ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 4 : น้องสาวคนใหม่

ภายในห้องทำงานบนชั้นบนสุดของอาคารสูงผนังด้านหนึ่งทำจากกระจกใสบานใหญ่สูงจากพื้นจดเพดาน เผยทัศนียภาพอันมีลำน้ำสายหลักของประเทศเป็นฉากหลัง ดวงอาทิตย์กลมโตเปลี่ยนเป็นสีส้มอมทอง สวยงามราวกับภาพวาดของบรรยากาศในยามโพล้เพล้ เจ้าของห้องผู้มีนัยน์ตาสีแปลกทอดสายตามองไกลอย่างเหม่อลอย ดวงหน้าหวานของสาวน้อยนัยน์ตาสวยสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเป็นประกาย เจ้าของรอยยิ้มเปิดเผย บนริมฝีปากบางผุดพรายขึ้นมาในความคิดของเขาตลอดเวลา

ตลิตให้คนพยายามสืบหาข้อมูลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวกับผู้เป็นบิดาแต่ก็ยังไม่ได้เรื่อง ที่น่าแปลก คือทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้จิตใจที่เคยสงบพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าอย่างประหลาด การที่เขาได้มีโอกาสพบ และพูดจากับเธอโดยบังเอิญ รวมเข้ากับเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ที่เขายอมลงทุนเสียงานเสียการไปเฝ้าคอยตามดูพฤติกรรมของเธอ กลับไม่ได้ช่วยให้เขารู้เห็นอะไรเพิ่มเติมไปมากกว่าเดิมเลย นอกเสียจากรู้ว่าบ้านของเธอตั้งอยู่ ณ จุดใดของกรุงเทพมหานครและรอบกายเธอก็ปราศจากวี่แววของบิดาเขาโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าสาวน้อยหน้าหวานคนนี้จะเกี่ยวพันกับพ่อของเขาที่ตรงไหน แล้วทำไมในสมองของเขาจึงมีแต่ใบหน้าของเธอลอยวนอยู่เกือบจะตลอดเวลา

คิดไปแล้วก็ให้อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ นัก ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่า คนที่เพิ่งจะเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง จะเข้ามามีอิทธิพลทางความคิดกับเขามากมายเพียงนี้ เพราะจะว่าไปแล้วตลิตก็ยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหน ที่จะสามารถเข้ามาทำให้เขาต้องปั่นป่วนจนถึงขั้นไม่เป็นอันทำงานทำการเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่ถ้าเกิดว่าเธอไปมีความสัมพันธ์อะไรกับพ่อของเขาขึ้นมาจริงๆ อย่างที่กำลังสงสัย แล้วเขาควรจะทำอย่างไร ชายหนุ่มมัวแต่เพลินอยู่กับความคิดอันสับสน จนไม่ทันได้รับรู้ถึงประตูยังด้านหลังที่เปิดออกพร้อมกับการมาของใครบางคน

“ไง เจ้าลิต สบายอารมณ์จริงนะแก งานการไม่มีทำหรือไง ถึงเอาแต่นั่งทอดอารมณ์อยู่แบบนี้” เสียงทักทายจากเบื้องหลังเรียกร้องให้ตลิตหมุนเก้าอี้กลับมาอย่างรวดเร็ว

“พ่อ! นี่พ่อหายไปไหนมา ผมตามหาเสียแทบแย่ ถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน” ตลิตซึ่งกำลังอยู่ในอาการอึ้งปนตกใจ ทักถามบิดาเสียงหลง

“บ๊ะ! ไอ้ลูกคนนี้ พ่อก็ต้องมีธุระปะปังส่วนตัวบ้างสิวะถามอย่างกับว่าพ่อเป็นเด็กๆ เห็นใครๆ เขาบ่นกันทั่วว่าแกไปเที่ยวได้ไปสอบถามเอาความกับเขา พอไม่ได้เรื่องก็อาละวาดจนเขาขยาดกันไปหมด แกมีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับพ่องั้นหรือเจ้าลิต” ไตรวินกลับกลายเป็นฝ่ายไล่เบี้ยเอากับบุตรชาย เดินตรงไปนั่งไขว่ห้างลงบนโซฟารับแขกชุดหรูตรงมุมห้องอย่างถือวิสาสะ

“ก็พ่อเล่นส่งอีเมลไปลากให้ผมรีบกลับมา แล้วจู่ๆ ก็หายตัวไปเสียเฉยๆ จะไม่ให้ผมเป็นห่วงได้ยังไง แถมถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน มันน่าจะไล่ออกเสียให้หมดทุกคนด้วยซ้ำ ว่าแต่ไอ้ธุระที่พ่อว่า มันสำคัญมากเลยหรือครับ ถึงขนาดที่พ่อลงมือจัดการด้วยตัวเอง แถมคุณอาอรรณพเองก็ยังไม่รู้เรื่อง แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”

“เอาเข้าไป เป็นชุดเชียวนะแก บ่นไปยายแก่ไปได้ พ่อก็กำลังจะมาคุยกับแกเรื่องนี้อยู่นี่ไง แล้วนี่แกติดงานอะไรอยู่หรือเปล่า...”

“พ่อก็พูดซะ สำหรับพ่อยังไงๆ ผมก็ต้องว่างเสมอล่ะครับ”

“ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลยไอ้ลูกบังเกิดเกล้า”

“หลอกด่าผมอีก เล่ามาเลยครับผมรอฟังอยู่”

“อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีว่าเมื่อหลายเดือนก่อนพ่อบังเอิญไปเจอกับเพื่อนเก่า แล้วเขาก็กำลังมีปัญหามาขอร้องให้พ่อช่วย ก็แค่นั้น”

“เพื่อนพ่อหรือครับ ที่เมืองไทยนี่นอกจากคุณอาอรรณพแล้ว ผมไม่เคยเห็นพ่อพูดถึงเพื่อนคนไหน แล้วจู่ๆ ทำไมถึงมีเพื่อนขึ้นมาได้” ตลิตเริ่มจะตั้งข้อสังเกต เพื่อนคนนี้ของผู้บิดาต้องเป็นคนสำคัญมากแน่ๆ มิเช่นนั้นแล้วบิดาเขาคงจะไม่ยอมตกปากรับคำให้ความช่วยเหลือเป็นแน่

“เพื่อนเก่าน่ะ จะว่าไปเรื่องมันนานมาแล้ว นานมากตั้งแต่แกยังไม่เกิด ก็เลยไม่เคยเล่าให้แกฟัง อันที่จริงจะเรียกว่าเพื่อนมันคงจะไม่ถูกนักหรอก เพราะเธอเป็นเหมือนน้องสาวของพ่อมากกว่า”

ตลิตได้ฟังแล้วถึงกับหูผึ่งขึ้นมาทันที

“เธอ? แสดงว่าเป็นผู้หญิง อย่าบอกนะครับว่าเธอที่พ่อกำลังพูดถึงเป็นแฟนเก่า นี่มันชีวิตจริงนะครับพ่อ ไม่ใช่นิยาย จนนมนามป่านนี้แล้วยังจะมีแฟนเก่าย้อนกลับมาให้เวียนหัวได้อีก”

“เงียบไปเลยเจ้าลิต ทำไม? พ่อแกออกจะหล่อปานนี้ ทำไมถึงจะมีแฟนเก่ากับเขาบ้างไม่ได้”

“มุกหรือเปล่าครับพ่อ อย่าบอกนะครับว่าเธอจะเป็นแฟนเก่าของพ่อจริงๆ”

“มันก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่จะเรียกว่าเป็นรักแรกก็คงจะไม่ผิด ตั้งแต่เด็กพ่อมีแต่เธอ คนที่เปรียบเสมือนน้องสาวคนเดียวที่พ่อรัก และทะนุถนอมที่สุดในชีวิต แต่เราก็ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งต่อกันถึงขั้นนั้น เธอเป็นลูกสาวของท่านผู้มีพระคุณ เจ้าของบ้านที่พ่อกับย่าของแกเคยอาศัยอยู่ ตอนที่พ่อจากมาเธอเองก็ยังเด็ก อายุยังไม่ถึงสิบห้าเลยด้วยซ้ำ”

“ท่าทางเรื่องจะยาวนะครับพ่อ”

“ก็เออสิวะ! ตกลงว่าแกจะฟังหรือจะขัดคอพ่อกันแน่ ห๊ะ! เจ้าลิต”

“ฟังสิครับฟัง ทำเป็นคนแก่ขี้ใจน้อยไปได้พ่อละก็ เล่าต่อเลยสิครับ ผมกำลังลุ้น”

“เลิศลักษณ์เธอเป็นคนน่าสงสาร สุขภาพของเธอไม่ค่อยจะดี พ่อถึงต้องคอยดูแลประคบประหงมเธอมาแต่เล็กแต่น้อย อย่างที่พ่อบอกนั่นล่ะ เธอเปรียบเหมือนน้องสาวที่พ่อรักและเป็นห่วง”

“ฟังดูก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรนี่ครับ แล้วทำไมพ่อถึงต้องออกจากบ้านหลังนั้นละครับ”

“เรื่องบางเรื่องมันก็ยากแก่การควบคุม พ่อเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นพ่อยังอยู่ที่นั่น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อ มันจะเป็นยังไงต่อไป จะมีแกในวันนี้หรือเปล่า พ่อเองก็ตอบไม่ได้ พอเกิดเรื่องพ่อกับย่าของแกก็เลยต้องออกจากบ้านหลังนั้น หอบหิ้วกันมาเช่าบ้าน ช่วยกันทำมาหากินโดยการเปิดร้านขายข้าวแกง จนกระทั่งพ่อได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วก็พบกับแม่ของแก ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป พ่อเองก็ไม่เคยคิดจะกลับมาเมืองไทย ส่วนเธอก็แต่งงานไปกับคนที่พ่อของเธอเลือกให้ แต่โชคร้ายที่ผู้ชายคนนั้นไม่มีความรับผิดชอบ”

“สรุปว่าเธอกับพ่อเคยชอบพอกัน” ตลิตสรุป ทว่านัยน์ตายังคงเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

“ใช่ แต่ถึงยังไงอดีตก็คืออดีต สำหรับพ่อแล้วสิ่งที่เหลืออยู่ มันเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น” ไตรวินรีบเอ่ยตัดบทก่อนที่บุตรชายจะคิดไขว้เขวไปไกล

“ฟังๆ ดูแล้วก็น่าเห็นใจนะครับ มีความรักแต่ก็ไม่สามารถจะลงเอยกันได้ แถมยังต้องไปแต่งงาน กับคนแบบนั้น”

“เพราะงั้นพ่อถึงบอกว่า เลิศลักษณ์เป็นคนน่าสงสาร บ้านช่อง สมบัติพัสถาน ก็ถูกได้หมอนั่นขโมยไปจำนองจำนำจนหมด เรียกว่าเกือบจะสิ้นเนื้อประดาตัวอยู่รอมล่อ ที่สำคัญคือตอนที่พ่อไปเจอ เธอกำลังป่วยหนัก อาการเพียบจนหมดโอกาสรักษา” เล่ามาถึงตอนนี้ ไตรวินถึงกับน้ำตาซึม เมื่อนึกถึงใบหน้าของหญิงผู้ซึ่งเขาเคยรัก และเปรียบเสมือนน้องสาวของเขาเอง

“โอ... ทำไมถึงได้โชคร้ายแบบนั้น”

“ก่อนตาย เธอได้ฝากฝังให้พ่อช่วยอุปถัมภ์ดูแลเด็กคนหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่ใช่เด็กหรอก อายุยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ดแล้ว ชื่อ ลูกศร เป็นลูกสาวของเธอกับไอ้หมอนั่น หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเชียวล่ะ เป็นไงเรื่องที่พ่อเล่า พอจะเป็นนิยายกับเขาได้ไหม”

“ยิ่งกว่านิยายอีกครับพ่อ ฟังแล้วอึ้งจริงๆ”

“ว่านิยายส่วนใหญ่มันก็มาจากเรื่องจริงทั้งนั้นละโว้ย ไอ้ลูกชาย นี่พ่อก็ตั้งใจจะมาบอก แล้วก็ถามความเห็นจากแก ว่าถ้าพ่อจะรับเด็กคนนั้นมาอยู่กับเราที่บ้าน แกจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“รับเด็กคนนั้นมาอยู่บ้านเราหรือครับ”

“ก็เออสิวะ! ถ้าไม่อยู่บ้านเราแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้”

“ไอ้ผมน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ พ่อก็รู้ว่า วันๆ ผมได้อยู่บ้านเสียที่ไหน พ่อว่าไงก็ว่างั้น เอ.. แล้วนี่พ่อบอกแม่หรือยังครับ คิดจะเอาสาวเข้าบ้านทั้งที ไม่ใช่ว่าแม่มารู้ทีหลัง เกิดไม่ยอมขึ้นมาละมีหวังบ้านแตก จะหาว่าผมไม่เตือน” ตลิตพูดติดตลก รู้จักนิสัยมารดาของตนดีว่าถึงอย่างไรก็ตามใจพ่อเขาตะพึดตะพือวันยังค่ำ

“บอกไปแล้วเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พ่อจะทำโดยพลการได้ยังไง ตอนที่โทรไปปรึกษา แม่แกถึงกับดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะบินมาเมืองไทยเดี๋ยวนั้น อยากได้ลูกสาวมานานคราวนี้เลยได้สมใจไม่ขัดไม่ข้องอะไรทั้งนั้น บอกว่าดีเหมือนกันจู่ๆ ก็ได้ลูกสาวมาฟรีๆ เห็นบ่นๆ อยู่ว่าชักจะเบื่อหน้าแกเต็มทนแล้ว” ไตรวินโต้นกลับลูกชาย ด้วยวาจาและน้ำเสียงติดตลกปานกัน

“โอ้โฮ! นี่ใจคอพ่อกับแม่จะเก็บเรื่องนี้ไว้จนนาทีสุดท้ายเลยหรือไงครับ ถึงได้ไม่ยอมบอกอะไรผมเลย แบบนี้ไม่รอจนพาเด็กนั่นเข้าบ้านมาเสียก่อนล่ะครับ แล้วค่อยมาถามความเห็นผม” ตลิตเริ่มจะตัดพ้อ ลูกคนเดียวอย่างเขา จู่ๆ กลับต้องมามีน้องสาว มิหนำซ้ำทั้งพ่อและแม่ยังมีทีท่าว่าจะโอ๋ลูกสาวคนใหม่เอาการเสียด้วย มันจะไม่น่าน้อยใจหรอกหรือ

“เอ้อ! ไอ้ลูกคนนี้ มันไปเอานิสัยพาลพาโลมาจากไหนกันวะ พ่อเองก็ตั้งใจว่าจะบอกอยู่หรอก แต่แม่แกเขาห้ามไว้ อยากให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ คงอยากจะเป็นเซอร์ไพรส์แกนั่นล่ะ” ท่าทางแสนงอนของบุตรชายตัวโต ทำเอาไตรวินอดขำไม่ได้

“เซอร์ไพรส์มากเลย จู่ๆ ก็มีน้องสาวตัวโตขนาดนั้น แล้วนี่พ่อจะพาเด็กนั่นมาอยู่บ้านเราเมื่อไหร่กันครับ”

“ก็คงจะเร็วๆ นี้แหละ ติดอยู่ที่ว่าแกยังไม่ยอมมา นี่พ่อก็กำลังคิดหาวิธีอยู่เหมือนกัน ตอนแรกตั้งใจว่าจะพาแกมาอยู่กับเราเลย แต่แกบอกว่าอยากจะอยู่ที่บ้านสวน เพราะเป็นห่วงบรรดาคนเฒ่าคนแก่ที่นั่น เกรงว่าจะไม่มีคนคอยดูแล”

“อย่างนั้นหรือครับ เอ... หรือว่าแกอาจจะยังไม่คุ้น แล้วก็ยังไม่ไว้ใจ เพราะเท่าที่ฟังมาพ่อเองก็เพิ่งจะได้เจอกับแกไม่ใช่หรือครับ” ตลิตพยายามคาดเดาความคิดของเด็กสาว แม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ก็พอจะเดาถึงความวิตกกังวลของเธอได้

“ก็เป็นไปได้ พ่อเองก็ไม่ได้อยากจะเร่งรัดอะไรแกนักหรอก เพียงแต่เป็นห่วง เด็กผู้หญิง อยู่บ้านสวนตามลำพังกับบ่าวไพร่ มันน่าเป็นห่วงน้อยอยู่หรือ ไอ้ครั้นว่าพ่อจะคอยไปดูแล ก็คงไปได้ไม่บ่อย เลยบอกให้แกลองกลับไปทบทวนดู เพราะยังไงพ่อก็ยืนยันว่าจะให้แกย้ายมาอยู่กับเราที่บ้าน แม่ของแกที่ตายไปก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

“บ้านสวนที่ว่า ใช่ที่ตลิ่งชัน ที่พ่อให้คุณอาอรรณพ จัดการซื้อไว้หรือเปล่าครับ”

“อ้าว... นี่แกรู้เรื่องที่ดินบ้านสวนแล้วเรอะ!... บ๊ะ... ข่าวสารแกนี่ไวใช้ได้เหมือนกันนี่”

“ของมันแน่อยู่แล้ว” ตลิตบอกอย่างภูมิใจแล้วรีบพูดต่อ “จริงๆ แล้วผมก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าพ่อจะโดนสาวๆ หลอก เท่านั้นเอง แหม ก็จู่ๆ พ่อเล่นแอบไปซื้อที่ดินแถมยังไม่ยอมบอกใคร เป็นใครๆ ก็ต้องสงสัย เผื่อว่าพ่อแอบไปซื้อที่ดินไว้ให้ซ่อนอีหนูที่ไหน ผมจะได้เก็บไปฟ้องแม่ได้ถูกไงครับ” บุตรชายบอกพร้อมกับทำหน้าทะเล้นนัยน์ตาพราว ในความเป็นจริงเขาทั้งรักและเทิดทูนบิดา เกินกว่าจะเชื่อว่าผู้เป็นพ่อจะทำเรื่องอะไรทำนองนั้นได้

“อ๊ะ...ไอ้ลูกคนนี้นี่หาเรื่องให้พ่อเสียแล้วไหมล่ะ ที่ดินผืนนั้นมันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของแม่ยายลูกศร แล้วก็มีความหมายกับพ่อมากเพราะเป็นสถานที่ๆ พ่อกับย่าของแกเคยไปอาศัยอยู่ยามที่ลำบาก เจ้าของที่ดินเดิมท่านเคยมีเมตตากับเรามาก่อน ไอ้ครั้นจะปล่อยให้หลุดไปอยู่ในมือของคนอื่น ก็ดูแล้งน้ำใจเต็มที บอกตรงๆ ว่าเสียดายแทน พ่อเลยอยากจะเก็บรักษาเอาไว้คืนให้กับทายาทของท่าน คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านที่เคยให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่พักพิงกับเรามา แบบนั้นน่าจะดีกว่า”

“ทายาท? พ่อหมายถึงเด็กคนนั้นน่ะหรือครับ”

“ใช่ ยายลูกศรนั่นแหละ ตอนแรกพ่อตั้งใจว่าจะรอจนกว่าแกจะอายุครบยี่สิบห้าแล้วค่อยจัดการโอนให้ แต่อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น คิดไปคิดมาเลยตัดสินใจว่าจัดการทำให้เรียบร้อยไปเสียเลยน่าจะดีที่สุด” ไตรวินแจ้งเจตนารมณ์ของตนแก่บุตรชายอย่างไม่คิดจะปิดบัง

“แล้วเธอไม่มีญาติที่ไหนเลยหรือครับพ่อ”

“ไอ้มีน่ะมีอยู่ แต่ก็ขาดการติดต่อไปไปนานมากแล้ว จะมีก็แต่พวกคนเก่าคนแก่ของแม่แกนั่นล่ะที่อยู่ดูแลกันมา”

“อ้อ! อย่างนี้นี่เอง ว่าไปแล้วชีวิตแกดูจะน่าสงสารไม่ผิดจากแม่เลยนะครับนี่”

“อื้ม ยิ่งตอนนี้แกต้องมาเสียแม่ไป ก็ยิ่งน่าเห็นใจเข้าไปกันใหญ่ เด็กคนนี้ใจแข็งไม่ใช่เล่น ขนาดแม่ตาย น้ำตาสักหยดยังจะไม่มีให้เห็น แกบอกกับพ่อว่าแกไม่อยากทำให้วิญญาณแม่ต้องเป็นทุกข์เพราะห่วงแก”

“น่าสนใจนะครับ เด็กคนนี้ แล้วนี่พ่อจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ เลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว”

“กลับสิ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ พ่อจะแวะไปหาข้าวกินที่โรงแรมแถวนี้สักหน่อย น้องสาวคนใหม่ของแกเขารับงานแสดงที่นั่น พ่อเลยจะแวะไปดูแกก่อน เสร็จแล้วก็รอรับกลับไปส่งที่บ้านสวนเสียเลย นี่ก็อีก พ่อขอให้แกเลิกรับงานแสดงนั่นเสีย แต่แกก็ไม่ยอมบอกว่ารักงานนั้นมาก แกลองคิดดูสิ เป็นลูกผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นแบบนั้นมันจะอันตรายแค่ไหน ดื้อจริงๆ” ไตรวินบ่นอย่างหนักใจ พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เหรอครับ ท่าทางจะดื้อเอาเรื่องนะครับนี่ ผมชักอยากจะเห็นหน้าน้องคนนี้เสียแล้วสิ ถ้าผมจะขอติดไปกับพ่อด้วย จะเป็นไรไหมครับ”

“อยากไปก็ไปสิ พ่อจะไปว่าอะไรแก ดีเหมือนกัน จะได้แนะนำให้รู้จักกันเสียเลย”

“ถ้างั้น... ขอเวลาผมเคลียร์เอกสารอีกเดี๋ยวเดียว เสร็จแล้วเราลงไปเจอกันที่รถนะครับพ่อ”

“เอ้อ... ไม่ต้องรีบหรอกสักทุ่มหนึ่งก็ยังทัน โรงแรมอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง พอมีเวลาอีกถมเถ แกจะทำงานก็ทำไปเถอะ พ่อไปล่ะ” ไตรวินทิ้งท้ายก่อนจะลุกเดินกลับไปยังห้องทำงานของตน

“ลูกศร... ลักษิณาศร.... ที่แท้ก็เป็นเธอเองหรือนี่” ตลิตรำพึงกับตนเอง รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นยังมุมปากพร้อมกับความรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด หรือจะเรียกว่าดีใจก็คงไม่ผิด คำถามใหม่เกิดขึ้นยังกลางใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกเช่นนั้น หรือว่านี่จะเป็นความรู้สึกพิเศษ ความรู้สึกที่เขาไม่เคยเกิดขึ้น และมีให้กับใครมาก่อน ช่างน่าฉงนใจยิ่งนัก

-----------------------------------

บรรยากาศของภัตตาคารภายในโรงแรมยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ไม่เว้นแม้แต่สายตาของผู้คนที่จับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวเอวองค์อ้อนแอ้นอรชรกำลังร่ายรำด้วยท่าทางอันอ่อนช้อยอยู่บนเวที ดวงหน้าหวานแม้ตกแต่งไว้จนเข้มจัด แต่คงความน่ามองไว้อย่างเหนียวปนน ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

ตลิตติดตามผู้เป็นบิดามาที่โรงแรมแห่งนี้ เพราะความที่อยากจะเจอหน้าหญิงสาวซึ่งนับแต่นี้ไปเธอจะไม่ได้เป็นเพียงแค่คนเพิ่งรู้จัก แต่จะเปลี่ยนสถานะมาเป็นน้องสาวของเขาแทน ตลิตอยากรู้และอยากเห็นสีหน้าของเธอว่าจะรู้สึกประหลาดใจสักเพียงไหน ส่วนตัวเขานั้น นอกจากความประหลาดใจแล้ว เขายังรู้สึกโล่ง ปนดีใจ ที่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวกับบิดาของเขาหาได้มีความสัมพันธ์กันในแบบที่เขาเคยสงสัยนั่นเลย

การแสดงชุดสุดท้ายสิ้นสุดลงไปได้พักใหญ่ ร่างบอบบางของนางรำซึ่งอยู่บนเวทีเมื่อสักครู่ยามนี้ได้กลับมาอยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษาตามปกติ หญิงสาวเดินตรงมายังโต๊ะซึ่งเขาและบิดากำลังนั่งรอเธออยู่ ลักษิณาศรทำความเคารพนพนอบต่อผู้มีอาวุโสสูงสุดเป็นอันดับแรก ตามประสาคนที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี

“สวัสดีค่ะ คุณลุง”

“ไหว้พระเถอะลูก นั่งลงก่อน กินอะไรแล้วหรือยัง สั่งอะไรมากินดีไหมลูก” ไตรวินเอ่ยทักทายเด็กสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาทั้งห่วงใจเอ็นดูไม่ปกปิด

“ไม่ดีกว่าค่ะ ลูกศรทานเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ตามปกติทางโรงแรมเขาจะจัดไว้ให้ตั้งแต่ก่อนขึ้นแสดงแล้วล่ะค่ะคุณลุง” ลักษิณาศรชี้แจงด้วยรอยยิ้มสดใส

“อ้อ ดีจริง ตามภาษิตที่ว่า กองทัพเดินด้วยท้องใช่ไหมลูก” ผู้เป็นลุงพูดเล่นติดตลกเรียกรอยยิ้มจากดวงหน้างามจนตาหยี

“ใช่เลยค่ะคุณลุง ถ้าไม่ได้ทานข้าวก่อนขึ้นรำมีหวังลูกศรคงไม่มีแรงจีบแหงๆ” หญิงสาวบอกพลางทำท่าจีบหงิกๆ งอๆ สำทับไปตามคำพูดของตน

“เซี้ยวจริงลูก นี่ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา ลุงคงไม่รู้เลยว่าหนูจะรำได้สวยขนาดนี้”

“ขอบคุณค่ะคุณลุง แต่แหม! ลูกศรเรียนมาทางด้านนี้นี่คะ ขืนรำไม่สวย มีหวังได้เสียชื่ออาจารย์แย่” หญิงสาวตอบอย่างภาคภูมิใจ ดวงหน้าหวานละมุนส่งยิ้มละไมไปตามความเคยชิน

“อื้ม... นั่นสินะ... เอ้อ! จริงสิ มัวแต่คุยกันเพลิน วันนี้ลุงพาคนมาแนะนำให้ลูกศรรู้จักด้วยนะลูก” ไตรวินเอ่ยอย่างนึกได้ว่ามีใครอีกคนอยู่ร่วมโต๊ะด้วย “ลูกชายของลุงเอง พี่เขาชื่อ ตลิต”

หญิงสาวปรายตามองไปยังชายหนุ่มซึ่งนั่งยังอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ายังมีใครอีกคนนั่งอยู่ ณ ที่นั้น

“อ๊ะ! คุณนั่นเอง” ลักษิณาศรทั้งแปลกใจและประหลาดใจเมื่อหันไปเห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นอย่างชัดๆ “สวัสดีค่ะ ไม่น่าเชื่อนะคะว่ามันจะบังเอิญขนาดนี้ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งค่ะ” ลักษิณาศรนบไหว้เขาตามธรรมเนียม เอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดี

“นั่นสิครับ ช่างบังเอิญดีแท้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าน้องสาวที่พ่อบอกจะเป็นคุณ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งเช่นกันครับ”

“อ้าว! นี่สองคนรู้จักกันแล้วหรือ” ไตรวินมองสลับไปมา ลักษิณาศรหันมาส่งยิ้มน้อยๆ ให้เป็นคำตอบรับ

“ครับพ่อ เราเคยเจอกันมาสักครั้งสองครั้งเห็นจะได้ ไม่นึกจริงๆ ว่าพอมาเจอกันอีกครั้ง เธอจะกลายเป็นน้องสาวของผมไปเสียแล้ว” ตลิตปรารภกับบิดา สองตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าหวานของลักษิณาศรจนเจ้าตัวเริ่มจะรู้สึกเคอะเขิน

“พ่อว่าดีออก มีน้องน่ารักขนาดนี้ จริงไหมลูก ลูกศร” ไตรวินหันมาพยักพเยิดกับลักษิณาศรซึ่งได้แต่นั่งยิ้มไม่ยอมตอบ

“เห็นพ่อบอกว่าลูกศรกำลังจะย้ายมาอยู่กับเรา ดีเหมือนกันนะครับ มีสมาชิกเพิ่มขึ้น บ้านเราคงจะหายเหงาไปเยอะ จริงไหมครับพ่อ”

“ใช่ลูก ย้ายมาอยู่ด้วยกันกับลุงที่บ้าน ลุงจะได้ดูแลเราได้สะดวก แม่หนูเขาฝากหนูเอาไว้กับลุง อย่าให้ลุงต้องผิดคำพูดเลยนะลูกนะ” ไตรวินเสริมขึ้นมาทันที นึกขอบใจเจ้าลูกชายตัวดีที่ช่วยเปิดเรื่องนำขึ้นมาแบบนี้

“ขอบคุณค่ะ แต่ลูกศรเกรงว่ามันจะเป็นการรบกวนคุณลุงมากจนเกินไป อยู่บ้านสวนก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเลยจริงๆ นะคะ” ความเกรงใจบวกกับความที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ลักษิณาศรยังคงยืนกรานปฎิเสธ

“อย่าเกรงใจไปเลย เราทุกคนก็เต็มใจต้อนรับลูกศร อย่าปฏิเสธความหวังดีของคุณพ่อพี่เลยครับ” ตลิตโน้มน้าว และพยายามสร้างความเป็นกันเอง แต่ดูเหมือนว่าลักษิณาศรก็ยังคงไม่คลายความความลังเล

“จะคิดมากไปทำไมล่ะลูก อย่างที่พี่เขาบอกนั่นล่ะ บ้านลุงก็เปิดรอต้อนรับหนูเสมอ” ไตรวินสำทับคำบุตรชาย พร้อมกับรอยยิ้มอย่างคนใจดี

“ลูกศรขอเวลาคิดก่อนได้ไหมคะคุณลุง ลูกศรเป็นห่วงยายปลิก ลุงอินทร์ แล้วก็คนอื่นๆ น่ะค่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกลูก ลุงรับปากว่าจะดูแลพวกเขาเอง ย้ายมาอยู่กับลุงแล้วค่อยแวะกลับไปเยี่ยมเยียนดูแลบ้านบ้างก็ยังได้นี่นา จริงไหมลูก”

“แต่ว่า...”

“อย่าขัดคุณพ่อท่านเลยครับ พี่ว่าย้ายมาอยู่ด้วยกันนะดีแล้ว คุณพ่อพี่ท่านจะได้ไม่หมดห่วง”

“นั่นสิลูก บ้านสวนถึงจะไม่ไกลแต่ก็อยู่ลึก ไปมาไม่สะดวก มาอยู่บ้านลุง ลุงจะได้ไม่ต้องพะวักพะวนเป็นห่วงหนู”

“เป็นอันว่าตกลงตามนี้ ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวเรานะครับ ลูกศร” ตลิตรวบรัดตัดความ และปิดทางปฏิเสธของหญิงสาว

“คะ?... เอ่อ...ก...ก็ได้ค่ะ” ลักษิณาศรตอบรับอย่างหมดหนทางเลี่ยง ส่งผลให้ไตรวินถึงกับยิ้มออกมาอย่างยินดี

“ดีเลยลูก ส่วนบ้านสวนน่ะ ถ้าหนูอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ทุกเวลา ยังไงๆ ที่นั่นก็เป็นบ้านของหนูอยู่แล้ว ลุงเข้าใจดี ไหนๆ ก็ตกลงใจแล้ว ลุงว่าย้ายมาอยู่บ้านลุงมันเสียอาทิตย์นี้เลยก็ดีนะลูก” อาการใจร้อนของไตรวินทำเอาลักษิณาศรแทบตั้งตัวไม่ติด

“อาทิตย์นี้! เอ่อ...มันจะไม่เร็วเกินไปหรือคะคุณลุง คือ...ลูกศรว่ารอให้ปิดเทอมก่อนน่าจะดีกว่า อีกแค่สองอาทิตย์เอง ช่วงนี้ใกล้สอบ ลูกศรไม่อยากพะวักพะวงน่ะค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ ถ้างั้นก็ตามใจ เอาเป็นว่าพร้อมวันไหนก็บอก ลุงจะได้ส่งคนไปช่วยหนูเก็บข้าวของ” ไตรวินสรุป

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะคุณลุง ลูกศรไม่ได้มีข้าวของอะไรเยอะแยะขนาดนั้น”

“รบกง รบกวนอะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง แค่หนูยอมมาอยู่กับลุง ลุงก็ดีใจมากแล้วล่ะลูก ดึกมากแล้ว ลูกศรจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่หรือเรา ไปลูกเดี๋ยวลุงไปส่ง”

“ขอบคุณค่ะคุณลุง ดีจังคืนนี้ลูกศรประหยัดค่าแท็กซี่ไปได้ตั้งเยอะ” ลักษิณาศรบอกพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

พอหมดหน้าที่ ตลิตก็เลือกจะนั่งฟังการสนทนาของสองลุงหลานไปเงียบๆ สิ่งที่ได้เห็นทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นอีกพะเรอเกวียน เมื่อเด็กสาวตรงหน้าเป็นเพียงลูกสาวของเพื่อนที่ท่านรักและเอ็นดู ที่เหลือก็แค่ความรู้สึกของตัวเขาเอง ที่จะต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเพราะเหตุใดการนั่งมองรอยยิ้มอ่อนบนดวงหน้าสวยดวงนั้นจึงทำให้หัวใจเขาเกิดอาการเต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนที่รู้วิธีควบคุมหัวใจของตัวเองดีอย่างเขา เวลานี้กลับแทบไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลย แบบนี้จะไม่เรียกว่าแปลกได้อย่างไร

---------------------------------------------------------

อากาศนอกชานเรือนค่อนข้างเย็นเนื่องเป็นเวลาดึกในช่วงปลายฝนต้นหนาว ประกอบกับรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยต้นหมากรากไม้ช่วยกักเก็บความชื้น ทำให้พื้นที่ในบริเวณนี้ออกจะเย็นกว่าพื้นที่อื่นๆ ทั้งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองกรุงเทพฯ ออกมาเพียงไม่เท่าไหร่

พรุ่งนี้แล้วที่ลักษิณาศรจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านธนกิจบริบูรณ์ ตามคำร้องขอของไตรวินผู้ซึ่งได้รับฝากฝังเธอเอาไว้จากมารดา ทั้งที่พยายามจะคิดว่าตัดสินใจดีแล้วแต่หญิงสาวก็ยังไม่วายกังวล บ้านใหม่ สถานที่ใหม่ สังคมใหม่ มันจะเป็นอย่างไร ความวิตกกังวลจึงทำให้เธอนอนไม่หลับ และในที่สุดก็ออกมานั่งเล่นอยู่ที่นอกชานเรือน เหลียวมองทุกสิ่งรอบๆ ตัวคล้ายจะสั่งลา ยิ่งมองก็ยิ่งใจหาย ยิ่งใกล้เวลาต้องไปกลับยิ่งอาวรณ์

ดวงตาคู่งามทอดมองไปบนท้องฟ้าแล้วนึกเสียดาย ท้องฟ้าในคืนเดือนมืดไม่มีแม้แต่ดาวสักดวงเยี่ยมหน้าออกมาให้เธอเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างดูพล่าเลือนเห็นเป็นเพียงแค่เงาตะคุ่ม ทว่าสำหรับลักษิณาศร เธอสามารถจดจำได้ในทุกสิ่ง เพราะเป็นภาพที่เธอเคยเห็นและจดจำมันมาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่ เรือนหลังใหญ่แม้จะร้างไร้ผู้เป็นบิดา ทว่าบ้านก็ยังเป็นบ้าน บ้านที่เธอรักและเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรักและทุ่มเทอันเต็มเปี่ยมจากผู้เป็นมารดาซึ่งแม้จะเจ็บออดๆ แอดๆ แต่ยังคงนุ่มนวลอ่อนหวานและอบอุ่นเหลือแสน

ลักษิณาศรจารจำในทุกสิ่ง เก็บทุกภาพไว้ในหัวใจ พยายามจดจำทุกอย่างไว้ให้มากที่สุด ใครเลยจะรู้เหตุการณ์ในวันข้างหน้า หากวันหนึ่งต้องจากไปไกล ไกลจนไม่อาจย้อนกลับมา ไม่แน่เธออาจจะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยย้ำเตือนให้รำลึกถึงวันเก่าๆ ก็เป็นได้

“ดึกแล้ว ทำไมถึงยังไม่เข้านอนอีกละคะคุณหนู” เสียงทักถามของหญิงชราซึ่งคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง เรียกให้ลักษิณาศรต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากันและกัน

“อ้าว! ยายปลิกเองเหรอจ๊ะ ยังหรอกจ้ะ ลูกศรยังไม่ง่วง เลยออกมานั่งรับลมเล่นน่ะจ้ะ แล้วยายล่ะ ทำไมถึงยังไม่นอน” ลักษิณาตอบนางอย่างคุ้นเคย พลางส่งยิ้มอ่อนๆ นางปลิกบอกกับตนเองว่า นั่นเป็นยิ้มที่เศร้าที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น นับตั้งแต่นางเลี้ยงคุณหนูของนางมา

“ยายเพิ่งตื่นน่ะค่ะ เห็นแสงไฟนอกชานยังเปิดอยู่ ก็เลยออกมาดู ดึกมากแล้วนะคะ น้ำค้างแรงคุณหนูจะพานไม่สบายเอาได้นะคะ” นางบอกพลางจูงร่างบางกลับเข้ามายังใต้ชายคาบ้าน

“โธ่ ยายจ๋า ลูกศร น่ะหัวแข็งจะตาย ไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอกจ้ะ”

“คนหัวแข็งก็ป่วยได้นะคะ ประเดี๋ยวเจ้าวินมันจะมาเอ็ดยายเอาได้ ว่าไม่ดูแลคุณหนูให้ดี”

“ไม่หรอกค่ะ คุณลุงใจดีจะตาย ยายปลิกจ๋า พรุ่งนี้ลูกศรก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว ลูกศรต้องคิดถึงยาย คิดถึงลุงอินทร์มากแน่ๆ เลย” เสียงเล็กอ้อนรำพันกับนางผู้มากวัย ศีรษะทุยสวยอิงซบบนอกนุ่มหยุ่นของหญิงชราราวกับหาที่พึ่ง

“พูดอะไรอย่างนั้นกันคะ ที่นี่น่ะมันเป็นบ้านของคุณหนู จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เพียงแต่ตอนนี้คุณหนูมีบ้านใหม่ ครอบครัวใหม่ที่จะต้องไปทำความรู้จักและคุ้นเคย พอปรับตัวได้อีกหน่อยเถอะ คร้านจะเพลินจนลืมยาย” นางปลิกพูดพลางลูบหลังลูบไหล่ นางทั้งสุดรักสุดเอ็นดูในตัวนายหญิงคนเล็กของนางยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิตก็ว่าได้

“ลูกศรน่ะเหรอจะลืมยายปลิก ไม่มีทางหรอกจ้ะ ไม่มียายแล้ว ใครจะทำขนมอร่อยๆ ไว้ให้ลูกศรทานละจ๊ะ” คำออดอ้อนชวนให้น่าสงสารของลักษิณาศร เรียกรอยรื้นขึ้นมาจนเต็มสองหน่วยตาของหญิงชราอย่างไม่อาจกลั้น คุณหนูตัวน้อยของนางช่างน่าเอ็นดู ขี้อ้อนไม่ผิดจากครั้งยังเยาว์เลยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ! คุณหนูของยาย เกิดจะเห็นแก่กินขึ้นมาอีตอนนี้ เอาเถอะค่ะ คิดถึงขนมของยายก็กลับมา ยายไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ จะคอยคุณหนูอยู่ที่บ้านสวนนี่ล่ะ เจ้าวินมันคงไม่ว่าอะไรคุณหนูหรอก จริงไหมคะ”

“ยังไงๆ ลูกศรก็คิดถึง ยิ่งใกล้เวลาจะต้องไป ลูกศรก็ยิ่งใจหาย ลูกศรชักไม่อยากไปเสียแล้วสิจ๊ะยายปลิก”

“โธ่....คุณหนูของยาย”

“อยู่ที่ไหนหรือจะสุขใจเท่าอยู่บ้าน คำเขาว่าไว้แบบนั้นไม่ใช่หรือจ๊ะ” ลักษิณาศรเอ่ยย้ำ

“อย่าคิดมากไปเลยนะคะ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความประสงค์ของคุณแม่ ยายเชื่อว่าคุณแม่ของคุณหนูท่านต้องคิดใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีแล้ว พ่อไตรวินเองก็รับปากจะดูแลคุณหนูของยายเป็นอย่างดี คิดเสียว่าทำเพื่อคุณแม่ อย่างกลัว อย่ากังวลไปเลยนะคะคุณหนูของยาย”

“ใครบอกว่าลูกศรกลัวกันคะ ลูกศรไม่ได้กลัว แต่คิดถึงยายปลิกต่างหาก”

“โถ… แม่คุณของยาย โตป่านนี้แล้วยังไม่วายจะขี้อ้อน ไม่เอาล่ะค่ะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พ่อไตรวินเขาจะส่งคนมารับแต่เช้าไม่ใช่หรือคะ ไปเถอะค่ะไปนอน นอนหลับพักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้เช้าจะได้สดใสแล้วก็อย่าคิดมาก ทางนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกค่ะคุณหนู”

ลักษิณาศรพยักหน้ารับ ดวงหน้างามเกลื่อนด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ สวมกอดนางปลิกอีกครั้งแล้วก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าเรือน ชานระเบียงกว้างจึงเหลือแต่เพียงร่างของหญิงชรา ทอดสายตามองตามจนร่างบอบบางลับหายเข้าไปในตัวเรือน นึกแล้วก็ใจหาย เวลาเพียงไม่นาน สารพัดเรื่องราวพากันไหลหลากเข้ามาในชีวิตของคุณหนูตัวน้อยของนาง จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ยามนี้เติบใหญ่และกลายเป็นหญิงสาว สวยงามไม่ผิดผู้เป็นมารดา

หญิงสาวต้องสูญเสียมารดา ส่วนบิดานั้นคงไม่ต้องพูดถึง แต่เล็กแต่น้อยชายผู้นั้นก็ไม่เคยแม้แต่จะมาเหลียวแลอยู่แล้ว มิหนำซ้ำยังเกือบจะสูญเสียบ้านซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของมารดา แม้ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว แต่คุณหนูที่นางเฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อยก็ต้องมาห่างบ้านไป ทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นประสงค์ของนายหญิงที่ล่วงลับ แต่ลึกๆ แล้วนางก็ยังอดที่จะห่วงไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าคุณหนูของนางจะได้กลับคืนมายังบ้านสวนแห่งนี้หรือไม่ หญิงชราหวังว่าจะมีวันนั้น และหวังว่ามันคงจะไม่นานจนนางอยู่รอไม่ไหว

ชานเรือนกว้างคงเหลือแต่ความว่างเปล่ากับความเงียบเหงาในยามดึก นับแต่พรุ่งนี้ไปเรือนใหญ่หลังนี้คงต้องถูกปิดลง เหลือเอาไว้แต่เพียงความหวัง ว่าสักวันหนึ่งเรือนไทยหลังนี้จะพลิกฟื้นคืนกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม

---------------------------------------------------

กลับมาจากปฏิบัติธรรมแล้วค่ะ เอาบุญมาฝากทั่วกันนะคะ หวังว่าจะสนุกกับการอ่านนะคะ

นิลวนา



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2555, 19:04:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:34:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1406





<< 3 : ตัวตนที่ต้องค้นหา   5 : ตะลุมบอน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account