สองฝั่งรัก
สาวโสดในเมืองใหญ่อย่างกานตีจะทำอย่างไร เมื่อวันหนึ่งชายหนุ่มในฝันที่เธอเคยเฝ้ามองอยู่ฝ่ายเดียวมานาน ได้แวะเวียนเข้ามารู้จัก และดูเหมือนจะรุกเข้าใกล้ตัวและหัวใจของเธอเข้ามาทุกที
โดยมีตัวช่วยเป็นน้องสาวจอมป่วนของเขา ที่เจอกับเพื่อนหนุ่มใกล้ตัวของเธอทีไร เป็นมีเรื่องกันทุกครั้ง
แถมมีอุปสรรคความรักที่เข้ามาหาไม่ได้ขาด ความรักของเขาและเธอจะเป็นเช่นไร...
Tags: รักโรแมนติก,แอบรัก,กานตี,ตรัสวิน,โรส,สาริศ

ตอน: บทที่ 1 ตัดใจ

บทที่ 1 ตัดใจ


“ตี้ ตี้ครับ” เสียงเรียกที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้กานตีต้องเหลียวกลับไปมอง

“อ้าว สาริศ จะไปไหน” เธอหยุดรอและเอ่ยถามหนุ่มหน้าตี๋ ที่วิ่งมายืนหอบอยู่ข้างๆ

“ว่าจะออกไปหาอะไรกิน แล้วตี้ล่ะจะไปไหน”

“ว่าจะออกไปห้างน่ะจ๊ะ ซื้อของใช้เข้าบ้านซักหน่อย ร่อยหรอเต็มทีแล้ว” กานตีบอกหนุ่มตี๋ไปตามตรง

สาริศเป็นเพื่อนร่วมอพาร์ทเม้นท์เดียวกันกับหญิงสาว รู้จักกันมานานพอสมควร เพราะเธอกับเขาอาศัยอยู่ชั้นเดียวกันมาร่วมปีแล้ว ความมีอัธยาศัยและอายุที่ใกล้เคียงกันของทั้งคู่ ทำให้พวกเธอสนิทสนมตามประสาเพื่อนบ้านได้ไม่ยาก

วันนี้เป็นวันหยุด กานตีจึงตื่นเสียสายโด่ง หลังจากทำงานบ้านเสร็จจึงตั้งใจจะไปไฮเปอร์มาร์เกตใกล้บ้าน เพื่อซื้อของกินของใช้ตามปกติ ที่ต้องทำเป็นประจำเดือนละครั้งหรือสองครั้ง

เธอตั้งใจจะไปหาอาหารมื้อแรกของวันทานที่นั่นด้วย ซึ่งคงต้องยกยอดไปเป็นอาหารกลางวัน แทนที่จะเป็นอาหารเช้า เพราะตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงเต็มที แล้ว

สาริศขอตามไปด้วยทันทีที่รู้ความตั้งใจของหญิงสาว ซึ่งกานตีก็ไม่ว่าอะไรที่จะต้องไปเดินห้างกันสองคน แทนที่จะเป็นคนเดียวอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพราะเธอกับสาริศเคยออกไปรับประทานอาหารกันแถวๆ ที่พักนี้ด้วยกันหลายครั้ง ถ้าบังเอิญออกมาเจอกันพอดี แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองจะมีโอกาสได้ไปเดินห้างด้วยกัน

หญิงสาวไม่ได้สังเกตเลยว่า เมื่อเธอออกปากยินยอมให้เขาติดตามไปด้วยได้ สีหน้าคู่สนทนาแช่มชื่นขึ้นปานใด และเธอก็ลืมคิดไปด้วยว่า ในสายตาคนอื่น อาจจะมองว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันได้ไม่ยากเลย

********************

หลังจากจบมื้อเที่ยง สาริศก็ชวนกานตีมาเดินย่อยอาหารในโซนเครื่องใช้อีเล็กโทรนิคส์ ก่อนที่จะไปซื้อของใช้ เพราะถ้าซื้อของก่อนคงพะรุงพะรังเกินกว่าจะมาเดินชมอะไรอีก

สาริศนั้นท่าทางจะสนใจเครื่องใช้ที่วางโชร์อยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มเดินชมโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ สนใจเครื่องไหนก็หยุดดูนานเป็นพิเศษ สนอกสนใจเทคโนโลยีใหม่ๆ ตามประสาคนทำงานด้านไอที ต่างจากกานตีที่แค่ชมผ่านๆ ไม่ได้สนใจจริงจังนัก

“พี่วิน เค้าจะเอาเครื่องนี้” เสียงใสแจ๋วของสาวน้อยนางหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ จนกานตีอดหันไปมองไม่ได้ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับใบหน้าของชายหนุ่มที่ยืนอยู่กับสาวน้อยที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อครู่

‘มิสเตอร์เพอร์เฟค’ ของเธอนั่นเอง

เพราะความตื่นเต้นที่เจอหนุ่มในฝันนอกสถานที่ทำงานเป็นครั้งแรก เกือบจะทำให้กานตีลืมตัวเผลอจ้องจนชายหนุ่มรู้ตัวเสียแล้ว เธอเริ่มรู้สึกตัวเมื่อสายตาของเขามองผ่านมา จึงรีบหันข้างให้ เกรงว่าเขาจะรู้ตัวว่าเธอให้ความสนใจเขาเกินกว่าเหตุ

ซึ่งมาคิดอีกที มันไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องทำอย่างนั้น เพราะเขาคงจำเธอไม่ได้ ในเมื่อเขามองผ่านมาแล้วก็ผ่านไป โดยไม่มีท่าทีว่าจะจดจำเธอได้เลยสักนิดเดียว

หญิงสาวทำทีเป็นสนใจสินค้าที่วางโชว์อยู่ตรงหน้า แต่กางหูคอยฟังบทสนทนาของคนสองคนข้างๆ อย่างสนอกสนใจ

“แพง”

เธอได้ยินเสียงของเขาแล้ว !!!

ไม่ผิดหวังเลย เสียงของเขาทุ้มไพเราะไม่แตกต่างจากหน้าตาที่หล่อเหลา แม้ว่าจะเป็นแค่การเปล่งพยางค์สั้นๆ แค่พยางค์เดียว แต่เธอได้ยินชัดเจนเต็มสองหูเลยเชียวล่ะ แล้วเธอก็ได้รู้ชื่อของเขาแล้วด้วย ไม่ให้เธออยากจะกรี๊ดยังไงไหว

“ไม่แพงสักหน่อย แค่นี้ขนหน้าแข้งพี่วินไม่ร่วงสักเส้นด้วยซ้ำ นะ นะ เค้าอยากได้เครื่องนี้” สาวน้อยข้างตัวเขาส่งเสียงอ้อน

ซึ่งนั่นช่วยปลุกคนที่กำลังฝันหวานเกี่ยวกับชายหนุ่ม ให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า หนุ่มในฝันของเธอควงคู่มากับสาวน้อยน่ารัก ไม่ได้เดินคนเดียวเช่นที่เธอเคยเห็นในวันทำงาน

หญิงสาวอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ เมื่อความจริงที่เห็นและได้ยินช่วยย้ำเตือนว่า หนุ่มในฝันของเธอมีสาวเคียงข้างกายเสียแล้ว แม้จะเคยเดาว่าผู้ชายดูดีเช่นนี้ คงไม่รอดที่จะมีแฟน หรืออาจจะมีภรรยาแล้วด้วยซ้ำ แต่เมื่อมาเห็นด้วยตาตัวเองชัดๆ แบบนี้ ก็ทำให้เธอแอบจ๋อยไปได้เหมือนกัน ความรู้สึกคงเหมือนกับเวลาที่แฟนคลับของดารานักร้อง ไม่ชอบให้ศิลปินที่ตนชื่นชอบมีแฟนหรือมีสามี ภรรยานั่นเอง

แต่ถึงแม้จะรู้สึกเช่นนั้น หูเจ้ากรรมก็ยังอดแอบฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ต่อไปไมได้อยู่นั่นเอง

“เครื่องเก่ายังใช้ได้ดีอยู่เลย ยังเรียนอยู่ อย่าหัดใช้เงินฟุ่มเฟือยสิ” เสียงทุ้มโต้ตอบสาวน้อยข้างกาย

นั่น! ควงเด็กนักเรียนอีกต่างหาก

เฮ้อ...ในที่สุดหนุ่มในฝันของเธอก็ไม่ต่างจากผู้ชายมีอายุส่วนใหญ่ ที่ชอบมีแฟนเด็กๆ เพื่อหาความกระชุ่มกระชวยให้ชีวิต กานตีนึกปลงอยู่คนเดียวในใจ

“แต่มันใช้มานานแล้ว ตกรุ่นไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ นะ น้า”

จากหางตา หญิงสาวเห็นสาวน้อยชูเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ ดีไซน์ทันสมัยโบกไปมาตรงหน้าชายหนุ่ม ส่วนมืออีกข้างกำลังเขย่าแขนของคนที่กำลังยืนกอดอกอยู่ไปมาเช่นกัน ซึ่งคงทำให้เขาใจแข็งได้ไม่นานแน่ๆ กานตีแน่ใจ ก็สาวน้อยคนนี้นอกจากเสียงหวานแล้ว หน้ายังหวานเจี๊ยบ แต่งเนื้อแต่งตัวทันสมัยน่ารักสมวัย ไม่ยากเลยที่จะทำให้หนุ่มๆ อยากทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มเพื่อเอาใจสาวเจ้า

ส่วนเธอน่ะเหรอ นอกจากคงไม่มีใครอยากมาเป็นเจ้าบุญทุ่มแล้ว หนุ่มที่มากับเธออาจจะทำทีขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แล้วหายจ้อยหลังมื้ออาหารซึ่งยังไม่ได้จ่ายเงิน เหมือนกับในละครที่เคยดู โชคดีที่สาริศไม่ได้ทำแบบนั้นก่อนหน้านี้

กานตีก้มลงมองเครื่องแต่งกายของตนเองขำๆ ก็เสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสามส่วนที่เธอสวมอยู่ ไม่อาจเทียบเคียงกับสาวน้อยคนนั้นได้เลยในด้านความสวยงาม แถมหน้าตาบ้านๆ อย่างกานตีก็ยังห่างไกลใบหน้าสวยใสของเธอคนนั้นอีกโข

ก็ขนาดคนที่เคยอาศัยลิฟท์ร่วมทางกันบ่อยๆ ยังจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ

“...ตี้ว่าไง” เสียงแว่วของสาริศ เรียกสติของกานตีให้หันมาให้ความสนใจคนที่มาด้วย

“ว่าไงนะ”

“อ้าว...นึกว่าฟังอยู่ เป็นอะไรเบื่อแล้วเหรอ งั้นเราลงไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะ” สาริศรีบวางเครื่องมือสื่อสารที่กำลังสนใจอยู่ลงทันที

“ไม่เป็นไรหรอก สาริศดูไปก่อนสิ เรายังไม่เบื่อ” เธอบอก เพราะเห็นว่าชายหนุ่มดูสนอกสนใจเจ้าเครื่องมือสื่อสารเมื่อครู่มากอยู่

“ช่างเถอะ เราก็ดูไปอย่างนั้นแหละ คงยังไม่ซื้อหรอก เครื่องเก่าเพิ่งซื้อได้ไม่นานเอง ป่ะไปกัน”

เมื่อชายหนุ่มว่ามาแบบนั้น กานตีจึงไม่มีข้ออ้างที่จะยืนอยู่ตรงนั้นต่อ แม้จะอยากรู้ว่าสาวน้อยจะต้องใช้เวลาออดอ้อนอีกมากน้อยแค่ไหน กว่าคู่ควงของเธอจะยอมควักกระเป๋าเป็นค่าเครื่องมือสื่อสารเครื่องจิ๋วแต่แสนแพงเครื่องนั้น

กานตีไม่มีโอกาสรู้ว่า พอคล้อยหลังเธอกับสาริศไปเท่านั้น หนุ่มในฝันของเธอก็ผละจากจุดที่ยืนอยู่ โดยมีสาวน้อยเดินตามมาหน้าง้ำ แถมบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทาง ถ้าได้เห็นแทนที่หญิงสาวจะได้นึกค่อนว่าเขาเป็นเจ้าบุญทุ่ม อาจจะกลายเป็นค่อนว่าเขาเป็นหนุ่มขี้เหนียวแทนก็ได้ ค่าที่ใจแข็งกับสาวน่ารักได้ลงคอ

********************

“พี่วิน หยิบอันโน้นให้หน่อย อันนั้นด้วย”

เอาอีกแล้ว !!!

เสียงคุ้นๆ หูที่ตามมาให้ได้ยินถึงในซุปเปอร์มาร์เก็ต แทบทำให้กานตีหยุดรถเข็น เพื่อหันไปมองด้านหลังให้แน่ใจว่าเจ้าของเสียงใช่คนที่เธอคิดหรือเปล่า แต่ทำได้เพียงผ่อนจังหวะก้าวเดินให้ช้าลง และพออีกเสียงตอบออกมาก็ทำให้หญิงสาวแน่ใจว่าใช่เลย เพราะเธอไม่มีทางลืมเสียงทุ้มๆ นั้นไปได้หรอก แม้ว่าจะเพิ่งเคยได้ยินน้ำเสียงนี้ไม่กี่ประโยคก็เถอะ

“ขนซื้อเข้าไป ช็อกโกแลตเนี่ย แล้วก็บ่นว่าอ้วนอีก”

“ก็มันอร่อยนี่” สาวน้อยว่าอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ “บ่นเป็นตาแก่ไปได้ แล้วตอนอยู่ในโรงหนังอย่ามาแย่งเค้ากินนะ จะไม่แบ่งให้เลยด้วย”

“เรื่องอะไร ไอ้ที่ขนซื้ออยู่เนี่ย ใครจ่ายไม่ทราบ”

อ้อ มาดูหนังกันนี่เอง คนที่คอยเงี่ยหูฟังสรุปในใจ ชักไม่อยากฟังเสียงสนทนาต่อไปแล้ว เพราะต่อมอิจฉากำลังกำเริบ นอกจากอิจฉาสาวน้อยคนสวยที่ได้ควงคู่มากับหนุ่มหล่อในฝันของเธอแล้ว ยังนึกอิจฉาคนมีคู่ที่ได้ควงกันมาดูหนังอีกด้วย

ส่วนเธอ ทำได้มากสุดแค่มาจ่ายตลาดกับเพื่อนร่วมอพาร์ทเม้นท์ คิดแล้วไม่รู้จะเศร้าหรือเซ็งดี

“โห...ตี้ ตุนซื้อขนมไว้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ กินหมดเหรอน่ะ”

เสียงของสาริศที่ไม่รู้ว่าเดินกลับมาจากการเลือกของเมื่อไหร่ ทำให้กานตีก้มลงมองในรถเข็นตัวเอง แล้วแทบทำหน้าเหวอ เธอมัวแต่สนใจคนอื่น จนเผลอหยิบขนมรายทางที่เดินผ่านใส่รถเข็นจนแทบล้น จะบ้าตาย เอาไงล่ะทีนี้

หญิงสาวเงยหน้ายิ้มแหยให้หนุ่มตี๋ ก่อนแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

“เราชอบนอนดึกน่ะ เอาไว้กินตอนอ่านหนังสือ สาริศจะแบ่งไปบ้างก็ได้นะ มันเยอะเกินไปจริงๆ นั่นแหละ”

“เดี๋ยวเราแบ่งไปบ้างก็ได้ ตุนไว้ไม่เสียหลาย ดึกๆ จะได้ไม่อด” หนุ่มหน้าตี๋เออออ

“แล้วนี่เลือกของพอแล้วเหรอ ไม่เห็นได้ของเท่าไรเลยนี่” หญิงสาวถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นสาริศได้เพียงของใช้แค่ไม่กี่ชิ้น ซึ่งเขาอาศัยวางไว้ในรถเข็นคันเดียวกันกับเธอ

“เดือนนี้เราซื้อของใช้ไปรอบนึงแล้วน่ะ มีขาดเหลือแค่นิดหน่อยเท่านั้น มะ...เราเข็นเอง” ชายหนุ่มแย่งรถเข็นไปเข็นเสียเอง เป็นสุภาพบุรุษไม่เบาแฮะเพื่อนเธอคนนี้

“ได้ของครบหรือยัง ถ้ายังสงสัยเราต้องใช้รถเข็นอีกคันแล้วมั้งเนี่ย” สาริศกระเซ้า เมื่อเห็นว่าในรถแทบจะเต็มไปด้วยสิ่งของที่กานตีเป็นคนเลือกมาทั้งสิ้น

“พอแล้วล่ะ ถ้าเยอะกว่านี้คงหิ้วกลับบ้านไม่ไหวแน่ เราไปจ่ายเงินกันเถอะ” หญิงสาวรีบบอก เพราะถ้าช้ากว่านี้ เธออาจจะเกิดนึกบ้าๆ ขึ้นมา แล้วชวนเพื่อนบ้านหนุ่มไปซื้อตั๋วหนังชั้นบนสุดของห้าง เพื่อตามคู่ที่กำลังคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่ด้านหลังพวกเขาไปก็เป็นได้

เออ...ถ้าเพียงแต่เธอจะรู้ว่าคนคู่นั้นเค้าดูหนังเรื่องอะไรกัน บางทีเธอก็อาจจะทำบ้าๆ แบบนั้นไปจริงๆ ก็ได้ ตามไปนั่งดูคนเค้าดูหนังให้จี๊ดหัวใจตัวเองเล่นๆ...หญิงสาวคิดอย่างเคืองๆ เคืองคนที่ทำให้เธอต้องเสียเงินซื้อขนมไปเกินความจำเป็น แถมทำให้เธอต้องเป็นยายบ้าหอบฟาง ขนถุงขนมที่มีแต่ลมเป็นส่วนประกอบพวกนี้กลับบ้านเสียหอบโต

เอาจริงๆ ก็คือหญิงสาวยังเสียดายที่จะได้ตามติดชีวิตหนุ่มในฝัน ในวันและโอกาสที่คงหาอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ต้องตัดใจ แค่นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองชักจะทำตัวคล้ายๆ พวกสต็อกเกอร์ เข้าไปทุกที

แถมเห็นเขามากับสาวซะแล้วแบบนี้ ก็คงถึงเวลาที่เธอต้องเลิกแอบมองแอบปลื้มชายหนุ่มในฝันคนนี้แล้วล่ะ

เพราะกานตีไม่ชอบร้องเพลงประเภท ‘รักคนมีเจ้าของ’ หรือ ‘ชู้ทางใจ’ เอาเสียเลย

********************

วันนี้กานตีก็มาทำงานเกือบสายอีกแล้ว หญิงสาวเลื่อนเวลามาทำงานให้สายกว่าเดิมเล็กน้อย แต่การออกสายกว่าปกติแค่เพียงนิดเดียว กลับทำให้เธอต้องผจญกับการจราจรบนถนนนานขึ้นอีกมาก เพราะยิ่งสายการจราจรก็ยิ่งติดขัด

นับแต่วันที่หญิงสาวได้พบชายหนุ่มในฝันของเธอในห้างสรรพสินค้าเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา และตัดสินใจว่าจะเลิกแอบปลื้มเขาซะที เธอก็เลื่อนการมาทำงานให้ช้าลงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอเขาอีก ไม่อย่างนั้นถ้ายังเห็นหน้าหล่อๆ ของเขาอยู่บ่อยๆ ความตั้งใจของเธออาจจะสูญเปล่าเอาได้ง่ายๆ และแน่นอนว่าเธอไม่เคยได้เจอกับเขามาเกือบสัปดาห์แล้วสมกับความตั้งใจ

ก่อนหน้านี้กานตีมาทำงานแบบมีอะไรให้คาดหวัง ว่าแต่ละวันจะได้เจอชายหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า ซึ่งบางวันก็ได้เจอบางวันก็ไม่ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ลุ้นๆ แบบนั้นอีก นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกขาดๆ อะไรในชีวิตไปบ้าง ไม่มีเรื่องให้ต้องอมยิ้มยามเดินเข้าที่ทำงานอีกแล้ว

กานตีไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเหตุให้เธอเกิดอาการห่อเหี่ยวอยู่ในขณะนี้หรือเปล่า แต่อาการมันคงออกทางใบหน้าแน่ๆ จนเพื่อนสาวซึ่งอยู่ในที่ทำงานเดียวกันต้องเอ่ยทักนั่นแหละ

“ช่วงนี้เป็นไรเนี่ยตี้หน้าตาเหี่ยวๆ ชอบกล แถมมาสายหลายวันแล้ว ปกติเห็นมาแต่เช้า ไม่สบายป่ะ” ภารวีหรือผู้ที่เพื่อนๆ เรียกก้อยเอ่ยถามออกมา

“เราสบายดี แต่ช่วงนี้มีงานต้องเร่ง เลยเหนื่อยๆ ไปหน่อย” หญิงสาวบอกปัด ซึ่งก็มีความจริงส่วนหนึ่งเหมือนกัน ช่วงนี้เธอต้องกลับบ้านค่อนข้างช้ามาหลายวันแล้ว เนื่องจากเป็นช่วงปิดงบปลายเดือน ทำให้งานโหลดจนแทบไม่มีเวลาเงยหน้าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

“วันนี้พวกพี่กิ่งชวนไปสังสรรค์หลังเลิกงาน ไปเปิดหูเปิดตาหน่อยดีมั้ย จะได้หายเครียด ฉันเห็นเธอก้มหน้ากับไอ้แฟ้มพวกนั้นมาหลายวัน จนเครียดแทนแล้วเหมือนกันนะเนี่ย” ที่ภารวีชวนเช่นนั้นเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ วันทำงานสุดท้ายของสัปดาห์นั่นเอง ซึ่งเป็นปกติที่จะต้องมีการชวนกันไปทานข้าว หรือสังสรรค์กันเป็นประจำ เพราะรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดซึ่งแต่ละคนไม่ต้องรีบลุกจากที่นอนเพื่อมาทำงานนั่นเอง

“ได้ที่ไหนล่ะ วันจันทร์ต้องส่งงานพวกนี้แล้วด้วย ต้องทำให้เสร็จวันนี้แหละ ขี้เกียจหอบไปทำที่บ้าน” กานตีบอก

“ให้ช่วยป่ะ เสร็จไวๆ ตี้จะได้ไปกับพวกเราได้” เพื่อนสาวอาสาอย่างมีน้ำใจ

“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องหรอก ตัวไปกับพวกนั้นเหอะ เดี๋ยวเย็นๆ ก็เสร็จละ กินเผื่อด้วยละกัน” หญิงสาวบอกเพราะเกรงใจเพื่อนส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืองานของเธอบางอย่าง คนอื่นก็ไม่สามารถทำแทนได้นั่นเอง เสียดายโอกาสที่ควรได้ออกไปกับเพื่อนๆ บ้างนิดหน่อย แต่อย่างน้อยเสร็จงานพวกนี้แล้ว พรุ่งนี้เธอก็จะได้พักเต็มที่ ไม่ต้องหอบเอางานกลับไปทำที่บ้านเหมือนบางครั้ง

แต่กว่าที่หญิงสาวจะทำงานเสร็จเอาจริงๆ เวลาก็ผ่านไปเกือบสองทุ่ม ยังดีที่บางแผนกยังมีคนทำงานเหลืออยู่บ้าง พอให้ไม่วังเวงเกินไปนัก ป่านนี้คนทำงานในตึกนี้คงกลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้ว คงเหลือแต่พวกบ้างาน กับพวกที่งานสุมหัวแบบเธอเท่านั้นแหละที่ยังอยู่จนถึงตอนนี้

เพราะคิดว่าคงมีคนเหลืออยู่ในตึกไม่มากแล้ว หญิงสาวจึงค่อนข้างแปลกใจตอนทีลิฟท์ลงมาถึงชั้นที่เธอทำงานอยู่และเปิดออก ทำให้เห็นว่ามีคนลงมาจากชั้นบน แถมไม่ใช่ใครที่ไหนอีกด้วย แต่เป็น ‘มิสเตอร์เพอร์เฟค’ ของเธอนั่นเอง

ไม่ได้...ไม่ได้!!! เขาไม่ใช่ ‘มิสเตอร์เพอร์เฟค’ ของเธออีกแล้ว เธอต้องเลิกเรียกเขาแบบนี้ซะที กานตีเตือนตัวเองในใจ

ไม่รู้ว่าเพราะมัวแต่พะวงกับความคิดของตัวเอง หรือเพราะความตื่นเต้นกันแน่ ที่ทำให้หญิงสาวเดินสะดุด จนเซถลาเกือบจะเข้าไปชนคนที่ยืนอยู่ด้านในเข้าแล้ว ดีแต่เบรกตัวเองได้ทัน ถึงอย่างนั้นกานตีก็อายแทบแทรกแผ่นดินหนี

ยายตี้เฟอะฟะเอ๊ย ทำไมต้องมาทำซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้ชายคนนี้ด้วยนะ ทั้งๆ ที่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอกับเขาอยู่ในลิฟท์แคบๆ นี้แค่สองคน ปกติตอนเช้าๆ คนจะเยอะจนเกือบเต็มทุกวัน ส่วนตอนเย็นเธอก็ไม่เคยเจอกับเขามาก่อน เพิ่งมีครั้งแรกนี่แหละ และเธอก็ทำตัวเองขายหน้าให้เขาเห็นไปเรียบร้อย

“ขอโทษค่ะ”

หญิงสาวเอ่ยขอโทษขอโพยคนที่เธอเกือบชนอุบอิบ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยความอาย

“ไม่เป็นไรครับ” เสียงชายหนุ่มตอบมา

นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอสินะ แต่ครั้งแรกไม่น่าจะเป็นสถานการณ์ที่เธอทำตัวเองขายหน้าแบบนี้เลยให้ตายสิ

กานตีไม่เคยรู้สึกเลยว่าลิฟท์ที่เธอโดยสารอยู่ทุกวันมันจะมีอากาศน้อยขนาดนี้ หรือเป็นเพราะความประหม่ากันนะ ที่ทำให้เธอหายใจไม่ค่อยทั่วท้อง ตาคอยแต่อยากเหลือบไปมองเพื่อนร่วมทางอยู่เรื่อย หญิงสาวต้องห้ามตัวเองอย่างหนักที่จะไม่ทำอย่างที่ต้องการ

โชคดีที่ระยะทางจากชั้นสิบถึงชั้นแรกของตึกใช้เวลาไม่นานเลย ไม่งั้นกานตีอาจจะเป็นลมเพราะขาดอากาศหายใจ นั่นไม่ใช่เพราะในนั้นไม่มีอากาศหรอก แต่เป็นเพราะเธอกลั้นหายใจเป็นระยะ เพราะความตื่นเต้นต่างหากล่ะ

ชักจะอาการหนักมากไปแล้วนะยายตี้เอ๋ย

ไหนตั้งใจว่าจะเลิกปลื้มผู้ชายคนนี้แล้วอย่างไรล่ะ ทำราวกับเด็กมัธยมปิ๊งรุ่นพี่หนุ่มก็ไม่ปาน เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ หญิงสาวเตือนตัวเองเอ็ดอึง

ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งคู่ก้าวออกจากลิฟท์เกือบพร้อมกันแต่คนละด้าน ก่อนที่หญิงสาวจะชะงักเพราะเสียงวัตถุบางอย่างที่ตกกระทบพื้น ขณะที่ชายหนุ่มยังเดินดุ่มราวกับไม่ได้ยินเสียงนั้นแม้แต่น้อย กานตีก้มลงเก็บปากกาด้ามสวยขึ้นจากพื้นมามองอย่างฉงน

เธอไม่เคยมีปากการาคาแพงแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันก็คงเป็นของอีกคนอย่างแน่นอน แต่น่าแปลกใจที่เจ้าของของมันกลับเดินเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่ปากกาทั้งด้ามตกกระทบพื้นเสียงไม่ใช่เบาๆ เขาคงรีบมากกระมัง หญิงสาวคิดเช่นนั้นจากท่าเกินก้าวยาวๆ ของเขาที่เธอมองเห็น

“คุณคะ” กานตีตัดสินใจสาวเท้าตามผู้ชายตัวสูงที่ช่างเดินได้เร็วซะเหลือเกิน แค่ไม่กี่อึดใจเขาก็เดินไปถึงที่จอดรถเสียแล้ว ทำให้หญิงสาวต้องรีบวิ่งตามเพราะเกรงจะไม่ทัน

“คุณ อย่าเพิ่งไป รอก่อน” หญิงสาวร้องบอกอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินไปถึงรถคันหนึ่ง และกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย

คราวนี้ได้ผล เสียงของเธอทำให้เขาเหลียวกลับมามอง สีหน้าแปลกใจนิดๆ ก็น่าแปลกใจหรอก ในเมื่อมีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งตามหลังมา เขาอาจจะคิดก็ได้กระมังว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำมิดีมิร้ายกับเขาหรือเปล่า ก็ลานจอดรถออกจะสลัวชวนคิดขนาดนี้นี่นะ

“คุณทำปากกาหล่นแน่ะค่ะ” กานตียื่นปากกาด้ามนั้นไปตรงหน้า

“อ้าว ของผมจริงๆ ด้วย ไม่รู้ตัวเลยว่าหล่นตอนไหน ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มเอื้อมมือมารับปากกาไป พร้อมส่งรอยยิ้มสวยให้กับผู้มีน้ำใจ ทำเอาหญิงสาวใจเต้นกับรอยยิ้มแรกที่ได้รับ

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวนะคะ” หญิงสาวรีบบอกลา ก่อนจะทำขายหน้าอีกครั้งด้วยการมาทำเข่าอ่อนต่อหน้าเขาอีก ก็รอยยิ้มของเขามันทำเอาเธอใจเต้นผิดจังหวะไปหมดแล้ว ถ้าอยู่ต่ออีกนิดคงได้เป็นเรื่อง

********************

คุณ หมูอ้วน : ขอบคุณค่า

คุณ pattisa : ลองอ่านดูนะคะ จะพยายามลงทุกวัน

คุณ ปอแก้ว : ขอบคุณนะคะ เรื่องนี้ไม่ค่อยเศร้าเท่าไรจ้า ตั้งใจให้ออกแนวรักโรแมนติก ไม่เน้นดราม่าค่ะ


*** ปอลิง : วิ่งกลับเข้ามาบอกว่า ถ้าใครอ่านแล้วอย่าเพิ่งหมั่นไส้คนเขียนนะคะที่ชื่อนางเอกกับชื่อคนเขียนเหมือนกัน

ไม่ได้ตั้งใจเอาตัวเองไปเป็นนางเอกน้า แต่นามปากกานี้ได้มาเพราะตอนที่ไปสมัครสมาชิกเด็กดี ชื่อที่เตรียมไว้มันสั้นไป ไม่ผ่าน ก็เลยหยิบเอาชื่อตัวละครที่กำลังแต่งมาใช้ พอมาสมัครที่นี่ก็อยากจะใช้ชื่อเดียวกัน มันก็เลยออกมาเช่นนี้แลจ้า





กานตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มี.ค. 2555, 08:04:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2555, 08:36:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 2590





<< บทนำ   บทที่ 2 รู้จัก >>
konhin 27 มี.ค. 2555, 08:32:39 น.
แอบปลื้มซะสุดขั้วเลย พระเอกอ่อยป่ะคะเนี่ย


เดิมเดิม 27 มี.ค. 2555, 12:19:02 น.
นางเอกดูถูกตัวเองจัง หน้าตาประมาณไหนคะ ไม่สวยแต่น่ารักป่ะ


หมูอ้วน 27 มี.ค. 2555, 12:33:44 น.
หนูตี้สู้ ๆ อย่าเพิ่งถอยนะ


อริสา 27 มี.ค. 2555, 13:35:47 น.
พระเอกทอดสะพานชัดๆ มาเอาใจช่วยค่ะ


ปอแก้ว 27 มี.ค. 2555, 14:30:52 น.
น้องสาวชัวร์ผู้หญิงนางนั้น ฮ่าๆ ตี้เราเข้าใจผิดแน่เลย


pattisa 27 มี.ค. 2555, 16:44:59 น.
นั่นเเน่ พระเอกเราจงใจทิ้งปากกาเเน่เลย :)


jeabsue 29 มี.ค. 2555, 12:33:45 น.
มาแปลก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account