เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด

ตอน: ตอนที่ ๔ เจ้าจันทร์งาม

ตอนที่ ๔

ดึกเต็มทีแล้ว หากเจ้าน้อยภูมินทร์ เจ้าราชบุตรหนุ่มแห่งเวียงยากลับนอนไม่หลับ เพราะภาพงามของเจ้านางจันทร์มาฉายชัดในห้วงมโนความคิด

เมื่อนอนไม่หลับ เจ้าหนุ่มจึงมานั่งเท้าคางอยู่ที่ริมหน้าต่าง พรางทอดถอนใจอยู่หลายครั้ง

เจ้าจันทร์งาม...นางช่างงามนัก งามขนาด

งามถึงขนาดกับมีอิทธิพลมากนักในหัวใจของเจ้าราชบุตรหนุ่ม แถมยังยิ่งทำให้หัวใจนั่นเต้นแรง เลือดกายหนุ่มสูบฉีดจนไม่อาจควบคุมได้

จันทร์เจ้าทีซึ่งลอยเด่นอยู่ปลายฟ้า กลับกลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าน้อยผินมองและใช้แสงนวลๆ นั้นต่างใบหน้าของแม่หญิงคนงามซึ่งมักจะเปล่งประกายแสงงามออกมาจากกายนาง

ดวงหน้าสวยน่ารัก คิ้วบางโก่งงามได้รูป จมูกนั้นก็เชิดนิดๆ อย่างน่ารักน่าใคร่ ไล่ลงมายังเรียวปากสวย
รูปกระจับน่าเอาเรียวปากไปทาบทับ สองแก้มนวลปลั่งดั่งเอาสีชาดมาทาแต้ม ทั้งหมดทั้งมวลเข้ารูปจนกลายเป็นกรอบหน้าที่สวยสม เหนือเกศขึ้นไปเป็นผมเส้นสลวยซึ่งม้วนเกล้าเอาไว้เหนือหัว ปักแซมเอาไว้ด้วยดอกไม้ไหวแลปิ่นเงินรูปจ้องอย่างสวยงาม

เจ้าน้อยยอมรับ แม่หญิงผู้นั่น ช่างเป็นเพียงแม่หญิงคนเดียวที่เขาเคยพบปะมา บ่เคยมีใครงามเท่ากับเจ้านางน้องผู้นี้สักน้อยก็บ่มี

“เจ้าจันทร์งาม...เจ้างามอย่างจันทร์ฟ้าฉายฉาน เจ้าช่างงามนักงามหลาย”

////

เจ้าจันทร์งาม...สรรพสำเนียงอันคุ้นหู ดั่งกับจะพัดพามาจากที่อันไกลแสนไกล สายลมเย็นพัดเข้ามาทางบานหน้าต่างซึ่งเปิดอ้า วูบนั้นจึงทำให้ภูริตฟื้นตื่นขึ้นมาจากนิทรารมณ์อีกครั้ง

กรอบหน้าคมแดงซ่าน ในยามที่เงยหน้าขึ้น ความรู้สึกถวิลหาและหลากหลายอย่างยังคงแล่นวนอยู่ในอก ดวงตาคู่คมไล่มองไปรอบๆ ห้องของตนเองอย่างค้นหา เหมือนดั่งว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งได้เดินทางไปในสถานที่อีกแห่ง
หนึ่ง...หากคุ้นเคย

เขาก้มลงมองที่พื้นโต๊ะ ซึ่งตนฟุบนอนเมื่อครู่ ก่อนดวงตาจะไปสะดุดกับหินรูปร่างประหลาดก้อนนั้น ประกายความคิดถูกจุด พร้อมกับคำถาม

เพราะหินก้อนนี้สินะที่ทำให้เขาฝันเป็นตุเป็นตะอย่างเมื่อครู่

ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม หลังได้หินก้อนนี้มา มักจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดหลากหลายอย่างกับตัวเขา จนบางครั้งนึกสงสัย

มันเกี่ยวอะไรกับตัวของเขากันแน่...

แล้วหินก้อนนี้ กำลังจะบอกอะไรกับเขา

คำตอบนั้นน่าจะมีมากกว่าในสิ่งที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่มากนัก

คุ้นเคย สัมผัสแห่งความรู้สึกดีใจ ห้วงความคิดถึงถวิลหา กับรักแรกที่เจ้าน้อยภูมินทร์ ตัวละครหนุ่มซึ่งเด่นชัดในความฝัน

แม้จะเป็นความฝัน ทว่าชายหนุ่มยืนยัน ตนเหมือนดั่งจะได้กลับกลายเป็นบุรุษผู้เพียบพร้อมผู้นั้นและความรู้สึกในหัวใจ มันอาจจะไม่ต่างกันนัก

รักแรกพบ...กับเจ้านางผู้งามหยาดฟ้ามาดินผู้นั้น

ร่างสูงยืนขึ้นอีกครั้ง เขาบิดเอาความเกลียดคร้านที่มันแล่นวนอยู่ในตัวให้ผ่อนคลาย เจ้าหนุ่มเพียรทอดถอนใจอยู่หลายครั้ง ก่อนสายตาจะก้มลงไปมองยังหินก้อนเดิมบนโต๊ะอีกครั้งและหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้

‘คำตอบอยู่ที่เจ้า เจ้าน้อย...’

พลันในความรู้สึกอันมากล้นกลับทำให้เขาคิดถึงความคิดของอีกสิ่งหนึ่ง ที่เหมือนจะคอยสั่งการอยู่ข้างๆ หู ตลอดเวลา นับตั้งแต่ขออาสาตามคณะคณาจารย์ของกรมศิลป์ฯ ไปสำรวจที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน ซึ่งในอดีตคือวรนคร ตลอดการได้หินก้อนนี้มาจากวัดเชียงหมิ่น

วรนคร...วัดเชียงหมิ่น...เจ้าจันทร์งามและความฝันที่ผ่านไปเมื่อครู่ กำลังจะบอกอะไรกับเขากันแน่นะ

คำตอบอยู่ที่เจ้า เจ้าน้อย...

เจ้าน้อย...เจ้าน้อยภูมินทร์อย่างนั้นหรือ

คำตอบอยู่ที่เจ้าน้อยภูมินทร์ แล้วเขาจะไปตามหาชายผู้นี้ได้ที่ไหน และ...อย่างไร

////

หลังทานอาหารเช้าและผู้เป็นบิดาออกไปทำงานแล้ว ในตอนที่กำลังจัดเก็บจานชามบนโต๊ะนั้น จันทร์เจ้าจึงได้เอ่ยถามมารดา หลังจากที่ได้เก็บความสงสัยมาร่วมชั่วโมง

“เอ่อ...คุณแม่คะ”

“มีอะไรหรือลูก” นางเพ็ญหันมาทางผู้เป็นบุตรสาว ประกายตาสงสัยฉายชัด

“ดอกพุดซ้อน ในภาษาพื้นเมืองล้านนาของเรา เรียกดอกเก็ตถวาหรือคะ”

หลังคำถามเหล่านั้นพรั่งพรูออกมา ดูเหมือนว่าถ้อยความสงสัยดังกล่าวจะยิ่งฉายชัดบนใบหน้าของผู้เป็นมารดา
เป็นยิ่งนัก

จันทร์เจ้ากำลังจะถามนางเกี่ยวกับดอกพุดซ้อน หรือดอกเก็ตถวา เพื่อสิ่งใดกันแน่นะ

“ใช่แล้วจ้ะ แล้วลูกจะถามไปทำไมล่ะ”

“หนูอยากจะรู้ค่ะ ชื่อของมันสะดุดดีนะคะ เก็ตถวา อีกอย่างหนูก็เพิ่งรู้นะคะว่าดอกพุดซ้อนจะมีชื่อแบบนี้ด้วย”

“ใช่แล้วล่ะจ้ะ เก็ตถวาคือดอกพุดซ้อน ส่วนดอกพุดเฉยๆ เราจะเรียกว่าดอกพุดอินถวา เป็นภาษาเหนือทั้งหมดนั่นแหละ อย่างดอกปีบนี่ บ้านเราก็เรียกว่ากาสะลอง ดอกต๋าหล่อมก็ดอกบานไม่รู้โรย ส่วนสะบันงา ก็ดอกกระดังงา”

นางเพ็ญคลี่ยิ้ม ไขความกระจ่าง

“แต่ละชื่อเพราะจังเลยนะคะ เก็ตถวา อินถวา กาสะลอง สะบันงา ถึงต๋าหล่อมจะแปลก แต่ก็บอกความเป็นล้านนาดีนะคะ”

หญิงสาวหลุบเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า รู้สึกเคลิ้มกับคำพูดของมารดากับชื่อไม้ดอกหลากชนิด ที่เธอก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

แม้จะเป็นสาวชาวเหนือ แต่ด้วยเป็นคนหัวสมัยใหม่ ความรู้หลากหลายเรื่องกลับไม่มีเอาเสียเลย

โดยเฉพาะเรื่องดอกไม้...

“อย่างผักหละ บ้านเราเรียกแบบนี้ แต่พี่น้องชาวภาคกลางเขาเรียกชะอมจ้ะ”

“จริงหรือคะ เห็นทีคราวนี้จันทร์จะต้องไปศึกษาอีกเยอะแล้วล่ะคะ เป็นคนเหนือทั้งที เกิดมีคนถามมา ถ้าตอบไม่ได้ก็อายเขาแย่เลย”

เธอยกมือขึ้นมากุมระหว่างอก ความหวังครั้งใหม่นั่นก็คือเธอจะต้องศึกษาเรื่องราวของวัฒนธรรมดั่งเดิมที่เริ่มจะเลือนหายของท้องถิ่น ซึมซับให้มากที่สุด เพื่อตนจะได้กลายเป็นอีกผู้หนึ่งที่สืบสานสิ่งเหล่านี้ต่อไป

ใจหวังเช่นนั้น...หากทุกอย่างกลับมากกว่าที่คิดนัก

“ตามใจสิจ๊ะ มีอะไรก็ถามแม่ได้นะ อ้อ...ถามย่าบัวคำด้วยสิ น่าจะได้ความรู้มากกว่า”

/////

ความตั้งใจที่อยากจะรู้ประวัติหรือนิทานเรื่องเจ้าจันทร์งามถูกพักเอาไว้ชั่วขณะ เสมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างบอกกับหญิงสาวว่า หากต้องการรู้เรื่องเหล่านี้ ควรจะเริ่มต้นที่ไม้ดอกปริศนาดอกนั้นเสียมากกว่า

ดอกพุดซ้อน...ดอกเก็ตถวา

ผู้ที่จุดประกายความคิดและทำให้หญิงสาวรับรู้เรื่องของชื่อไม้ดอกชนิดนี้ก็คือย่าบัวคำ

บางที คำตอบอาจจะมากกว่านั้น หากเธอไปเสาะหา

วันนี้ได้โอกาสดี หญิงสาวจึงเดินทางมายังบ้านเรือนไทยทรงล้านนาอันร่มรื่นอีกครั้ง

หญิงสาวเชื่อ ย่าบัวคำเป็นคนเฒ่าคนแก่อีกคนหนึ่งในหมู่บ้าน ความรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับดอกไม้พวกนี้ โดยเฉพาะดอกเก็ตถวา จะให้คำตอบกับเธอไม่มากก็น้อย

สายลมพัดรำเพย พัดพาเอาความหอมของไม้ดอกนานาชนิดลอยโชยไปจนทั่วบริเวณ บ้านหลังนี้หญิงสาวคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะหากจะนับแล้ว ย่าบัวคำก็เป็นญาติห่างๆ ทางฝ่ายของมารดาเธอเช่นกันและตอนเด็กๆ เธอก็มักจะมาที่นี่จนคุ้นชิน แต่พอเติบโตขึ้นจึงห่างหายไปบ้างเป็นบางครั้ง

ย่าบัวคำเป็นหญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่าปี นางอยู่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว เนื่องเพราะสามีเพิ่งเสียไปเมื่อปีก่อน ส่วนลูกๆ ก็ทำงานทำการกันอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่อมีเทศกาลสำคัญหรือมีวันหยุดยาวนั่นแหละ จึงได้กลับมาเยี่ยมคุณย่าสักครั้ง

ก็ได้บ้านของจันทร์เจ้านี่แหละที่ช่วยดูแลให้อย่างใกล้ชิด

ย่าบัวคำเป็นคนขยันชอบปลูกต้นไม้ จึงไม่ผิดเลยที่รอบๆ บ้านของนางจะมีแต่ไม้ดอกไม้ประดับ ปลูกแซมอยู่ทั่ว ในยามที่มันออกดอกพร้อมเพรียงกัน ก็ส่งกลิ่นหอมและสร้างภาพที่สวยงามให้กับเรือนไม้หลังนี้ได้เป็นอย่างดี

ที่ประจำของหญิงชราก็คงจะไม่พ้นไปจากซุ้มศาลาริมสระบัวนั่นแหละ ซึ่งที่ซุ้มนั้นก็คือตำแหน่งเดียวกับที่จันทร์เจ้ามาในตอนเช้านั่นเอง

บัดนี้หญิงชรากำลังนอนพักอยู่บนเก้าอี้ไม้โยกตัวใหญ่ หันหน้าออกไปมองหมู่มวลไม้ดอกที่กำลังออกดอกสะพรั่งด้วยความสดชื่นในหัวใจ

จันทร์เจ้าเห็นดังนั้นจึงเยื่องกายระหงตรงไปหาย่าบัวคำทันที

“สวัสดีอีกครั้งค่ะ คุณย่าบัวคำ”

“อืม...ไหว้สาเถิดหลาน มะ มานั่งก่อนสิ”

หญิงชราขยับตัวลุกขึ้นพร้อมเชื้อเชิญ จันทร์เจ้าจึงเดินเข้าไปลากเก้าอี้ข้างๆ มานั่งตรงหน้ากับหญิงชรา ประกายตาคู่สวยมองนิ่งที่กรอบหน้านั้นไม่วาง

“มีอะไรจะถามย่าล่ะ หนูจันทร์”

เห็นแววตาลักษณะนี้แล้วไหนเลยว่าย่าบัวคำนางผู้ที่ผ่านโลกมานานจะไม่รู้ว่าแม่หนูตรงหน้าต้องการอะไร

“หนูอยากจะรู้จักดอกเก็ตถวาให้มากกว่านี้ค่ะ เพราะอะไรถึงได้เรียกว่าเก็ตถวา เค้ามีสิ่งไหนสำคัญบ้างละคะ หนูอยากจะรู้เพื่อประดับความรู้ค่ะ”

ย่าบัวคำคลี่ยิ้มอีกครั้ง ประกายตาอ่อนโยนหลังจากที่มองใบหน้าเกลี้ยงมนของหญิงสาวแล้ว ก็แลเลยไปยังไม้พุ่มตัวปัญหา ที่พาให้หญิงสาวกลับมาหานางอีกครั้งในวันนี้

“ดอกเก็ตถวา เป็นภาษาล้านนาของหมู่เฮาเอง ก็อย่างที่รู้ว่ามันคือดอกพุดซ้อน อย่างกับดอกปีบของชาวภาคกลางน่ะแหละ ที่เราเรียกว่าดอกกาสะลอง ไม้ทั้งสองนี้หอมนัก คนเฒ่าคนแก่เปิ้นชอบที่จะเอาไปบูชาพระเจ้าที่วัด”

“กลิ่นของมันหอมจริงๆ นะคะ” จันทร์เจ้าช่วยเสริมอีกแรงหนึ่งด้วยรอยยิ้มพึงใจ

“นอกจากจะหอมแล้ว สรรพคุณของเก็ตถวาก็มีมากหลาย ถ้าจะให้แม่ย่ามาอู้หื้อฟังก็คงจะยาวสักหน่อย เอาเป็นว่า สรรพคุณอีกอย่างหนึ่งของเก็ตถวา ก็คือให้ความหอม คนบ่าก่อนนั้นเปิ้นเอามาเสียดแซมผม ทำหื้อผมหอม ด้วยกลิ่นของดอกไม้ ทั้งยังเป็นไม้ดอกซึ่งเจ้าจันทร์งามเปิ้นชอบขนาดด้วย”

“เจ้าจันทร์งามหรือคะ” ในยามที่ได้ยินชื่อนี้แล้ว ความปีติก็พลันบังเกิดอย่างไม่รู้ตัว เธอคิดไปถึงนิทานซึ่งก็ได้คุณย่าบัวคำนี่แหละที่เล่าให้ฟัง

ทว่า...เวลานี้เรื่องราวเหล่านั้นกลับเลือนรางเต็มทีแล้ว

“ใช่...เจ้าจันทร์งาม นิทานพื้นบ้านแม่หญิงล้านนาที่ย่าเคยเล่าให้ฟังอย่างไรล่ะ หนูจันทร์จำได้หรือเปล่า”

“จำได้ค่ะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเริ่มจะเลือนรางไปแล้วล่ะค่ะ อย่างนี้แล้ว จันทร์คงจะต้องรบกวนคุณย่าบัวคำ เล่าเรื่องราวของเจ้าจันทร์งามให้จันทร์ฟังอีกครั้งแล้วล่ะค่ะ”

“อืม...จริงๆ ด้วยเนอะ ตอนนั้นหนูจันทร์อายุแค่สิบขวบเอง เวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาคงจะลืมกันไปบ้างเอา เจ้าจันทร์งามเปิ้นชอบเอาดอกเก็ตถวามาทัดที่หูด้วยนะ เปิ้นว่ามันหอมนัก”

“เรื่องราวมันเป็นยังไงบ้างคะ หนูชักอยากจะฟังอีกรอบแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ชักจะจำไม่ได้แล้วจริงๆ จำได้แต่ชื่อของเจ้าจันทร์งามกับเจ้าน้อยภูมินทร์เท่านั้นค่ะ คุณย่าเล่าให้จันทร์ฟังอีกครั้งนะคะ...นะคะ”

หญิงสาวทำเสียงอ้อน ก่อนจะเคลื่อนตัวลงไปคุกเข่าที่พื้น พร้อมกับกอดแขนของอีกฝ่ายเอาไว้คล้ายขอความเห็นใจ

ย่าบัวคำไม่พูดอะไร เอาแต่แย้มยิ้ม ต้นแบบของแม่หญิงล้านนานั้น หนึ่งนางในดวงใจที่ย่าบัวคำนับถือก็คือเจ้าจันทร์งามผู้งามพร้อมผู้นี้แหละ

นอกจากจะความงามที่หาใครเหมือนแล้ว ความรักของนางยังเป็นเครื่องหมายบ่งบอกได้ถึงหญิงที่ซื่อสัตย์ต่อความรักได้เป็นอย่างดี

จะหาน้ำใจแม่หญิงคนไหนเท่าเจ้าจันทร์งามนั้นไม่มีอีกแล้ว

“หนูจันทร์จะให้ย่าเล่าให้ฟังจริงๆ รึ บอกก่อนนะว่าย่ามีก็เริ่มจะจำไม่ได้แล้วนะ อาจจะลืมบางท่อนบางตอนไปบ้าง”

“ค่ะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงแล้วจันทร์ก็เชื่อว่าคุณย่าจะไม่ทำให้จันทร์ผิดหวังอย่างแน่นอน”

ในยามนั้น พลันสายลมที่พัดวูบเข้ามาปะทะหน้าของหญิงสาว ก็เหมือนจะยิ่งทำให้เธอตะลึง พลันสายตาที่เหลือบเลยไปทางด้านหลังของหญิงชราบ่งบอกชัดถึงสิ่งที่เห็น

เธอเชื่อตนเองว่าไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอน

“คุณย่าคะ...”

จันทร์เจ้าหยัดกายลุกขึ้น หากเมื่อลับร่างของหญิงชราที่ผุดลุกตาม หลังเห็นกิริยาที่เหมือนตกใจของหญิงสาว ก่อนจะหันไปตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปเป็นเชิงบอกให้มองตาม ภาพนั้นกลับไม่มีอีกแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นหนูจันทร์”

“เมื่อกี้หนูเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นลำไยค่ะ”

“ใครกัน...ย่าอยู่คนเดียวนะ อีกอย่างใครจะเข้ามาในบ้านนี้ได้ถ้าไม่ผ่านจากทางประตูบ้านซึ่งอยู่ด้านหน้า
ของเรา”

“แต่หนูเห็นจริงๆ นะคะ พอหนูลุกขึ้น ภาพนั้นก็หายไปเลยค่ะ”

“ย่าว่าหนูจะต้องตาฝาดอย่างแน่นอน”

“เอ่อ...ค่ะ”

จำเป็นที่จะเก็บงำเรื่องนี้ลงไปชั่วขณะ แม้ว่าใจจริงนั้นเธออยากจะรู้เหลือเกินว่าคนนั้นเป็นใคร

เธอยืนยัน ตนไม่ได้ตาฝาด ก็เห็นชัดๆ ว่าร่างของหญิงคนนั้นยืนอยู่ด้วยชุดเสื้อปั๊ดพื้นเมืองสีเนื้อ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นเงินรูปร่ม กรอบหน้าของนางนั้นสวยหวานเหลือเกิน สวยจนเธอก็อดจะอิจฉาไม่ได้ แม้จะเห็นจากที่ไกลๆ ทว่าเธอกลับยืนยันได้ถึงลายละเอียดที่สวยงามเหล่านั้น แต่เมื่อตอนที่เธอลุกขึ้น ร่างนั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็ว

หรือ...ผีจะหลอกเธอในตอนกลางวัน

“เจ้าจันทร์งาม เปิ้นเป็นเจ้านางตำหรับของเรื่องการทำน้ำอบน้ำปรุง มีตำนานเล่าว่ากลิ่นกายของนางนั้นหอมมากนักเพราะนางอบด้วยกลิ่นดอกไม้หอมทุกคืนทุกวัน”

“กายหอมหรือคะ...”

“ใช่จ้ะ เป็นเพราะเมื่อตอนเป็นละอ่อน เจ้านางเปิ้นได้อยู่รับใช้เจ้าย่าแก้วคำปาน ซึ่งเชื่อกันว่าเจ้าเปิ้นมีกลิ่นกายหอมขนาดนัก และเจ้าย่าแก้วคำปานนี่แหละที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องการทำน้ำอบน้ำปรุงให้กับเจ้าจันทร์งาม ขนาดเจ้านางเกล็ดหล้าเจ้าแม่ของเจ้างามเปิ้น เจ้าย่าเปิ้นยังบ่ถ่ายทอดหื้อ เปิ้นบอกว่าจะมอบให้คนที่เหมาะสมเท่านั้น และเจ้าจันทร์งามก็คือผู้นั้น…

“และแรงศรัทธานี่เจ้างามเปิ้นก็มักจะทำน้ำอบน้ำปรุงไปถวายกับวัดเชียงหมิ่น วัดที่เจ้านางเปิ้นอุปถัมภ์ค้ำชู ว่ากันว่าที่เรือนกายของเจ้างามเปิ้นหอมนั้นก็เพราะการทำน้ำอบด้วยดอกเก็ตถวานี่ละ ทั้งยังผสมด้วยน้ำมันงากับสมุนไพรอีกหลายชนิด ทั้งบุญญาที่นางมีต่อพระพุทธศาสนาจึงทำให้กายนางนั้นหอมนักขนาด”

“เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจจริงๆ นะคะ”

จันทร์เจ้าหลุบเปลือกตาลงหลับ ซึมซับถึงเรื่องราวที่แล่นและเด่นชัดในสมอง พลันความรู้สึกที่ปีติก็บังเกิด หัวใจสาวเต้นแรง ในยามที่รับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านั้นอย่างชัดเจน

/////

กลิ่นกำจายลอยอบอวล พร้อมๆ กับกลิ่นหอมของไม้ดอกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของดอกแก้ว ดอกเก็ตถวาและไม้ดอกอีกหลายๆ ชนิดที่บัดนี้กำลังอยู่ในลักษณะของน้ำหมักสีเหลืองอ่อน ดั่งน้ำที่แช่ดอกคำฝอยเอาไว้

ในยามที่แสงพระอาทิตย์อัสดงลง ภายในอาณาบริเวณห้องอาบน้ำในคุ้มเจ้านาง ก็ถูกความมืดโรยตัวลงมา จะมีผางประทีปที่คอยให้ความสว่างเอาไว้

เวลาไม่นานหลังจากนั้น เงารูปร่างอ้อนแอ้นซึ่งไหวโยกตามเปลวไฟก็ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาภายในห้องแห่งนั้น เจ้าจันทร์งาม คลี่ยิ้มบางในยามมองขันเงินอันมีเหล่าน้ำอบน้ำปรุงและที่สำคัญ มีน้ำหมักที่นางหมักด้วยตนเอง ตามกรรมวิธีโบราณซึ่งสืบทอดกันมาและนางนั้นก็ดัดแปลงสิ่งเหล่านั้นให้มากลายเป็นน้ำหมักที่หอมอบอวลเป็นยิ่งนัก

เจ้าจันทร์งามมักจะทำเช่นนี้ทุกวันในยามที่อาบน้ำและสระผม ซึ่งสิ่งนี้จึงทำให้เรือนกายของนางนั้นมีผิวงามแถมยังหอมดั่งเอาไม้ดอกมาประดับทั่วทั้งกายของนางจนเป็นกลิ่นเอกลักษณ์

เหล่าข้าทาสนางบริวารทั้งหลายต่างพากันชื่นชมต่อกรรมวิธีของเจ้านางน้อย บางคนได้กลิ่นนี้แล้วก็มักจะนำไปเพ้อฝัน บางคนถึงกับพยายามทำตามและบางคนก็ต่างพากันเอาไปร่ำลือ

‘กายนางงามนัก แม้จันทร์ฉายบนฟากฟ้ายังเอียงอาย’

หลังสรงน้ำอาบผมแล้ว ร่างแน่งน้อยจึงเยื้องย่างออกมาจากห้องอาบน้ำอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเหล่านางกำนัลซึ่งรออยู่เบื้องนอก ก็นำผ้าผลัดเปลี่ยนมาคลุมทับเจ้านางอีกชั้นหนึ่ง ก่อนเจ้านางน้อยจะเดินเข้าห้องไป เพื่อที่จะผลัดเปลี่ยนเสื้อแสงแห่งตน

เวลาลุล่วงผ่านไปเกือบชั่วยาม ร่างแน่งน้อยในชุดผ้าฝ้าย สลักลวดลายอันวิจิตรกับซิ่นทอลายน้ำไหลก็เยื่องย่างออกมายังชานเรือนด้านหน้าอีกครั้ง

เพราะยังเห็นว่าเป็นช่วงหัวค่ำ เจ้านางจึงตั้งใจออกมาชมเดือนเด่นกลางนภา ซึ่งคืนนี้ดูจะกระจ่างกว่าทุกคืนที่ผ่านไป

มะปิง สาวน้อยผู้ซึ่งติดสอยห้อยตามเจ้านางมาตั้งแต่เด็ก ขยับเข้ามายอบตัวนั่งข้างหลัง ก่อนเสียงนางจะดังขึ้น

“พระจั๋นค่ำนี้ งามแต้ๆ น้อ เจ้า”

เจ้าจันทร์งามหันมาคลี่ยิ้มให้กับนางกำนัลนางนั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ดวงนั้นอีกครั้ง

“วันนี้เป็นวันเดือนเป็งมะปิง พระจั๋นเปิ้นก็ต้องงามเป็นธรรมดา”

“แต่ข้าเจ้าว่า จะใดแล้ว เปิ้นยังบ่งามเต้าเจ้านางสักน้อยเน้อ” คำยอจากมะปิง ยิ่งทำให้กรอบหน้าสวยนั้นแดงซ่านอีกครั้ง

“ตั๋วก็ว่าไปมะปิง เฮาบ่ได้งามเหมือนพระจั๋นเปิ้นสักน่อย”

“ข้าเจ้าว่าเจ้านางน้อยงามกว่านักขนาด พระจั๋นเปิ้นงามบ่เมินก็ถูกเมฆหมอกบดบัง แต่เจ้านางน้อยงามกว่า เจ้านางงามตึ้งบ่วันและบ่คืน แถมเรือนกายก่าหอมขนาดเจ้า”

ในยามที่เอื้อนเอ่ย รอยยิ้มของมะปิงก็คลี่ยิ้มเอียงอายไปด้วย ปานว่าคนที่ถูกชมนั้นจะเป็นตนเสียเอง

แสงไฟยังคงพัดพะเยิบพะยาบ พาให้เงาตุงชัยซึ่งประดับอยู่ตามมุมเสาของคุ้มเจ้านางไหวยวบไปด้วย โคมไฟน้อยใหญ่ซึ่งประดับประดาแทรกแซมก็ส่องแสงไฟสว่างอย่างสวยงาม

กลิ่นกำยานผสมกับกลิ่นของไม้ดอกนานาชนิดยังคงลอยวน มะปิงหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินหายออกไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพานใส่ดอกพุดซ้อนซึ่งเพิ่งได้ไปเก็บเอาไว้เมื่อตอนเย็น กลิ่นหอมของมันกระจายไปทั่วบริเวณ ในยามที่สาวน้อยมะปิงเดินมาถึง

“เจ้านางน้อยเจ้า ดอกเก็ตถวาที่เจ้านางสั่งมาแล้วเจ้า บ่แลงนี้ข้าเจ้าเพิ่งไปเก็บจากต้น กลิ่นของมันยังหอม หอมขนาด”

ว่าพร้อมกับยื่นพานให้กับเจ้าจันทร์งาม ในครั้งที่เจ้านางน้อยหันกลับมาด้วยรอยยิ้มที่พึงใจ

“หอม...หอมแต้ๆ”

เสียงหวานเอื้อนเอ่ย ก่อนมือนางจะเอื้อมไปหยิบไม้ดอกสีขาวขึ้นมา แล้วเอาเสียดแซมลงตรงซอกหูและเส้นผมยาวซึ่งมัดเกล้าเอาไว้ด้านบนของศีรษะ

“ข้าเจ้าว่า ผมของเจ้านางจะต้องหอมขนาดนักเจ้า มีดอกเก็ตถวาแซมอยู่จะอี้ มันจะต้องหอมนักขนาดเจ้า”

“ไจ้แล้ว หอมขนาด”

เสียงตอบรับดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนนางคำแปงผู้เป็นนางพี่เลี้ยงอีกคนจะเดินขึ้นบันไดเรือนแล้วตรงมาที่เจ้าจันทร์งาม

“เรือนกายของไผจะหอมเต้ากับเรือนกายของเจ้านางบ่มีแห๋มแล้วเจ้า” เดินมาหยุดก่อนจะยอบกายลงข้างๆ กับมะปิงซึ่งนั่งอยู่ก่อนหน้า

“ดึกขนาดนี้แล้ว จะใดเจ้านางยังบ่นอนแห๋มเจ้า”

“เฮาก่จะเข้าไปนอนแล้วเหมือนกั๋นคำแปง บ่ะกี้เพิ่งหื้อมะปิงไปเอาดอกเก็ตถวามาแซมผม”

“เจ้านางน้อ แซมกู่วันจะอี้แต้ๆ ทั้งผมทั้งกายจึ่งได้หอมขนาด”

“คำแปงก่อว่าเกินไป เรือนกายของเฮาบ่ได้หอมขนาดนั้นดอก”

“แต่คำแปงว่าไจ้หนาเจ้า ถึงแม้ว่าที่กายของเจ้านางหอมนั่นเพราะอบร่ำน้ำอบ แต่ว่าที่คำแปงหมายถึงก่าคือ ความหอมจากกายของเจ้านางคือหอมบุญมากกว่าเจ้า”

“ที่ป้าคำแปงอู้นั่นถูกขนาดเจ้า แม้ว่าภายนอกเจ้านางจะหอมกำเดียว แต่ภายในหัวใจ๋ของเจ้านางของมะปิงหอมขนาดเจ้า”

เจ้านางยิ้มก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัวเรือน ทั้งคำแปงและมะปิงจึงลุกตามแล้วรีบเดินตามเจ้านางเข้าไปในห้องอีกทีหนึ่ง

“คำแปงมีอะหยังกับเฮาก่อ”

เพราะคิดว่านางคำแปง ผู้ซึ่งบัดนี้น่าจะนอนไปแล้วเดินทางขึ้นมาถึงคุ้มของนาง ดังนั้นก็ย่อมจะมีเรื่องพูดคุยกับนางอย่างแน่นอน

“บ่มีเจ้า ข้าเจ้ากำลังจะปิ๊กเฮือนหันไฟยังบ่ดับและหันเจ้านางยืนอยู่ตี้ชานเฮือน เลยเข้ามาผ่อเจ้า ถ้าเจ้านางจะนอนแล้ว ข้าเจ้าก่ขอตั๋วก่อนเน้อเจ้า”

ว่าแล้วก็หันหลังจะกลับลงเรือนไป เมื่อเห็นว่าเจ้านางเปิดประตูจะก้าวเข้าไปในห้องแล้ว

“พ่องเตื้อคำแปง” เสียงหวานดังขึ้น หยุดให้ร่างซึ่งกำลังจะถลาจากไปให้เดินกลับมาหาอีกครั้ง

“เจ้านางมีอะหยังจะใช้ข้าเจ้าก่อเจ้า”

“เฮากำลังจะนอน อยากจะหื้อคำแปงอู้ค่าวซอหื้อเฮาฟังน่อยเต๊อะ เฮาจะได้หลับฝันดี”

ได้ยินประโยคนั้น ผู้เป็นพี่เลี้ยงก็ขว้างค้อนประหลับประเหลือก รู้อยู่ว่าเจ้านางน้อยชอบคำค่าวคำซอ แลชอบให้นางคำแปงแต่งค่าวให้ฟังอยู่ร่ำไป โดยเฉพาะตอนจะนอน

โดยเฉพาะตอนเด็กๆ หากเวลานี้ นางย่างเข้าสู่ดรุณีรุ่นแล้ว แลจักฟังไปเพื่อเหตุใดกัน

“ใหญ่ขนาดนี้แล้ว เจ้านางยังจะฟังแห๋มอยู่ก่า” อดที่จะเหน็บให้ไม่ได้

“น่านะคำแปง เฮาอยากฟังค่าวของคำแปง”

ว่าพร้อมเจ้านางน้อยก็ฉายแววตาซุกซนอย่างกับเด็กๆ อีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปจับมือจับไม้ผู้ที่เป็นถึงพระนมที่คอยเลี้ยงเจ้านางมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จนอีกฝ่ายต้องขว้างค้อนให้อีกรอบ ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างขบขันของมะปิง

“น่าจะหื้อผู้บ่าวมาอู้ค่าวหื้อฟังจะดีว่าเน้อ”

ว่าไปอย่างนั้นเอง แต่สุดท้ายนางคำแปงก็ไม่อาจที่จะทนต่อความเรียกร้องของเจ้างามได้ ก่อนจะเดินตามร่างระหงที่ติดตัวของนางแจ เข้าไปยังห้องนอน

เมื่อเจ้านางนอนแล้ว เสียงคำค่าวคำซออันคุ้นหูจึงดังขึ้น พาลพาให้ผู้ซึ่งนอนอยู่บนเตียงคลี่ยิ้มบางรับรู้ถึงความรักความห่วงใยเหล่านั้น ก่อนจะเผลอหลับไปในที่สุด




พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2555, 21:13:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2555, 21:13:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1768





<< ตอนที่ ๓ แรกพบ   ตอนที่ ๕ เชียงหมิ่น...แห่ง...รัก >>
tookta 27 มี.ค. 2555, 18:29:43 น.
สนุกค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account