เหนือความทรงจำ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ หัวใจของเขายังมีเธอเพียงคนเดียว แม้ความทรงจำของเธอจะไม่เคยมีเขาอยู่เลย แต่หัวใจของเขาจะมั่นคงเพียงเธอตลอดไป
Tags: โรแมนติก รัก เศร้าซึ้ง

ตอน: ตอนที่ 12

ชื่อลูกชายเจ้าของมูลนิธิยังค้างคาใจแพรธาราจนไม่อาจข่มตาหลับได้ และคนเดียวที่แพรธาราวางใจที่จะปรึกษาคือน้องสาวสุดที่รัก สาวสวยจึงเฝ้าคอยจนดึกกว่าพิณสุดาจะกลับบ้าน

“พี่แพร...”

พิณสุดาที่เพิ่งเสร็จจากงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้าเอ่ยทักอย่างแปลกใจ

“ทำไมยังไม่นอนอีกคะ นี่เกือบจะเที่ยงคืนแล้วนะ...นอนดึกเดี๋ยวหน้าแก่แล้วจะหาว่าพิณไม่เตือน”

“พิณ...พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“เรื่อง...สำคัญขนาดอยู่ดึกคอยพิณเลยเหรอ”

สาวนักประชาสัมพันธ์เอ่ยถามอย่างงุนงง แต่สีหน้าเคร่งเครียดของพี่สาวก็เป็นคำตอบได้ดี

“เบา ๆ ก็ได้พี่แพร”

พิณสุดาปรามเมื่อพี่สาวทั้งดึงทั้งรั้งให้เธอตามขึ้นไปคุยกันบนห้องนอน

“เรื่องลับเรื่องสำคัญอะไรเนี่ย...พิณชักอยากรู้แล้วสิ กลับมาเมืองไทยสามสี่เดือนมีเรื่องลับกับเขาแล้วเหรอ”

“พี่ไม่รู้...ไม่รู้ว่าลับหรือว่าสำคัญ”

แพรธาราเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกหลังปิดประตูล็อกกลอนเสร็จ

“อ้าว...” คนรอฟังชักเริ่มงง “แล้วยังไงกันล่ะเนี่ย อุตส่าห์อยู่คอยพิณเพื่อเรื่องอะไรก็ไม่รู้เนี่ยนะ”

“ไม่ใช่ยังงั้น” แพรธาราปฏิเสธอย่างลังเล “คือ...พี่แค่สงสัย...มันติดอยู่ในใจจนลืมไม่ลงน่ะ”

“อืม...แล้วมันเรื่องไรล่ะ”

“พิณ...พิณเคยได้ยินชื่อมูลนิธิชินภัทรไหม เป็นมูลนิธิที่คอยช่วยเหลือชุมชนแก้วใสแถว ๆ โรงแรมที่พี่นัดพบกับแซมวันนี้น่ะ”

พิณสุดานิ่งอึ้งตั้งแต่ได้ยินชื่อมูลนิธิแล้ว ชื่อที่ไม่คิดว่าจะออกจากปากของพี่สาวได้

“ทำไมเงียบล่ะพิณ เคยได้ยินหรือเปล่าชื่อมูลนิธินี้น่ะ” แพรธาราซัก “เห็นเด็ก ๆ ในชุมชนบอกว่าเป็นชื่อของลูกชายเจ้าของมูลนิธิ”

“โอ๊ย...รู้ลึกขนาดนี้เลยเหรอ”

พิณสุดาครางในอก ก่อนจะแกล้งกลบเกลื่อน

“พยายามนึกน่ะพี่แพร แต่นึกไม่ออก...ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย”

“ไม่เคยเลยสักครั้งเหรอ”

พิณสุดาลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าลงทันตาของพี่สาว แอบนึกสงสารอยู่ในใจแต่ก็เกรงว่าหากเธอยอมรับว่ารู้จักมูลนิธินี้และยอมเล่าความเป็นมาให้ฟังก็ไม่ต่างจากดึงพี่สาวกลับไปสู่อดีต อดีตที่จิตใต้สำนึกของพี่สาวอยากจะลืม...ลืมความเจ็บปวดที่ตัวเองเป็นหนึ่งในต้นเหตุแห่งความสูญเสีย...สูญเสียหัวใจของคนเป็นแม่

“ถ้างั้นลองสืบให้พี่หน่อยได้ไหม”

“โธ่...พี่แพร มูลนิธิที่บ้านเราสนับสนุนก็เยอะแล้วนะ” พิณสุดาแกล้งบ่น “ถ้าพี่แพรอยากทำบุญก็ทำกับที่ของเรานี่แหละ...ไม่ต้องหาที่อื่นเพิ่มหรอก ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน”

“พิณ...”

แพรธาราเรียกน้องสาวเสียงเรียบ แววตาเปล่งประกายประหลาดจนพิณสุดาขนลุก

“อะไรพี่แพร...ทำไมมองพิณแปลก ๆ ล่ะ ก็มูลนิธิพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เอาเงินไปสงเคราะห์เด็ก ๆ และชุมชนทั้งนั้นล่ะ”

“รู้ไหมว่าเธอโกหกไม่เนียน ยิ่งแกล้งพูดโน่นพูดนี่ยิ่งจับได้ว่าโกหก”

ดอกเตอร์สาวกล่าวเสียงนิ่ง แรกทีเดียวอยากจะเชื่อน้องสาว แต่พอน้องเริ่มอ้างโน่นอ้างนี่ก็ชวนให้สงสัยจนต้องแกล้งดักคอ

“แล้วสายตาเรา...มันบอกว่าเรารู้จักมูลนิธินี้ดีเลยล่ะ”

“ไม่รู้” พิณสุดายังยืนกรานกระต่ายขาเดียว ก่อนแกล้งโวย “หือ...ผู้บริหารก็ไม่ใช่ ทำเป็นมั่วว่าอ่านสายตาพิณออก”

“พี่ไม่มั่ว เธออาจจะโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกพี่ไม่ได้หรอก” แพรธาราเถียง “เวลาเธอโกหกเธอจะชอบทำตาเล็กวิ้ง ๆ เหมือนกำลังหว่านเสน่ห์ พี่ดูออก”

“หว่านเสน่ห์อะไร...พูดไปเรื่อย”

พิณสุดาแก้ตัว แต่ไม่วายยกมือลูบเปลือกตาตัวเองเบา ๆ ตามสัญชาตญาณเพื่อเช็คว่าไม่มีอาการแบบที่พี่สาวกล่าวหา

“ได้...ไม่ยอมรับ อ้อ..ไม่ใช่ เธอบอกว่าไม่รู้นี่นะ”

“ก็...ก็พิณไม่รู้จริง ๆ นี่ ชื่อมูลนิธินั่นก็เพิ่งเคยได้ยิน...”

ไม่รอให้น้องสาวพูดจบ แพรธาราลุกพรวดพร้อมวางไพ่ใบสุดท้าย

“ไม่เป็นไร...พี่ไปถามคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ ท่านอยู่ในวงการธุรกิจมากกว่าเธอ แล้วเดี๋ยวนี้บริษัทก็มีหน่วยงานดูแลความรับผิดชอบต่อสังคม...พวกท่านคงเคยได้ยินชื่อนี้บ้างล่ะ”

“โอ๊ย...พี่แพร”

พิณสุดากระโดดลุกขึ้นราวติดสปริง ผวาก้าวพรวด ๆ ไปยืนขวางพี่สาวก่อนที่จะถึงประตูห้องอย่างรวดเร็ว

“หลีก...พี่จะไปหาคุณพ่อคุณแม่”

“โธ่...พี่แพร นี่ก็ดึกแล้วนะคะ” พิณสุดาอ้าง พยายามหว่านล้อมต่อ “อีกอย่างพิณว่าคุณพ่อคุณแม่ก็คงไม่รู้จักหรอก ขนาดพิณอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาดยังไม่รู้จักเลย”

“ไม่เป็นไร...งั้นพี่ไปถามคุณปู่ก็ได้ ต่อให้คุณปู่ไม่รู้เรื่อง” แพรธารารีบดักคอ “พี่ก็เชื่อว่าท่านจะสืบข่าวพวกนี้ให้พี่ได้”

“โอ๊ย...อยากจะบ้าตาย” พิณสุดาตบหน้าผากตัวเอง “พี่แพรนี่นะบทจะหัวอ่อนก็อ่อนเหลือหลาย บทจะหัวแข็งนี่ให้เอาค้อนมาทุบก็ไม่บุบใช่ไหม”

แพรธาราไม่ตอบ แต่ประสานสายตากับน้องสาวนิ่งจนพิณสุดาเป็นฝ่ายถอดใจยอมอ่อนข้อ

“ได้...เล่าก็ได้” พิณสุดาถอนใจ “แต่พี่แพรต้องสัญญานะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ต่อหน้าใครทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่และอย่างยิ่งถึงที่สุดคือคุณปู่”

“ทำไมล่ะ”

แพรธาราหุบยิ้มแห่งชัยชนะเมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้มีคุณปู่เกี่ยวข้อง คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ

“ไปนั่งก่อนเถอะ เพราะถ้าพิณเล่าเรื่องนี้จบพี่แพรอาจจะตกใจจนเข่าอ่อนยืนไม่อยู่เลยล่ะ”

“หึ...อะไรของเธอ” แพรธาราหัวเราะขำ “แค่เรื่องมูลนิธิธรรมดา ๆ เนี่ยนะ...ทั้งเอาคุณปู่มาอ้างแถมยังว่าพี่จะขวัญอ่อนจนยืนไม่อยู่ ถามจริงเถอะมูลนิธินี้มีผีสิงหรือไง”

“พิณก็อยากให้เป็นมูลนิธิธรรมดาผีไม่สิงเหมือนกัน แต่ประวัติความเป็นมาของมูลนิธินี้ถ้าพี่แพรได้ฟังแล้วจะรู้ว่าไม่ธรรมดาเลยสักนิด”

แพรธาราคลี่ยิ้มบาง ๆ ทรุดนั่งที่เก้าอี้โซฟาตรงข้ามเตียงนอนของน้องสาวอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก อยากจะหัวเราะขำด้วยซ้ำถ้าไม่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนคิดหนักของน้องสาว

พิณสุดาเป่าปากเบา ๆ หวังว่าให้ความรู้สึกที่เริ่มหนักอกคลายลง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตตั้งแต่จุดเริ่มต้นแห่งรักก่อนจะจบด้วยโศกนาฏกรรมการอำลา

“เป็นไปไม่ได้ พี่ไม่เคย...”

แพรธาราครางอย่างไม่เชื่อหู หลังน้องสาวเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกคุณปู่บังคับให้แต่งงานกับมหาสมุทรที่ตอนนั้นเป็นศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ทั้งสองยินยอมจะถูกคลุมถุงชน และมหาสมุทรก็แสนดีนักทั้งคู่ถึงได้รักกัน

“ฟังพิณให้จบเรื่องก่อนก็ได้นะคะพี่แพร” พิณสุดาปลอบเมื่อเห็นสีหน้าเริ่มเผือดลงของพี่สาว “บางทีเรื่องทั้งหมดก็ต้องใช้สติค่อย ๆ คิดนะคะ”

แพรธาราพยักหน้าเห็นด้วย จึงนั่งนิ่งยอมฟังเรื่องราวที่ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะเรื่องต่อจากนี้ว่าหลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกันได้ไม่นานก็มีโซ่ทองคล้องใจ เป็นโซ่ที่สองตระกูลดีใจและเห่อมาก เหลนชายสุดที่รักของสองคุณปู่คือหนูน้อยชินภัทรหรือตาชิน หนูน้อยใช้นามสกุลสิริวัฒนานุกุลตามคำขอร้องแกมสั่งระหว่างสองคุณปู่ที่เคยตกลงกันไว้ก่อนการแต่งงาน

“ตอนนั้นพวกพี่มีความสุขมากนะคะ” พิณสุดาย้ำ “ตาหนูชินน่ารักและเลี้ยงง่าย เป็นขวัญใจของทั้งสองครอบครัวเลยค่ะ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น” แพรธาราแทบหายใจไม่ทั่วท้อง “ตาหนู...ตาหนูเป็นอะไรเหรอ”

พิณสุดาเม้มปากแน่นเมื่อเรื่องมาถึงจุดที่โหดร้ายสำหรับพี่สาว เหตุการณ์ในคืนที่หนูน้อยชินภัทรวัยเก้าเดือนป่วยหนัก งอแงร้องไห้ไม่ยอมหยุด ไข้ก็ขึ้นสูงจนแพรธารากลัวว่าลูกจะชัก แพรธาราตัดสินใจขับรถพาลูกไปโรงพยาบาลเองเพราะมหาสมุทรยังติดเคสผ่าตัดยังมารับไม่ได้ คืนนั้นฝนตกหนักมาก รถบรรทุกสิบล้อคันใหญ่ที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้ามพยายามหักหลบรถกระบะคันหน้าที่ปาดแทรกและจอดกระทันหัน แต่ถนนลื่นทำให้รถบรรทุกพลิกคว่ำ รถพ่วงหลุดกระเด็นไถลข้ามฝั่งถนนเข้าชนรถของแพรธาราฝั่งที่นั่งด้านหลังคนขับอย่างแรง หนูน้อยชินภัทรเสียชีวิตคาที่

“ตอนนั้นพี่แพรบาดเจ็บสาหัส” พิณสุดาหันมามองพี่สาวที่นั่งนิ่งมีอาการคล้ายช็อกกับเหตุการณ์ที่ได้ยิน “คุณปู่ก็โกรธมาก...ไม่ยอมให้พี่มาร์คได้เยี่ยมพี่แพรเลย ท่านโทษว่าถ้าพี่มาร์คอยู่ก็คงดูแลลูกและเมียได้ ท่านทั้งบีบทั้งบังคับให้พวกพี่เลิกกัน”

“แล้วเขาก็ยอม ไม่ต่อสู้ไม่แย่งชิง”

แพรธาราเอ่ยถามเสียงเศร้า ทั้งที่จำความรักครั้งนี้ไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดและน้อยใจที่เขายอมแพ้ง่าย ๆ เหมือนเธอไม่มีค่าใด ๆ หรือว่าเพราะถูกบังคับให้แต่งงานกัน เขาจึงไม่รักไม่ใส่ใจ

“เปล่าค่ะ พี่มาร์คไม่ยอมหรอก ดื้อดึงดันจนสุดท้ายก็ได้เยี่ยมพี่แพร” พิณสุดาเล่า “แต่พอหมอบอกว่าจิตใจพี่แพรกระทบกระเทือนหนักจนจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ ยิ่งพอพี่มาร์คเข้าไปทักทายพี่แพรยังเข้าใจว่าพี่มาร์คมาเยี่ยมในฐานะคนสนิทของครอบครัว”

พิณสุดาถอนใจ ทั้งที่ผ่านมาหลายปีแต่พอนึกย้อนทีไรก็นึกสงสารทั้งสองคนอยู่ดี

“เพราะวันนั้นแหละ...ทำให้พี่มาร์ครู้ว่าพี่แพรไม่มีพี่มาร์คในหัวใจอีกแล้ว เขาก็เลยยอม..ยอมถอยจากชีวิตพี่”

“พี่...”

แพรธารารู้สึกลำคอตีบตัน หัวใจเจ็บร้าวทั้งที่จำไม่ได้ว่าเคยรักกันหวานชื่นเพียงไหน แต่ลึกในใจกลับรู้สึกสงสารเขานัก เธอยังจำเหตุการณ์วันที่เขาไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลได้ดี อาการบาดเจ็บที่ใคร ๆ บอกว่ามีรถตัดหน้า และเธอหักหลบจนไปชนต้นไม้แล้วบาดเจ็บหนัก

“ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกค่ะ” พิณสุดาปลอบ “พี่มาร์คก็คงคิดเหมือนกัน คงเพราะไม่อยากเห็นพี่แพรเจ็บหรือกลับมาจำได้ว่าพี่เสียตาหนูชินไปแล้ว พี่มาร์คถึงยอมแพ้ยอมปล่อยพี่ไป”

“แต่พี่ต้องเซ็นใบหย่าไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นพี่จำไม่ได้ว่าตัวเองโดนบังคับให้ลงชื่ออะไร หรือว่าพี่โดนบีบให้เซ็นตอนที่ยังไม่ค่อยได้สติ”

“พี่แพรกับพี่มาร์คไม่ได้จดทะเบียนกันหรอกค่ะ” พิณสุดาไขข้อข้องใจ “คือคุณปู่ยังไม่ไว้ใจว่าพี่มาร์คจะดูแลพี่แพรได้จริง ถึงท่านจะมั่นใจว่าคงไม่มีใครดีกว่าพี่มาร์ค แต่ท่านก็ยังอยากรอดูพฤติกรรมของพี่มาร์คอีกสักพัก และก็เพราะอยากให้ตาหนูใช้นามสกุลของบ้านเราตามที่เคยตกลงกันไว้ด้วยน่ะค่ะ ท่านว่ามันง่ายดี...คุณปู่เกษมจะได้เบี้ยวท่านไม่ได้ด้วย”

“ทุกอย่างก็เลยจบง่าย ๆ สินะ” แพรธาราเอ่ยเสียงเบาหวิว น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว “แล้วเรื่องตาหนูล่ะ”

“ถ้าหมายถึงเรื่องจัดงานให้ตาหนู บ้านพี่มาร์ครับผิดชอบให้ทั้งหมดค่ะ อัฐิเก็บไว้ที่วัดที่บ้านพี่มาร์คไปทำบุญเป็นประจำน่ะค่ะ”

“พิณ...พี่...พี่อยากไปไหว้ตาหนูน่ะ...ได้ไหม”

“อย่าเลยพี่แพร...พี่แพรจำอะไรไม่ได้แบบนี้ก็อย่าไปย้ำ อย่าไปทำให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำเลย”

พิณสุดาห้าม ถึงจะรักหลานแค่ไหน แต่เธอก็รักพี่สาวมากกว่า ระหว่างคนตายกับคนเป็นเธอย่อมเห็นความสำคัญของคนเป็นมากกว่า เพราะคนเป็นยังต้องใช้ชิวิตอีกนาน หากต้องมีทุกวันต่อจากนี้อย่างเจ็บปวด เธอคงทนเห็นพี่สาวเป็นทุกข์แบบนั้นไม่ได้

“แต่พี่อยากเห็นหน้า...หน้าลูก” แพรธาราจับมือน้องสาวเขย่าอย่างวิงวอน “ขอพี่ดูภาพตาหนูชินหน่อยก็ยังดี เก็บไว้ที่ไหน..พี่อยากเห็นหน้าลูก”

พิณสุดาส่ายหน้า ดึงพี่สาวมากอดเบา ๆ เมื่อเห็นอาการเหมือนคนหัวใจสลายของพี่สาว แน่ล่ะถึงไม่มีความทรงจำ แต่ความรักของแม่ยิ่งใหญ่เสมอ จำไม่ได้แต่ก็คงพอรู้สึกได้บ้าง ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกคือสายใยประหลาดเสมอ

“ไม่ใช่พิณจะห้ามพี่แพรหรอกนะ แต่บ้านเราไม่มีรูปตาหนูชินเลย”

“เป็นไปไม่ได้ พิณบอกเองว่าตาหนูเป็นเหลนรัก”

“ถึงจะรักตาหนูแค่ไหนก็รักพี่แพรมากกว่า” พิณสุดาแย้ง “คุณพ่อคุณแม่ให้ทำลายภาพของตาหนูทุกภาพ ท่านไม่อยากเตือนความจำให้พี่แพรเจ็บปวด”

แพรธารายกมือทาบอก คำว่า “ทุกภาพ” ดังก้องในหัวใจ ไม่มี...ไม่มีแม้เศษเสี้ยวสักภาพให้เธอได้จดจำใบหน้าของลูกชายวัยน่ารักอย่างที่น้องสาวเล่า แต่สายใยของคนเป็นเม่ไม่มีวันยอมแพ้

“มันต้องมีสักภาพที่เหลือรอดสิ รูปเก็บไว้ที่ห้องหนังสือใช่ไหม...พี่จะลองไปหาดู”

“ไม่มีจริง ๆ พี่แพร คุณพ่อคุณแม่เผาทิ้งหมดเลยค่ะ”

“ไม่...จริง...”

ดอกเตอร์สาวน้ำตาไหลพรากแทบหัวใจสลาย ความหวังของเธอแค่เพียงอยากเห็นหน้าลูกสักนิดก็ไม่มีหลงเหลือ

“ความจริง...ความจริงอาจจะพอมีทางบ้าง แต่อาจจะยากสักหน่อย”

พิณสุดายอมสารภาพเมื่อเห็นพี่สาวร้องไห้หนักจนน่าสงสาร

“วิธีไหน” แพรธารารีบถามเสียงสดใสขึ้น “ต้องทำยังไงบ้างล่ะ”

“พี่มาร์ค...พี่มาร์คต้องเก็บรูปตาหนูไว้แน่ เขาไม่เคยลืมตาหนูเลย” พิณสุดาเฉลย “เขาทุ่มเงินส่วนตัวเพื่อก่อตั้งมูลนิธิชินภัทรเพื่อจะทำบุญให้ตาหนูและเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ อีกหลายครอบครัวที่ยากจนและไม่มีโอกาสในการรักษา”

แพรธาราถอนใจเมื่อนึกถึงมหาสมุทร โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อช่วงเย็นที่เขามาช่วยเหลือแต่เธอก็ยังไม่ยอมพูดด้วย ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ แล้วนี่ถ้าไปขอร้องเขาจะยอมให้ภาพตาหนูหรือเปล่า

“ช่วงนี้บ้านเรากับบ้านโน้นฮึมฮั่มกันตลอด แต่นี่ต้องไปขอร้องเขา” พิณสุดาบ่นเสียงเครียด “บ้านโน้นจะยอมให้พี่มาร์คช่วยเราหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย คุณปู่เกษมก็พอกับปู่เราแหละ...แค้นฝังใจไม่ใช่น้อย ๆ”

“ขอร้องยายแมร์ได้ไหม”

แพรธาราแนะ เมื่อนึกได้ว่าเพื่อนสนิทร่วมคณะของพิณสุดาเป็นสาวห้าวและหัวแข็ง แข็งชนิดที่ว่าทั้งคุณปู่เกษมและคุณปู่สิทธิพงศ์ยังยอมแพ้ ไม่กล้าสั่งไม่กล้าบงการใด ๆ

“โอ๊ย...วันนี้หัวแข็งแถมยังเหลี่ยมจัดอีกนะพี่สาวฉัน”

“ขอร้องนะพิณ” แพรธารายิ้มทั้งน้ำตา ยกมือข้นป้ายน้ำใสที่ไหลอาบแก้มเบา ๆ “ช่วยติดต่อแมร์ให้หน่อย ถ้าเธอไม่กล้าพูด...พี่จะพูดเอง”

“มันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่พี่แพรหวังไว้ก็ได้นะคะ”

“พี่ไม่รู้... แต่พี่จะต้องเห็นหน้าลูกให้ได้ ถ้าเขาคือลูกพี่จริง พี่อยากจำเขาได้...อย่างน้อยก็จำหน้าเขาได้สักนิดก็ยังดี”

“ได้...พิณจะพยายาม”

พิณสุดารับคำเมื่อเห็นสีหน้าวาดหวังของพี่สาว สองสาวสวมกอดกันอย่างมุ่งมั่นโดยเฉพาะพิณสุดาที่ตั้งใจว่าอย่างไรก็จะต้องขอร้องเพื่อนรักให้ยอมช่วยพวกเธอให้ได้


*******************

Auuuu : เรื่องนี้ต้องมีคุณนาถยาเป็นตัวช่วยค่ะ ไม่งั้นคงจะไม่มีเรื่องให้หมั้นไส้ใครเลย เพราะทั้งเรื่องจะพาลเศร้า ได้คุณแม่ขี้งกมาหน่อยค่อยหายใจโล่ง อิอิ

panon: เป็นการเดินทางแบบเรื่องเล่านะคะ ไม่มีเจาะเวลาหาอดีตนะจ๊ะ

teesaparn: เรื่องนี้จ้างพี่มาร์คให้มาเศร้าอย่างเดียวค่ะ เกิดเป็นคุณหมอต้องเสียสละแม้แต่หัวใจค่ะ

an00: มันเป็นความทรงจำจากเรื่องเล่าค่ะ แพรจะไม่เจ็บปวดมาก แต่ยอมรับว่าแอบเศร้านิดนึง





พิมดาว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2555, 22:34:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 มี.ค. 2555, 22:44:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1387





<< ตอนที่ 11   ตอนที่ 13 >>
sai 31 มี.ค. 2555, 22:42:54 น.
แพรเริ่มรู้ความจริงที่ละนิดแหละ ลู้นๆๆๆ


Auuuu 31 มี.ค. 2555, 22:48:50 น.
พี่มาร์คสุดยอดมากอ่ะ


anOO 1 เม.ย. 2555, 12:33:58 น.
ได้รู้แบบนี้แล้ว มันอาจจะง่ายที่จะกลับไปรักกันใหม่
แต่ก็อาจจะยากในการทำใจ


teesaparn 3 เม.ย. 2555, 11:39:10 น.
ใจร้ายๆ เยียะหื้ออ้ายมาร์คของข้าเจ้าต้องเจ็บ
โป้งคุณพิมดาว


panon 3 เม.ย. 2555, 14:58:08 น.
สงสารรรรรรรรรรรรรร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account