลังได้รับคำตอบจากคนที่เห็นเหตุการณ์ คนร้ายถูกจับกุมไปตามระเบียบและชายหนุ่มก็ได้นำกระเป๋ากลับไปคืนแก่เจ้าของในเวลาต่อมา
เขาเดินกลับมาทางเดิม ทอดสายตามองไปข้างหน้าก็มองเห็นกลุ่มคนที่มุงดูเหตุการณ์อย่างสนใจจึงเดินตรงเข้าไปที่นั่นในทันที
“นี่ครับ...”
ชายหนุ่มยื่นกระเป๋าให้กับสองสาวที่นั่งอยู่กับพื้น ซึ่งตอนนี้วัสนางค์ได้แก้ไขมณีกานดาให้ฟื้นแล้วและมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คนทั้งสองสบตากัน จนก่อเกิดกระแสบางอย่างขึ้น เป็นผลให้หญิงสาวต้องหลบสายตาของเขาในเวลาต่อมาอย่างเอียงอาย
“เอ่อ...”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น มณีกานดาคล้ายรู้สึกว่าตนจะเป็นลมอีกรอบ กรอบหน้าสวยแดงซ่าน ก่อนจะถูกวัสนางค์พยุงให้ลุกขึ้นและเป็นคนรับกระเป๋าใบนั้นมาจากชายหนุ่มแทน
“ขอบใจนายมากนะ”
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณ...” เขาเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้ม พร้อมกับได้เข้าไปช่วยวัสนางค์พยุงมณีกานดาให้ไปนั่งที่ร้านค้าร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“เอ่อ...ขอบ ขอบใจคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ขุนเขาตอบพร้อมกับคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“หน้าของนายมีเลือดด้วย...” วัสนางค์แทรกขึ้น เธอหันไปมองเขาอย่างนึกเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อนนะ”
วัสนางค์ที่กำลังจะเอื้อมมือไปที่กรอบหน้าของเขา หากแต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ขุนเขาหยัดกายลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อน...” มณีกานดาเอ่ยขึ้นมาในที่สุด ประกายตาคู่สวยเต็มไปด้วยความขอบคุณ
“ฉันอยากจะรู้จักชื่อของคุณ คุณชื่ออะไรคะ ฉันมณีกานดาส่วนนี่วัสนางค์เพื่อนของฉัน”
“ใช่...เรายังไม่รู้จักชื่อผู้มีพระคุณของเราเลย นายชื่ออะไร”
ขุนเขาคลี่ยิ้มอ่อนโยน เขามองกรอบหน้าสวยหวานของทั้งสองสาว ที่มีเอกลักษณ์ไปคนละแบบ แต่สำหรับมณีกานดาแล้ว ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสะกดให้หัวใจของเขาสั่นไหวกับแววตาชวนฝันนั้น
“ผมขุนเขาครับ เอ่อ...ขอตัวก่อนนะครับ”
ประโยคนั้นจบลง สายลมก็พัดวูบเข้ามาปะทะหน้าของหญิงสาว มณีกานดาหลับตาพริ้มและรู้สึกชาวูบไปทั่วร่างกาย เธอพยายามใช้สายตามองตามร่างที่จากไป ทว่าเสียงของเขากลับยังเด่นชัดในห้วงมโนนึกไม่รู้ลืม
ขุนเขา...ชื่อนี้เหมือนจะตรึงแน่นอยู่ในร่างกาย และที่สำคัญ ทั้งหัวใจ...
โอ...มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
ชัยได้ช่วยเหลือปุณชิกาขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ แต่กระนั้นหญิงสาวกลับหมดสติไปแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆ วางร่างบางลงกับพื้นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเขย่าเรียกเธอด้วยความเป็นห่วง
“คุณปูเป้ครับ คุณปูเป้...”
ร่างนั้นยังนิ่งไม่ไหวติง ก่อนความรู้สึกกลัวจะเข้าแทนที่ เขาเขย่ากรอบหน้าสวยนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนความคิดหนึ่งจะเข้าแทนที่ แล้ววิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็เริ่มขึ้น เขาเอื้อมมือลงไปวางทาบตรงตำแหน่งของหัวใจของหญิงสาว และปั้มอยู่เช่นนั้นอยู่ระยะหนึ่ง และก็หยุดมองหน้าของเธอ...
ผายปอด...คำนี้ไล่เวียนวนในหัวสมองและมันก็ยิ่งทำให้เขาลังเล เขาจะทำอย่างไรดี จะผายปอดเธอจริงๆ หรือ
แล้วถ้าไม่ช่วยล่ะ ปุณชิกาอาจจะเป็นอันตรายได้...
“ผมขอโทษนะครับ คุณปูเป้”
แล้วกรอบหน้าคมก็ก้มลงเอาปากทาบลงกับปากบาง ทำเช่นนั้นสลับกับการปั้มหัวใจอยู่อีกสามรอบ ก่อนร่างนั้นจะเริ่มมีปฏิกิริยา ร่างบางสำลักน้ำออกมา ชายหนุ่มมองกรอบหน้าสวยที่แดงซ่านด้วยความดีใจเป็นที่สุด
“คุณปูเป้...คุณฟื้นแล้ว คุณปูเป้”
เขย่าเรียกเธอได้สักระยะ ร่างบางก็เริ่มจะได้สติ เธอกรอกสายตามองไปโดยรอบด้วยสีหน้าตาตื่น ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่กรอบหน้าคมเขาที่อยู่ใกล้ๆ
“นายชัย...” เสียงแหบปร่าดังขึ้น ก่อนเธอจะโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาในทันที
“มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณปูเป้...”
“น้ำ ตกน้ำ ฉันตกน้ำ...” เธอสะอื้นไห้ ชัยจึงลูบที่เส้นผมสลวยของเธอแล้วพูดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ คุณปลอดภัยแล้วนะ”
“ฉันกลัว...ฉันกลัวน้ำ ฉันกลัว”
“อย่ากลัวเลยครับ ผมยังอยู่ทั้งคน ไม่มีอะไรแล้วนะครับ ผมจะไม่มีวันให้คุณปูเป้เป็นอะไร เชื่อผมนะครับ”
“นายชัย...”
ดวงตาคู่สวยที่ไหวระริกและอาบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาจ้องนิ่งที่กรอบหน้าคมของชัยอย่างรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขา ก่อนร่างที่สั่นเทานั้นจะโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
“ผมสัญญาครับว่าจะไม่มีวันทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้อีก คุณปูเป้”
/////
“หา...มันเกิดเรื่องนี้ได้ยังไง แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน” เมยาวีทะลึ่งตัวลุกขึ้นอย่างตกใจเมื่อน้ำบุษย์เข้ามารายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากชัยที่บัดนี้ได้พาปุณชิกาไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลแล้ว
“ตอนนี้ชัยได้พาคุณปูเป้ไปที่โรงพยาบาลค่ะ ส่วนคุณรติกรเธอหายตัวไปค่ะ ชัยเลยโทรมาบอกว่าให้คุณเหมยสั่งคนงานให้ช่วยตามหาคุณรติกรค่ะ”
“ตายแล้ว แล้วนี่ฉันจะทำยังไงเนี่ย” เจ้าของไร่สาวยกมือขึ้นทาบอก กรอบหน้าสวยซีดเผือดอย่างรู้สึกผิด
“เกิดอะไรขึ้นยายเหมย มีใครเป็นอะไร” วัสนางค์และมณีกานดาที่ยังไม่กลับ เดินเข้ามาในที่นั่นถามด้วยความแปลกใจ
“คือเกิดเรื่องขึ้นที่ท้ายไร่ค่ะ คุณปุณชิกาตกน้ำแต่ตอนนี้ชัยได้พาไปโรงพยาบาลแล้วค่ะ แต่คุณรติกรที่ไปด้วยกันสิคะ หายตัวไป”
“หา...หายตัวไป”
มณีกานดาเป็นอีกคนหนึ่งที่ยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนความรู้สึกนั้นจะมีผลต่อเรี่ยวแรงการทรงตัวของตนเอง จนเป็นผลให้เธอต้องทรุดกายลงนั่งบนโซฟาอย่างแรง
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง เหมย...”
หันมาทางเพื่อนสาว หากแต่กลับไม่ได้รับคำตอบอะไร เพราะขณะนี้เมยาวีก็อยู่ในลักษณะเดียวกับเธอเช่นกัน
วัสนางค์ที่มีสติดีกว่า จึงยื่นมือเข้ามาช่วยอีกแรง เธอหันไปสั่งการกับน้ำบุษย์ให้นำคนงานออกตามหารติกร
ก่อนจะเข้ามาปลอบทั้งสองเพื่อนสาว
“ไม่เป็นไรหรอกน่าเหมย คีน คุณรติเธอไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็ต้องตามกันพบ”
“แต่ฉันไม่คิดนี่ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในไร่ของฉัน ฝน คีน นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เมยาวีเสียงสั่นหวิว ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจม เช่นเดียวกับอาการเขินอายเมื่อครู่กลับหายไปอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้
“ไม่มีอะไรหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ เธอสองคนต้องตั้งสติให้ดีนะ แล้วก็ให้คิดว่ามันไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวเรื่องมันก็ดีเอง”
วัสนางค์เข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างเพื่อนสาว แล้วยกมือขึ้นลูบที่เส้นผมสลวยของทั้งสองเป็นเชิงปลอบใจ เช่นเดียวกับมณีกานดาและเมยาวีที่เริ่มจะคลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
ทั้งสามสาวนั่งรอข่าวอยู่ที่ในบ้านเป็นชั่วโมง ก่อนจะเห็นน้ำบุษย์วิ่งเข้ามาในที่นั่นอีกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างน้ำบุษย์” วัสนางค์รีบเข้าไปถาม เช่นเดียวกับเมยาวีและมณีกานดาที่รีบตามกันเข้ามายืนรอฟังผล
“เจอคุณรติกรแล้วค่ะ ตอนนี้บุษย์ให้นายคมพาคุณเธอไปโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ”
อาการโล่งอกจึงเข้าแทนที่ความตกใจ เมยาวีมีสีหน้าดีขึ้นตามลำดับ ก่อนจะยิ้มออกมาได้และชวนเพื่อนสาวทั้งสองไปที่โรงพยาบาล
“ฉันว่าเราตามกันไปที่โรงพยาบาลเถอะ”
“เกิดอะไรขึ้นครับ ผมเห็นคนงานในไร่วุ่นวายกันไปหมด” ยังไม่ทันที่จะได้ไปไหน จอมทัพก็เดินเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
“เกิดเรื่องนิดหน่อยค่ะ คุณจอมไปกับเรานะคะ เดี๋ยวฝนจะเล่าให้ฟังบนรถค่ะ” วัสนางค์ทำหน้าที่บอกชายหนุ่ม ก่อนจะรีบจูงแขนเพื่อนสาวตรงไปที่รถในทันที
////
ร่างของรติกรถูกส่งถึงมือหมออย่างปลอดภัย ขณะชัยที่ทราบเรื่องจึงรีบพาปุณชิกาซึ่งตรวจร่างกายแล้วพบว่าไม่เป็นอะไรมากมายังห้องฉุกเฉินในเวลาต่อมาเช่นกัน
มาถึงหน้าห้องฉุกเฉินได้ไม่นาน เมยาวี วัสนางค์ มณีกานดาและจอมทัพก็เดินทางมาถึง ยังไม่ได้คุยอะไรกันมากประตูห้องก็เปิดออก นายแพทย์ได้เดินออกมา...
“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณหมอ”
จอมทัพเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเลขาฯ สาวของตนเองเป็นยิ่งนัก เขาทราบเรื่องทั้งหมดบนรถระหว่างเดินทางมาที่โรงพยาบาล ทว่าสีหน้าที่ตอบรับกลับมาของคุณหมอกลับไม่ค่อยจะดีนัก
“เกิดอะไรขึ้นครับ หรือว่า...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอยังไม่ฟื้นก็เท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง
คือ...” นายแพทย์หยุดประโยคเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะทอดถอนใจออกมา
“อะไรครับ...”
“ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” เมยาวีเข้าไปยืนข้างกับจอมทัพแล้วถามด้วยความตกใจ ในใจของเธอรู้สึกกลัวไปต่างๆ นานา
“คือตอนก่อนที่คนไข้จะหมดสติไปนั้น หมอคิดว่าเธอได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาน่ะครับ อีกอย่างหนึ่ง แผลตรงที่ศีรษะของเธอนั้นอาจจะมีผลกระทบไปถึงระบบความจำ จนอาจจะเป็นผลให้เธอความจำเสื่อมน่ะครับ”
“ความจำเสื่อม!!!”
ทุกคนในที่นั่น ไม่แม้กระทั่งชัยและปุณชิกาต่างอุทานคำนั้นออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้
“โอ...คุณรติกร” มณีกานดายกมือขึ้นทาบอกและสงสารรติกรจับใจ
เช่นเดียวกับเมยาวีที่หน้าสลดลงไปในทันที เธอขยับเข้าไปซบที่ไหล่วัสนางค์อย่างหมดเรี่ยวแรง ไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะพากันมาเกิดขึ้นกับคนรู้จักของเธอ แถมคนนั้นยังเป็นแขกของไร่ศีตกรรณอีก
“หมอขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนครับคุณหมอ ผมขอเข้าไปเยี่ยมเธอจะได้ไหมครับ”
“คงยังไม่ได้หรอกครับ ในห้องเป็นห้องปลอดเชื้อ ทางเราให้เยี่ยมเป็นเวลาเท่านั้น ขอตัวก่อนนะครับ”
ว่าแล้วคุณหมอก็เดินจากไปในทันที ขณะชัยได้ก้มลงมองปุณชิกาอย่างนึกสลดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะพากันเงียบไปด้วยกันทั้งหมด
/////
เมยาวีมองหน้าของชัย สลับกับปุณชิกา คล้ายดั่งจะขอความจริงจากคนทั้งสอง ก่อนเธอจะหันไปถามผู้ญาติผู้น้องในทันที
“มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร ทำไมคุณรติถึงได้ไปพลัดตกที่เนินปู่ย่าได้” ชัยเงยหน้าขึ้นมองเมยาวี สลับกับทุกคนในที่นั่น ด้วยประกายตาขอโทษ ก่อนจะตอบคำนั้น
“ผมไม่รู้ครับ พอผมช่วยคุณปูเป้ที่ตกน้ำขึ้นมาได้ ก็ไม่เจอคุณรติแล้วครับ”
“แล้วทำไมเธอไม่โทรมาบอกพี่ คุณรติเธอเป็นแขกของเรานะ ทำไมเธอถึงได้ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้”
“ผมขอโทษ...”
เมื่อไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มากกว่าคำนั้น ชัยจึงก้มหน้าลงมองพื้นอีกครั้ง ขณะเมยาวีก็ทอดถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ เธอพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอาการออกมาให้ทุกคนเห็นว่าเธอกำลังอ่อนแอ
“ชัย...พี่ว่าเธอพาคุณปูเป้ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นไข้กันอีกรอบหรอก” วัสนางค์เข้ามาบอกกับหนุ่มรุ่นน้อง เธอไม่อยากจะให้เมยาวีคาดคั้นเขาไปมากกว่านั้น เท่านี้ชัยก็เจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมามากแล้ว
“ครับ...คุณปูเป้ เรากลับกันก่อนนะครับ”
ชายหนุ่มหันมาทางปุณชิกาที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ กับตัวเอง ทว่าปุณชิกากลับส่ายหน้าและเลือกที่จะขยับเข้าไปหาจอมทัพแทน
“ไม่...ฉันจะอยู่กับพี่จอมที่นี่ ให้ปูเป้อยู่กับพี่นะคะ ถ้าพี่จอมกลับ ปูเป้ค่อยกลับ”
จอมทัพมองกรอบหน้าสวยที่แดงซ่านของปุณชิกาสลับกับเมยาวีนิดหนึ่ง แล้วหันมามาปลอบและกล่อมญาติสาวอีกแรงหนึ่ง
“ปูเป้ครับ พี่ว่าน้องกลับไปก่อนเถอะนะ ดูสิเปียกไปหมดแล้ว เดี๋ยวจะเป็นหวัดกันพอดี เชื่อพี่นะคะ”
“แต่ปูเป้จะอยู่กับพี่จอมนี่คะ”
“เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน ขอรอเข้าเยี่ยมคุณรติและจัดการกับเรื่องทางนี้ก่อน ปูเป้เปียกและคงจะเหนื่อยมาก พี่ว่าเรากลับไปพักผ่อนที่ไร่ก่อนน่าจะดีนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
เธอเห็นด้วยในที่สุด เพราะคำพูดของจอมทัพเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอจะเชื่อฟัง ขณะชัยได้หันไปมองกรอบหน้าคมของจอมทัพด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแกมริษยา หากแต่เมื่ออีกฝ่ายหันมาทางเขา ชายหนุ่มจึงรีบเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ชัย...ผมฝากปูเป้ด้วยนะ”
เห็นรอยยิ้มและการฝากฝังจากอีกฝ่าย เขาก็ยิ้มออกมาได้ ก่อนจะชวนปุณชิกากลับไปในที่สุด
////
“เหมยขอโทษแทนน้องด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณรติต้องเป็นแบบนี้” เมยาวีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจอมทัพพร้อมกรอบหน้าที่รู้สึกผิดสุดๆ
ทว่าจอมทัพกลับคลี่ยิ้ม เขามองไปยังกรอบหน้าสวยหวานนั้น ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณไม่ผิดหรอกครับคุณเหมย อีกอย่างคุณชัยก็ไม่ได้ผิดด้วย มันเป็นอุบัติเหตุน่ะครับ”
“แต่มันเกิดที่ไร่ของเหมยนี่คะ ในฐานะเจ้าของสถานที่ เหมยคิดว่าเหมยจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องเหล่านี้ค่ะ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด”
“ไม่ครับ ผมก็บอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่ามันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใครโทษคุณหรอกและก็เชื่อว่าปูเป้กับคุณรติก็ไม่ได้โกรธคุณด้วย”
“คุณจอม...”
พูดได้แค่นั้นจริงๆ ความอัดอั้นที่มันจุกแน่นอยู่ในหัวใจก็พลันพากันกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่เอ่อไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนร่างบางจะถูกจอมทัพดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
วัสนางค์และมณีกานดาที่ยืนอยู่ห่างๆ ทั้งสองสาวหันมาส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะพากันเดินเลี่ยงออกจากตรงนั้นไปอย่างเงียบๆ
////
“ดูเหมือนว่าคุณจอมทัพจะมีความรู้สึกบางอย่างกับยายเหมยนะ มันไม่ใช่แค่เพื่อนของเราคนเดียวแล้วล่ะคีน” วัสนางค์ทำหน้าเพ้อฝันและหันมาทางเพื่อนสาวที่เดินเคียงคู่มาด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าดีใจเช่นกัน
“มันก็ดีไม่ใช่หรือ ถ้าคุณจอมทัพกับยายเหมยลงเอยกัน พวกเราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะกลัวยายเหมยจะเป็นบ้าที่ยังลืมนายปูนไม่ได้”
“ใช่ ลืมได้ก็ดีแล้วล่ะ”
“ให้ยายเหมยเริ่มต้นชีวิตใหม่สักที เราจะได้สบายใจ” มณีกานดาเอ่ย ก่อนจะพากันเดินมายังด้านนอกโรงพยาบาล หาร้านอาหารสักร้านเพื่อจะนั่งฆ่าเวลาระหว่างรอเข้าเยี่ยมไข้รติกร
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นในช่วงวันสองวันนี้ ทำไมมีแต่เรื่องที่ร้ายแรงและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับพวกเธอตั้งหลายอย่าง เมยาวีได้พบกับจอมทัพและได้รักเขา แล้วพวกเธอล่ะ เนื้อคู่ของพวกเธออยู่ที่ไหนกัน เมื่อไรจะออกมาให้พวกเธอได้รู้จักและรักสักที
ทั้งสองคิดเช่นนั้นจริงๆ โดยเฉพาะมณีกานดาที่ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าคู่แท้ของเธอจะต้องได้เจอกับเธอในไม่ช้านี้ และเธอยังจะเชื่อว่า เมยาวีจะต้องสมหวังกับความรักที่มีต่อจอมทัพอย่างแน่นอน โลกใบนี้มันคงไม่โหดร้ายเสมอไปหรอก
“ฝน...ทำไมวันนี้ตาขวาของฉันกระตุกไม่หยุดเลยนะ นี่แน่ะ กระตุกอีกแล้ว” ระหว่างการสนทนากันในร้านอาหารแห่งนั้น มณีกานดาก็เอ่ยแทรกขึ้น เพื่อเปิดประเด็นใหม่กับเพื่อนสาว
โบราณว่า ขวาร้าย...ซ้ายดี แล้วนี่มันจะเกิดเรื่องร้ายอะไรกับเธออีก
“ตายละเธอ ฉันว่าเราจะต้องไปทำบุญกันเสียแล้วล่ะ โบราณเขาทักว่ามันไม่ดีนะ”
“ไม่ดี...เอ่อ ฉัน จะทำยังไงดี” มณีกานดาเริ่มลังเลและรู้สึกกลัวกับสิ่งที่คิด ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ปลอดภัยกับเธอขึ้น
“ฉันว่าวันนี้โอกาสเหมาะ เราไปทำบุญกันเถอะ”
“ทำบุญ...”
“ใช่ทำบุญ ไปวัดแถวนี้ก็ได้ เราไปกันเถอะนะ” เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้ว ทั้งสองสาวก็พากันมายังวัดแห่งนั้นที่อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลในทันที
ทั้งสองสาวซื้อสังฆทานมาถวาย พอได้ฟังพระเทศน์และกรวดน้ำแล้ว ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะมณีกานดา ที่พอจะลืมเรื่องตาของเธอกระตุกไปชั่วขณะ
“ทำบุญแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือยัง คีน”
“อือ...ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ใจฉันก็สบายขึ้นด้วย” มณีกานดาบอกพร้อมกับสีหน้าที่สดใสมากขึ้นกว่าเดิม
“ที่นั่นมีการทำบุญช่วยเหลือคนยากไร้ด้วย ฉันว่าเราไปทางนั้นกันเถอะ”
เลื่อนสายตาไปเห็นป้ายบอกบุญ วัสนางค์จึงพาเพื่อนสาวไปทางนั้นในทันที หลังการทำบุญทำทานเรียบร้อย โดยปิดท้ายด้วยการปล่อยปลา ทั้งสองสาวจึงเดินมาหยุดนั่งพักศาลาริมน้ำของวัด
“นานแล้วนะที่เราไม่ได้มาทำบุญกันแบบนี้”
มณีกานดาเปรยขึ้น เธอคลี่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับทอดสายตามองไปยังแม่น้ำสายนั้นที่ไหลเอ่ยอย่างเชื่องช้าสงบนิ่ง
“ใช่ เมื่อกี้ก็ลืมชวนยายเหมยมาด้วย”
“คงจะไม่ดีมั้ง ปล่อยให้ยายเหมยอยู่กับคุณจอมทัพก่อนเถอะ”
“อืม...จริงด้วย เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”
วัสนางค์หยัดกายขึ้นอีกครั้ง บิดกายไปมาด้วยความเมื่อยขบ ก่อนจะหันมาชวนเพื่อนสาวกลับเพราะเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเข้าเยี่ยมรติกรแล้ว
“ฉันว่าเรากลับไปที่โรงพยาบาลกันเถอะ ใกล้จะถึงเวลาเข้าเยี่ยมคุณรติแล้วล่ะ”
แล้วทั้งสองสาวก็พากันเดินออกมาจากวัดแห่งนั้นอย่างอารมณ์ดี ทว่าพวกเธอกลับไม่ได้เฉลียวเลยว่าเวลานั้นมีใครคนหนึ่งตามมาอย่างเงียบๆ และพอเดินมาถึงตรงทางโค้งแห่งหนึ่ง ประกอบกับการเป็นที่โล่ง ปลอดคน ชายคนนั้นก็ปฏิบัติการในทันที
มันวิ่งมาชนมณีกานดา พร้อมกับกระชากกระเป๋าของหญิงสาวและวิ่งจ้ำอ้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทั้งสองสาว ต่อสิ่งที่มันกะทันหันและไม่ทันได้ตั้งตัว
“ว้าย...”
“ว้าย...ช่วยด้วย คนกระชากกระเป๋า”
วัสนางค์ที่ได้สติก่อนเพื่อนสาวตะโกนลั่นเพื่อขอความช่วยเหลือ หากแต่ก็ต้องหยุดเอาไว้เพียงแค่นั้นเมื่อร่างบางของมณีกานดาที่ตกใจสุดขีดและทานทนต่อความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้ ล้มลงมาซบที่หัวไหล่ เธอจึงเลือกเข้ามาช่วยรับเพื่อนสาวเอาไว้เป็นอันดับแรกก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ล้มลงไปกับพื้น
“ยายคีน...ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยด้วย มีคนกระชากกระเป๋าค่ะ...ยายคีน อย่าเป็นอะไรนะ คีน...”
/////
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับที่เขาหันไปตามเสียงร้องเรียก เห็นหญิงสาวคนหนึ่งร้องโวยวายและมีชายอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ชายหนุ่มพอจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในเวลานั้น
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เพราะสถานการณ์มันไม่เคยรอใคร ร่างในชุดเสื้อยืดกางเกงยืนส์สีขาวจึงรีบวิ่งตามคนกระชากกระเป๋าไปในทันที
“หยุดโว้ย...หยุดนะโว้ย”
เจ้าคนร้ายก็ไวอย่างกับอะไรดี แต่มันก็คงจะไม่พ้นไปจากอดีตนักวิ่งลมกรดของโรงเรียนอย่างชายหนุ่มไปได้หรอก เขาวิ่งจ้ำตามไอ้คนนั้นได้สักระยะ ก่อนจะหยุดมันได้ด้วยการกระโจนเข้าหามันในระยะหนึ่งเมตรสุดท้าย
คนทั้งคู่ล้มกลิ้งโคโร่ลงไปบนพื้นพร้อมๆ กัน ก่อนกระเป๋าของมณีกานดาจะกระเด็นไปอีกทาง ไอ้โจรห้าร้อยพยายามตะเกียกตะกายหนี หากแต่ชายหนุ่มกลับยึดข้อเท้าของมันเอาไว้ได้เสียก่อน
“ปล่อยโว้ย...ปล่อยกู”
“ไม่ปล่อย นี่แน่ะ”
ว่าพร้อมกับขว้างหมัดใส่ไอ้คนนั้นแบบไม่ยั้ง หากแต่ไอ้คนร้ายเมื่อหมดหนทางหนี มันก็คิดต่อสู้ พอหยัดกายลุกขึ้นได้ ทั้งหมัดทั้งเท้าก็กระหน่ำมาแบบไม่ยั้ง จนชายหนุ่มโดนไปหลายหมัดและมึนไปเหมือนกัน
วืด...ผัวะ
เป็นจังหวะเดียวที่โดนจังๆ เข้ากับดั้งจมูกของเขาจนเลือดไหล ชายหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับไอ้วายร้ายที่ตั้งตัวได้ มันไม่รอช้ารีบตะกายไปหยิบกระเป๋าและทำท่าจะวิ่งออกไปอีกครั้ง
หากแต่...มันก็ไม่อาจไปต่อได้ เมื่อโดนเท้าของชายหนุ่มเตะเข้าที่สีข้างอย่างจัง จนมันจุกและสบถลั่น
“เชี่ยเอ้ย...ทำกูหรือวะ”
ว่าแล้วก็กระโจนเข้าหาหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง แลกหมัดกันไปมาอุตลุด ทว่าโอกาสกลับมีทางขุนเขามากกว่า หลังใกล้จะหมดแรงกันไปทั้งคู่ เขาก็ใช้พลังเฮือกสุดท้าย ขว้างหมัดเข้าที่ปลายคางของไอ้โจรคนนั้น จนอีกฝ่ายสลบกลางอากาศ หล่นตุ๊บลงกองกับพื้น
แต่กระนั้นก็เล่นเอาเขาหมดเรี่ยวแรงไปเหมือนกัน ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งหอบอยู่กับพื้น ก่อนจะมองกระเป๋าใบนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดีใจ อย่างน้อยคิดว่าไอ้โจรคงจะไม่ลุกมาเอากระเป๋าใบนั้นลุกวิ่งไปต่อได้อีก
ไม่นานตำรวจท้องที่ก็เดินทางมาถึง หลังได้รับคำตอบจากคนที่เห็นเหตุการณ์ คนร้ายถูกจับกุมไปตามระเบียบและชายหนุ่มก็ได้นำกระเป๋ากลับไปคืนแก่เจ้าของในเวลาต่อมา
เขาเดินกลับมาทางเดิม ทอดสายตามองไปข้างหน้าก็มองเห็นกลุ่มคนที่มุงดูเหตุการณ์อย่างสนใจจึงเดินตรงเข้าไปที่นั่นในทันที
“นี่ครับ...”
ชายหนุ่มยื่นกระเป๋าให้กับสองสาวที่นั่งอยู่กับพื้น ซึ่งตอนนี้วัสนางค์ได้แก้ไขมณีกานดาให้ฟื้นแล้วและมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คนทั้งสองสบตากัน จนก่อเกิดกระแสบางอย่างขึ้น เป็นผลให้หญิงสาวต้องหลบสายตาของเขาในเวลาต่อมาอย่างเอียงอาย
“เอ่อ...”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น มณีกานดาคล้ายรู้สึกว่าตนจะเป็นลมอีกรอบ กรอบหน้าสวยแดงซ่าน ก่อนจะถูกวัสนางค์พยุงให้ลุกขึ้นและเป็นคนรับกระเป๋าใบนั้นมาจากชายหนุ่มแทน
“ขอบใจนายมากนะ”
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณ...” เขาเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้ม พร้อมกับได้เข้าไปช่วยวัสนางค์พยุงมณีกานดาให้ไปนั่งที่ร้านค้าร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“เอ่อ...ขอบ ขอบใจคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ขุนเขาตอบพร้อมกับคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“หน้าของนายมีเลือดด้วย...” วัสนางค์แทรกขึ้น เธอหันไปมองเขาอย่างนึกเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อนนะ”
วัสนางค์ที่กำลังจะเอื้อมมือไปที่กรอบหน้าของเขา หากแต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ขุนเขาหยัดกายลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อน...” มณีกานดาเอ่ยขึ้นมาในที่สุด ประกายตาคู่สวยเต็มไปด้วยความขอบคุณ
“ฉันอยากจะรู้จักชื่อของคุณ คุณชื่ออะไรคะ ฉันมณีกานดาส่วนนี่วัสนางค์เพื่อนของฉัน”
“ใช่...เรายังไม่รู้จักชื่อผู้มีพระคุณของเราเลย นายชื่ออะไร”
ขุนเขาคลี่ยิ้มอ่อนโยน เขามองกรอบหน้าสวยหวานของทั้งสองสาว ที่มีเอกลักษณ์ไปคนละแบบ แต่สำหรับมณีกานดาแล้ว ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสะกดให้หัวใจของเขาสั่นไหวกับแววตาชวนฝันนั้น
“ผมขุนเขาครับ เอ่อ...ขอตัวก่อนนะครับ”
ประโยคนั้นจบลง สายลมก็พัดวูบเข้ามาปะทะหน้าของหญิงสาว มณีกานดาหลับตาพริ้มและรู้สึกชาวูบไปทั่วร่างกาย เธอพยายามใช้สายตามองตามร่างที่จากไป ทว่าเสียงของเขากลับยังเด่นชัดในห้วงมโนนึกไม่รู้ลืม
ขุนเขา...ชื่อนี้เหมือนจะตรึงแน่นอยู่ในร่างกาย และที่สำคัญ ทั้งหัวใจ...
โอ...มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2555, 20:32:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2555, 20:32:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 1818
<< ตอนที่ ๑๐ บทลงโทษของสาวลักไก่ (๒) | ตอนที่ ๑๒ รัก...ไม่อาจห้ามใจ >> |