The Promise...สัญญาใจ สัญญารัก(สนพ.อิงค์)
“สัญญานะพี่มาร์คว่าจะกลับมา เอาเรือลำใหญ่ๆ มารับอลิสด้วยนะ อลิสอยากนั่งเรือไปดูดอกไม้สวยๆ”

เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญากับเด็กชายวัยเก้าขวบยังคงอยู่ในความทรงจำของชญานิศไม่เคยจาง หล่อนมักฝันถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กในสถานเด็กกำพร้าเสมอ พร้อมกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเด็กชายคนนั้นจะกลับมาหาหล่อนตามคำสัญญาที่มีให้กัน

กระทั่งหล่อนได้พบกับกรวิชญ์สถาปนิกหนุ่มแสนกะล่อนและเจ้าชู้

เขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเพื่อคุมความประพฤติหลานชายตัวแสบ ไม่ให้เข้ามาก่อกวนชีวิตโสดของเขา เพราะเหตุนี้นี่เองชญานิศจึงรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว...กรวิชญ์คือพี่มาร์คในความทรงจำของหล่อน !


หากเขายังจำอลิสตัวน้อยได้อยู่อีกเหรอ ในเมื่อตอนนี้...เขาเห็นหล่อนเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเฉิ่มๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น


Tags: เด็ก,เจ้าชู้,สรัน,น่ารัก,สถาปนิก,เปิ่น,ยิปซี,สัญญา

ตอน: บทที่ 5

บทที่ 5



กรอบรูปตั้งโต๊ะบนชั้นเหนือหัวเตียงชวนให้ชญานิศหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ ภาพนั้นเป็นภาพชายหญิงมีอายุร่างสูงยืนเคียงคู่กันที่ริมหาดที่ใดสักแห่ง ทั้งสองกำลังโอบไหล่เด็กชายตัวน้อยตรงกลางที่กำลังแอ็กท่ากอดอกยิ้มร่าให้กล้องอยู่ด้านหน้า เด็กผู้ชายคนนั้นคาดว่าน่าจะเป็นภาพวัยเด็กของเจ้าของห้อง แต่เสียดายไม่น่าสวมหมวกแก๊ปใบใหญ่บนศีรษะบังหน้าบังตาเขาเลย

ชญานิศยิ้มขันท่าโพสประหลาดพิลึกของกรวิญ์ในวัยเด็ก ก่อนวางกรอบรูปลงที่เดิมหันไปสนใจเปิดตู้เสื้อผ้าเขาแทน แล้วต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่งเมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตคอปกแขนยาวกับสูทเข้ารูปของชายหนุ่มแขวนเรียงอย่างเป็นระเบียบภายในตู้ ของใช้ส่วนตัวของเขาที่พับเก็บเป็นระเบียบเรียบร้อยบนชั้นวางทำเอาชญานิศหน้าเหวอไปชั่วขณะ

หลังจากที่ชวนอเล็กซ์เล่นจนเหนื่อยผล็อยหลับไป พี่เลี้ยงเด็กอย่างชญานิศก็ไม่รู้จะทำอะไร นอกจากเปิดโทรทัศน์ดูไปเรื่อยเปื่อยสลับกับนั่งมองเข็มนาฬิกาบนฝาผนังห้องนับเวลารอคอยเจ้าของห้องกลับมาจากที่ทำงาน ก่อนย้ายตัวเองออกมาจากบริเวณห้องนั่งเล่น เดินดูห้องของนายจ้างไปเรื่อย สภาพห้องที่ดูสะอาดสะอ้าน ไร้ซึ่งข้าวของวางระเกะระกะสร้างความประหลาดใจแก่ชญานิศไม่น้อย บ่งบอกชัดเจนว่ากรวิชญ์เป็นผู้ชายที่เนี้ยบพอสมควร แล้วไหนจะยังเสื้อผ้าแต่ละชุดในตู้เสื้อผ้าของเขาที่ทั้งโทนสีและประเภทเสื้อผ้าเขาจัดแบ่งไว้เป็นสัดส่วนเข้าพวกอย่างดีจนน่าเหลือเชื่อ

ถ้าไม่บอกว่าเป็นห้องของผู้ชายหล่อนไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด เพราะหล่อนเองเป็นผู้หญิงลำพังแค่ห้องนอนห้องเดียวยังรกจนหาที่เดินไม่ได้ ต่างจากเขาลิบลับ

เสียงโทรศัพท์มือถือที่กรีดร้องอยู่ในมือเบนความสนใจชญานิศให้ละสายตาจากข้าวของเครื่องใช้ของนายจ้างหนุ่ม มองดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ แต่แล้วคนที่กำลังเซ็งชีวิตสุดขีดกลับยิ้มสดใสทันตา ดีใจกดรับสายผิดๆ ถูกๆ เอ่ยทักเสียงใส

“ฉันว่าจะโทร.หาอยู่พอดีเลยเกตน์ ว่างแล้วเหรอ”

คนอีกฟากไม่ได้ตอบเพื่อนในทันที เหมือนกำลังง่วนทำอะไรสักอย่างชญานิศจึงได้ยินเสียงตะกุกตะกักดังลอดเข้ามาในสาย “...โทษทีแก ฉันกำลังช่วยคนในร้านล้างจานน่ะ วันนี้ลูกค้าเยอะมากเลยเดินหมุนกันให้วุ่นเพิ่งได้หายใจก็ตอนนี้เอง ลงทุนแอบโทร.มาหาแกเลยนะเนี่ย เป็นไงบ้าง งานหนักรึเปล่า”

ชญานิศชะโงกหน้ามองผ่านบานประตูห้องนอนออกไป ให้แน่ใจว่าหลานชายของกรวิชญ์ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ก่อนลดเสียงเบาลงราวกระซิบเพราะกลัวเด็กตื่น

“อย่าหาว่าฉันเรื่องมากเลยนะเกตน์ แต่ฉันว่างานนี้ไม่ค่อยเหมาะกับฉันเลย สู้กลับไปสมัครงานตามร้านอาหารเหมือนเดิมน่าจะเวิร์คกว่า”

“พูดเป็นเล่นยัยนิศ กระเป๋าสตางค์เพิ่งถูกขโมยไปยังมาทำซ่าเกี่ยงงานอีก อยากกินแกลบรึไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ชญานิศปฏิเสธเสียงอ่อย

คำแซวของเพื่อนชวนให้นึกถึงหัวขโมยที่ตลาดหน้าห้างสรรพสินค้าเมื่อวานก่อนแล้วต้องเจ็บใจขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่หล่อนอุตส่าห์วิ่งตามชายผิวคล้ำหัวขโมยไปแล้วแท้ๆ แต่มันยังหนีรอดไปได้พร้อมกระเป๋าสตางค์ของหล่อน ตอนนั้นชญานิศก็แค่จะทอนเงินให้ลูกค้าเท่านั้น ไม่นึกว่าจะมีหัวขโมยเข้ามากระชากกระเป๋าไปหน้าตาเฉย เสียดายรองเท้าที่ลงทุนปาใส่หัวมันจริงๆ!

“แล้วทำไมจู่ๆ แกถึงเปลี่ยนใจไม่อยากทำงานนี้แล้ว” นภเกตน์วกกลับเข้าเรื่องเดิม

“หรือว่าแกมีปัญหาอะไรรึเปล่า หลานพี่กรไม่น่ารักเหรอ”

“ใครบอกล่ะเกตน์ อเล็กซ์เป็นเด็กที่น่ารักมาก แต่...เอิ่ม....” ชญานิศเหลือบมองภาพถ่ายขนาดใหญ่ติดฝาผนังห้องเหนือหัวเตียง ภาพใบหน้าหล่อเหลาของกรวิชญ์กระตุ้นต่อมหมั่นไส้ของชญานิศได้ดีนักเชียว อดไม่ได้ย่นจมูกใส่เขาราวกับหนุ่มเจ้าของห้องยืนเก๊กหล่ออยู่ตรงหน้า

เรื่องเด็กตัวเล็กไม่ใช่ปัญหาสำหรับหล่อนหรอก เพราะตั้งแต่อเล็กซ์รับรู้ว่าหล่อนเข้ามาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของเขา อเล็กซ์เชื่อฟังหล่อนทุกเรื่อง เรียกว่าเป็นเด็กหัวอ่อน ว่าง่ายก็ว่าได้ แต่ปัญหา...อยู่ที่เด็กตัวโตต่างหาก

ตั้งแต่ชญานิศรู้ว่านายจ้างของหล่อนทิ้งหลานอายุเพียงแปดขวบไว้ให้คนอื่นดูแลได้ลงคอ ภาพพ่อเทพบุตรสุดหล่อก็ได้ลบหายไปในพริบตาแล้ว ยิ่งมาเห็นว่ากรวิชญ์อยู่กับสาวหน้าไม่อายคนนั้นทั้งคืนอีก แล้วยังจะเรื่องที่เขาเคยมีปากเสียงกับคนรักของเขาจึงยากเหลือเกินที่หล่อนจะทำใจได้

นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่กรวิชญ์ทำเช่นนี้ และถ้าหล่อนต้องฝืนทำงานที่คอนโดนี้ต่อไป คงได้เห็นพฤติกรรมแย่ๆ ของเขามากกว่านี้แน่นอน !

ไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดเล่าให้เพื่อนฟังยังไง กลัวเพื่อนเป็นกังวลด้วย สุดท้ายเลยพูดได้เพียงว่า

“ช่างเถอะเกตน์ ฉันเพิ่งมาทำงานวันแรกเลยยังมึนๆ เผลอพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

“คิดเสียว่าสงสารเด็กตาดำๆ แล้วกันนะแก” กลัวเพื่อนถอดใจอดได้ค่าขนมจากพี่ชายเสียก่อนจึงรีบไซโค “หลานพี่กรเพิ่งไม่กี่ขวบเอง จะให้จ้างพี่เลี้ยงเด็กมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กหรืออาศัยหาตามบริษัทจัดหางานจ้างใครสักคนมาดูแลหลานพี่เขาก็ไม่น่าไว้ใจ คอนโดพี่เขาออกจะหรู ให้คนนอกที่ไหนไม่รู้สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปเดี๋ยวของก็ได้หายกันพอดี เผลอๆ มันอาจเข้ามาเชือดคอหลานชายเขา ขโมยของมีค่าไปจนเกลี้ยงห้องก็ได้”

“เกตน์ก็พูดเกินไป” ขญานิศนึกภาพตามแล้วพลอยใจหายวาบไปด้วย

“พี่กรของแกคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่าฉันจะลองปรับตัวก็แล้วกันเผื่ออะไรๆ จะดีขึ้นมาบ้าง แกเองก็อย่าลืมย้ำกับพี่นภให้บอกเพื่อนเขาเรื่องเพิ่มค่าจ้างให้ฉันล่ะ ดูท่าพี่กรของแกจะเจ้าระเบียบใช่ย่อย เกิดวันไหนฉันเผลอทำข้าวของเขาตกแตกขึ้นมา มีหวังนายนั่นหักเงินเดือนฉันหมดตัวแน่”

“มีใครเคยบอกคุณรึเปล่าว่าการนินทาเจ้านายลับหลังเป็นกฎข้อสำคัญที่ลูกจ้างไม่ควรทำอย่างยิ่ง” จู่ๆ ใครบางคนจากด้านหลังก็พูดโพล่งแทรกขึ้นมาทำเอาสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์อย่างออกรสสะดุ้งโหยง

หันขวับมายังต้นเสียง แต่แล้วชายหนุ่มที่ยืนกอดอกจ้องเขม็งมายังหล่อนทำให้ชญานิศเบิกตาโพลงราวเห็นผี !

“คะ...คุณกร !” เรียกชื่อนายจ้างเสียงหลง อารามตกใจรีบกดวางสายเพื่อนทันควันโดยไม่ได้ร่ำลา

“...เอ่อ...คุณเข้ามาเมื่อไหร่คะ ทำไมฉันไม่เห็นได้ยินเสียงกริ่งเลย”

“นี่มันห้องของผม ผมไขกุญแจเข้ามาเองได้ ไม่ต้องรอให้คุณมาเปิดประตูหรอก” กรวิชญ์ชูกุญแจห้องให้สาวตรงหน้าเห็นเต็มสองตา และนั่นทำให้ชญานิศหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ได้แต่ยิ้มเหยเกให้เขาอย่างรู้ตัว

ท่าทางกรวิชญ์จะแอบฟังหล่อนอยู่นานแล้วถึงได้เอ่ยเสียงขุ่นอยู่ในที เท้าสะเอวจับจ้องมายังคนยิ้มเหยเกเชิงกำราบ “เมื่อกี้คุณนินทาอะไรผม”

“ปะ...เปล่าเสียหน่อยค่ะ ฉันไม่ได้นินทา ฉัน...ฉันแค่กำลังปรับทุกข์กับเพื่อนเฉยๆ”

“ปรับทุกข์ ?” กรวิชญ์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “ท่าทางการมาทำงานกับผมคงทำให้คุณทุกข์หนักมากสินะ ถึงได้อู้งานแอบมาคุยโทรศัพท์กับเพื่อน...ในห้อง-นอน-ของ-ผม”

ประโยคท้ายนายจ้างหนุ่มพยายามเน้นชัดให้สาวเจ้ารู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ในห้องส่วนตัวของเขา ร้อนถึงชญานิศหน้าแดงหูแดงขึ้นมาเสียดื้อๆ มองซ้ายทีขวาทีเลิกลั่กหาทางหนีทีไล่ แต่แล้วกลับใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่มเมื่อเห็นเตียงนอนของเขาอยู่ห่างจากหล่อนแค่คืบ

“ขอโทษค่ะที่เสียมารยาทเข้ามาในห้องนี้...ฉันขอตัวนะคะ”

“เดี๋ยว” กรวิชญ์ก้าวขวาง สาวที่กำลังจะเผ่นออกจากห้องหยุดฝีเท้ากึก เกือบชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของคนตัวโตกว่าตรงหน้า

“คุณยังไม่ตอบคำถามผม...ชญานิศ ตกลงคุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“ฉัน...” ชญานิศเอาแต่งุดหน้าไม่ยอมสบตาเขา ในระยะประชิดทำให้สาวเจ้าได้กลิ่นน้ำหอมจากกายชายหนุ่มชวนให้หล่อนหน้าร้อนผ่าวเป็นทวีคูณ รู้ตัวเลยว่าเขาเองก็ต้องเห็นหน้าแดงๆ ของหล่อนเช่นกันเลยอ้ำอึ้งพูดไม่ออก “ฉัน...เอ่อ...ฉันเพิ่งมาทำงานวันแรกเลยยังทำตัวไม่ถูกน่ะค่ะ ดะ...เดี๋ยวคงชินไปเอง”

“คุณทำตัวไม่ถูกเรื่องอะไร” กรวิชญ์ยังคงซัก

ชญานิศสัมผัสได้ถึงความอึดอัดรอบกาย ไม่รู้หล่อนคิดไปเองรึเปล่าถึงได้รู้สึกว่าเขาต้องการจะแกล้งหล่อนเล่น

จากที่เขินอายจึงเริ่มตั้งหลักได้ เงยหน้าสบตากับนายจ้างหนุ่มตรงๆ ไม่ลืมขยับแว่นสายตาเล็กน้อยเพื่อมองเขาให้ชัดขึ้น แต่แล้วการที่อีกฝ่ายไม่แสดงสีหน้าใดให้เห็นนอกจากใบหน้าเรียบเฉยจับจ้องมายังหล่อนนิ่งสร้างความหงุดหงิดใจแก่ชญานิศไม่น้อย

ฉุนเหมือนกันที่ถูกเขาต้อนให้จนมุม “ฉันไม่มีความจำเป็นต้องบอกความรู้สึกส่วนตัวของฉันให้คุณทราบ กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ ฉันจะกลับบ้าน”

“แต่เรายังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะคุณ รวมถึงข้อตกลงระหว่างคุณกับผมด้วย”

“ข้อตกลง ?” คราวนี้เป็นฝ่ายชญานิศทวนคำเขาบ้าง ก่อนกอดอกมองเขาเชิงตำหนิกรายๆ “จริงสิ ฉันเองก็มีข้อตกลงของฉันจะพูดกับคุณอยู่เหมือนกัน”

นายจ้างหนุ่มเลิกคิ้วอย่างฉงนในคำพูดแปลกๆ นั้น

“จากที่ฉันเห็นพฤติกรรมของคุณเมื่อเช้า ฉันขอบอกคุณไว้เลยนะคะว่าต่อไปนี้คุณห้ามพาผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาทำอะไรแบบที่คุณทำเมื่อคืนนี้อีก คงไม่ต้องให้ฉันสาธยายนะว่าหมายถึงอะไร และฉันไม่อยากรับรู้ด้วยว่าแต่ก่อนคุณเคยใช้ชีวิตยังไงในคอนโดนี้ แต่ตอนนี้คุณอย่าลืมว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนเดิมแล้ว คุณมีหลานอายุแปดขวบที่ต้องดูแลเอาใจใส่ อเล็กซ์แกยังเด็กค่ะ เด็กก็เปรียบได้กับผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ ฉันเกรงว่าถ้าแกเห็นน้าของแกทำพฤติกรรมแบบนี้บ่อยๆ อาจสร้างนิสัยแย่ๆ ให้แกได้ ฉันสงสารเด็ก”

ชญานิศพรั่งพรูความอัดอั้นที่เก็บกดอยู่ในใจออกมายาวเป็นชุด

คนฟอร์มจัดอย่างกรวิชญ์ถึงกับนิ่งอึ้ง ข้อตกลงของเจ้าหล่อนนั้นไม่ต่างจากหมัดหนักชกเข้าให้ที่หน้าเขาอย่างจัง แถมยังรัวเร็วชนิดที่เล่นงานกรวิชญ์เสียจนรู้สึกชาไปทั้งหน้า เด็กกะโปโลตรงหน้าถือดียังไงถึงได้มายืนวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมเขาฉอดๆ ประหนึ่งเห็นเขาเป็นเด็กไม่รู้จักโตก็ไม่ปาน

ไม่แปลกที่ ‘เด็กกะโปโล’ จะเห็นนายจ้างหนุ่มหน้าตึงขึ้นมาทันใด ได้ยินเสียงเขาหายใจฟืดฟาด สายตานั้นจ้องเขม็งมายังหล่อนอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“คุณมีสิทธิอะไรมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม”

“สิทธิอะไร ?” ชญานิศแกล้งทวนคำกวนประสาทเขา “คุณจ้างฉันมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่ใช่เหรอคะ ถามแปลกๆ”

“ขอบคุณที่ยังรู้ตัว”

กรวิชญ์ผุดยิ้มอย่างเหนือกว่าที่มุมปาก หากในขณะเดียวกันเขาพยายามสะกดกลั้นความโมโหที่วิ่งพล่านในกาย เอ่ยเสียงเค้นรอดไรฟันว่า “ในเมื่อคุณรู้ตัวดีแล้วว่าผมจ้างคุณมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ฉะนั้นหน้าที่ของคุณมีแค่ดูแลอเล็กซ์หลานชายของผมเท่านั้น ส่วนเรื่องส่วนตัวของผม ผมจะทำอะไรคุณไม่มีสิทธิเข้ามาก้าวก่าย”

“แต่คุณกำลังทำร้ายอเล็กซ์แกทางอ้อม เด็กน่ารักๆ อย่างแกไม่ควรเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ทางที่ดีฉันว่าคุณเองก็ควรเลิกพฤติกรรมอย่างนั้นแล้วหันมาดูแลเอาใจใส่หลานคุณบ้าง น่าจะดีกว่าการที่คุณเอาเวลามีค่าไป...”

“นี่คุณชญานิศ ถ้าขืนคุณยังฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องพร่ามเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก เห็นทีผมคงต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็กคนใหม่มาดูแลหลานผม...แทนคุณ !”



*****************


“เฮ้ย! ไม่เห็นจำเป็นต้องไล่เธอออกเลย ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้”

นภนัยร้องค้านมาตามสายโทรศัพท์ช่วงหัวค่ำของวัน ตกใจไม่น้อยที่อยู่ดีๆ กรวิชญ์ก็โทรศัพท์มาระเบิดอารมณ์ใส่เขาเรื่องพฤติกรรมพี่เลี้ยงเด็กทั้งที่เพิ่งเจอกันวันแรก มิหนำซ้ำยังคิดจะไล่ชญานิศออกให้ได้ท่าเดียว ร้อนถึงนภนัยต้องไกล่เกลี่ย

“ใจเย็นๆ ไอ้กร ลืมไปแล้วรึไงว่าเราจ้างนิศมาดูแลหลานนายเพราะอะไร บริษัทเราจะชนะการประมูลครั้งนี้หรือไม่ขึ้นอยู่กับนายเลยนะโว้ย นี่ฉันเองก็กำลังช่วยนายเต็มที่หาข้อมูลเกี่ยวกับคุณเชิดชายอยู่เนี่ย” นภนัยหมายถึงประธานบริษัทธรรมเชษฐ์ เจ้าของโครงการห้างสรรพสินค้ารูปแบบใหม่ที่เปิดประมูลงานออกแบบนั่นเอง

“การหาข้อมูลครั้งนี้ทำให้ฉันรู้จักคุณเชิดชายมากขึ้นเยอะ ถ้าเรารู้ว่าเขาชอบอะไรน่าจะออกแบบเอาใจเขาได้ไม่ยาก”

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ” กรวิชญ์โบกปัดอย่างไม่ใส่ใจในสิ่งที่เพื่อนพูด

“นึกแล้วฉันยังปวดหัวเรื่องแม่ชญานิศนั่นไม่หาย ฉันต้องการพี่เลี้ยงเด็ก ไม่ใช่แม่คนที่สองที่จะมายุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของฉัน อีกอย่างแม่ชญานิศอะไรนี่ก็ดูไม่เป็นงานเอาเสียเลย นายรู้มั้ย ขนาดจานข้าวอเล็กซ์กับของแม่คุณเองยังวางแช่ไว้ในครัว ใจคอคิดจะให้ฉันกลับจากงานมาล้างให้รึไง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องให้สอน”

“ก็แกจ้างพี่เลี้ยงเด็กนี่หว่า ไม่ใช่แม่บ้าน”

“ไอ้นภ !” กรวิชญ์เริ่มเปลี่ยนสรรพนามเพื่อนตามอารมณ์

และนั่นทำให้คนที่นึกกวนประสาทเพื่อนเล่นต้องยอมแพ้ “เออๆ ฉันไม่ยั่วโมโหนายแล้วก็ได้”

นภนัยได้ยินน้ำเสียงเพื่อนแล้วพอจะนึกภาพออกอยู่หรอกว่าตอนนี้คงกำลังมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัดจึงลอบโล่งอกอยู่ลึกๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้

แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวเพื่อนจะไล่ส่งชญานิศไปเสียก่อนเลยรีบดักคอ “เอาน่ะกร เราแค่จ้างนิศมาชั่วคราว พอโครงการประมูลนี้ลงตัวเมื่อไหร่ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าอยากให้อะไรๆ มันดีกว่านี้นายก็ควรฟังนิศไว้บ้าง เพราะเท่าที่นายเล่ามา นิศเขาก็มีส่วนถูก อย่างน้อยก็เรื่องหลานนายเรื่องหนึ่งล่ะ มีอย่างที่ไหนหลานตัวเองแท้ๆ เอาไปฝากให้เพื่อนข้างห้องเลี้ยง ส่วนตัวเองพาผู้หญิงที่ผับมานอนด้วยซะงั้น เป็นฉันฉันก็รับไม่ได้เหมือนกัน”

เพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาบ้างกรวิชญ์เองกลับเป็นฝ่ายพูดไม่ออก

เขายอมรับว่าการที่วิ่งโร่ไปฝากอเล็กซ์ให้ฟ้างามดูแลเมื่อคืนมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หากสายตาเย้ายวนของหญิงสาวในชุดรัดรูปตัวจิ๋วที่ทิ้งเบอร์ไว้ในกระดาษทิชชูเชิญชวนเขายังติดตาตรึงใจ ยากเกินที่จะปฏิเสธได้ลง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เป็นฝ่ายโทรศัพท์ชวนสาวเจ้ามานอนค้างที่คอนโดด้วยหรอก

กรวิชญ์ยังคงนึกฝันถึงลีลาเร่าร้อนของสาวเมื่อคืน เป็นนภนัยที่เอ่ยต่ออย่างอ่อนใจ “ช่วงนี้นายก็เพลาๆ เรื่องผู้หญิงหน่อยแล้วกัน กี่ครั้งแล้วที่เรื่องผู้หญิงของนายทำให้เราชวดงานทุกที อย่างเรื่องคุณโรสของนายที่ไม่ถูกกับคุณอัปสรอีก ฉันขอบอกไว้ก่อนว่ารายนี้นายห้ามตามใจคุณโรสเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันเอานายตายแน่”

“ฉันแยกแยะออกน่ะว่าไหนคือเรื่องงานไหนคือเรื่องส่วนตัว” กรวิชญ์เอ่ยเสียงขุ่นฉุนเพื่อนอยู่ในที

“เอาเป็นว่าฉันจะยอมทนพี่เลี้ยงเด็กที่นายส่งมาให้ไปก่อน นี่เห็นแก่น้องสาวนายหรอก...บางทีฉันเองอาจยังทำตัวไม่ถูกด้วยที่จู่ๆ มีหลานกับเขา แล้วไหนจะยังมีพี่เลี้ยงเด็กเพิ่มมาอีกคน”

“ได้ยินแบบนี้แล้วฉันค่อยโล่งอกหน่อย” นภนัยถอนใจรดกระบอกโทรศัพท์ยืนยันคำพูดนั้นได้ดี

คล้อยหลังวางสายเพื่อน กรวิชญ์ได้กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

น้าชายต้องลอบมองหลานชายตัวแสบที่ยังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงนอนให้แน่ใจว่าจะไม่มีเรื่องให้ปวดหัวหรือกวนใจเขาอีก เพราะตั้งแต่ชญานิศกลับไปอเล็กซ์ยังไม่ตื่นมารับรู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับมาจากที่ทำงานแล้ว จนเขาต้องอุ้มหลานชายขึ้นนอนบนเตียงในท่าที่สบาย ส่วนตัวเองนั้นออกมาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนในห้องนั่งเล่น ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องพี่เลี้ยงเด็ก

เดิมทีกรวิชญ์เห็นดีเห็นงามด้วยหรอกที่เพื่อนอุตส่าห์หาพี่เลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลอเล็กซ์อีกแรง ถึงขั้นฝันหวานไว้แล้วด้วยซ้ำว่าจะปรนนิบัติพัดวีหญิงสาวที่เพื่อนจัดหามาให้อย่างดีชนิดที่จะไม่มีวันลืมเขาได้ลงทีเดียว แต่วินาทีแรกที่เขาเห็นหญิงสาวหน้าลูกครึ่งฝรั่งหัวฟูหยิกหยอยสวมแว่นตาหนาเตอะในชุดยิปซียืนรออยู่หลังบานประตู ฝันหวานของเขาเป็นอันต้องพังครืนลงในพริบตา !

ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่า ชญานิศก็คือเด็กกะโปโลในชุดยิปซีที่วิ่งไล่ปารองเท้าชายผิวคล้ำบนริมฟุตปาธ

สิ่งที่นภนัยเพิ่งคุยกับเขาเมื่อครู่ทางโทรศัพท์ทำให้กรวิชญ์ต้องพ่นลมหายใจหนักหน่วงออกมา

ท่าทางงานนี้หวังพึ่งเพื่อนรักให้หาพี่เลี้ยงเด็กรายใหม่สวยๆ มาทำงานแทนชญานิศคงไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว เขาต้องหาวิธีปราบยัยแว่นหัวฟูให้อยู่หมัด ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้เขาไม่มีทางอยู่เป็นสุขแน่นอน




************




“ข้อตกลงทั้งหมดเนี่ยนะ !”

เสียงชญานิศที่ร้องถามดังลั่น เรียกความสนใจจากบรรดาลูกค้าภายในร้านเบเกอรี่จับจ้องมายังสาวในชุดยิปซีสไตล์โบฮีเมียนเป็นตาเดียวกัน เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนรอบกายเงียบกริบโดยปริยายเล่นเน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับสาวเจ้าจุ๊ปาก อายแทน

“เบาๆ สิคุณ ผมอุตส่าห์นัดออกมาคุยกันข้างนอกเพราะไม่อยากให้หลานผมรู้เรื่อง นี่คุณเล่นจะป่าวประกาศให้คนทั้งร้านเขารับรู้เรื่องของเราด้วยรึไง”

“แล้วใจคอคุณจะให้ฉันตกลงรับเงื่อนไขบ้าบอของคุณทั้งหมดนี้รึไงเล่า” ชญานิศเหวี่ยงกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือยาวเหยียดเต็มหน้าลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา

“ฉันไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงของคุณ”

“ผมไม่ได้ถามคุณว่าเห็นด้วยรึเปล่า แต่ผมต้องการคำตอบว่าคุณจะทำตามข้อตกลงของผมหรือไม่ ถ้าไม่...ผมจะได้หาพี่เลี้ยงคนอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนคุณ” กรวิชญ์ยื่นคำขาดเหมือนเคยและนั่นทำให้ชญานิศหมั่นไส้เขามากขึ้นเป็นทวีคูณ

หล่อนหัวเสียเรื่องเขาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะหลังจากที่กลับถึงบ้านเมื่อคืน กรวิชญ์ก็โทรศัพท์มาบอกให้หล่อนหยุดงานในวันรุ่งโดยให้เหตุผลว่าเขาจะดูแลหลานชายด้วยตัวเอง ซึ่งชญานิศไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าเขาคงสำนึกได้จากคำพูดของหล่อน หากพอรุ่งเช้ากลับมีโทรศัพท์จากเขาอีกครั้ง โทร.มาบอกให้หล่อนมาพบเขาที่ร้านเบเกอรี่ใกล้คอนโดเพื่อทำข้อตกลงกันระหว่างที่เขาจ้างหล่อนเป็นพี่เลี้ยงเด็ก

ไม่นึกว่าพอมาเจอหน้ากันเป็นรอบที่สอง เขากลับทำตัวน่ารังเกียจมากกว่าเดิมด้วยการพิมพ์ข้อตกลงยาวเหยียดเต็มหน้ากระดาษยื่นให้หล่อนเมื่อเจอหน้า !

กรวิชญ์เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามหล่อนอีกครั้งให้แน่ใจ “คิดดูให้ดีนะคุณ ผมไม่ได้บีบบังคับคุณมากมาย ก็แค่คุณห้ามก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผม อย่างที่คุณทำเมื่อวานเป็นต้น หรือแม้แต่เรื่องครอบครัวของอเล็กซ์ ผมรู้ว่าคุณมาในฐานะพี่เลี้ยงของแก แต่ยังไงคุณก็เป็นคนนอก หน้าที่คุณมีเพียงทำยังไงก็ได้ให้แกอยู่ในคอนโดของผมอย่างสุขสบายและไม่ไปก่อกวนชาวบ้าน อ้อ...นอกจากนี้คุณต้องจำให้ขึ้นใจว่าผมไม่อนุญาตให้คุณออกไปไหนในเวลางาน และห้ามคุณพาอเลกซ์หลานผมไปเที่ยวที่ไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมเด็ดขาด ที่สำคัญถ้าไม่จำเป็นคุณห้ามแตะต้องข้าวของเครื่องใช้ของผม โอเค ห้องนอนผมคุณอาจต้องเข้าไปบ้างเพราะอเล็กซ์แกนอนห้องนั้น แต่ถ้าผมรู้ว่าคุณล้ำเส้นหรือทำข้าวของของผมเสียหายแม้แต่ชิ้นเดียว ผมจะหักเงินเดือนคุณครั้งละสองร้อยบาท”

“สองร้อย !” ชญานิศถึงกับหน้าซีดเผือด สายตาหยุดนิ่งที่ข้อตกลงข้อสุดท้ายซึ่งกรวิชญ์บอกไว้เรียบร้อยแล้วถึงบทลงโทษในกรณีที่หล่อนผิดข้อตกลงทั้งหมดของเขา ที่เขาว่ามาจึงไม่ต่างจากตัวหนังสือบนกระดาษสักนิด เนี่ยนะที่เรียกว่าไม่ได้บีบบังคับมากมาย

เห็นชญานิศยังอ้ำอึ้ง กรวิชญ์เลยส่ายหน้าระอา “นี่ผมอุตส่าห์พิมพ์ข้อตกลงมาให้คุณอ่านง่ายๆ แล้วนะเพราะผมขี้เกียจพูด ตกลงคุณจะทำตามข้อตกลงพวกนี้รึเปล่า”

“แต่เงินเดือนฉันไม่กี่พันเอง ขอเหลือหักครั้งละสิบบาทไม่ได้เหรอ”

“นี่คุณ เราไม่ได้เล่นขายของกันอยู่นะ” กรวิชญ์ค้านอย่างหัวเสีย ยัยแว่นหัวฟูคิดว่าเขาเล่นตลกอยู่รึไง

ชญานิศหยิบกระดาษข้อตกลงของเขาขึ้นมาอ่านทวนซ้ำอีกรอบ ใจนั้นนึกโทษตัวเองที่ไม่น่าหลวมตัวตกปากรับคำมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กอีตานี่ตั้งแต่แรกเลย เห็นแก่ว่าเป็นเพื่อนของพี่ชายนภเกตน์หรอก

ชั่งใจอยู่ครู่ชญานิศจึงตัดสินใจส่งแผ่นข้อตกลงคืนชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยเสียงอ่อยว่า “ฉันยอมรับข้อตกลงพวกนี้ก็ได้ แต่ระหว่างที่ฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้คุณ ฉันมีข้อแม้อยู่ข้อนึง...เอิ่ม...ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพี่นภเล่าเรื่องฉันให้คุณฟังว่าไงบ้าง แต่ฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้อย่างไม่อายเลยนะคือ...เอ่อ...คือฉันค่อนข้างจะ...ซุ่มซ่ามนิดหน่อย แถมเรื่องงานบ้านยังงูๆ ปลาๆ อีก ถ้าไม่มากจนเกินไปคุณตัดข้อทำงานบ้านออกไปจะได้มั้ย ข้อนี้น่ะ” ชญานิศชี้ข้อตกลงข้อที่เก้าให้เขาเห็นพลางยิ้มอย่างอายๆ

กรวิชญ์จึงดึงแผ่นข้อตกลงจากมือสาวเจ้ามาอ่านซ้ำก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมไม่เห็นว่ามันจะยากตรงไหน งานบ้านที่คุณต้องทำก็มีแค่เก็บเตียงให้อเล็กซ์ ทำกับข้าว ล้างจาน พูดง่ายๆ คือคอยเก็บกวาดบ้านเวลาอเล็กซ์ทำห้องผมรกเท่านั้นเอง ไม่เหนือบ่ากว่าแรงคุณหรอก ตกลงคุณยอมรับข้อตกลงของผมแล้วใช่มั้ย งั้น...เซ็นชื่อด้วยคุณชญานิศ ผมจะได้ไปทำธุระของผมเสียที”

“เซ็นชื่อ ? เซ็นตรงไหน เซ็นทำไม”

ชญานิศทวนคำเขาอย่างงงๆ ขณะที่นายจ้างเลื่อนแผ่นข้อตกลงขนาบไปกับพื้นโต๊ะส่งกลับมาหาหล่อน

“ก็เซ็นชื่อเพื่อยืนยันว่าคุณยอมรับข้อตกลงของผมแล้วไง หาที่ว่างตรงไหนสักทีเซ็นไปเถอะคุณ ที่จริงตอนแรกผมแค่พิมพ์มาให้คุณรับรู้เฉยๆ ไม่ได้คิดจะให้เซ็นหรอก แต่ดูจากท่าทางคุณวันนี้แล้วถ้าไม่เซ็นไว้แนวโน้มอาจมีปัญหากันภายหลัง”

“นี่คุณกำลังดูถูกฉันอยู่นะคุณกรวิชญ์” ชญานิศต่อว่าทั้งหน้ามุ่ย
หากกรวิชญ์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างคนใจเย็น ชญานิศจากที่ว่าเย็นลงแล้วเดือดปุดๆ ขึ้นมาอีกรอบแต่ก็ยอมหยิบปากกาในกระเป๋า เซ็นชื่อลงบนท้ายกระดาษส่งกลับให้เขาอย่างหัวเสีย

ลายเซ็นขยุกขยุยไม่เป็นภาษาทำให้กรวิชญ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ ลุกขึ้นจากเก้าอี้

แต่พอเห็นชญานิศลุกตามจึงหันมาเอ่ยว่า “คุณไม่ต้องตามผมไปที่คอนโดหรอก เดี๋ยววันนี้ผมดูแลหลานผมเอง”

“ใครบอกว่าฉันจะเดินตามคุณไป ฉันจะกลับบ้านฉันต่างหาก” ชญานิศชี้แจงเสียงห้วนก่อนเดินนำเขาออกไปยืนรอริมฟุตปาธหน้าร้านเพียงลำพัง

กรวิชญ์มองลูกจ้างอย่างนึกขันในสีหน้าบึ้งตึงนั้น ไม่ได้เอ่ยอะไรให้ขัดหูสาวเจ้าอีกนอกจากเดินเท้ากลับคอนโด

หากยังไม่ทันก้าวพ้นร้านเบเกอรี่ดีต้องหยุดกึกเมื่อมีรถหรูคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าไป รถคันนั้นคงไม่สะดุดตากรวิชญ์หรอกถ้าไม่ได้เทียบจอดตรงหน้าพี่เลี้ยงเด็กของเขาพอดี !

คนในรถเลื่อนกระจกลงเผยให้เห็นหน้าหล่อเหลาเจนตา เป็นชญานิศที่ยิ้มแย้มทักทายคนในรถครู่หนึ่งก็ขึ้นรถคันนั้นหายลับไป ไม่ได้สังเกตหรอกว่ามีสายตาของนายจ้างมองมาอย่างฉงนแกมเหลือเชื่อ ไม่นึกว่ายัยแว่นหัวฟูจะมีผู้ชายคอยมารับมาส่งกับเขาด้วย



*****************


อาหารแช่แข็งคละอย่างกับน้ำอัดลมหลายกระป๋องในซุปเปอร์มาร์เก็ตถูกชญานิศโยนใส่รถเข็นเป็นว่าเล่น โดยมีหมอวัลลภคอยยืนมองสาวข้างกายอยู่ห่างๆ

“คนหื่นกาม ! คอยดูนะ ฉันจะพกเสบียงอาหารพวกนี้ไปถล่มแช่ในตู้เย็นนายให้เต็มตู้เลย หน็อย...มีอย่างที่ไหน เงินก็ให้น้อยนิดยังมากดขี่กันอีก ถ้าฉันเห็นนายขโมยข้าวฉันแม้แต่กล่องเดียว ฉันจะขอให้นายเพิ่มค่าจ้างให้ฉันครั้งละสองร้อยบาทบ้าง” ปากก็บ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง มือก็หยิบเสบียงอาหารใส่รถเข็นไม่หยุด

พฤติกรรมของสาวเจ้านั้น วัลลภเห็นแล้วอดที่จะอมยิ้มให้ไม่ได้ “พอแล้วมั้งครับนิศ ขืนซื้อหมดตู้นี้มีหวังได้กลายเป็นชูชกกินจนท้องแตกตายกันพอดี”

นั่นแหละคนบ่นถึงได้ชะงัก แล้วต้องตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นอาหารแช่แข็งวางกองเป็นภูเขาสูงอยู่ในรถเข็น

ยิ้มแห้งให้คุณหมอ “พอดีนิศลืมตัวไปหน่อยน่ะค่ะ แค่จะซื้อไปตุนเป็นมื้อเที่ยงสำหรับอเล็กซ์แก ก็ตาบ้านั่นสิคะไม่ยอมให้นิศออกไปไหนในเวลางาน นิศเลยต้องตุนเสบียงไปด้วย แต่...เอ่อ...เผลอตุนเยอะไปนิดนึง” ชญานิศเล่าเรื่องที่เพิ่งเผชิญมาในร้านเบเกอรี่ให้หมอวัลลภฟังหมดแล้วล่ะ นึกขอบคุณเขาอยู่ลึกๆ ที่มารับหล่อนได้ตรงเวลาที่นัดกันไว้พอดิบพอดี หล่อนเลยไม่ต้องทนเหม็นขี้หน้านายหื่นกามนั่นนานเกินความจำเป็น

คนที่รู้เรื่องดีจึงหยิบอาหารแช่แข็งทั้งหลายวางคืนในตู้เย็นอย่างเก่า เอ่ยอย่างใจเย็นแทนสาวข้างกายว่า “ทำไมนิศไม่บอกปัญหาพวกนี้ให้เกตน์รู้ล่ะครับ บางทีเธออาจช่วยพูดกับคุณกรวิชญ์ให้ได้นะ”

ชญานิศส่ายหน้าดิก “อย่าดีกว่าค่ะ รายนั้นสรรเสริญนายกรวิชญ์อย่างกับอะไร คงหลงเสน่ห์นายนั่นเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ไปแล้วล่ะค่ะ อีกอย่าง...พี่ชายเกตน์เขายิ่งเป็นเพื่อนสนิทของนายกรวิชญ์อยู่ด้วย นิศพูดไปก็มีแต่ทำให้ทั้งสองฝ่ายคลางแคลงใจกันเปล่าๆ นิศไม่อยากให้เพื่อนลำบากใจน่ะค่ะ”

“นิศก็เป็นเสียแบบนี้ทุกที” วัลลภตบท้ายอย่างอ่อนใจ

“งั้นนิศลองทำอาหารง่ายๆ ให้หลานเขากินมั้ย ลำพังแค่อาหารแช่แข็งผมว่าไม่ค่อยดีต่อสุขภาพแกเท่าไหร่ หรือไม่นิศให้แม่บ้านที่บ้านทำอาหารใส่กล่องทุกเช้าไปให้อเล็กซ์กินก็ได้นี่ครับ ไม่ต้องบ่อยแค่พอให้แกได้รับสารอาหารบ้างนอกจากอาหารแช่แข็งพวกนี้ก็ยังดี”

“จริงด้วยสิคะหมอ โอ๊ย...” ชญานิศกุมขมับตัวเอง

“นิศลืมบัวตองไปเสียสนิทเลยค่ะ ขืนให้นิศลองทำเองมีหวังต้องช่วยกันหามเด็กส่งโรงพยาบาล นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่นอน ถ้าอย่างนั้น...นิศลองให้บัวสอนทำขนมง่ายๆ ไปให้แกกินด้วยดีกว่า อย่างพวกแพนเค้กหรือไม่ก็คุกกี้อะไรแบบนี้ดีมั้ยคะ แกน่าจะชอบ”

ชญานิศเสนอไอเดียขึ้นมาอย่างนึกสนุก

วัลลภนั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คนเสนอไอเดียจากที่รอฟังความเห็นคุณหมออยู่ดีๆ เผลอหยุดสายตาที่ดวงหน้าหล่อเหลานั้น ฝันหวานมองหน้าคุณหมอเพลิน พอเขาเริ่มขยับกายหันมาทางหล่อนนั่นแหละเล่นเอาคนแอบมองหน้าเหวอ ทำเป็นมองฟ้ามองดินไปเรื่อยเปื่อย หารู้ไม่ว่าคุณหมอรู้ตัวนานแล้วเพียงแต่ไม่พูดให้สาวเจ้าเขินเท่านั้น

“นี่มันอะไรกันแม่อลิส พาใครมาบ้านฉันเต็มไปหมดเนี่ย”

รุ่งระวีแผดเสียงแวดๆ ดังมาจากในบ้าน ทันทีที่ออกมาเห็นลูกสาวบุญธรรมกำลังนั่งสุมหัวพูดคุยอยู่กับเพื่อนอีกสองคนอย่างออกรสบนม้านั่งหินอ่อนในสวนหน้าบ้าน

ก่อนหน้านี้ชญานิศบังคับให้คุณหมอขับรถไปรับนภเกตน์มาด้วยอีกคน เพราะรู้ว่ารายหลังนั้นเบี้ยวงานหยุดอยู่บ้านพอดี ทั้งสามจึงยกโขยงกันมาเป็นหนูทดลองชิมคุกกี้ฝีมือชญานิศที่บ้านแม็คฟาร์แลนด์ในเวลาถัดมา

หนุ่มสาวในสวนเห็นรุ่งระวีปรากฎกายขึ้นเท่านั้นบรรยากาศรื่นรมย์เมื่อครู่ก็หายวับไปในพริบตา

“อ้อ ที่แท้ก็แม่เกตน์นี่เอง อ้าว แล้วนั่นใครกันแม่อลิส ทำไมฉันไม่คุ้นหน้าเลย”

ด้วยความที่แดดแรงทำให้รุ่งระวีต้องหรี่ตาสู้แสงเพ่งมอง มารดาบุญธรรมเคยเจอนภเกตน์แล้วเพราะเพื่อนสาวชอบมานั่งเล่นที่บ้านอยู่บ่อยๆ คนที่หญิงมีอายุถามถึงจึงเป็นชายหนุ่มหนึ่งเดียวในกลุ่ม

วัลลภรู้ตัวจึงลุกขึ้นยกมือไหว้ทำความเคารพหญิงมีอายุตรงหน้า ขณะที่รุ่งระวีเพียงรับไหว้ส่งๆ ไปอย่างนั้น

“ผมชื่อวัลลภครับเป็นเพื่อนของนิศ”

คำแนะนำตัวของคุณหมอทำให้รุ่งระวีเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เชื่อหู “ฉันไม่ยักรู้นะแม่อลิสว่าเธอมีเพื่อนผู้ชายกับเขาด้วย อืม...ท่าทางดูดีเหมือนกันนะเรา แต่งตัวดูมีภูมิฐานดี เป็นรุ่นพี่อลิสมันเหรอ”

“เป็นคุณหมอค่ะคุณแม่” เห็นชญานิศมัวแต่นั่งอมพะนำอยู่นั่นเองนภเกตน์เลยเป็นฝ่ายตอบให้แทน

หล่อนจงใจแกล้งเรียก ‘คุณแม่’ ให้รุ่งระวีระคายหูไปอย่างนั้น รู้ดีว่าหญิงมีอายุตรงหน้ายินดีรับเสียที่ไหน “เราสองคนรู้จักคุณหมอวัลลภที่สถานเด็กกำพร้าน่ะค่ะ”

“สถานเด็กกำพร้า ?” รุ่งระวีทวนคำเสียงสูง

และนั่นทำให้นภเกตน์อดยิ้มขันให้ไม่ได้กับสีหน้ากระอักกระอ่วนนั้น เลยถูกชญานิศฟาดเข้าให้ที่แขนทีนึงทำโทษฐานแกล้งมารดาบุญธรรมของหล่อน วัลลภเองพอจะอ่านสีหน้าหญิงมีอายุออกจึงเป็นฝ่ายเล่าต่อว่า “ผมกำลังสร้างโรงเรียนให้เด็กที่สถานกำพร้าน่ะครับ ส่วนนิศกับเกตน์เขาไปเยี่ยมเด็กๆ ที่นั่นเป็นประจำอยู่แล้ว เราเลยได้รู้จักกัน”

“อ๋อ...เป็นอย่างนี้นี่เอง” รุ่งระวีถึงกับโล่งอก ยิ้มออกมาได้หน่อย “ฉันก็หลงนึกว่าคุณเป็นเด็กกำ...เอิ่ม...ช่างเถอะ ฉันเข้าใจผิดไปเอง นี่แม่อลิส ทำไมเพิ่งพาคุณหมอมาบ้านเราเอาตอนนี้ล่ะ เชิญเข้ามานั่งในบ้านดีกว่าค่ะคุณหมอ ข้างนอกแดดมันร้อน อ้าว ! แม่อลิส พาคุณหมอเข้ามาสิ มัวชักช้าอืดอาดอยู่ได้ นี่ถ้าฉันยังคุยโทรศัพท์อยู่ข้างบนเธอก็คงปล่อยให้คุณหมอนั่งตากแดดหัวแดงอยู่อย่างนั้นใช่มั้ย”

“แต่หนูว่าคงดูไม่ดี...”

“เอาะเถอะนิศ เข้าไปในบ้านก็ดีเหมือนกัน ฉันร้อนจะแย่แล้วเนี่ย” ไม่ค้านเปล่านภเกตน์ก็เดินนำลิ่วเข้าไปในบ้าน

ขณะที่ชญานิศยังคงมองเพื่อนสลับกับคุณหมอคล้ายลังเล เป็นชายหนุ่มข้างกายที่เผยยิ้มบางอย่างออกมา คนที่ลังเลอยู่นั่นเองจึงหน้าแดงซ่าน อ่านรอยยิ้มวัลลภออกว่าพอใจในคำเชิญชวนของรุ่งระวีอยู่เหมือนกันถึงได้ไม่ปฏิเสธสักคำก่อนตามนภเกตน์เข้าไปในบ้านด้วยอีกคน #



---------------------
มาสะกิดนักอ่าน อิอิ

เม้นให้รันด้วยน้า ><
แค่รายงานตัวว่าอ่านนิยายรันอยู่ก็ยังดี อยากรู้จักทุกคนจ้า (แกถามเค้ามั้ยว่าอยากรู้จักกับแกป่าว 55555)
อุ๊บส์...ถือว่าไม่ได้ยิน ฮี่ๆ



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2555, 11:29:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2558, 15:20:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1536





<< บทที่ 4   บทที่ 6 >>
nunoi 4 เม.ย. 2555, 15:59:02 น.
ฮ่าๆ หนูนิศ นี่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้ดีเยี่ยมจริงๆ


สรัน 4 เม.ย. 2555, 16:20:40 น.
งานนี้นายกรอาจคิดหนักค่ะคุณ nunoi วะฮ่าๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account