เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด
ตอน: ตอนที่ ๕ เชียงหมิ่น...แห่ง...รัก
ตอนที่ ๕
เสียงถ้อยคำทำนองคำค่าวคำซอยังคงเด่นชัดอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ ทำให้กรอบหน้าสวยซึ่งบัดนี้หลับตาพริ้ม แย้มยิ้มอย่างเปี่ยมสุขกับลำนำเสียงที่ได้ยินเป็นยิ่งนัก
ลมหายใจทอดต่ำเร็วสม่ำเสมอ ก่อนดวงตาคู่สวยอันมีแพรขนตายาวงอนนั้นจะค่อยๆ เปิดขึ้น เมื่อแสงอาทิตย์แยงเข้ามาทางหน้าต่างจนรู้สึกเคืองๆ จนต้องยกมือขึ้นขยี้
แม้จะลุกขึ้นนั่งและมีสติครบถ้วนทุกประการ ทว่าในห้วงอารมณ์และความรู้สึกของหญิงสาวยังคงปีติกับเสียงร้องลำนำเหล่านั้น แม้จะคิดว่านั่นเป็นเพียงความฝัน หากเธอก็ยังยืนยันเหมือนดั่งว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
ภาพของแม่หญิงงามนางนั้น พร้อมกับเสียงพูดค่าวซอของอีกนางหนึ่ง เพื่อจะขับกล่อมให้ได้หลับและหญิงสาวก็รับรู้อย่างกับว่า เสียงที่หญิงชรานางนั้นขับขานให้กับเธอฟังอย่างนั้นแหละ
จันทร์เจ้าอดจะแปลกใจไม่ได้ หลายคืนมานี้เธอฝันถึงแต่เรื่องราวที่ซ้ำๆ กัน แต่สิ่งที่เด่นชัด ก็คือเสมือนว่าเธอได้กลับกลายเป็นบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งในยุคสมัยนั้น
ยุคสมัยนั้น...
คำนี้เด่นชัดในหัวใจ ใช่สิ ยุคสมัยนั้น แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเวลาที่ล่วงเลยมาเท่าไรแล้วก็ตาม แต่เธอก็แน่ใจว่ามันจะต้องเป็นห้วงเวลาแห่งอดีตอย่างแน่นอน
เพราะทุกคน ไม่แม้กระทั่งตัวของเธอ ซึ่งต่างอยู่ในชุดผ้าพื้นเมืองสวยงามละเอียดลออ ส่วนผู้ชายทุกคนในภาพเหล่านั้นที่ยืนอยู่รายรอบ มีแต่เพียงผ้าเตี่ยวสีแดงผืนเดียว เผยให้เห็นถึงมัดกล้ามเงามัน กับผิวสีเข้มกล้ำแดง บางคนทั่วทั้งตัวสักยันต์ติดจนเต็มไปหมด ตั้งแต่หัวไหล่ ลงมาเรื่อย จนถึงหน้าขาที่พ้นออกมาจากผ้าผืนสีแดงนั้น เหมือนดั่งว่าพวกเขาจะต้องการโชว์ความคงทนเข้มขลังของมหาเวทย์วิชาซึ่งมีอยู่บนเนื้อตัวกระนั้น
รอยยิ้มพึงใจยังคงมีอยู่ในหน้า ในครั้งสดับฟังถึงสรรพเสียงการขับค่าวซอของนางพี่เลี้ยงนางนั้น ผู้ที่เธอเรียกนางว่าคำแปง...
หรือว่าเธอจะระลึกชาติได้...คำนี้จู่ๆ ก็ประทุขึ้นมาในหัวใจ
จะเป็นไปได้หรือ
ไม่มีคำตอบหลังจากนั้น นอกจากความปลื้มปีติที่มันแล่นเวียนวนอยู่ภายในกายของเธอ จนเธอก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
เจ้าจันทร์งามหรือ
ดอกเก็ตถวาหรืออย่างไร
หรือว่าจะทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ หญิงสาวเฝ้าเพียรค้นหาและเค้นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้เธอก่อเกิดความฝันในทุกๆ คืน นับตั้งแต่ได้อ่านบทกลอนบทนั้น
ยิ่งนานวัน ความฝันยิ่งเด่นชัด
ยิ่งนานวัน ความรู้สึกบางอย่างกลับยิ่งก่อเกิด
แรงศรัทธา...เครื่องพุทธบูชาน้ำอบหอมต่างดอกไม้ธูปเทียน
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด จนในบางครั้ง ก็เหมือนจะทำให้เธอนึกกลัวที่จะให้ถึงวันนั้น ทว่าอีกใจหนึ่งกลับอยากจะทะยานให้ถึงเวลานั้นอย่างรวดเร็ว
ทำไมล่ะ...
สุดท้ายก็ต้องวกมาที่คำถามเพียงคำเดียวและสุดท้าย คำตอบที่ต้องการก็มักจะไม่ปรากฏออกมา เสมือนว่ามันจะแกล้งให้เธอต้องทุกข์ระทมเช่นนี้ และตลอดไป...
จันทร์เจ้าลุกขึ้นและลงจากเตียงอีกครั้ง ดอกพุดซ้อนดอกแรกซึ่งเธอได้มันมาอย่างปริศนานั้น ยังวางอยู่ที่หน้าโต๊ะคอมพ์เช่นเดิมและยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร กลีบดอกสีขาวก็จะยิ่งช้ำ จนบัดนี้ ดูเหมือนว่าดอกจะแห้งไปเสียถนัดตาแล้ว
ทว่าสิ่งที่ยังคงเดิมคือกลิ่นของมัน
กลิ่นหอม แม้จะจางและอ่อนไปมาก หากแต่มันก็ยังคงหอมอยู่เช่นเดิมอยู่ดี
เธอมองภาพนั้นได้ไม่นาน ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ เพื่อทำธุระส่วนตัว วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ตั้งใจว่าจะไปที่บ้านของย่าบัวคำอีกครั้ง เพื่อจะถามถึงความเป็นไปในเรื่องราวของเจ้าจันทร์งาม บางทีคำตอบที่เธอต้องการค้นหา
มันอาจจะอยู่ที่นั่นก็เป็นได้...
/////
หลังได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ภูริตก็จัดกระเป๋าเพื่อจะกลับไปยังวัดเชียงหมิ่นอีกครั้ง มันยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังคงค้างคาอยู่ในหัวใจ นับตั้งแต่ที่ได้หินก้อนนั้นมา
เขาเดินมาที่รถ พร้อมๆ กับสิชลซึ่งตามไปด้วยมาถึงพอดี ทั้งสองทักทายกันแต่พอเป็นพิธี ก่อนจะขึ้นรถของชายหนุ่ม เพื่อที่จะเดินทางขึ้นเหนือมายังจังหวัดน่านทันที
คำตอบอยู่ที่วัดเชียงหมิ่น...
เหมือนยังมีบางสิ่งบางอย่างยืนยันเช่นนั้นกับเขาและคอยที่จะเรียกร้องให้เขาไปที่นั่นให้ได้
ดีที่สิชลเข้าใจและยอมมาเป็นเพื่อน ในครั้งที่เขาไปขอร้องให้อีกฝ่ายมาเป็นเพื่อน ถือซะว่ามาเที่ยวก็แล้วกัน และก็ดีที่ทั้งสองเรียนปีสุดท้าย การเรียนการสอนจึงไม่ค่อยจะมี จะมีแค่บางวิชาซึ่งจะต้องเก็บให้หมดก็เท่านั้น แต่ก็ยังดี ที่มีบางวิชาซึ่งเข้ากับเรื่องพวกนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืองานวิจัย
งานวิจัยที่ชายหนุ่มสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะทำอะไรบ้าง แต่หัวข้อก็ไม่พ้นไปจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ แล้วเรื่องราวในวัดเชียงหมิ่นกับความฝันที่เด่นชัดนั้น บางที มันอาจจะเป็นงานวิจัยชิ้นเลิศของเขาก็เป็นได้
ถือโอกาสนี้มาทำงาน ดีที่เพื่อนหนุ่มของเขาเข้าใจและตามมาด้วยในที่สุด
ในระหว่างการนั่งมาในรถนั้น เกือบตลอดทางภูริตกับสิชลพูดคุยกันตามปกติ จนสิชลเบื่อและเลือกที่จะมองข้างทางนั่นแหละ ภูริตจึงได้เผลอตัวงีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าจะยังคอยมีสิ่งหนึ่งดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนดั่งว่าบริเวณโดยรอบหมุนคว้างอีกครั้ง ไม่มีใครนอกจากเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น นึกงง ทั้งคนขับรถและสิชลเพื่อนของเขาหายไปไหน
โลกโดยรอบสว่างจ้า จากกงจักรที่มันหมุนวนรอบตัวจนรู้สึกตาลายและวูบเสียวไปทั่วสันหลังในคราวแรกนั้น บัดนี้จึงได้ค่อยทุเลาลง ก่อนภาพโดยรอบเริ่มเด่นชัด ปรากฏเป็นภาพต้นไม้ ภาพของวัด มีเจดีย์ทรงไม้ย่อมุมสิบสองตรงฐาน เหนือขึ้นไปเป็นทรงระฆังคว่ำซึ่งเป็นสีทองเหลืองอร่าม เหนือขึ้นไปเป็นยอดฉัตรอันประดับไปด้วยเพชรนิลจินดาซึ่งกำลังสะท้อนแสงแดดอยู่วูบไหว
วัดหรืออุโบสถหลังนั้นเป็นศิลปะไม้อย่างวัดในชนบททั่วไป คือทรงเตี้ย ด้านหน้ามีสิงห์สองตัวหมอบอยู่ สิงห์ทั้งสองตัวนั้นมีรูปลักษณะอันแปลกไปจากทั่วไป นั่นก็คือส่วนที่เป็นลำตัวนั้นยาวเลื้อยไปอย่างกับพญานาค เลื้อยเรื่อยยาวไปตามขั้นบันไดห้าหกขั้น ก่อนหางทั้งสองจะไปจรดกันอยู่เหนือบานประตูไม้ของอุโบสถหลังนั้นอย่างสวยงาม
ฝาผนังด้านหน้าจากที่ชายหนุ่มเห็นอยู่นั้น เป็นลวดลายจิตรกรรมที่มีความละเอียดลออเป็นยิ่งนัก เป็นรูปภาพวิถีชีวิตของชนชาวบ้านทั่วไป ส่วนที่เหนือขึ้นไป อันซึ่งมีหางของพญานาคสองตนไขว่กันอยู่นั้น เป็นภาพวาดของพระพุทธเจ้าในท่านั่งประทานพร แววตาในยามที่มองมายังเขาช่างเป็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตายิ่งนัก
ชายหนุ่มมองภาพเหล่านั้นอย่างชื่นชม ก่อนจะตัดสินใจย่างก้าวเข้าไปภายในอุโบสถ เมื่อตนคิดอยากจะไหว้พระขึ้นมาในทันทีที่เดินทางมาถึงที่แห่งนี้
ร่างสูงเคลื่อนเข้าไปภายในนั้น ก่อนจะเห็นพระประธานองค์โต ประดับเครื่องทรงด้วยศิลปะแบบล้านนาสกุลช่างเมืองน่าน เขาค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะก้มลงกราบด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
กระแสความปลื้มปีติพึงก่อเกิด เหมือนดั่งว่าตนจะได้กลับมาในที่แห่งนี้อีกครั้ง ดวงตาคู่คมกวาดมองไปโดยรอบอย่างชื่นชมในภาพจิตรกรรมฝาผนังอันอ่อนช้อย วิจิตรงดงาม
วัดเชียงหมิ่น...
สิ่งหนึ่งคอยย้ำเตือนอยู่ในหัวใจ ทว่าก่อนจะทันได้คิดอะไรหลังจากนั้น ร่างหนาก็ต้องไหวยวบทั้งสะดุ้งและตื่นตัว เมื่อครั้งที่เห็นร่างหนึ่งยอบตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะก้มกราบองค์พระด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงาม
ทั้งกิริยา ทุกท่วงท่าของนาง ไม่พ้นไปจากการมองสำรวจของเจ้าหนุ่ม เขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นคล้ายดั่งต้องมนต์สะกด ไม่เคยคิด ว่าจะได้มาเจอกับนางในยามชิดใกล้แบบนี้
เจ้านางจันทร์งาม...เจ้านางผู้งามพร้อมทั้งเรือนกายและใบหน้า
แม่หญิง ผู้ที่ทำให้หัวใจของเจ้าหนุ่มผวาทั้งเต้นรัวอยู่ทุกค่ำคืน นับตั้งแต่ที่ได้เห็นนางเพียงครั้งแรกเมื่อหลายเพลาก่อน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มไม่ยอมเดินทางกลับเวียงยา หลังจากที่เสร็จงานมงคลสลีปี๋ใหม่เมืองของวรนครเรียบร้อยแล้ว
เพราะรู้ สักวันตนจะต้องได้เจอกับเจ้านาง...
แลวันนี้ เหมือนฟ้าจักเป็นใจ จู่ๆ แม่หญิงที่งามพร้อมอย่างเจ้าจันทร์งามก็มานั่งกราบพระใกล้ๆ กับตนแบบนี้
ยิ่งแลยิ่งตะลึง...ยิ่งแลยิ่งทำให้หัวใจหนุ่มเต้นรัว
รักครั้งแรกมันร้ายแรงเพียงนี้หรือไร...
หลังก้มลงกราบพระเสร็จเรียบร้อยและร่างนั้นได้เงยหน้าขึ้นมององค์พระอยู่นิ่งดุจเดิม เหมือนดั่งจะไม่สนใจต่อคนซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างสักน้อยนิดและนั่นจึงทำให้เจ้าหนุ่มได้สำรวจพิศร่างงามนั้นอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
กรอบหน้าสวย แม้จากเพียงแค่เสี้ยวหน้าเท่านั้น แต่เขาก็ยังยืนยัน นางนั้นงามหนักหนากลิ่นจากกายนางนั่นอีกเล่าก็หอมหวนชวนให้ดอมดม เส้นผมสลวยยาวซึ่งเกล้ากันอยู่บนหัวมีผ้าโพกหัวสีชมพูโพกรับเอาไว้อย่างมิดชิด ทั้งประดับด้วยปิ่นเงินรูปจ้องอย่างสวยงาม
“เจ้า...เจ้าจันทร์งาม”
ในยามที่เอื้อนเอ่ยถึงชื่อนั้น ดูเหมือนน้ำเสียงของเจ้าหนุ่มจะสั่นรัว ไม่แพ้กับหัวใจหนุ่มที่เต้นรัวแรงอย่างที่ไม่อาจจะหักห้ามได้
แล้วร่างแน่งน้อยนั้นก็ผินเสี้ยวหน้ามามองเขาอย่างเต็มกรอบหน้าสวยอีกครั้ง ประกายตาในยามที่มองกลับมา มีแววแห่งความแปลกใจเคลือบแฝงอยู่จนอีกฝ่ายมองออก
“อ้าย...อ้ายฮู้จักข้าเจ้าตวยก่า”
สรรพสำเนียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นอีกเล่า ก็ช่างหวานหยดจนอีกฝ่ายอยากจะได้ยินประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ
“ไผเล่าจักบ่ฮู้จักเจ้าจันทร์งาม เจ้านางน้อยแห่งวรนคร”
พ่อหนุ่มจากแดนไกลเอื้อนเอ่ยสรรพสำเนียงด้วยเสียงอันหวานแว่วไม่แพ้กัน ก่อนเขาจะคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นก็ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้กับตนเช่นเดียวกัน
เพียงแค่แรกพบสบตาเท่านั้น หัวใจของเจ้านางน้อยก็ยิ่งเต้นรัว ไม่รู้เหมือนกันว่ามันได้เกิดอันใดขึ้นกับนาง ในยามที่มองชายผู้นี้ซึ่งเพียงแค่พบกันครั้งแรกเท่านั้น ก็เหมือนดั่งว่าจะคุ้นเคยกันมานานแสนนาน
หรือพรหมลิขิตจักมีจริง ขีดเส้นทางให้กับนางได้พบเจอกับเขา
“อ้ายเกยหันเจ้านางมาตี้วัดแห่งนี้เมื่องานปี๋ใหม่ วันนั้นเจ้านางงามขนาด”
กรอบหน้าสวยเริ่มแดงซ่าน ในยามที่ฟังน้ำเสียงซึ่งเอื้อนเอ่ยเกี้ยวพานาง แม้จะเป็นหญิงสูงศักดิ์ ทว่านางก็ไม่ใช่คนถือตัว หลากครั้งที่แอบหนีออกมายังวัดแห่งนี้เพียงลำพังและเมื่อยามที่เจอผู้คน แม้บางคนจะไม่รู้จักนางมาก่อนหรือเมื่อรู้จักนาง นางก็ไม่ได้วางตัวให้ใหญ่โต ทุกครั้งนางก็ยังคงทำตัวธรรมดา พูดคุยอู้จากับคนเหล่านั้นอย่างกันเอง
และก็ด้วยเหตุนี้นั่นเอง ที่ทำให้พวกชาวบ้านในแถบนี้ ต่างเคารพนบน้อมและรักเจ้านางน้อยผู้นี้ไปตามๆ กัน
วัดเชียงหมิ่น เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งเป็นวัดหลวงในวรนคร สถานที่แห่งนี้เจ้านางน้อยจันทร์งามมักจะแอบหนีพวกข้าทาสบริวารมาเที่ยวเล่นยังที่นี่เสมอ
ด้วยเพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนา นางจึงยืนยันและอธิฐานที่จะขอทะนุบำรุงศาสนาในเวียงให้เจริญก้าวหน้าให้ถึงที่สุด
เพราะวัดคือแห่งรวมจิตใจ
เพราะวัดคือสถานที่ทำให้หัวใจของนางหลุดพ้นไปจากความว้าวุ่นสับสน
หลากครั้งที่มักจะแอบออกมายังที่แห่งนี้ หลายครั้งที่มักจะมาปฏิบัติธรรมและไหว้พระและทุกครั้งที่กลับไป หัวใจของนางก็รู้สึกสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าในวันนี้จะได้เจอกับเจ้าหนุ่มรูปงามผู้นี้ แถมถ้อยคำจาพาทีของเขายังยิ่งทำให้หัวใจนางยิ่งเต้นรัวเสียอีก
“ขอบใจ๋จ๊าดนักเจ้า...”
นางขอบคุณชายหนุ่มที่เอ่ยชมถึงความงามของนาง แม้จะเคยได้ยินใครต่อใครเอื้อนเอ่ยชมแบบนี้อยู่ร่ำไป ทว่ามันก็ไม่เท่ากับคำจาของชายผู้นี้ที่ทำให้หัวใจของนางซึ่งกำลังว้าวุ่นนั้นเต้นรัวโดยไม่รู้ตัวไปได้
“เจ้านางมาตี้นี่บ่อยก่อ” ได้ทีจะเป็นฝ่ายชวนคุย เจ้าน้อยก็เริ่มดำเนินการทันที
ตนบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดถึงได้ทำให้เขาเกิดความกล้าจะชวนคุยแบบนั้น
ไม่มีเหตุผล...คนเฒ่าคนแก่ เปิ้นเคยบอกว่าเช่นนั้น ความรักมักบ่มีเหตุผล สิ่งเดียวที่อยากจะทำ คือได้อู้จากับแม่หญิงผู้นี้ให้นานๆ
“บ่อยบ่บ่อยนั้นมันเรื่องของข้าเจ้า อ้ายมาเกี่ยวอะหยังตวย”
กรอบหน้าสวยยิ่งแดงซ่าน เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายในยามมองมายังนางอย่างสนิทเสน่หา ร่างบางจึงหยัดกายลุกขึ้น เพราะขืนอยู่ที่นี่นาน อีกไม่เท่าไร นางจะต้องแสดงอาการซึ่งความพึงใจในชายผู้นี้อย่างแน่นอน
“เจ้า...เจ้านาง อย่าเพิ่งไป เจ้า...”
เจ้าน้อยหยัดกายลุกขึ้น หากก็ไม่ทันอยู่ดี เมื่อร่างนั้นรีบวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว คงเหลือเพียงกลิ่นหอมจากกายนางเท่านั้นซึ่งยังคงทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มใคร่ถวิลหา
โอ...ความรักนี้มันช่างน่ากลัวนัก เพียงแค่แรกพบสบตาเท่านั้นก็ยิ่งทำให้แต่ละฝ่ายใคร่ถวิลหาซึ่งกันและกันเสียแล้ว
สำหรับเจ้าน้อยภูมินทร์นั้นไม่เท่าไรหรอก แต่สำหรับเจ้าจันทร์นี่สิ ในครั้งที่เดินทางมาถึงคุ้มเจ้านางแล้ว หัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว ในความรู้สึกและห้วงแห่งความทรงจำกลับมีแต่เสียงพูดและกรอบหน้าหล่อใสนั้นลอยอยู่เต็มไปหมด
ไม่เข้าใจ เหตุใดจึ่งได้เป็นเช่นนั้น
แล้วใยป้อจายผู้นั้นถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจของนางให้เต้นรัวมากขนาดนี้
///
เวลาล่วงเลยไปหลายเพลา เจ้าราชบุตรหนุ่มก็ยังคงไม่กลับบ้านกลับเมือง อย่างความตั้งใจในคราวแรก เขามีแต่เพียงจดหมายซึ่งบังคับให้สีป้อนำกลับไปให้เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ให้วางใจ ว่าตนจะอยู่ที่นี่สักระยะเพื่อจะศึกษาตำราจากพระครูในเวียงวรนคร
ทว่าแท้จริงนั้นเป็นสิ่งใด สีป้อนั้นทราบดีแก่ใจ
มิใช่การเฝ้ารอเพื่อจะพบปะเจ้านางน้อยแห่งวรนครหรอกหรือ ที่ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มไม่กลับบ้านกลับเมือง
โบราณว่าพิษรักนั้นร้ายแรง...บัดนี้จึงประจักษ์อย่างชัดเจน
เจ้าน้อยภูมินทร์ กำลังลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในวังวนแห่งความรัก แถมยังเป็นรักแรกเสียด้วยสิ...
เช้าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งซึ่งเจ้าหนุ่มจะมาแอบดักรอเจ้าจันทร์งามเช่นกับทุกวันที่ผ่านมา
แม้ว่าหลายวันนี้นางจะหายหน้าหายตาไป จนทำให้หัวใจหนุ่มทุรนเจ็บปวดกับการที่ไม่ได้เห็นหน้าของนางก็ตาม หากเจ้าหนุ่มก็ยังหวัง สักวันนางจักต้องมาในที่แห่งนี้
แลดูเหมือนว่าสวรรค์ เทพาอารักษ์จะเป็นใจ เมื่อเจ้านางน้อยแห่งเวียงนี้ก็ไม่อาจจะทานทนต่อความรู้สึกอันรุมเร้าและเสียงเรียกร้องของบางสิ่งบางอย่างไม่ได้เหมือนกัน นางจึงแอบหนีออกมายังวัดเชียงหมิ่นเช่นทุกครั้ง
หากจุดประสงค์นั้นเปลี่ยนไป...
หลายครั้งที่ผ่านมา ก็เพื่อจะระงับความว้าวุ่นในหัวใจ ทว่าในเวลานี้ความว้าวุ่นในหัวใจนั่นแหละจึงเป็นฝ่ายเรียกร้องให้นางมาในที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง
มาเพื่อพบเจอกับเขา...ผู้ชายเพียงคนเดียวที่ทำให้หัวใจนางสั่นไหว
เพียงแค่แรกพบ ทั้งได้สบตาครั้งแรกเท่านั้น นางก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้เหตุใดมันถึงได้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น
ปานว่านางและเขาจะเคยพบเจอกันมาก่อน แถมเหมือนอย่างกับว่าสิ่งที่ทำให้เธอกลับมายังวัดแห่งนี้อีกครั้ง ก็เพราะเสียงเรียกร้องของหัวใจ
เสียงของหัวใจที่ไม่อาจหักห้ามได้อีกต่อไป
เจ้านางน้อยแห่งวรนครเข้าไปกราบพระในอุโบสถของวัด ส่วนสายตาก็สอดส่ายมองหาผู้ที่ทำให้หัวใจของนาง
ไม่สงบสุขมาหลายวัน ก่อนความผิดหวังจะมาถึง เมื่อไม่เห็นแม้เงาของเขาจะออกมาพูดจาเลย
“บ่มาก็บ่ต้องออกมาเน้อ เฮาจะบ่มาหื้อเจ้าพบแห๋มแล้ว”
แอบบ่นกับตัวเองและนึกน้อยใจที่ไม่เห็นเจ้าหนุ่มเหมือนเช่นวันนั้น เจ้านางน้อยจึงทำหน้าปั้นปึง ก่อนจะเดินออกมาด้านนอก สำรวจสายตามองไปทั่วบริเวณลานวัดอีกครั้ง ก่อนจะเยื่องย่างร่างบางตรงไปนั่งยังใต้ต้นไทรใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากว้างใหญ่ไพศาล
สายลมเย็นพัดแผ่วผ่าน เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและนั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของเจ้านางยิ่งรู้สึกขัดใจเป็นยิ่งนัก บางครั้งก็เหมือนจะมีความละอายอยู่ในที นึกต่อว่าตนเองที่ดันทำตัวไม่สมควรออกมารอผู้ชายซึ่งไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาก่อน เพียงแค่แรกพบเท่านั้นหรือ ที่ทำให้นางกล้ากระทำสิ่งเหล่านี้ได้
“อย่าหื้อปะตั๋วเน้อ บ่อั้นเฮาจะสั่งหื้อทหารโบยตี๋หื้อหนักเลย”
ทำแก้มป่องอย่างน่ารัก แต่ก่อนที่อารมณ์ซึ่งมันว้าวุ่นตีรวนอยู่ภายในนั้นจะเพิ่มมากขึ้น เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“เจ้านางจะสั่งโบยสั่งตี๋ไผนะเจ้า”
“ตี๋ไผมันก็เรื่องของเฮา เจ้ามายุ่งอะหยังตวย” เสียงเง้างอดดังขึ้น กรอบหน้าสวยเริ่มแดงซ่าน อยากจะกระโจน
เข้าไปทุบตีชายตรงหน้าเป็นยิ่งนักที่บังอาจมาทำให้นางรอและอารมณ์เสียเช่นนี้
เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเพียงคนเดียว...
“บ่ไจ้เจ้านางกำลังรออ้ายอยู่กา ถึงได้อารมณ์บ่ดีจะอี้”
“รอ...ไผรอเจ้า เฮาบ่ได้รอเจ้าสักหน่อย” นางปฏิเสธอย่างทันควัน ไม่อยากจะพูดออกไปตามเสียงเรียกร้องของหัวใจว่านางรอเขาจริงๆ
เท่านี้มันก็น่าอายเป็นยิ่งนักแล้ว หากว่าเรื่องนี้มันได้หลงเข้าไปให้คนในคุ้มรู้
“แล้วเจ้านางอารมณ์บ่ดีเพราะอะหยังล่ะเจ้า”
“ก็บอกแล้วจะใดละ ว่ามันเรื่องของเฮา บ่ไจ้เรื่องของเจ้า”
นางทำแก้มป่องอีกครั้ง เจ้าน้อยมองภาพน่ารักนั้นก็พลันรู้สึกขบขัน ก่อนจะเบี่ยงกายและทำท่าจะเดินจากไป
“ถ้ามันบ่เกี่ยวกับอ้าย จะอั้นอ้ายขอตั๋วไปก่อนเน้อ”
“เดี๋ยวก่อน จะฟั่งไปไหน”
ร่างหนาซึ่งยืนหันหลังคลี่ยิ้มพึงใจ นึกรู้ว่าอีกฝ่ายมารอ เพื่อจะได้พูดคุยกับตน อย่างที่ใจของตนได้ปรารถนาไม่แพ้กัน ก่อนจะหันกลับมาแล้วถาม
“อ้าว...เจ้านางบ่ไข๋อยากอู้กับอ้ายบ่ไจ้ก่า”
“เอ่อ...แล้วเจ้าจะไปไหน” ก้มหน้าลงมองพื้นในทันที เมื่อไม่อยากที่จะให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงอารมณ์ที่มันแปรปรวนอยู่ภายใน
“อ้ายก่จะปิ๊กบ้านน่ะก่า”
“จะฟั่งปิ๊กไปไหน เฮามาแอ่วตี้นี่อยู่เป๋นเปื้อนเฮาสักกำก่า”
“ถ้าเจ้านางต้องการจะอั้น อ้ายก่จะอยู่เป๋นเปื้อนเจ้านาง”
เจ้าน้อยภูมินทร์คลี่ยิ้มบาง จมูกรับรู้ถึงกลิ่นหอมซึ่งกระจายออกมาจากตัวของนาง เขาค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งยังข้างๆ กับนาง ก่อนจะเป็นฝ่ายชวนคุยเสียเอง
“หลายวันมานี่เจ้านางบ่มาวัดเลยหนา”
เจ้าจันทร์งามเงยหน้าขึ้นจากการมองพื้น ก่อนจะผินกรอบหน้าสวยไปมองเจ้าหนุ่มอีกครั้งหนึ่งและนั่น หัวใจสาวก็ยิ่งเต้นรัวและเร็ว ปานว่ามันจะหลุดออกมาจากนอกอกอย่างไรอย่างนั้น
“ในคุ้มมีงาน เฮาจึงได้ไปจ้วยเจ้าแม่เปิ้นจัดของ”
“งาน งานอะหยังนะเจ้า”
“งานสู่ขวัญเจ้าย่าแก้วคำปาน จัดงานอยู่หลายวันเหนื่อยขนาด วันนี้ข้าเจ้าจึงได้แอบหนีออกมาที่วัดนี้แห๋มเตื้อหนึ่งเจ้า...”
น้ำเสียงค่อยแจ่มใสขึ้นมาอีกนิดและนั่นก็พอจะทำให้เจ้าหนุ่มรู้แล้วว่าอารมณ์คุกรุ่นจากความโกรธกรุ่นของนางนั้นทุเลาลงบ้างแล้ว
“ว่าแต่อ้ายฮู้จักข้าเจ้าแล้ว...ข้าเจ้ายังบ่ฮู้เลยว่าอ้ายจื่ออะหยัง มาแต่ตี้ไหน” ในยามเอ่ยถามดวงตาคู่สวยก็เบิกขึ้นด้วยความอยากรู้ในทันที
“อ้ายกา...” อีกฝ่ายแย้มยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยบอก โดยยังปกปิดซึ่งความจริงอยู่มาก
“อ้ายจื่อน้อย เป็นหลานของพ่อหนานคำปัน มาจากเวียงยาตี้อยู่ทางเหนือปู้น มาแอ่วปี๋ใหม่ที่เมืองนี้เป๋น ครั้งแรก”
“คนเวียงยาก่า...เปิ้นว่าตี้ปู้นมีคนงามนักกาเจ้า”
ด้วยกิตติศัพท์ของคนเวียงยา ที่เข้ามาสู่หูของเจ้านางน้อยให้ได้ยิน ก็คือผู้คนจากเวียงยาแม้จะเป็นบ้านป่าบ้านดอย แต่ผู้คนของที่นั่นก็หน้าตาดี ป้อจายหน้าตางามเอาการเอางาน ส่วนแม่หญิงก็งามขนาดการบ้านการเรือนก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ความงามที่ได้ยินแลทำให้เจ้านางอดจะนึกขวยเขินไม่ได้นั่นก็คือความงามของเจ้าน้อยภูมินทร์ซึ่งนางคำแปงเคยเล่าให้ฟังว่า ป้อจายคนนี้หน้าตาดี ขาวสะอาดแม่หญิงคนไหนเห็นแล้วก็ต้องชอบอย่างแน่นอน
“ไจ้แล้ว คนเวียงยาเปิ้นงามนัก แต่อ้ายก็ผ่อแล้ว ว่ายังมีแห๋มหลายคนที่งามที่สุด แต่ก็ยังบ่งามเต้ากับเจ้านางน้อยแห่งวรนคร เจ้าจันทร์งามเลย”
คำชื่นชมนั้นยิ่งทำให้กรอบหน้าขาวสวยนั้นแดงซ่านขึ้นมาอย่างถนัดตา ก่อนเจ้านางจะไม่อาจทานทนต่อความรู้สึกหลากล้นเหล่านั้นไม่ได้ นางจึงหยัดกายลุกขึ้น เมื่อคิดว่ามันคงจะถึงเวลาแล้วที่นางจะกลับ
“ข้าเจ้าจะปิ๊กแล้วเจ้า...”
ว่าเสร็จก็จะเดินจากไป ทว่าว่าร่างนั้นก็ต้องหันกลับมาเมื่อข้อมือบางถูกรั้งเอาไว้และก็เป็นผลให้ร่างของนางเสียหลักเซถลา ก่อนจะเข้าไปซบยังแผงอกกว้างภายใต้ผ้าฝ้ายเนื้อดีของเจ้าหนุ่มในทันที
“เดี๋ยวก่อน...อ้ายจะได้ปะเจ้านางแห๋มบ่ใด”
สรรพสำเนียงซึ่งเหมือนจะกระซิบถามนั้น เพราะร่างสองร่างแนบเนื้อชิดใกล้ ก่อนเจ้านางน้อยจะรู้ตัวว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่งามที่นางจะมาอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้นี้ มันเป็นการไม่บังควรหากใครจะมาเห็นเข้า
นางจึงรีบขืนตัวออกมาจากอกอุ่น ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยประโยคเสียงสั่นสะท้าน
“ยังบ่ฮู้เจ้า...ตราบใดที่อ้ายยังอยู่ตี้นี่และข้าเจ้าปรารถนาจะมาตี้วัดแห่งนี้ อ้ายก่จะได้เจอกับข้าเจ้าแห๋ม...ข้าเจ้าไปก่อนเน้อ”
ว่าแล้ว ร่างบางก็ถลาจากไปในทันที เพราะเกรงและกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นกิริยาที่เอียงอายซึ่งมันกำลังจะเกิดขึ้นของนาง
กลิ่นหอมของไม้ดอกและจากกลิ่นกายของนางยังคงหอมติดตรึงจมูกของเจ้าหนุ่มไม่เคยจางหายไปไหน รอยยิ้มพึงใจบังเกิดขึ้น สาบานกลิ่นนี้จะติดจมูกของเขาตลอดไปตราบนิจนิรันดร์
รอยยิ้มที่แย้มยิ้มเหมือนจะพึงพอใจและดีใจสุดๆ ทำให้คนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องเขย่าตัวคนที่นอนหลับไม่ได้สติ แต่ยิ้มอย่างกับคนบ้าไม่ได้
“เฮ้ยไอ้ภู...แกเป็นอะไรวะ”
เรียกอยู่สักพัก แถมแรงเขย่าแขนยังเพียงพอจะทำให้คนที่อยู่ในห้วงอารมณ์ซึ่งเรียกว่าฝันหวานตื่นขึ้นมาจากความฝันในทันที
“มีอะไรหรือชล ถึงแล้วหรือ”
“เปล่า ยังไม่ถึงหรอก นี่ก็เพิ่งเที่ยง เย็นๆ นู้นแหละถึงจะเข้าเมืองน่าน แล้วนายเป็นอะไรยิ้มอย่างกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ”
สิชลถามอย่างแปลกใจกับภาพที่เห็นเจ้าเพื่อนหนุ่มยิ้มหวาน แถมยังทำท่าทำทางให้ชวนสยองอีก
“ยิ้มหวาน...ยิ้มอะไร”
“แล้วนายล่ะ เมื่อกี้ฝันอะไร ฝันหวานล่ะสิ ถึงได้ยิ้มแย้มอย่างกับได้เจอกับใครอย่างนั้นแหละ”
“เจอหรือ...” เขาทวนคำนั้น ก่อนจะเงียบเสียงไปคิดทบทวนถึงความรู้สึกบางอย่างกับภาพที่เห็นอย่างเด่นชัดเมื่อครู่
พบเจอ...เขาได้พบเจอกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
และ...
กลิ่นหอมนั้น บัดนี้ก็ยังคงติดจมูกของเขาอย่างไม่รู้ลืม
เจ้าจันทร์งาม กลิ่นหอมจากเรือนกายของนางช่างหอมจับจิตเหลือเกิน
เสียงถ้อยคำทำนองคำค่าวคำซอยังคงเด่นชัดอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ ทำให้กรอบหน้าสวยซึ่งบัดนี้หลับตาพริ้ม แย้มยิ้มอย่างเปี่ยมสุขกับลำนำเสียงที่ได้ยินเป็นยิ่งนัก
ลมหายใจทอดต่ำเร็วสม่ำเสมอ ก่อนดวงตาคู่สวยอันมีแพรขนตายาวงอนนั้นจะค่อยๆ เปิดขึ้น เมื่อแสงอาทิตย์แยงเข้ามาทางหน้าต่างจนรู้สึกเคืองๆ จนต้องยกมือขึ้นขยี้
แม้จะลุกขึ้นนั่งและมีสติครบถ้วนทุกประการ ทว่าในห้วงอารมณ์และความรู้สึกของหญิงสาวยังคงปีติกับเสียงร้องลำนำเหล่านั้น แม้จะคิดว่านั่นเป็นเพียงความฝัน หากเธอก็ยังยืนยันเหมือนดั่งว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
ภาพของแม่หญิงงามนางนั้น พร้อมกับเสียงพูดค่าวซอของอีกนางหนึ่ง เพื่อจะขับกล่อมให้ได้หลับและหญิงสาวก็รับรู้อย่างกับว่า เสียงที่หญิงชรานางนั้นขับขานให้กับเธอฟังอย่างนั้นแหละ
จันทร์เจ้าอดจะแปลกใจไม่ได้ หลายคืนมานี้เธอฝันถึงแต่เรื่องราวที่ซ้ำๆ กัน แต่สิ่งที่เด่นชัด ก็คือเสมือนว่าเธอได้กลับกลายเป็นบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งในยุคสมัยนั้น
ยุคสมัยนั้น...
คำนี้เด่นชัดในหัวใจ ใช่สิ ยุคสมัยนั้น แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเวลาที่ล่วงเลยมาเท่าไรแล้วก็ตาม แต่เธอก็แน่ใจว่ามันจะต้องเป็นห้วงเวลาแห่งอดีตอย่างแน่นอน
เพราะทุกคน ไม่แม้กระทั่งตัวของเธอ ซึ่งต่างอยู่ในชุดผ้าพื้นเมืองสวยงามละเอียดลออ ส่วนผู้ชายทุกคนในภาพเหล่านั้นที่ยืนอยู่รายรอบ มีแต่เพียงผ้าเตี่ยวสีแดงผืนเดียว เผยให้เห็นถึงมัดกล้ามเงามัน กับผิวสีเข้มกล้ำแดง บางคนทั่วทั้งตัวสักยันต์ติดจนเต็มไปหมด ตั้งแต่หัวไหล่ ลงมาเรื่อย จนถึงหน้าขาที่พ้นออกมาจากผ้าผืนสีแดงนั้น เหมือนดั่งว่าพวกเขาจะต้องการโชว์ความคงทนเข้มขลังของมหาเวทย์วิชาซึ่งมีอยู่บนเนื้อตัวกระนั้น
รอยยิ้มพึงใจยังคงมีอยู่ในหน้า ในครั้งสดับฟังถึงสรรพเสียงการขับค่าวซอของนางพี่เลี้ยงนางนั้น ผู้ที่เธอเรียกนางว่าคำแปง...
หรือว่าเธอจะระลึกชาติได้...คำนี้จู่ๆ ก็ประทุขึ้นมาในหัวใจ
จะเป็นไปได้หรือ
ไม่มีคำตอบหลังจากนั้น นอกจากความปลื้มปีติที่มันแล่นเวียนวนอยู่ภายในกายของเธอ จนเธอก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
เจ้าจันทร์งามหรือ
ดอกเก็ตถวาหรืออย่างไร
หรือว่าจะทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ หญิงสาวเฝ้าเพียรค้นหาและเค้นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้เธอก่อเกิดความฝันในทุกๆ คืน นับตั้งแต่ได้อ่านบทกลอนบทนั้น
ยิ่งนานวัน ความฝันยิ่งเด่นชัด
ยิ่งนานวัน ความรู้สึกบางอย่างกลับยิ่งก่อเกิด
แรงศรัทธา...เครื่องพุทธบูชาน้ำอบหอมต่างดอกไม้ธูปเทียน
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด จนในบางครั้ง ก็เหมือนจะทำให้เธอนึกกลัวที่จะให้ถึงวันนั้น ทว่าอีกใจหนึ่งกลับอยากจะทะยานให้ถึงเวลานั้นอย่างรวดเร็ว
ทำไมล่ะ...
สุดท้ายก็ต้องวกมาที่คำถามเพียงคำเดียวและสุดท้าย คำตอบที่ต้องการก็มักจะไม่ปรากฏออกมา เสมือนว่ามันจะแกล้งให้เธอต้องทุกข์ระทมเช่นนี้ และตลอดไป...
จันทร์เจ้าลุกขึ้นและลงจากเตียงอีกครั้ง ดอกพุดซ้อนดอกแรกซึ่งเธอได้มันมาอย่างปริศนานั้น ยังวางอยู่ที่หน้าโต๊ะคอมพ์เช่นเดิมและยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร กลีบดอกสีขาวก็จะยิ่งช้ำ จนบัดนี้ ดูเหมือนว่าดอกจะแห้งไปเสียถนัดตาแล้ว
ทว่าสิ่งที่ยังคงเดิมคือกลิ่นของมัน
กลิ่นหอม แม้จะจางและอ่อนไปมาก หากแต่มันก็ยังคงหอมอยู่เช่นเดิมอยู่ดี
เธอมองภาพนั้นได้ไม่นาน ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ เพื่อทำธุระส่วนตัว วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ตั้งใจว่าจะไปที่บ้านของย่าบัวคำอีกครั้ง เพื่อจะถามถึงความเป็นไปในเรื่องราวของเจ้าจันทร์งาม บางทีคำตอบที่เธอต้องการค้นหา
มันอาจจะอยู่ที่นั่นก็เป็นได้...
/////
หลังได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ภูริตก็จัดกระเป๋าเพื่อจะกลับไปยังวัดเชียงหมิ่นอีกครั้ง มันยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังคงค้างคาอยู่ในหัวใจ นับตั้งแต่ที่ได้หินก้อนนั้นมา
เขาเดินมาที่รถ พร้อมๆ กับสิชลซึ่งตามไปด้วยมาถึงพอดี ทั้งสองทักทายกันแต่พอเป็นพิธี ก่อนจะขึ้นรถของชายหนุ่ม เพื่อที่จะเดินทางขึ้นเหนือมายังจังหวัดน่านทันที
คำตอบอยู่ที่วัดเชียงหมิ่น...
เหมือนยังมีบางสิ่งบางอย่างยืนยันเช่นนั้นกับเขาและคอยที่จะเรียกร้องให้เขาไปที่นั่นให้ได้
ดีที่สิชลเข้าใจและยอมมาเป็นเพื่อน ในครั้งที่เขาไปขอร้องให้อีกฝ่ายมาเป็นเพื่อน ถือซะว่ามาเที่ยวก็แล้วกัน และก็ดีที่ทั้งสองเรียนปีสุดท้าย การเรียนการสอนจึงไม่ค่อยจะมี จะมีแค่บางวิชาซึ่งจะต้องเก็บให้หมดก็เท่านั้น แต่ก็ยังดี ที่มีบางวิชาซึ่งเข้ากับเรื่องพวกนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืองานวิจัย
งานวิจัยที่ชายหนุ่มสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะทำอะไรบ้าง แต่หัวข้อก็ไม่พ้นไปจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ แล้วเรื่องราวในวัดเชียงหมิ่นกับความฝันที่เด่นชัดนั้น บางที มันอาจจะเป็นงานวิจัยชิ้นเลิศของเขาก็เป็นได้
ถือโอกาสนี้มาทำงาน ดีที่เพื่อนหนุ่มของเขาเข้าใจและตามมาด้วยในที่สุด
ในระหว่างการนั่งมาในรถนั้น เกือบตลอดทางภูริตกับสิชลพูดคุยกันตามปกติ จนสิชลเบื่อและเลือกที่จะมองข้างทางนั่นแหละ ภูริตจึงได้เผลอตัวงีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าจะยังคอยมีสิ่งหนึ่งดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนดั่งว่าบริเวณโดยรอบหมุนคว้างอีกครั้ง ไม่มีใครนอกจากเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น นึกงง ทั้งคนขับรถและสิชลเพื่อนของเขาหายไปไหน
โลกโดยรอบสว่างจ้า จากกงจักรที่มันหมุนวนรอบตัวจนรู้สึกตาลายและวูบเสียวไปทั่วสันหลังในคราวแรกนั้น บัดนี้จึงได้ค่อยทุเลาลง ก่อนภาพโดยรอบเริ่มเด่นชัด ปรากฏเป็นภาพต้นไม้ ภาพของวัด มีเจดีย์ทรงไม้ย่อมุมสิบสองตรงฐาน เหนือขึ้นไปเป็นทรงระฆังคว่ำซึ่งเป็นสีทองเหลืองอร่าม เหนือขึ้นไปเป็นยอดฉัตรอันประดับไปด้วยเพชรนิลจินดาซึ่งกำลังสะท้อนแสงแดดอยู่วูบไหว
วัดหรืออุโบสถหลังนั้นเป็นศิลปะไม้อย่างวัดในชนบททั่วไป คือทรงเตี้ย ด้านหน้ามีสิงห์สองตัวหมอบอยู่ สิงห์ทั้งสองตัวนั้นมีรูปลักษณะอันแปลกไปจากทั่วไป นั่นก็คือส่วนที่เป็นลำตัวนั้นยาวเลื้อยไปอย่างกับพญานาค เลื้อยเรื่อยยาวไปตามขั้นบันไดห้าหกขั้น ก่อนหางทั้งสองจะไปจรดกันอยู่เหนือบานประตูไม้ของอุโบสถหลังนั้นอย่างสวยงาม
ฝาผนังด้านหน้าจากที่ชายหนุ่มเห็นอยู่นั้น เป็นลวดลายจิตรกรรมที่มีความละเอียดลออเป็นยิ่งนัก เป็นรูปภาพวิถีชีวิตของชนชาวบ้านทั่วไป ส่วนที่เหนือขึ้นไป อันซึ่งมีหางของพญานาคสองตนไขว่กันอยู่นั้น เป็นภาพวาดของพระพุทธเจ้าในท่านั่งประทานพร แววตาในยามที่มองมายังเขาช่างเป็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตายิ่งนัก
ชายหนุ่มมองภาพเหล่านั้นอย่างชื่นชม ก่อนจะตัดสินใจย่างก้าวเข้าไปภายในอุโบสถ เมื่อตนคิดอยากจะไหว้พระขึ้นมาในทันทีที่เดินทางมาถึงที่แห่งนี้
ร่างสูงเคลื่อนเข้าไปภายในนั้น ก่อนจะเห็นพระประธานองค์โต ประดับเครื่องทรงด้วยศิลปะแบบล้านนาสกุลช่างเมืองน่าน เขาค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะก้มลงกราบด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
กระแสความปลื้มปีติพึงก่อเกิด เหมือนดั่งว่าตนจะได้กลับมาในที่แห่งนี้อีกครั้ง ดวงตาคู่คมกวาดมองไปโดยรอบอย่างชื่นชมในภาพจิตรกรรมฝาผนังอันอ่อนช้อย วิจิตรงดงาม
วัดเชียงหมิ่น...
สิ่งหนึ่งคอยย้ำเตือนอยู่ในหัวใจ ทว่าก่อนจะทันได้คิดอะไรหลังจากนั้น ร่างหนาก็ต้องไหวยวบทั้งสะดุ้งและตื่นตัว เมื่อครั้งที่เห็นร่างหนึ่งยอบตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะก้มกราบองค์พระด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงาม
ทั้งกิริยา ทุกท่วงท่าของนาง ไม่พ้นไปจากการมองสำรวจของเจ้าหนุ่ม เขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นคล้ายดั่งต้องมนต์สะกด ไม่เคยคิด ว่าจะได้มาเจอกับนางในยามชิดใกล้แบบนี้
เจ้านางจันทร์งาม...เจ้านางผู้งามพร้อมทั้งเรือนกายและใบหน้า
แม่หญิง ผู้ที่ทำให้หัวใจของเจ้าหนุ่มผวาทั้งเต้นรัวอยู่ทุกค่ำคืน นับตั้งแต่ที่ได้เห็นนางเพียงครั้งแรกเมื่อหลายเพลาก่อน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มไม่ยอมเดินทางกลับเวียงยา หลังจากที่เสร็จงานมงคลสลีปี๋ใหม่เมืองของวรนครเรียบร้อยแล้ว
เพราะรู้ สักวันตนจะต้องได้เจอกับเจ้านาง...
แลวันนี้ เหมือนฟ้าจักเป็นใจ จู่ๆ แม่หญิงที่งามพร้อมอย่างเจ้าจันทร์งามก็มานั่งกราบพระใกล้ๆ กับตนแบบนี้
ยิ่งแลยิ่งตะลึง...ยิ่งแลยิ่งทำให้หัวใจหนุ่มเต้นรัว
รักครั้งแรกมันร้ายแรงเพียงนี้หรือไร...
หลังก้มลงกราบพระเสร็จเรียบร้อยและร่างนั้นได้เงยหน้าขึ้นมององค์พระอยู่นิ่งดุจเดิม เหมือนดั่งจะไม่สนใจต่อคนซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างสักน้อยนิดและนั่นจึงทำให้เจ้าหนุ่มได้สำรวจพิศร่างงามนั้นอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
กรอบหน้าสวย แม้จากเพียงแค่เสี้ยวหน้าเท่านั้น แต่เขาก็ยังยืนยัน นางนั้นงามหนักหนากลิ่นจากกายนางนั่นอีกเล่าก็หอมหวนชวนให้ดอมดม เส้นผมสลวยยาวซึ่งเกล้ากันอยู่บนหัวมีผ้าโพกหัวสีชมพูโพกรับเอาไว้อย่างมิดชิด ทั้งประดับด้วยปิ่นเงินรูปจ้องอย่างสวยงาม
“เจ้า...เจ้าจันทร์งาม”
ในยามที่เอื้อนเอ่ยถึงชื่อนั้น ดูเหมือนน้ำเสียงของเจ้าหนุ่มจะสั่นรัว ไม่แพ้กับหัวใจหนุ่มที่เต้นรัวแรงอย่างที่ไม่อาจจะหักห้ามได้
แล้วร่างแน่งน้อยนั้นก็ผินเสี้ยวหน้ามามองเขาอย่างเต็มกรอบหน้าสวยอีกครั้ง ประกายตาในยามที่มองกลับมา มีแววแห่งความแปลกใจเคลือบแฝงอยู่จนอีกฝ่ายมองออก
“อ้าย...อ้ายฮู้จักข้าเจ้าตวยก่า”
สรรพสำเนียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นอีกเล่า ก็ช่างหวานหยดจนอีกฝ่ายอยากจะได้ยินประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ
“ไผเล่าจักบ่ฮู้จักเจ้าจันทร์งาม เจ้านางน้อยแห่งวรนคร”
พ่อหนุ่มจากแดนไกลเอื้อนเอ่ยสรรพสำเนียงด้วยเสียงอันหวานแว่วไม่แพ้กัน ก่อนเขาจะคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นก็ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้กับตนเช่นเดียวกัน
เพียงแค่แรกพบสบตาเท่านั้น หัวใจของเจ้านางน้อยก็ยิ่งเต้นรัว ไม่รู้เหมือนกันว่ามันได้เกิดอันใดขึ้นกับนาง ในยามที่มองชายผู้นี้ซึ่งเพียงแค่พบกันครั้งแรกเท่านั้น ก็เหมือนดั่งว่าจะคุ้นเคยกันมานานแสนนาน
หรือพรหมลิขิตจักมีจริง ขีดเส้นทางให้กับนางได้พบเจอกับเขา
“อ้ายเกยหันเจ้านางมาตี้วัดแห่งนี้เมื่องานปี๋ใหม่ วันนั้นเจ้านางงามขนาด”
กรอบหน้าสวยเริ่มแดงซ่าน ในยามที่ฟังน้ำเสียงซึ่งเอื้อนเอ่ยเกี้ยวพานาง แม้จะเป็นหญิงสูงศักดิ์ ทว่านางก็ไม่ใช่คนถือตัว หลากครั้งที่แอบหนีออกมายังวัดแห่งนี้เพียงลำพังและเมื่อยามที่เจอผู้คน แม้บางคนจะไม่รู้จักนางมาก่อนหรือเมื่อรู้จักนาง นางก็ไม่ได้วางตัวให้ใหญ่โต ทุกครั้งนางก็ยังคงทำตัวธรรมดา พูดคุยอู้จากับคนเหล่านั้นอย่างกันเอง
และก็ด้วยเหตุนี้นั่นเอง ที่ทำให้พวกชาวบ้านในแถบนี้ ต่างเคารพนบน้อมและรักเจ้านางน้อยผู้นี้ไปตามๆ กัน
วัดเชียงหมิ่น เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งเป็นวัดหลวงในวรนคร สถานที่แห่งนี้เจ้านางน้อยจันทร์งามมักจะแอบหนีพวกข้าทาสบริวารมาเที่ยวเล่นยังที่นี่เสมอ
ด้วยเพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนา นางจึงยืนยันและอธิฐานที่จะขอทะนุบำรุงศาสนาในเวียงให้เจริญก้าวหน้าให้ถึงที่สุด
เพราะวัดคือแห่งรวมจิตใจ
เพราะวัดคือสถานที่ทำให้หัวใจของนางหลุดพ้นไปจากความว้าวุ่นสับสน
หลากครั้งที่มักจะแอบออกมายังที่แห่งนี้ หลายครั้งที่มักจะมาปฏิบัติธรรมและไหว้พระและทุกครั้งที่กลับไป หัวใจของนางก็รู้สึกสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าในวันนี้จะได้เจอกับเจ้าหนุ่มรูปงามผู้นี้ แถมถ้อยคำจาพาทีของเขายังยิ่งทำให้หัวใจนางยิ่งเต้นรัวเสียอีก
“ขอบใจ๋จ๊าดนักเจ้า...”
นางขอบคุณชายหนุ่มที่เอ่ยชมถึงความงามของนาง แม้จะเคยได้ยินใครต่อใครเอื้อนเอ่ยชมแบบนี้อยู่ร่ำไป ทว่ามันก็ไม่เท่ากับคำจาของชายผู้นี้ที่ทำให้หัวใจของนางซึ่งกำลังว้าวุ่นนั้นเต้นรัวโดยไม่รู้ตัวไปได้
“เจ้านางมาตี้นี่บ่อยก่อ” ได้ทีจะเป็นฝ่ายชวนคุย เจ้าน้อยก็เริ่มดำเนินการทันที
ตนบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดถึงได้ทำให้เขาเกิดความกล้าจะชวนคุยแบบนั้น
ไม่มีเหตุผล...คนเฒ่าคนแก่ เปิ้นเคยบอกว่าเช่นนั้น ความรักมักบ่มีเหตุผล สิ่งเดียวที่อยากจะทำ คือได้อู้จากับแม่หญิงผู้นี้ให้นานๆ
“บ่อยบ่บ่อยนั้นมันเรื่องของข้าเจ้า อ้ายมาเกี่ยวอะหยังตวย”
กรอบหน้าสวยยิ่งแดงซ่าน เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายในยามมองมายังนางอย่างสนิทเสน่หา ร่างบางจึงหยัดกายลุกขึ้น เพราะขืนอยู่ที่นี่นาน อีกไม่เท่าไร นางจะต้องแสดงอาการซึ่งความพึงใจในชายผู้นี้อย่างแน่นอน
“เจ้า...เจ้านาง อย่าเพิ่งไป เจ้า...”
เจ้าน้อยหยัดกายลุกขึ้น หากก็ไม่ทันอยู่ดี เมื่อร่างนั้นรีบวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว คงเหลือเพียงกลิ่นหอมจากกายนางเท่านั้นซึ่งยังคงทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มใคร่ถวิลหา
โอ...ความรักนี้มันช่างน่ากลัวนัก เพียงแค่แรกพบสบตาเท่านั้นก็ยิ่งทำให้แต่ละฝ่ายใคร่ถวิลหาซึ่งกันและกันเสียแล้ว
สำหรับเจ้าน้อยภูมินทร์นั้นไม่เท่าไรหรอก แต่สำหรับเจ้าจันทร์นี่สิ ในครั้งที่เดินทางมาถึงคุ้มเจ้านางแล้ว หัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว ในความรู้สึกและห้วงแห่งความทรงจำกลับมีแต่เสียงพูดและกรอบหน้าหล่อใสนั้นลอยอยู่เต็มไปหมด
ไม่เข้าใจ เหตุใดจึ่งได้เป็นเช่นนั้น
แล้วใยป้อจายผู้นั้นถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจของนางให้เต้นรัวมากขนาดนี้
///
เวลาล่วงเลยไปหลายเพลา เจ้าราชบุตรหนุ่มก็ยังคงไม่กลับบ้านกลับเมือง อย่างความตั้งใจในคราวแรก เขามีแต่เพียงจดหมายซึ่งบังคับให้สีป้อนำกลับไปให้เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ให้วางใจ ว่าตนจะอยู่ที่นี่สักระยะเพื่อจะศึกษาตำราจากพระครูในเวียงวรนคร
ทว่าแท้จริงนั้นเป็นสิ่งใด สีป้อนั้นทราบดีแก่ใจ
มิใช่การเฝ้ารอเพื่อจะพบปะเจ้านางน้อยแห่งวรนครหรอกหรือ ที่ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มไม่กลับบ้านกลับเมือง
โบราณว่าพิษรักนั้นร้ายแรง...บัดนี้จึงประจักษ์อย่างชัดเจน
เจ้าน้อยภูมินทร์ กำลังลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในวังวนแห่งความรัก แถมยังเป็นรักแรกเสียด้วยสิ...
เช้าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งซึ่งเจ้าหนุ่มจะมาแอบดักรอเจ้าจันทร์งามเช่นกับทุกวันที่ผ่านมา
แม้ว่าหลายวันนี้นางจะหายหน้าหายตาไป จนทำให้หัวใจหนุ่มทุรนเจ็บปวดกับการที่ไม่ได้เห็นหน้าของนางก็ตาม หากเจ้าหนุ่มก็ยังหวัง สักวันนางจักต้องมาในที่แห่งนี้
แลดูเหมือนว่าสวรรค์ เทพาอารักษ์จะเป็นใจ เมื่อเจ้านางน้อยแห่งเวียงนี้ก็ไม่อาจจะทานทนต่อความรู้สึกอันรุมเร้าและเสียงเรียกร้องของบางสิ่งบางอย่างไม่ได้เหมือนกัน นางจึงแอบหนีออกมายังวัดเชียงหมิ่นเช่นทุกครั้ง
หากจุดประสงค์นั้นเปลี่ยนไป...
หลายครั้งที่ผ่านมา ก็เพื่อจะระงับความว้าวุ่นในหัวใจ ทว่าในเวลานี้ความว้าวุ่นในหัวใจนั่นแหละจึงเป็นฝ่ายเรียกร้องให้นางมาในที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง
มาเพื่อพบเจอกับเขา...ผู้ชายเพียงคนเดียวที่ทำให้หัวใจนางสั่นไหว
เพียงแค่แรกพบ ทั้งได้สบตาครั้งแรกเท่านั้น นางก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้เหตุใดมันถึงได้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น
ปานว่านางและเขาจะเคยพบเจอกันมาก่อน แถมเหมือนอย่างกับว่าสิ่งที่ทำให้เธอกลับมายังวัดแห่งนี้อีกครั้ง ก็เพราะเสียงเรียกร้องของหัวใจ
เสียงของหัวใจที่ไม่อาจหักห้ามได้อีกต่อไป
เจ้านางน้อยแห่งวรนครเข้าไปกราบพระในอุโบสถของวัด ส่วนสายตาก็สอดส่ายมองหาผู้ที่ทำให้หัวใจของนาง
ไม่สงบสุขมาหลายวัน ก่อนความผิดหวังจะมาถึง เมื่อไม่เห็นแม้เงาของเขาจะออกมาพูดจาเลย
“บ่มาก็บ่ต้องออกมาเน้อ เฮาจะบ่มาหื้อเจ้าพบแห๋มแล้ว”
แอบบ่นกับตัวเองและนึกน้อยใจที่ไม่เห็นเจ้าหนุ่มเหมือนเช่นวันนั้น เจ้านางน้อยจึงทำหน้าปั้นปึง ก่อนจะเดินออกมาด้านนอก สำรวจสายตามองไปทั่วบริเวณลานวัดอีกครั้ง ก่อนจะเยื่องย่างร่างบางตรงไปนั่งยังใต้ต้นไทรใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากว้างใหญ่ไพศาล
สายลมเย็นพัดแผ่วผ่าน เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและนั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของเจ้านางยิ่งรู้สึกขัดใจเป็นยิ่งนัก บางครั้งก็เหมือนจะมีความละอายอยู่ในที นึกต่อว่าตนเองที่ดันทำตัวไม่สมควรออกมารอผู้ชายซึ่งไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาก่อน เพียงแค่แรกพบเท่านั้นหรือ ที่ทำให้นางกล้ากระทำสิ่งเหล่านี้ได้
“อย่าหื้อปะตั๋วเน้อ บ่อั้นเฮาจะสั่งหื้อทหารโบยตี๋หื้อหนักเลย”
ทำแก้มป่องอย่างน่ารัก แต่ก่อนที่อารมณ์ซึ่งมันว้าวุ่นตีรวนอยู่ภายในนั้นจะเพิ่มมากขึ้น เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“เจ้านางจะสั่งโบยสั่งตี๋ไผนะเจ้า”
“ตี๋ไผมันก็เรื่องของเฮา เจ้ามายุ่งอะหยังตวย” เสียงเง้างอดดังขึ้น กรอบหน้าสวยเริ่มแดงซ่าน อยากจะกระโจน
เข้าไปทุบตีชายตรงหน้าเป็นยิ่งนักที่บังอาจมาทำให้นางรอและอารมณ์เสียเช่นนี้
เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเพียงคนเดียว...
“บ่ไจ้เจ้านางกำลังรออ้ายอยู่กา ถึงได้อารมณ์บ่ดีจะอี้”
“รอ...ไผรอเจ้า เฮาบ่ได้รอเจ้าสักหน่อย” นางปฏิเสธอย่างทันควัน ไม่อยากจะพูดออกไปตามเสียงเรียกร้องของหัวใจว่านางรอเขาจริงๆ
เท่านี้มันก็น่าอายเป็นยิ่งนักแล้ว หากว่าเรื่องนี้มันได้หลงเข้าไปให้คนในคุ้มรู้
“แล้วเจ้านางอารมณ์บ่ดีเพราะอะหยังล่ะเจ้า”
“ก็บอกแล้วจะใดละ ว่ามันเรื่องของเฮา บ่ไจ้เรื่องของเจ้า”
นางทำแก้มป่องอีกครั้ง เจ้าน้อยมองภาพน่ารักนั้นก็พลันรู้สึกขบขัน ก่อนจะเบี่ยงกายและทำท่าจะเดินจากไป
“ถ้ามันบ่เกี่ยวกับอ้าย จะอั้นอ้ายขอตั๋วไปก่อนเน้อ”
“เดี๋ยวก่อน จะฟั่งไปไหน”
ร่างหนาซึ่งยืนหันหลังคลี่ยิ้มพึงใจ นึกรู้ว่าอีกฝ่ายมารอ เพื่อจะได้พูดคุยกับตน อย่างที่ใจของตนได้ปรารถนาไม่แพ้กัน ก่อนจะหันกลับมาแล้วถาม
“อ้าว...เจ้านางบ่ไข๋อยากอู้กับอ้ายบ่ไจ้ก่า”
“เอ่อ...แล้วเจ้าจะไปไหน” ก้มหน้าลงมองพื้นในทันที เมื่อไม่อยากที่จะให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงอารมณ์ที่มันแปรปรวนอยู่ภายใน
“อ้ายก่จะปิ๊กบ้านน่ะก่า”
“จะฟั่งปิ๊กไปไหน เฮามาแอ่วตี้นี่อยู่เป๋นเปื้อนเฮาสักกำก่า”
“ถ้าเจ้านางต้องการจะอั้น อ้ายก่จะอยู่เป๋นเปื้อนเจ้านาง”
เจ้าน้อยภูมินทร์คลี่ยิ้มบาง จมูกรับรู้ถึงกลิ่นหอมซึ่งกระจายออกมาจากตัวของนาง เขาค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งยังข้างๆ กับนาง ก่อนจะเป็นฝ่ายชวนคุยเสียเอง
“หลายวันมานี่เจ้านางบ่มาวัดเลยหนา”
เจ้าจันทร์งามเงยหน้าขึ้นจากการมองพื้น ก่อนจะผินกรอบหน้าสวยไปมองเจ้าหนุ่มอีกครั้งหนึ่งและนั่น หัวใจสาวก็ยิ่งเต้นรัวและเร็ว ปานว่ามันจะหลุดออกมาจากนอกอกอย่างไรอย่างนั้น
“ในคุ้มมีงาน เฮาจึงได้ไปจ้วยเจ้าแม่เปิ้นจัดของ”
“งาน งานอะหยังนะเจ้า”
“งานสู่ขวัญเจ้าย่าแก้วคำปาน จัดงานอยู่หลายวันเหนื่อยขนาด วันนี้ข้าเจ้าจึงได้แอบหนีออกมาที่วัดนี้แห๋มเตื้อหนึ่งเจ้า...”
น้ำเสียงค่อยแจ่มใสขึ้นมาอีกนิดและนั่นก็พอจะทำให้เจ้าหนุ่มรู้แล้วว่าอารมณ์คุกรุ่นจากความโกรธกรุ่นของนางนั้นทุเลาลงบ้างแล้ว
“ว่าแต่อ้ายฮู้จักข้าเจ้าแล้ว...ข้าเจ้ายังบ่ฮู้เลยว่าอ้ายจื่ออะหยัง มาแต่ตี้ไหน” ในยามเอ่ยถามดวงตาคู่สวยก็เบิกขึ้นด้วยความอยากรู้ในทันที
“อ้ายกา...” อีกฝ่ายแย้มยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยบอก โดยยังปกปิดซึ่งความจริงอยู่มาก
“อ้ายจื่อน้อย เป็นหลานของพ่อหนานคำปัน มาจากเวียงยาตี้อยู่ทางเหนือปู้น มาแอ่วปี๋ใหม่ที่เมืองนี้เป๋น ครั้งแรก”
“คนเวียงยาก่า...เปิ้นว่าตี้ปู้นมีคนงามนักกาเจ้า”
ด้วยกิตติศัพท์ของคนเวียงยา ที่เข้ามาสู่หูของเจ้านางน้อยให้ได้ยิน ก็คือผู้คนจากเวียงยาแม้จะเป็นบ้านป่าบ้านดอย แต่ผู้คนของที่นั่นก็หน้าตาดี ป้อจายหน้าตางามเอาการเอางาน ส่วนแม่หญิงก็งามขนาดการบ้านการเรือนก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ความงามที่ได้ยินแลทำให้เจ้านางอดจะนึกขวยเขินไม่ได้นั่นก็คือความงามของเจ้าน้อยภูมินทร์ซึ่งนางคำแปงเคยเล่าให้ฟังว่า ป้อจายคนนี้หน้าตาดี ขาวสะอาดแม่หญิงคนไหนเห็นแล้วก็ต้องชอบอย่างแน่นอน
“ไจ้แล้ว คนเวียงยาเปิ้นงามนัก แต่อ้ายก็ผ่อแล้ว ว่ายังมีแห๋มหลายคนที่งามที่สุด แต่ก็ยังบ่งามเต้ากับเจ้านางน้อยแห่งวรนคร เจ้าจันทร์งามเลย”
คำชื่นชมนั้นยิ่งทำให้กรอบหน้าขาวสวยนั้นแดงซ่านขึ้นมาอย่างถนัดตา ก่อนเจ้านางจะไม่อาจทานทนต่อความรู้สึกหลากล้นเหล่านั้นไม่ได้ นางจึงหยัดกายลุกขึ้น เมื่อคิดว่ามันคงจะถึงเวลาแล้วที่นางจะกลับ
“ข้าเจ้าจะปิ๊กแล้วเจ้า...”
ว่าเสร็จก็จะเดินจากไป ทว่าว่าร่างนั้นก็ต้องหันกลับมาเมื่อข้อมือบางถูกรั้งเอาไว้และก็เป็นผลให้ร่างของนางเสียหลักเซถลา ก่อนจะเข้าไปซบยังแผงอกกว้างภายใต้ผ้าฝ้ายเนื้อดีของเจ้าหนุ่มในทันที
“เดี๋ยวก่อน...อ้ายจะได้ปะเจ้านางแห๋มบ่ใด”
สรรพสำเนียงซึ่งเหมือนจะกระซิบถามนั้น เพราะร่างสองร่างแนบเนื้อชิดใกล้ ก่อนเจ้านางน้อยจะรู้ตัวว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่งามที่นางจะมาอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้นี้ มันเป็นการไม่บังควรหากใครจะมาเห็นเข้า
นางจึงรีบขืนตัวออกมาจากอกอุ่น ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยประโยคเสียงสั่นสะท้าน
“ยังบ่ฮู้เจ้า...ตราบใดที่อ้ายยังอยู่ตี้นี่และข้าเจ้าปรารถนาจะมาตี้วัดแห่งนี้ อ้ายก่จะได้เจอกับข้าเจ้าแห๋ม...ข้าเจ้าไปก่อนเน้อ”
ว่าแล้ว ร่างบางก็ถลาจากไปในทันที เพราะเกรงและกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นกิริยาที่เอียงอายซึ่งมันกำลังจะเกิดขึ้นของนาง
กลิ่นหอมของไม้ดอกและจากกลิ่นกายของนางยังคงหอมติดตรึงจมูกของเจ้าหนุ่มไม่เคยจางหายไปไหน รอยยิ้มพึงใจบังเกิดขึ้น สาบานกลิ่นนี้จะติดจมูกของเขาตลอดไปตราบนิจนิรันดร์
รอยยิ้มที่แย้มยิ้มเหมือนจะพึงพอใจและดีใจสุดๆ ทำให้คนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องเขย่าตัวคนที่นอนหลับไม่ได้สติ แต่ยิ้มอย่างกับคนบ้าไม่ได้
“เฮ้ยไอ้ภู...แกเป็นอะไรวะ”
เรียกอยู่สักพัก แถมแรงเขย่าแขนยังเพียงพอจะทำให้คนที่อยู่ในห้วงอารมณ์ซึ่งเรียกว่าฝันหวานตื่นขึ้นมาจากความฝันในทันที
“มีอะไรหรือชล ถึงแล้วหรือ”
“เปล่า ยังไม่ถึงหรอก นี่ก็เพิ่งเที่ยง เย็นๆ นู้นแหละถึงจะเข้าเมืองน่าน แล้วนายเป็นอะไรยิ้มอย่างกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ”
สิชลถามอย่างแปลกใจกับภาพที่เห็นเจ้าเพื่อนหนุ่มยิ้มหวาน แถมยังทำท่าทำทางให้ชวนสยองอีก
“ยิ้มหวาน...ยิ้มอะไร”
“แล้วนายล่ะ เมื่อกี้ฝันอะไร ฝันหวานล่ะสิ ถึงได้ยิ้มแย้มอย่างกับได้เจอกับใครอย่างนั้นแหละ”
“เจอหรือ...” เขาทวนคำนั้น ก่อนจะเงียบเสียงไปคิดทบทวนถึงความรู้สึกบางอย่างกับภาพที่เห็นอย่างเด่นชัดเมื่อครู่
พบเจอ...เขาได้พบเจอกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
และ...
กลิ่นหอมนั้น บัดนี้ก็ยังคงติดจมูกของเขาอย่างไม่รู้ลืม
เจ้าจันทร์งาม กลิ่นหอมจากเรือนกายของนางช่างหอมจับจิตเหลือเกิน
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มี.ค. 2555, 19:21:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มี.ค. 2555, 19:21:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1469
<< ตอนที่ ๔ เจ้าจันทร์งาม | ตอนที่ ๖ เสียงจากม่านมืด >> |
ปริณาห์ 29 มี.ค. 2555, 08:28:06 น.
แวะมาอ่านค่า สนุกมากค่ะ ^_^
แวะมาอ่านค่า สนุกมากค่ะ ^_^
tookta 29 มี.ค. 2555, 09:12:19 น.
สนุกค่ะ ส่งกำลังใจมาให้นะคะ
สนุกค่ะ ส่งกำลังใจมาให้นะคะ
tookta 29 มี.ค. 2555, 09:14:29 น.
ไรเตอร์คะ เพรงนาง มีความหมายหรือเปล่าคะ
ไรเตอร์คะ เพรงนาง มีความหมายหรือเปล่าคะ
พายุ 29 มี.ค. 2555, 09:41:20 น.
สวัสดีครับ...ว้าว ดีใจมากๆ เลยครับที่มีคนชอบ ผู้เขียนปลื่มใจมากๆ ครับผม ขอบพระคุณทุกๆ ท่านมากเลย
คุณ tookta ครับ คำว่าเพรง หมายถึง เก่า ก่อน กาลก่อน ครับ หากรวมกันแล้ว เพรงนาง จึงหมายถึง เรื่องราวของนางในอดีต ก็ประมาณว่าเรื่องราวของนางในวรรณกรรมท้องถิ่นอะไรประมาณนี้ครับผม
สวัสดีครับ...ว้าว ดีใจมากๆ เลยครับที่มีคนชอบ ผู้เขียนปลื่มใจมากๆ ครับผม ขอบพระคุณทุกๆ ท่านมากเลย
คุณ tookta ครับ คำว่าเพรง หมายถึง เก่า ก่อน กาลก่อน ครับ หากรวมกันแล้ว เพรงนาง จึงหมายถึง เรื่องราวของนางในอดีต ก็ประมาณว่าเรื่องราวของนางในวรรณกรรมท้องถิ่นอะไรประมาณนี้ครับผม