เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด

ตอน: ตอนที่ ๗ เงาอดีต

ตอนที่ ๗

สายน้ำเย็นสาดซ่ากระทบร่างกายของเขาผ่านฝักบัวซึ่งอยู่เหนือขึ้นไป ภูริตยืนอยู่ภายใต้สายน้ำโดยปล่อยให้มันไหลผ่านไป พร้อมกับความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

ภายในความคิดของเขาในเวลานี้ นึกทบทวนถึงภาพที่เห็นและความฝันที่เด่นชัดเหล่านั้น เสียงเรียก เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังคงเด่นชัด

ช่วย...ช่วยเหลือ...

ใครกันแน่ที่ต้องการให้ตนช่วย และเขาคนนั้นต้องการให้ตนช่วยอะไร

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ เหมือนๆ กับทุกครั้งที่ผ่านมา เขาเอื้อมมือไปปิดน้ำ ก่อนจะลงมือเทสบู่ทำความสะอาดร่างกาย เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง พร้อมกับความสดชื่นที่มากกว่าเดิม

เข้ามาในห้อง สิชลได้หลับไปแล้ว ชายหนุ่มยิ้มมองเพื่อนหนุ่มซึ่งนอนอุตุอยู่บนเตียงพลันส่ายหน้า คงจะเพลียเหมือนกันล่ะสิถึงได้หลับเร็ว ว่าแล้วชายหนุ่มก็ไม่อยากจะรบกวนอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะล้มตัวลงนอนยังเตียงอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างกันนัก หลับตาลงอย่างเชื่องช้าแต่กระนั้น ภาพและเสียงภายในความคิดและความฝันยังคงดังก้องไม่หายไปไหน

เขาคิด...ตนจะต้องรู้ให้ได้ ว่าสิ่งที่เห็นและพบเจอนั้นมันมาจากอะไร

แล้วสิ่งนั้นต้องการให้เขาช่วยอะไรกันแน่...

////

รุ่งเช้า สายหมอกสลัวยังคงปกคลุมเหนือทิวไม้อย่างสม่ำเสมอ ตราบจนไอความร้อนที่เริ่มแผ่ลงมา ความหนาแน่นของสายหมอกยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ จนบัดนี้บริเวณโดยรอบแทบจะไม่เห็นเหล่าต้นไม้เสียแล้ว

ภูริตเลือกที่จะเดินทางในช่วงเช้าของวันนี้เพราะชายหนุ่มคิด กว่าจะไปถึงที่นั่นก็คงจะเป็นช่วงสายและกว่าจะหาที่พักได้ ก็ปาไปจนค่อนวัน กะว่าช่วงบ่ายของวันนี้เขาจะเข้าไปยังวัดเชียงหมิ่นเลย

ชายหนุ่มยืนล่ำลาคุณย่าบัวคำ พร้อมกับสิชล เมื่อทุกคนต่างพูดคุยล่ำลากันพอเป็นพิธีแถมยังได้รับการอำนวยอวยพรจากคุณย่าแล้ว ทั้งสองหนุ่มจึงขึ้นรถ ก่อนรถตู้คันนั้นจะเคลื่อนออกจากบ้านหลังนั้นไป

ในครั้งที่รถคันนั้นเคลื่อนผ่านประตูบ้านของบ้านย่าบัวคำ หากภูริตจะเหลียวหลังกลับมามองสักนิดนั้น เขาอาจจะได้พบกับใครคนหนึ่ง ที่ตนนั้นฝันหาตลอดเวลาอย่างแน่นอนและไม่แน่เรื่องบางเรื่องอาจจะกระจ่างแจ้งขึ้นมาไม่มากก็น้อย

////

จันทร์เจ้าหยุดยืนนิ่ง หลังจากที่เห็นรถตู้คันหนึ่งแล่นออกจากบ้านของย่าบัวคำไป ความสงสัยพลันก่อเกิด ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองเข้าไปภายในบ้านของหญิงชราอย่างเป็นห่วง

หลังรถคันนั้นลับไปจากเหลี่ยมมุมซอยแล้ว หญิงสาวจึงรีบรุกตรงเข้าบ้านของย่าบัวคำไปในทันที

เห็นหญิงชราที่ยืนอยู่ ความคิดที่กลัวว่าจะเกิดอันตรายก็พลันมลายหายไป ก่อนความอยากรู้จะผุดขึ้นมาอย่างรู้หน้าที่

“สวัสดีค่ะคุณย่าบัวคำ เมื่อกี้จันทร์เห็นรถตู้ออกจากบ้านไป รถของใครกันคะ”

แพรขนตายาวงอนเบิกขึ้นตามดวงตาใคร่รู้ เช่นเดียวกับประกายตาที่ฉายอย่างชัดเจน คุณย่าบัวคำคลี่ยิ้มบางโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินนำหญิงสาวไปยังศาลาหลังเดิม รู้ว่าวันนี้จันทร์เจ้ามาหานาง ก็คงจะไม่พ้นไปจากเรื่องที่อยากรู้และให้นางไขความกระจ่าง อย่างเช่นที่ผ่านมาเมื่อหลายวันก่อน

“เจ้าภูริต หลานชายของย่าเองแหละ ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ จะไปปัวน่ะ เลยมาขอแวะนอนที่นี่หนึ่งคืน หนูจันทร์มาช้า ไม่อย่างนั้นก็คงจะแนะนำให้รู้จักกันเอาไว้”

“พี่ภูริต ลูกของคุณลุงกฤษณ์หรือคะ”

“ใช่แล้วจ้ะ”

ผู้มีอายุมากกว่าไขความกระจ่างด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ก่อนจะก้มหน้าลงมองหญิงสาวซึ่งทรุดกายลงนั่งข้างๆ

“วันนี้วันจันทร์ หนูจันทร์ไม่ไปมหาวิทยาลัยหรือ”

“วันนี้มีเรียนช่วงบ่ายค่ะคุณย่า ตอนเช้านี้จันทร์ถึงได้มีเวลามาฟังคุณย่าเล่าเรื่องเจ้าจันทร์งามอย่างไรล่ะคะ จันทร์พร้อมที่จะฟังแล้วค่ะ”

“จะเอาจริงๆ หรือหนูจันทร์ ย่าเคยบอกไปแล้วนะว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้วบางครั้งก็เลือนๆ กันไปบ้าง”
หญิงชรามองผู้มีอายุอ่อนกว่ามากอย่างเมตตาพลันยิ้ม อย่างไรแล้วนางก็คงจะเลี่ยงไม่เล่าเรื่องราวหรือนิทานเรื่องนี้ให้หญิงสาวฟังอีกรอบไม่ได้เสียแล้วล่ะ

“ค่ะ...จันทร์อยากฟังเรื่องเหล่านี้อีกครั้งค่ะ หาข้อมูลในทางวิชาการหรือที่เป็นหนังสือแทบจะไม่มีข้อมูลเลย คุณย่าเล่ามาเถอะได้เท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นข้อมูลไม่ใช่หรือคะ”

ย่าบัวคำหัวเราะกับความตื้อของเด็กสาว ก่อนจะยอมความและเล่าเรื่องดังกล่าวในที่สุด

“เรื่องนี้มันนานแล้วล่ะหนูจันทร์เอ้ย...”

จันทร์เจ้านั่งฟังหญิงชราที่เริ่มต้นเล่าอย่างละเอียดตามอย่างที่เธอคาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรก และเป็นตำนานที่ตกทอดมาตั้งแต่ผู้คนสมัยก่อน ตลอดจนบวกและผสานไปกับความเชื่อของบรรพบุรุษ ที่มีต่อเรื่องอภินิหารดังกล่าว

////

ลุล่วงเวลาผันผ่านย้อนคืนไปเมื่อประมาณสามร้อยกว่าปีก่อน ในช่วงเวลานั้นอาณาจักรแห่งล้านนา ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวม่านรามัญ อำนาจของพม่าแผ่กระจายมายังวรนคร ทั้งนครน่านนันทบุรี หัวเมืองเล็กหัวเมืองน้อยโดยรอบจึงตกเป็นเมืองขึ้นของชาวม่านไปด้วย แต่ละเมืองมีขุนนางของชาวม่านมาควบคุมอย่างใกล้ชิด

ณ วรนครก็เช่นกัน ในครานั้นปกครองด้วยเจ้าหลวงคำผาเมือง มีเจ้าแม่มิ่งเมืองคือเจ้านางเกล็ดหล้า ทั้งสองมีบุตรธิดาด้วยกันสามคน องค์แรกเจ้าปินผาเป็นชายแลสง่างามเก่งความสามารถ เจ้าหลวงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอุปราชหอคำ แลเตรียมตัวขึ้นนั่งเมืองในครั้งที่บุญของเจ้าคำผาเมืองสิ้นลง

ส่วนองค์ที่สองและสามคือธิดา ซึ่งแต่ละองค์นั้นสง่างาม ลือนามไปทั่วภพหล้า องค์พี่คือเจ้าเกี๋ยงคำ ส่วนองค์เล็กชื่อว่าเจ้าจันทร์งาม แลนางนี้งามปานว่าเจ้าฟ้าเทวดาได้เสกสรรปั้นแต่ง ดั่งแว่นฟ้าที่งามสุกใส

เจ้านางจันทร์งามนี่เอง ที่ต่างลือนามไปทั่วทุกหัวระแหงทั่วแผ่นดินล้านนาและล้านช้าง คำค่าวคำจ๊อยซอ (การขับลำนำของชาวล้านนา) ต่างมีชื่อของเจ้านางผู้นี้ให้ชาวเมืองต่างได้ชื่นชม แลอยากจะมีบุญสักครั้งเพื่อจะได้เห็นนาง

ในช่วงปีหนึ่ง เจ้านางน้อยผู้นี้เกิดป่วยไข้กะทันหัน ไม่ว่าหมอหลวงหมอราษฎร์ หมอป่าหมอเขา หมอบ้านหมอเมื่อ (คนทรงเจ้า) ต่างไม่มีใครช่วยเหลือได้ เกิดเสมือนว่าเจ้านางไปลบหลู่เสื้อบ้านทรงเมือง จึงถูกผีบ้านผีเมืองลงโทษให้ป่วยไข้แลเกือบตาย

แลคราวนั้นได้สร้างความหนักใจให้เจ้าพ่อเจ้าแม่ ไม่พ้นเจ้าอ้ายเจ้าเอื้อยทั้งสองเป็นยิ่งนัก ทั้งหมดจึงได้ปรึกษากัน ก่อนจะได้ความเห็นที่พ้องคล้องต้องกัน ให้บำบวงบูชาเทพยดาเจ้าเมือง เพื่อให้อภัยต่อเจ้านางน้อย

สุมาเตอะเจ้า ลูกข้าเจ็บหนา
ข้าผาทะนา ปูจาท่านเจ้า
ข้าวตอกดอกไม้ ไหว้สาน้อมเกล้า
หมดโศกขวัญเจ้า ปิ๊กมา

เสมือนองค์อินทร์เทพแห่งเจ้าฟ้าแดนสวรรค์และเทพยดาประจำเมืองจะสดับฟังซึ่งคำอธิฐานของเจ้าผู้เป็นพ่อเมือง สายลมพลันพัดเริงแรง สายฟ้ากัมปนาทฟาดเปรี้ยง หมู่จุมนกหนูต่างพากันวิ่งพล่านหาที่หลบภัย ปานว่าเวลานั้นฟ้าจักถล่มแผ่นดินที่เยียบย่ำจะทรุดทลายจมหายไปกระนั้น

ผู้คนซึ่งอยู่ภายในคุ้มหลวงแห่งนั้นต่างเงยหน้าขึ้นมองอาเพศทั้งหลายที่พลันก่อเกิดขึ้นมาในเพลานั้น เสียงกรีดร้องของหมู่นางสนมกำนัลต่างดังเอ็ดตะโรไปทั่วบริเวณ เครื่องเซ่นสรวงที่วางบำบวงต่างปลิวว่อน หมู่โคมหมู่ตุงสะบัดกวัดไกว

ในเวลานั้น ท่ามกลางความมืดมัวสลัวรางของพายุที่โหมกระหน่ำ หากความหวังของเจ้าหลวงคำผาเมืองกลับไม่หมดลง เพราะทันทีหลังจากนั้น ท่ามกลางความวุ่นวายของอาณาบริเวณ ก็พลันก่อเกิดร่างหนึ่ง ทรงสง่าราศีเป็นยิ่งนักยืนนิ่งอยู่ เจ้าองค์สดับแล้วว่าเป็นองค์อินแถนเจ้าฟ้าที่ลงมาประทานพรให้ลูกน้อยผู้ที่นอนไม่ได้สติอยู่ในคุ้มหลวง

รอยยิ้มของเจ้าของร่างนั้นช่างเมตตาเป็นยิ่งนัก เจ้าหลวงทรุดกายลงคุกเข่า ยอมือขึ้นไหว้สา อธิฐานซ้ำคำเดิม ว่าหากเจ้านางน้อยเหือดหายจากไข้ตาย จะให้นางตั้งพิธีไหว้สาอินฟ้าอินแถนและเทวดาประจำเมือง

กัมปนาทฟาดลงมาอีกครั้ง ยอดมะพร้าวแตกเปรี๊ยะหักโค่นลงมา แล้วร่างนั้นก็ยกมือขึ้นวาดไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง คล้ายประทานพรนั้นให้สมปรารถนา ก่อนร่างทรงสง่านั้นจะเคลื่อนคล้อยห่างหายไป

เหล่าพายุอันวิปริตนั้นเริ่มทุเลาลดลง เหลือแต่สายลมที่พัดแรง หมู่เมฆฟ้าที่ครึ้มมืดต่างกระจ่างแจ้ง ไม่หลงเหลือเค้าเงื่อนซึ่งความวิปริตแปรปรวนเหล่านั้นอีกต่อไป เจ้าหลวงคำผาเมืองเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แลมองไปยังตรงตำแหน่งของผู้วิเศษ ทว่าร่างนั้นกลับหายไปแล้ว ภายในใจก็พลันปีติยินดี สำนึกรู้ว่าพรเหล่านั้นจักต้องประสิทธิ์ผล เจ้านางน้อยจักฟื้นแน่แล้ว

ท่ามกลางความสับสนของทุกฝ่าย หากเจ้าหลวงกลับรู้สึกยินดี เจ้าท่านเดินทางมายังห้องของเจ้านางน้อย ยกมือขึ้นลูบบนศีรษะของลูกน้อยอย่างเอ็นดู ขอให้พรนั้นประสิทธิ์ผลสักทีเถอะ ท่านเจ้าจักได้ตั้งพิธีเลี้ยงผีฟ้าผีแถนอย่างที่ได้บนบานไว้

เวลาผ่านไปหลายวัน ความหวังทั้งหมดของทุกฝ่ายก็เริ่มดีขึ้น เมื่อเจ้านางน้อยเริ่มได้สติการกินข้าวก็เพิ่มปริมาณขึ้นทุกวัน หนึ่งปักษ์ผ่านไปเจ้านางลุกขึ้นนั่งได้อีกครา

ลุล่วงสองวันพระใหญ่ผ่านไป เจ้านางก็เริ่มที่จะเดินเหินได้สะดวกอีกครั้ง มีรอยยิ้ม มีเสียงพูดจา มีเสียงหัวเราะขำขัน มีการเดินออกเที่ยวออกแอ่ว หากแต่สิ่งที่เจ้านางชอบที่จะไปที่สุด เห็นทีจะเป็นวัดเชียงหมิ่น วัดซึ่งเจ้านางเคยมีส่วนในการปฏิสังขรณ์ เป็นโยมอุปฐายิกาวัดแห่งนี้อยู่เนืองนาน

นางชอบไหว้พระมาแต่ไหนแต่ไร พอเริ่มหายป่วยนางก็มักจะมาไหว้พระและนั่งสมาธิยังที่แห่งนี้อยู่เสมอ เจ้านางเคยบอกที่วัดเชียงหมิ่นแห่งนี้เป็นสถานที่สงบ เหมาะแก่การจะมานั่งวิปัสสนาเป็นยิ่งนัก

ในที่แห่งนี้เจ้านางเปิ้นได้พบเจอกับหนุ่มคนหนึ่ง คนนั้นเป็นเจ้าจากเวียงยา มาแอ่วที่วรนครในครั้งวันสลี๋ปี๋ใหม่เมือง เปิ้นว่าชื่อเจ้าน้อยภูมินทร์ เป็นเจ้าราชบุตรแห่งเวียงยา แต่ครั้งนั้นเปิ้นยังไม่ยอมบอกเจ้านางยอมจะปกปิดตัวเอง บอกแค่ว่าชื่อน้อยภูมินทร์เท่านั้น

ในครั้งแรกที่เห็นเจ้านาง เหมือนศรพระรามาปักอกให้นึกรัก เจ้าน้อยภูมินทร์เริ่มเปลี่ยนความคิด ไม่ยอมกลับบ้านกลับเมือง ยังคงที่จะอยู่ที่วรนครและมายังวัดเชียงหมิ่นเพื่อที่จะพบเจอกับเจ้านาง

แลความหวังของเจ้าหนุ่มไม่ได้ผิดไปเลย เมื่อเขาได้พบเจอกับเจ้านางน้อยอีกครั้ง แถมยังประจวบเหมาะเมื่อเป็นคราที่เจ้านางแอบหนีออกมาเที่ยวมาแอ่วยังวัดแห่งนี้ การได้พบปะการได้พูดคุยอู้จา ยิ่งสร้างความรู้สึกรักให้กับเจ้าน้อยภูมินทร์เป็นยิ่งนัก จนในครั้งนั้นถึงกลับบ้านด้วยความนึกคะนึงหาเจ้านางแต่เพียงผู้เดียว...

“โรแมนติกจริงๆ นะคะ เรื่องราวความรักของเจ้าจันทร์งาม”

จันทร์เจ้าเอ่ยแทรกขึ้นในที่สุด วาดฝันถึงความรักของเจ้าทั้งสอง ที่ยิ่งนานก็ยิ่งเหมือนจะหวานชื่นจนน่าอิจฉา
ย่าบัวคำคลี่ยิ้ม ก้มลงมองผู้มีอายุอ่อนกว่าด้วยความเมตตา

“มันไม่เสมอไปหรอกหนูจันทร์ ความฮักมักมาพร้อมกับความเจ็บปวดเสมอไป”

“เพราะอะไรหรือคะคุณย่า”

ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น ดูเหมือนว่าการได้ฟังประโยคนั้น มันพอจะทำให้ความรู้สึกภายในหัวใจของหญิงสาวเจ็บปวดไปด้วย

คุณย่าบัวคำไม่พูดอะไร นางยกข้อมือที่มีนาฬิกาเรือนเล็กผูกอยู่ จึงเอ่ยบอกหญิงสาวอีกครั้ง

“เอาไว้ครั้งหน้าดีกว่านะ นี่จะบ่ายแล้ว ย่าว่าหนูเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยเถอะ”

“อืม...จริงด้วยค่ะ” เห็นเวลาที่ล่วงเลย ยิ่งทำให้หญิงสาวตื่นตัว ก่อนจะขอตัวกลับบ้านในที่สุด “ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ วันพรุ่งนี้มีเรียนทั้งวัน ส่วนวันมะรืนไม่มี หนูจะมาฟังคุณย่าเล่าเรื่องนี้ให้จบนะคะ”

“ยินดีจ้ะ ไปเถอะ เดี๋ยวเข้ามหาวิทยาลัยไม่ทัน” จันทร์เจ้ายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณหญิงชราอย่างอ่อนช้อยงดงาม ก่อนจะถลาจากไปในทันที

คุณย่าบัวคำมองตามร่างนั้นเดินจากไป นางอดจะแย้มยิ้มไม่ได้ จันทร์เจ้าเป็นเด็กสาวอีกคนหนึ่งในหมู่บ้านซึ่งหาความงามใครเทียบเทียมได้ เธองามพร้อมทั้งจริตและกิริยา นางหวังนัก อยากจะให้เจ้าหลานภูริตได้รู้จักกับเธอ เผื่อบางทีบ้านสองบ้านที่ติดกันจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันสักที

ขอภาวนาให้เป็นเช่นนั้นเถิด...

////

แสงแดดแผดพยับแรงกล้า แม้ว่าเมื่อเช้าจะหนาวเหน็บปานน้ำแข็งที่จับขั้วหัวใจให้สั่นไหว หากเวลาบ่ายเช่นนี้เปลวแดดที่แผดกล้าก็ได้สร้างความร้อนแรงได้ไม่แพ้กัน

มีหนาวก็ยังมีร้อน...ยิ่งหนาวมาก ก็ยิ่งร้อนมากไม่แพ้กัน

ธรรมชาติสร้างมาให้สมดุล แต่มนุษย์กลับเป็นฝ่ายไปทำลายมันเสียอย่างนั้น เพียงเพื่อประโยชน์ของตนเองเพียงอย่างเดียวแท้เทียว

เมื่อธรรมชาติเริ่มลงโทษก็พาลพากันโอดครวญว่าโหดร้าย ต่อเมื่อตนได้ทำลายไป ไม่เคยคิดถึงข้อนี้เสียบ้างเลย

มันคงจะถึงเวลาเสียแล้วล่ะ ที่ธรรมชาติจะเอาคืน...เอาทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม

ไม่แม้แต่ผืนแผ่นดินที่ชายหนุ่มยืนอยู่ในเวลานี้ ในอดีตเคยมีความเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินล้านนาตะวันออกโบราณอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปไม่เท่าไร ความเสื่อมโทรมของสถานที่ก็เริ่มจะเกิดขึ้น จนบางที่ไม่เหลืออะไรเอาไว้ให้ศึกษา

ทุกสิ่งทุกอย่างมากับดิน สักวัน สิ่งเหล่านั้นก็ต้องคืนสู่ดิน

ดูอย่างเศษอิฐ เศษหินที่วางกองสุมกันอยู่นั้นสิ ในครั้งอดีตเคยเป็นเจดีย์อันทรงสง่าเป็นยิ่งนัก มีอายุหลายร้อยปี แต่เมื่อเวลาผ่านผันไป ภัยธรรมชาติที่ดำเนินให้เป็นไป สภาพแห่งการเสื่อมสลายจึงมาเยือน องค์พระธาตุถล่มลง จนไร้ผู้ใส่ใจเหล่าไม้เครือไม้เถาออกปกคลุมและนั่นก็ยิ่งจะสร้างความเสื่อมสภาพให้กับกองอิฐดังกล่าวได้เป็นอย่างมาก

สายลมเย็นพัดริ้วความร้อนเข้ามาภายในอาณาบริเวณที่ชายหนุ่มยืนอยู่ สิชลหันมองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง นอกจากจะเงียบสงบแล้ว บรรยากาศโดยรอบยังสร้างความวังเวงได้อย่างน่ากลัวอีก

“นายแน่ใจนะ ว่างานวิจัยของเราจะเอาวัดนี้เป็นจุดยืนของโครงการ”

มองไปโดยรอบก็นึกหวั่น ขนาดบ้านคนที่จะตั้งหลักปักฐานอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มี จะมีแต่สุมทุมพุ่มไม้ที่ขึ้นรกเรื้ออยู่เท่านั้น

ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีผีให้ต้องขนพองด้วยหรือไม่ก็ไม่รู้

“อืม...ฉันรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้จะให้คำตอบดีกว่าที่อื่นๆ ในเมืองนี้ เศษซากที่อยู่ของวัดแห่งนี้ ดูเหมือนว่าจะสมบูรณ์ที่สุด”

“แล้ว...แล้วเราจะเริ่มเสาะหาจากตรงไหนก่อนดีล่ะ”

“ฉันคิดว่าภายในบริเวณวัดแห่งนี้จะต้องมีศิลาสลักอยู่สักแผ่นสองแผ่นให้เราศึกษา หรือไม่ก็เป็นใบเสมาที่สลักชื่อของผู้สร้างหรือผู้อุปถัมภ์ในครั้งนั้น หรือไม่ก็มีปีของการสร้าง...ไม่ว่าจะเป็นอักษรอะไร มันน่าจะมีประโยชน์กับเรามาก”

“แล้วอะไรที่ทำให้นายแน่ใจขนาดนั้น ปานนี้หินสลักหรือหลักฐานเหล่านั้นก็คงจะถูกทำลายไปหมดแล้วล่ะมั้ง”
สิชลถามอย่างไม่เข้าใจ มองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนหินก้อนอิฐที่วางสุมกันอยู่ภายใต้การปกคลุมของเหล่าเถาไม้เท่านั้น

“ความรู้สึกอย่างไรล่ะ ฉันแน่ใจว่าที่นี่จะต้องมีสิ่งที่เราต้องการ”

ภูริตเอ่ยอย่างแน่ใจ ใช่ ความรู้สึกบอกกับเขาเช่นนั้น...และเขาก็เชื่อว่ามันจะต้องมีมากกว่านั้นด้วย

“โธ่พ่อนักโบราณคดีคนเก่ง มาด้อมๆ หาแบบนี้ ชาวบ้านมาเห็นเค้าไม่แจ้งตำรวจจับหาว่าโจรหรือวะเพื่อน”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฉันได้สั่งให้นายแหวงไปติดต่อกับสถานีตำรวจและบอกกล่าวให้ผู้ใหญ่บ้านรู้ข่าว เหมือนอย่างเมื่อคราวที่ฉันมากับคณะอาจารย์เมื่อครั้งก่อนแล้ว นายไม่ต้องห่วงหรอกชล”

“แต่เพื่อน...”

จู่ๆ เจ้าเพื่อนหนุ่มก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิต ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งไหนได้มาดลใจให้เป็นเช่นนั้น

“นายจะไปกับนายแหวงก่อนก็ได้นะ ฉันจะรออยู่ที่นี่ ช่วงเย็นๆ ค่อยมารับก็ได้ เมื่อได้สิ่งที่เราต้องการแล้ว เราค่อยมาช่วยกันทำงาน”

“จะเอาอย่างนั้นจริงๆ หรือวะ มันเหมือนว่าฉันเอาเปรียบนายเลยนะ” สิชลเอ่ยอย่างเกรงใจ ทำงานกลุ่ม ถ้าไม่ช่วยกัน แล้วมันจะเรียกว่าทีมเวิร์กได้อย่างไร

ภูริตคลี่ยิ้มอ่อนโยน ใช่ว่าเขาจะไม่ให้อีกฝ่ายช่วยก่อนจะบอกทางเลือกอีกทางหนึ่งให้อีกฝ่ายวางใจและดูให้เหมือนว่าไม่เอาเปรียบเขาจนเกินไป

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นายไปหาข้อมูลตามวัดโบราณต่างๆ ที่อยู่แถวๆ นี้ก็แล้วกัน เอาข้อมูลของวัฒนธรรมประเพณี ตอนเย็นๆ ค่อยเข้ามารับฉัน มีอะไรที่เร่งด่วนฉันจะโทรเรียกก็แล้วกัน”

“แล้วนายไม่กลัวหรือที่ต้องอยู่คนเดียว”

อดจะถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าจะเห็นว่างานใหม่น่าสนใจมากแค่ไหน หากเขาก็ไม่อาจจะทิ้งเพื่อนเอาไว้คนเดียวได้เหมือนกัน

“ไม่เป็นไรฉันอยู่ได้ เถอะน่ามีอะไรจะโทรเรียกก็แล้วกัน อีกชั่วโมงครึ่งเจอกัน ฉันจะพยายามเก็บรายละเอียดของที่นี่ให้มากที่สุด แล้วเราค่อยไปที่อื่นกันต่อ”

เขาตบบ่าของสิชลให้วางใจ ก่อนจะดุนดันหลังของเพื่อนให้เดินกลับไปยังรถ ตราบเมื่ออีกฝ่ายขึ้นรถและรถเคลื่อนออกไปจากที่นั่นแล้ว ชายหนุ่มจึงหันหน้าเข้าไปยังบริเวณวัด นึกแปลกที่เขารู้สึกไม่กลัวต่อความเงียบสงบของสถานที่นี้ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกปลื้มปีติเป็นยิ่งนัก

ภาพความฝันเมื่อครั้งเดินทางมายังที่นี่เริ่มฉายชัดอีกครั้ง ภาพอุโบสถของวัดและเจดีย์สีทองงามเด่นก่อเกิดเป็นภาพทับซ้อนสถานที่ดังกล่างอย่างลงตัว ชายหนุ่มล้วงมือลงไปยังกระเป๋าผ้าที่นำติดตัวมาด้วย ล้วงเอากระดาษและดินสอมาร่างภาพวัดดังกล่าวตามจินตนาการ บวกกับความฝันซึ่งเด่นชัด

เวลาผ่านไปไม่เท่าไร ภาพสวยนั้นก็เด่นชัดบนกระดาษปอนด์แผ่นเล็ก ชายหนุ่มเป็นอีกคนหนึ่งที่วาดภาพได้สวยและภาพวัดแห่งนี้จึงชัดเด่นและสวยงามอย่างภาพจริงไม่ผิดเพี้ยน

ใช่...ไม่ผิดไปจากนั้น

หลังเก็บเอาภาพวาดลงไปในกระเป๋าผ้าเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง เสมือนภาพแต่ครั้งอดีตซึ่งเคยเป็นไป เขาเดินไปหยุดยังด้านหน้าของตำแหน่งเดียวกันที่คิดว่าเป็นทางขึ้นของอุโบสถหลังใหญ่ แหงนเงยขึ้นไปด้านบนอันเปรียบเสมือนว่าภาพนั้นจะเป็นภาพของพญานาคและภาพวาดของจิตรกรรมรูปพระพุทธเจ้าที่มองมาอย่างเมตตา

ทันใดนั้น...

สายลมพัดวูบเข้ามา มันมาพร้อมกับกลิ่นหอมของไม้ดอกชนิดหนึ่ง ที่หอมจนรู้สึกเลี่ยนและฉุนไปในที่สุด
เสมือนว่าสติซึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศจะยิ่งลอยสูงขึ้น พร้อมกับสายลมพัดละล่อง แล้วสองหูก็สดับได้ยินเสียงเครื่องดนตรีพื้นบ้านอันคุ้นหูดังเข้ามาแผ่วเบาเต็มที

เสียงหวาน อ่อนช้อย ประณีตบ่งบอกถึงความมีอารมณ์อันสุนทรีของผู้ดีดเครื่องสาย สายลมที่พัดผ่านและว่าเย็นแล้ว มันยังไม่เท่ากับเสียงนี้ที่แม้จะดังแค่แผ่วเบา หากมันก็พอที่จะทำให้อารมณ์ซึ่งกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในตัวลดทอนลงไปได้

เขาทอดกายเดินไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังจุดที่พบก้อนหินก้อนเล็กครั้งแรก ตรงจุดนั้นมีหินก้อนใหญ่วางอยู่ ชายหนุ่มล้วงเอาหินก้อนเล็กนั้นมาถือไว้ ก่อนจะวางมันลงไปยังตำแหน่งเดิมที่เขาเจอมันครั้งแรก

ทันทีที่แท่งหินน้อยแตะลงบนแท่งหินก้อนใหญ่ พลันก่อเกิดลมพายุที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นและพัดแรงเป็นยิ่งนัก ฟ้าที่มีแสงแดดจ้ากลับถูกเมฆมัวสลัวรางเข้ามาบดบัง อาณาบริเวณโดยรอบพลันก่อเกิดประหนึ่งสถานที่วิปริตและ
แปรปรวนให้นึกกลัว

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองโดยรอย ดูเหมือนว่าฝนจะตกและทันทีที่ประโยคความคิดนั้นจบลง เม็ดฝนเม็ดใหญ่เท่าลูกแก้วก็พากันร่วงพราวลงมา เขาขยับตัวก่อนจะสอดส่ายสายตาสำรวจหาที่หลบพัก ดวงตาคู่คมเหลือบไปเห็นต้นไทรใหญ่ซึ่งอยู่ถัดไปไม่ห่างนัก มันพอจะเป็นที่หลบฝนได้จึงรีบวิ่งไปในที่แห่งนั้นทันที

“ฝนตกเยอะจังเนอะพ่อหนุ่ม”

ทันทีที่วิ่งมาถึงยังสถานที่นั้น พลันสายตาเหลือบเห็นคนในชุดสีขาวโกนหัวจนโล้นเลี่ยนเอ่ยถาม เขามองแม่ชีนางนั้นซึ่งนั่งอยู่บนแคร่ไม้ก่อนหน้าและกำลังมองมายังเขาด้วยแววตาเมตตา

“เอ่อครับ...”

ในครั้งแรกแทบผละ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย ต่อเมื่อดูให้แน่ใจว่าเป็นแม่ชี ชายหนุ่มจึงคลี่ยิ้ม ก่อนจะขยับเข้าไปยกมือไหว้

“มานั่งด้วยกันตรงนี้ก่อนสิ”

แม่ชีชวน ชายหนุ่มจึงขยับเข้าไป เห็นอีกฝ่ายขยับที่ให้แม้จะเกรงใจทว่าอีกฝ่ายก็ยังคะยั้นคะยอด้วยสายตาให้เขานั่งด้วย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจนั่งลงตรงนั้นในที่สุด

สายฝนยังคงสาดซัดมาแบบไม่หยุดยั้ง แต่แปลกสถานที่แห่งนั้น ซึ่งเป็นใต้ต้นไม้กลับไม่มีเม็ดฝนเม็ดใดร่วงลงมาสู่ที่แห่งนั้นได้ ปานประหนึ่งใบไม้ไทรจะเป็นผ้าใบผืนใหญ่คอยคุ้มกันลมฝนได้เป็นอย่างดี

“แม่ชีอยู่ตรงนี้นานหรือยังครับ”

ชายหนุ่มชวนคุย จ้องมองร่างตรงหน้า ประกายตาที่มองกลับมาบอกความรู้สึกให้กับเขาว่าคุ้นแววตานี้เป็นยิ่งนัก

คุ้นดั่งว่าจะเคยพบเจอกันมาก่อน

“แม่อยู่ที่นี่นานแล้วล่ะ นานแสนนาน...”

สรรพสำเนียงเอ่ยเรียบช้า หากรอยยิ้มนั้นก็พอจะทำให้ชายหนุ่มที่มองตอบคลี่ยิ้มออกมาได้เช่นกัน

“นาน...มาครั้งก่อน ทำไมผมไม่เห็นแม่ชีล่ะครับ เอ่อ...ผมเคยมาสำรวจที่นี่พร้อมกับคณาจารย์น่ะครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างแปลกใจ แม่ชีบอกว่าท่านอยู่ที่นี่มานาน ทำไมเมื่อคราวก่อนที่มา ทำไมไม่เห็นล่ะและชาวบ้านแถวนี้ยังยืนยัน ที่นี่เป็นวัดร้าง ใครจะกล้ามาอาศัยอยู่

ทว่าแม่ชีกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า

“การจะเห็นหรือไม่เห็นกันนั้น การจะพบเจอหรือไม่พบเจอกันนั้น มันอยู่ที่บุญทำกรรมสร้างและอยู่ที่ว่าใครคนใดคนหนึ่งจะพร้อมให้เห็นกันก็อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ในครั้งนั้นเมื่อพ่อหนุ่มมาที่นี่ ที่ไม่เห็นแม่ บางทีแม่อาจจะไม่อยู่ก็ได้”

คำตอบแม้จะเรียบเฉย หากอีกแง่หนึ่งก็ชวนให้คิดถึงข้อความเป็นจริง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง ไม่คิดจะถามอะไรให้มากความอีกจึงเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปเสีย

เช่นเดียวกับแม่ชีนางนั้น ซึ่งขยับตัวแล้วเปลี่ยนท่านั่งมานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง ท่าทางอันทรงสง่านั้นช่างเป็นสิ่งที่น่านับถือเป็นยิ่งนัก บนกรอบหน้าที่เรียบเฉยเสมือนจะมีแสงสีขาวผุดผ่องบริสุทธิ์เปล่งประกายออกมาอยู่เป็นระยะ

เห็นว่าอีกฝ่ายคงจะเข้าสู่สมาธิแล้ว ภูริตจึงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ นึกขออภัยอยู่ในใจที่ตนมากวนสมาธิของแม่ชี ก่อนจะมองออกไปยังเบื้องนอกขอบเขตอันที่พ้นไปจากการครอบคลุมของร่มไม้ไทรใหญ่ สายฝนยังคงสาดซัดลงมาไม่หยุดพัดพาอากาศหนาวเย็นมากระทบผิวเนื้อของชายหนุ่มเป็นระยะ จนอดจะห่อไหล่และยกมือขึ้นกอดอกตนเองไม่ได้

อากาศสมัยนี้วิปริตอย่างได้ใจและไปแบบน้ำขุ่นๆ เสียจริง เมื่อครู่แดดยังร้อนเปรี้ยงๆ เปลวแดดแผดพยับสร้างภาพลวง ทว่าเวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สายฝนและความหนาวเย็นก็นำพากันมาเยือนอีกครั้ง

แล้วอย่างนี้ร่างกายของคนจะทานทนได้อย่างไรกัน

เปลี่ยนแปลงไปเปลี่ยนแปลงมา ถ้าหากร่างกายไม่แข็งแรงจริงๆ คงจับไข้กันไปแล้ว

นั่งครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นคนเดียวแบบเงียบๆ ยิ่งนานฝนก็ยิ่งไม่รู้สึกรู้สมว่าจะขาดเม็ด เวลาล่วงผ่านไปก็ยิ่งเย็น มาวันนี้คงจะไม่ได้อะไรมากไปกว่ามานั่งตากลมฝนที่หนาวเย็นเช่นนี้

“พ่อหนุ่มหนาวนักก็ลองมานั่งสมาธิดูสิ บางทีมันอาจจะทำให้ดีขึ้นก็ได้”

เสียงเรียบเย็นของแม่ชีดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง ภูริตถึงกับสะดุ้งเพราะความเงียบทำให้คิดว่าตนได้นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียวเสียด้วยซ้ำ

“เอ่อ...ครับ”

เขารับคำ ก่อนจะลองทำตามอย่างที่แม่ชีแนะนำ ยกขาขวาทับขาซ้ายวางมือขวาทับมือซ้าย จากนั้นเสียงแม่ชีก็เหมือนจะดังขึ้นเพื่อนำพาให้เขาสู่สมาธิ

“ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง วางสมองให้เบาโล่ง พอหายใจเข้าให้ท่องว่า...พุท หายใจออกให้ท่องว่า...โธ กำหนดให้การหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ไล่จากศีรษะลงไปยังหน้าท้อง เมื่อสิ้นสุดตรงนั้นก็ให้ไล่จากหน้าท้องขึ้นมายังกระหม่อมอีกครั้ง ทำอย่างนี้จนกว่าสมาธิจะนิ่งเมื่อนั้นแหละจิตของเราจะสงบนิ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว มีแต่ความอบอุ่น...”

เสียงนั้นเงียบไปแล้ว หากภูริตยังคงหายใจและกระทำกำหนดจิตของตนเองตามอย่างที่แม่ชีแนะนำ ไล่ลมหายใจออก จากกระหม่อมลงมายังหน้าท้อง สูดลมหายใจเข้าก็ไล่จากหน้าท้องขึ้นไปบนกระหม่อม พร้อมกับท่องพุท...โธ สลับกัน ไม่นานเสียงหยาดฝนที่ลงหนาเม็ดเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ห่างหายไป จนได้ยินแต่เสียงที่ตนท่องพุทโธ อยู่ในใจดังก้องไม่หยุด รู้สึกเหมือนทั่วร่างกายเสียววาบและเย็นซ่าน หากความเหน็บหนาวเมื่อครู่กลับห่างหายไป

หัวสมองเบาโล่งเหมือนไม่ได้คิดอะไร การปล่อยวาง ดีเช่นนี้เองน่ะหรือ

ยิ่งนาน จิตก็ยิ่งเป็นสมาธิไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะขวนขวาย ไม่อยากจะทำให้จิตใจวุ่นวายในเวลานี้ จิตที่ต้องการในขณะนี้คือการพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ไม่เคยคิดว่าตนจะทำได้อย่างรวดเร็วในเวลานี้ บัดนี้ยังแปลกใจอยู่เลยว่าจิตที่ว่านิ่งนั้นตนทำได้อย่างไรกัน

ทำได้อย่างกับเคยฝึกปรือมาก่อนอย่างนั้นแหละ...

เมื่อจิตนิ่ง เสมือนว่าภาพที่ปรากฏภายในครองจักษุ จากที่ฝ้ามัวนั้นก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อยๆ จนมองเห็นอย่างชัดเจน เป็นภาพเรื่องราวที่เหมือนว่าตนจะปรารถนาที่เห็นมันมาตลอดเวลา




พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2555, 22:12:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2555, 22:12:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1389





<< ตอนที่ ๖ เสียงจากม่านมืด   ตอนที่ ๘ สัญญารัก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account