ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 5 : ตะลุมบอน

เช้านี้คฤหาสน์ธนกิจบริบูรณ์ดูคึกคักเป็นพิเศษเมื่อท่านเจ้าของบ้านมีบัญชาให้บรรดาบ่าวไพร่เตรียมการต้อนรับบุคคลผู้หนึ่งซึ่งที่ระบุชัดว่าเป็นหลานสาวของท่าน มิหนำซ้ำบุตรชายโทนของท่านยังขันอาสาไปรับเธอคนนั้นด้วยตนเองตั้งแต่เช้า แสดงว่าเธอคนนั้นย่อมต้องมีความสำคัญมากพอควร และทันทีที่รถยุโรปสีดำคันหรูแล่นผ่านรั้วบ้านท่านยังถึงกับลงทุนมายืนรอรับด้วยตนเอง ทำเอาผู้รับใช้ต่างพากันเฝ้ารอดูหลานสาวคนสำคัญของท่านคนนี้อย่างใจจดใจจ่อ

“มาแล้วครับพ่อ” ตลิตรายงานตัวกับบิดาที่ออกมายืนรอรับอยู่หน้าบ้านในทันทีที่ก้าวลงมาจากรถยนต์คันหรู

“สวัสดีค่ะคุณลุง” ลักษิณาศรนบไหว้แล้วกวาดตาสำรวจไปรอบๆ สถานที่อย่างนึกทึ่งในความโอ่อ่า แทบไม่อยากจะเชื่อว่าอัครสถานแห่งนี้จะกลายมาเป็น ‘บ้าน’ ใหม่สำหรับตัวเธอ

“ไหว้พระเถอะลูก เป็นอย่างไรบ้าง ลุงให้พี่เค้าไปรับเช้าเกินไปหรือเปล่า ลุงเกรงว่าถ้าสายแล้วรถมันจะติดน่ะลูก” ดูเหมือนว่าความสนใจทั้งหมดของไตรวินจะพุ่งตรงไปที่หญิงสาว จนไม่ทันได้ตอบรับคำทักทายของบุตรชายเสียด้วยซ้ำ

“ไม่เช้าเท่าไหร่หรอกค่ะคุณลุง ดีเสียอีก รถโล่งเชียว”

“อ้อ... ดีแล้วล่ะลูก มาๆ เข้าบ้านกันก่อน”

ท่านเจ้าของบ้านยิ้มรับอย่างอารมณ์ดีออกปากเชื้อเชิญสมาชิกใหม่อย่างสนิทชิดเชื้อพลางโอบไหล่พาเดินเข้าบ้านไปโดยลืมเสียสนิทว่าบุตรชายซึ่งรับหน้าที่สารถีขับรถไปรับหญิงสาวยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ตลิตเห็นท่าทางกระวีกระวาดของบิดาที่แทบจะอุ้มลักษิณาศรเข้าบ้านแล้วก็ให้อดไม่ได้ที่จะต้องออกปากแซว

“เห่อหลาน จนลืมลูกเลยนะพ่อ”

“บ๊ะ! ไอ้ลูกคนนี้ ปากหาเรื่อง ก็น้องเพิ่งจะมาย้ายมาอยู่กับเรา พ่อก็ต้องคอยดูแลสิ แล้วมันผิดตรงไหน”

“เอ๊อะ! ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะครับ แซวเล่นนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้เอง ร้อนตัวไปได้” ตลิตยังไม่เลิกแซว มิหนำซ้ำยังทำหน้าตาล้อเลียน จนผู้เป็นบิดานึกหมั่นไส้

“เอ๊ะ! ไอ้นี่ วอนโดนแข้งพ่อเสียแล้ว” ไตรวินหันไปทำท่าง้างเท้าขู่บุตรชาย แล้วหันกลับไปพูดกับลักษิณาศรต่ออย่างหมดความสนใจในตลิตเหมือนเดิม “ไปเถอะลูกอย่ามัวไปฟังพี่เรามันพล่ามอยู่เลย ไร้สาระจริงๆ ไอ้ลูกคนนี้”

ตลิตได้แต่ส่ายหน้ากับอาการเห่อหลานสาวของบิดา ส่งเสียงหัวเราะหึๆ แล้วหันไปส่งกุญแจรถคืนให้กับนายสนคนขับรถประจำบ้าน ส่วนตัวเองก็เดินตามบิดาและน้องสาวคนใหม่เข้าบ้านไปติดๆ ก่อนจะขอแยกตัวกลับขึ้นห้องไปทำธุระส่วนตัวรวมทั้งโทรนัดหมายกับบรรดาเพื่อนหนุ่ม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายในซึ่งรับผิดชอบดูแลหลายๆ โครงการของกลุ่มบริษัทธนกิจบริบูรณ์ รวมทั้งคฤหาสน์หลังงามหลังนี้

“บ่ายนี้เรามีนัดกับผู้รับเหมานะลูก ตอนแรกลุงตั้งใจว่าจะให้เขาจัดการออกแบบตกแต่งห้องไว้รอหนู แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ลุงว่าให้หนูคุยกับเขาเองน่าจะดีกว่า เดี๋ยวพอเจอพี่เขาแล้ว หนูบอกกับเขาได้เลยนะลูกว่าอยากได้ห้องแบบไหน สีอะไร งานนี้ลุงทุ่มงบไม่อั้น” ไตรวินหันบอกอย่างใจป้ำระหว่างพาลักษิณาศรเดินเข้าไปยังห้องรับแขกกว้างขวางตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่าสมฐานะ ‘มหาเศรษฐี’

“แต่งห้องใหม่!” ลักษิณาศรถึงกับทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง “แต่งทำไมคะ ห้องแบบไหนลูกศรก็อยู่ได้ทั้งนั้นล่ะค่ะคุณลุง อย่ายุ่งยากไปเลยนะคะ” หญิงสาวพยายามจะเอ่ยทัดทานระหว่างที่เดินตามไตรวินเข้ามานั่งบนโซฟาหนานุ่มชุดใหญ่ และหลังจากที่กวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ห้องแล้วก็พอจะประเมินได้ว่าบ้านหลังนี้น่าจะเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานเลยด้วยซ้ำ

“มันจะยุ่งยากอะไรกันล่ะลูก ห้องนอนของหนู หนูก็ควรจะมีโอกาสได้เลือกอะไรต่อมิอะไรเอง ห้องสวยถูกใจเวลาเราอยู่เราก็จะได้สบายใจ แบบนั้นสิมันถึงจะดีที่สุด” ไตรวินยังคงยืนกราน ไม่ใช่ว่าต้องการจะเอาใจหลานสาว แต่เป็นเพราะว่าตัวเขาเองยึดหลักการนั้นมาโดยตลอด ดังสุภาษิตว่าไว้ ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจคนนอน

“แต่ลูกศรว่า.....” ลักษิณาศรยังพยายามที่จะแย้งต่อ ทว่าไตรวินดูออกว่าหญิงสาวคงจะรู้สึกเกรงใจ จึงรีบพูดขัดขึ้นมาทันควัน

“อย่าเกรงใจไปเลยลูก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ลุงไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักนิด อีกอย่างเรือนรับรองด้านหลังก็เพิ่งจะสร้างเสร็จกำลังรอตกแต่งอยู่เหมือนกัน ลุงเลยถือโอกาสให้เขาเข้ามาทำเสียทีเดียวพร้อมๆ กันไปเลย เชื่อลุงเถอะ เอาตามอย่างที่ลุงว่า อีกสักพักพี่เขาคงจะมาถึงกันแล้วล่ะ”

“ลูกศรกราบขอบพระคุณในความกรุณาของคุณลุงนะคะ” หญิงสาวประนมมือไหว้นอบน้อม กิริยานบนอบต่อผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอได้รับการอบรมสั่งสอนมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ ถือเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติอันทรงเสน่ห์ที่อยู่คู่กับตัวลักษิณาศรโดยแท้

“เป็นอันว่าตกลงตามนั้น” ไตรวินยิ้มรับอย่างสมใจ “แล้วนี่ทานอะไรมาแล้วรึยังลูก ปาเข้าไปเกือบจะเที่ยงแล้วนี่นา”

“ยังไม่ได้ทานค่ะ แต่ก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกค่ะคุณลุง” หญิงสาวตอบไปตามตรง เพิ่งจะนึกได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง คงเพราะมัวแต่เกร็งกับการต้องย้ายเข้ามาอยู่ในสถานที่ใหม่นั่นเอง

“อ้าว! แล้วทำไมเจ้าลิตมันไม่หาอะไรให้หนูทานก่อนมา เฮ้อ! ไอ้ลูกคนนี้นี่มันเผาตำราสุภาพบุรุษที่พ่อสอนทิ้งไปหมดเสียแล้วหรือไง” ไตรวินไพล่ไปกล่าวโทษบุตรชาย ฐานที่ทำหน้าที่เสร็จทว่ายังไม่นับว่าสมบูรณ์ เนื่องจากปล่อยให้หลานสาวของท่านต้องอดข้าวเช้า

“ไม่เกี่ยวกับพี่ตลิตหรอกค่ะคุณลุง พอดีว่าตอนนั้นลูกศรยังไม่หิวจริงๆ” ลักษิณาศรต้องรีบออกตัวแก้ต่างแทนตลิตที่เกือบจะต้องกลายเป็นแพะไปโดยไม่รู้ตัว

“อ้อ! ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะลูก ลุงสั่งให้คนเตรียมตั้งโต๊ะอาหารกลางวันไว้แล้วละ อีกประเดี๋ยวคงเสร็จ”

“สวัสดีครับคุณลุง”

เสียงที่ดังขึ้นจากทางประตูเข้าห้องรับแขก ดึงความสนใจของบุคคลทั้งสองซึ่งอยู่ภายในห้องต้องหันกลับไปมอง เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มประมาณการอายุอานามน่ารุ่นราวคราวเดียวกับตลิต ชายหนุ่มก้าวเข้ามานั่งบนโซฟาชุดหรูอย่างไม่ต้องรอให้เชื้อเชิญ นั่นย่อมแสดงว่าเขาเป็นคนที่คุ้นเคยกับท่านเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี

“แน่ะ! พูดถึงก็มาพอดี ตรงเวลาดีจริงๆ ภูมาตอนนี้ก็ดีแล้ว ลุงเพิ่งจะบอกเรื่องที่เราจะตกแต่งห้องใหม่ให้น้องเขาฟังเมื่อกี้นี้เอง” ผู้อาวุโสสุงสุดในที่นั้น เอ่ยทักทายพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างสนิทสนม ภูวิชไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้รับเหมาที่มาทำงานให้กับท่านเท่านั้น แต่ยังรั้งตำแหน่งหนึ่งในเพื่อนรักของบุตรชายโทนซึ่งไปมาหาสู่กันมานานหลายปีอีกต่างหาก

“เจ้าลิตมันโทรจิกผมตั้งแต่เช้า ขืนมาช้ามีหวังมันได้ตามไปเหยียบผมถึงบ้านแน่ๆ ครับคุณลุง” ภูวิชเริ่มปฏิบัติการใส่ไคร้เจ้าเพื่อนตัวดี ถือเป็นการแก้แค้นที่บังอาจโทรไปปลุกเขาขึ้นมาตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาเพิ่งจะได้เข้านอนไปเมื่อราวๆ ตีสี่นี่เอง

“ขนาดนั้นเชียวหรือ บ๊ะ! ไอ้ลูกลุงคนนี้นี่มันชักจะดุมากขึ้นทุกวัน แต่จะว่าไปมันก็เหมือนลุงอยู่นะ” ไตรวินรับมุกเออออไปกับเพื่อนรักของบุตรชายอย่างสนุกสนาน ก่อนจะหันไปทางลักษิณาศรและจัดแจงแนะนำทั้งสองให้ได้รู้จักกันเป็นลำดับต่อมา “อ้ะ! นี่ไงล่ะหลานสาวลุง ชื่อลูกศร ว่าที่เจ้าของห้องเราคุยกันไว้นั่นล่ะ ส่วนนี่ก็พี่ภูวิช พี่เขาจะมาจัดการเรื่องออกแบบตกแต่งห้องให้หนู นอกจากเป็นผู้รับเหมาแล้วยังเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าตลิตพี่ชายเราเขาอีกด้วยนะ รู้จักกันไว้เสียสิลูก แล้วถ้ามีอะไรก็บอกเขาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ลุงรับรองว่าพี่เขาเต็มใจทำให้หนูเต็มที่อยู่แล้ว จริงไหมลูกภู”

“แน่นอนอยู่แล้วครับคุณลุง สวัสดีครับน้องลูกศร ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ภูวิชเปิดฉากทักทายทำความรู้จักอย่างไม่ต้องรั้งรอ นัยน์ตาคมจับจ้องไปยังทุกรายละเอียดบนดวงหน้าหวาน ประหนึ่งว่ากำลังสำรวจเครื่องประดับชิ้นงามไม่มีผิด

“สวัสดีค่ะ” ลักษิณาศรตอบกลับยิ้มพร้อมประนมมือไหว้นุ่มนวลตามความเคยชินขอบตน สร้างความประหลาดใจและประทับใจให้กับภูวิชไปพร้อมๆ กัน ใบหน้าคมขาวเนียนราวสตรีชะงักค้างแล้วเปลี่ยนเป็นขึ้นสีระเรื่อ จนแม้แต่ตัวเขาเองยังนึกแปลกใจว่าเป็นเพราะเหตุใดกัน

“น้องลูกศรทั้งสวย ทั้งน่ารักสมคำที่คุณลุงบอกไว้เลยนะครับ” ภูวิชออกปากชมต่อหน้า สองตายังคงจ้องมองไปยังลักษิณาศรด้วยความรู้สึกชื่นชมและเอ็นดูอย่างเปิดเผย นึกถูกชะตากับแม่สาวหน้าใสคนนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กว่าจะละสายตาจากเจ้าหล่อนได้ ก็เป็นอันว่าเวลาผ่านไปหลายนาที

“ถึงกับมองค้างไปเลยหรือเจ้าภู อย่างว่าละนะ ยุคสมัยนี้จะหาเด็กที่จะมืออ่อนนอบน้อมผู้ใหญ่อย่างยายลูกศรน่ะยาก นั่นล่ะเสน่ห์ของเขา กิริยาท่าทางเรียบร้อย นุ่มนวล เหมือนคุณแม่ของเขาไม่มีผิด” ไตรวินเท้าความไปถึงเลิศลักษณ์ผู้เป็นมารดาของลักษิณาศรด้วยสีหน้าและแววตาชื่นชมจริงใจไม่ปกปิด

“นั่นสิครับคุณลุง ทั้งสวยทั้งน่ารัก แถมยังมารยาทงาม เห็นทีจะหายากเต็มที” ภูวิชสำทับคำไตรวินยิ้มระรื่นส่งตาหวานไปยังหญิงสาวที่ทำให้เขาถึงกับตะลึงมองนับตั้งแต่แรกเห็น นั่นต่างหากคือความหมายของคำว่าหายากในความคิดของชายหนุ่ม

“อื้ม! แน่ะแม่บ้านมาตามแล้ว ไปเถอะลูก ไปกินข้าวกันก่อน เสร็จแล้วเราค่อยมาคุยงานกันต่อ ภูด้วยนะลูก กินอะไรมารึยังล่ะเรา” ไตรวินเอ่ยชักชวนอย่างถ้วนหน้า

“ยังเลยครับคุณลุง ตั้งใจว่าจะมาฝากท้องกับเจ้าลิตที่เหมือนกัน พอดีว่าผมต้องเข้าไปเอาแบบที่บริษัทก่อนน่ะครับ รีบๆ เลยยังไม่ทันได้แวะทานอะไร”

“งั้นก็ดีเลย กินมันเสียด้วยกันนั่นแหละดี ไปลูก! เรากินกันไปก่อนได้เลย อีกเดี๋ยวเจ้าลิตมันก็คงตามลงมาหรอก” เจ้าของบ้านบอกแล้วลุกขึ้นเดินนำ

“ขอบคุณครับคุณลุง”

ภูวิชตอบรับ ลุกเดินตามไปยังห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของตัวบ้าน ขนาบข้างไปกับลักษิณาศรที่กำลังเพลิดเพลินกับการมองโน่นมองนี่รอบๆ สถานที่อย่างตื่นตาตื่นใจ อาหารหน้าตาน่ารับประทานมากมายหลายชนิดถูกวางเรียงไว้รอท่าบนโต๊ะอาหารซึ่งจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ไตรวินนำหนุ่มสาวทั้งสองเข้ามาภายในห้องแล้วเดินตรงไปนั่งลงยังหัวโต๊ะไม่ลืมที่จะเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่งลงตาม ทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับมื้อกลางวันของวันนี้

“เจ้าลิตมันไปทำอะไรอยู่ข้างบนครับคุณลุง เมื่อกี้ยังโทรจิกผมยิกๆ อยู่เลย พอมาถึงกลับหายหัวไปซะงั้น”

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน ไว้รอถามเจ้าตัวเขาเองไม่ดีกว่าเรอะ นั่นไง มาโน่นแล้ว” บิดาของเพื่อนรักบอกพลางพยักเพยิดไปยังเจ้าตัวคนที่กำลังถูกกล่าวขวัญถึง

“ไงวะไอ้ภู จมูกไวจริงนะแก ได้กลิ่นของกินละสิถึงมาได้ถูกเวลาแบบนี้” ตลิตส่งเสียงค่อนขอดทักทายมาแต่ไกล และทันทีที่เข้ามาถึงโต๊ะอาหาร เจ้าตัวก็แสร้งโวยวายเสียงดังลั่น “โอ้โฮ! กับข้าวทำไมถึงได้เยอะแยะขนาดนี้ จะเลี้ยงคนสักกี่กองทัพกันครับพ่อ” ตลิตว่าเข้าให้ แล้วเลือกนั่งลงตรงด้านข้างลักษิณาศรที่กำลังเพลินกับการมองโน่นมองนี่ มาจนไม่ทันได้สังเกตว่าคนตัวสูงได้เข้ามานั่งข้างๆ เธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แปลกตรงไหน เรื่องธรรมดาแท้ๆ รู้ๆ อยู่ว่าฉันมันพวกมีลาภปาก หุบปากไปเลยแล้วก็กินซะ เอ้อ!ว่าแต่แกเหอะไอ้ลิต มีน้องสาวน่ารักขนาดนี้ เก็บเงียบเชียวนะ” ภูวิชยักคิ้วหลิ่วตากับเพื่อนหนุ่มเลือดผสมพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอารมณ์ดีขณะตักอาหารใส่จานยังไม่วายปรายตาหวานฉ่ำเชื่อมไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

ลักษิณาศรหันไปมองหน้าคนพูดพร้อมกับส่งยิ้มน้อยๆ ครั้นได้เห็นแววกรุ้มกริ่มหวานเชื่อมที่ถูกส่งมาทางสายตา เจ้าตัวจึงเลือกที่จะหลบตาเสมองไปทางอื่น แม้จะเคยชินกับการถูกจ้องมองอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับการแสดงออกแบบโต้งๆ แบบนี้ ต่อให้เคยชินแค่ไหนแก้มปลั่งใสก็อดไม่ได้ที่จะเรื่อสี

แววตาของภูวิชที่เอาแต่จ้องมองหน้าลักษิณาศรไม่วางตา มิหนำซ้ำยังทำท่าว่าจะเริ่มต้นขายขนมจีบให้กับหญิงสาวตั้งแต่หัววัน มันทำให้เขาเกิดอาการหงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ครั้นหันไปเห็นแก้มแดงๆ ของหญิงสาวที่นั่งข้างๆ แล้วก็ยิ่งทำให้เกิดความรำคาญใจอย่างไม่มีเหตุผล

“ฉันก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันนั่นล่ะ ทำไมแกไม่ลองถามพ่อดูเอาเองล่ะ” น้ำเสียงของตลิตติดจะขุ่นอยู่เล็กน้อย ทั้งที่เจ้าตัวพยายามจะเก็บอาการหงุดหงิดไว้ในใจ แต่ก็ยังไม่วายที่จะเล็ดลอดออกมาได้บ้าง

“นั่นสิครับ ผมเข้าออกบ้านคุณลุงมาตั้งนาน ไม่ยักเคยรู้ว่าคุณลุงมีหลานสาว แถมยังน่ารักขนาดนี้” ภูวิชพาซื่อหันไปถามกับบิดาเพื่อน ไม่สังเกตถึงปลายเสียงไม่พอใจของตลิตเลยแม้แต่น้อย

“ลูกศรเป็นลูกสาวเพื่อนของสนิทลุงที่เพิ่งจะเสียไปน่ะ เขาฝากน้องเอาไว้ให้ลุงช่วยดูแล ลุงก็เลยถือโอกาสรับน้องไว้เป็นลูกสาวเสียอีกคนหนึ่งเลย” ไตรวินให้คำอธิบายกับภูวิชแต่เพียงสั้นๆ ทว่าก็ครอบคลุมเพียงพอที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวและสถานภาพของหญิงสาวบนฐานของความเข้าใจอันดี

“มิน่าล่ะ แบบนี้เรียกว่าก็เรียกว่า แจ็คพ็อตแตกนะสิครับคุณลุง”

“ยิ่งกว่าแจ๊คพ็อตแตกอีก ลุงว่าโชคสองชั้นเลยละไม่ว่า”

การสนทนาโต้ตอบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาของมื้ออาหาร มีเพียงตลิตที่ออกจะดูหงุดหงิดอยู่บ้าง เจ้าตัวจึงเลือกที่จะเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่ และถึงแม้ว่าจ้าตัวจะพยายามกลบเกลื่อนอย่างไร ก็ยังไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของผู้เป็นบิดาไปได้ เพียงแต่ท่านยังไม่รู้เท่านั้น ว่าต้นเหตุแห่งความหงุดหงิดของบุตรชายนั้นมาจากเรื่องใด

‘ทำไมจู่ๆ เจ้าลูกชายของเขา มันถึงได้เกิดอาการลมเพลมพัดขึ้นมาก็ไม่รู้’

---------------------------------------------------------

ตลิตเฝ้าแต่ทบทวนถึงอากัปกิริยาของเพื่อนรักที่มีต่อน้องสาวคนใหม่ของเขานับตั้งแต่ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารกลางวันเป็นต้นมา และพยายามที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองว่าทำไมสิ่งที่ได้เห็นจึงสร้างความรู้สึกไม่พอใจให้กับเขาได้มากถึงเพียงนี้ ท่าทีเอาอกเอาใจที่ภูวิชกระทำต่อลักษิณาศรอย่างเปิดเผย ไหนจะสายตาหวานเชื่อมที่เพื่อนรักเพียรทอดส่งไปยังหญิงสาว มันช่างก่อกวนความสงบในใจเขาเสียเหลือเกิน หากจะมองว่าเป็นอาการของคนหวงน้องสาว ตัวเขาและลักษิณาศรก็ไม่ได้มีความใกล้ชิดผูกพันกันในฐานะของพี่ชายน้องสาวจนถึงขนาดที่จะเกิดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาได้ ที่สำคัญคือไม่ว่าตลิตจะพยายามสลัดมันทิ้งอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นแล้วเจ้าความรู้สึกที่ว่ามันคืออะไรกันแน่

เกือบจะหกโมงเย็นเข้านั่นแล้ว เมื่อรถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันหรูแล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยด์เข้ามา ร่างสูงกำยำก้าวลงจากตัวรถในเกือบทันทีที่รถจอดสนิทแสดงออกถึงความเป็นคนใจร้อนของเจ้าตัวได้อย่างเด่นชัด นัยน์ตาดำคมปราบออกแนวดุกวาดมองไปรอบบริเวณ แล้วตัดสินใจก้าวเดินลัดสนามไปยังศาลากลางสวนเมื่อมองเห็นแล้วว่าคนที่ตนกำลังมองหานั้นอยู่ที่ใด

“ไงวะไอ้ลิต ทำไมมานั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงนี้คนเดียว” ร่างสูงที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาภายในศาลา ตั้งคำถามก่อนจะทรุดนั่งลงบนเบาะรองนั่ง พร้อมกับคว้าหมอนอิงมาหนุนหลังเอนกายนอนในท่าแสนสบาย

“อ้าว! มาแล้วเหรอ ดีเลยฉันกำลังเบื่อๆ อยู่พอดี” ตลิตหันไปมองแล้วตอบ ยกแก้วบรรจุน้ำสีอำพันขึ้นจิบ

“ดื่มแต่วันเลยหรือวะนั่น เกิดอะไรขึ้น แล้วไอ้ภูล่ะ! ไหนแกบอกว่ามันจะรีบมาแต่วันไง แล้วยังไอ้นัทอีกคน หายหัวไปไหนกันหมด” พีรพัฒน์มองดูอากัปกิริยาของตลิตแล้วให้นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เจ้าตัวจึงรัวคำถามใส่รวดเดียวตามนิสัยของคนใจร้อน

“ไอ้ภูน่ะมันมาตั้งแต่เมื่อเที่ยงแล้ว แต่ตอนนี้ออกไปข้างนอกกับพ่อแล้วก็หลานสาวของพ่อฉันน่ะ เดี๋ยวก็คงกลับ ส่วนไอ้นัทมันโทรมาบอกเมื่อตอนบ่ายว่ามีเคสด่วน คงจะมาถึงค่ำๆ” ตลิตทำหน้าเหม็นเบื่อบอกกับ ‘พีรพัฒน์’ หนึ่งในสี่เพื่อนสนิท อย่างเซ็งเต็มแก่

“อ้าวเหรอ! แกก็เลยมานั่งทำหน้าเซ็งอยู่ตรงนี้คนเดียว แล้วนี่พ่อแกไปแอบมีหลานสาวกับใครเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ ทำไมฉันไม่เห็นจะเคยรู้มาก่อนเลย” เจ้าของมาดเข้มยิงคำถามที่ทำให้ตลิตหันกลับมามองหน้า นึกสงสัยขึ้นมาตงิดๆ นี่มันคุยกันมาก่อนหรืออย่างไร ถึงได้ถามคำถามเดียวกันราวกับนัดกันมาแบบนี้

“ถามเหมือนไอ้ภูเป๊ะเลย น้องลูกศรเขาเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ พ่อเล่าว่าเขาฝากฝังกันเอาไว้ก่อนตาย พ่อรับปากว่าจะดูแลแทน แล้วก็เลยรับมาอยู่เสียด้วยกันที่นี่น่ะ” ตลิตเล่าเท้าความ มือเรียวยาวสาละวนกับการชงเครื่องดื่มสีอำพันแล้วส่งให้เพื่อนรักอย่างรู้งาน

“อ้อ! แล้วไอ้หน้าเหม็นเบื่อของแกนี่ล่ะ พอจะบอกฉันได้ไหมว่ามันเกิดจากอะไร” พีรพัฒน์รับแก้วเหล้ามาถือไว้ในมือ แต่ยังไม่ยอมยกดื่ม ยังคงถามคำถามต่อไปไม่มีทีท่าว่าความสงสัยจะหมดไปง่ายๆ

“ช่างถามจริงนะแก ทำเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปได้” ตลิตค่อนว่า แต่สุดท้ายก็ยอมบอก “ฉันก็แค่หงุดหงิดนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่แกเถอะหิวรึยัง ฉันสั่งให้คนตั้งโต๊ะให้เอาไหม”

“ยังไม่ต้องหรอก ฉันว่าเรารอไอ้ภูมันก่อนดีกว่า หรือจะรอไอ้นัทมันด้วยก็ยังไหว นานแล้วนะที่พวกเราไม่ได้มีโอกาสมาเจอพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้” พีรพัฒน์บอก พลางนึกไปถึงผองเพื่อนซึ่งยังมากันไม่ครบทีม

“เหอะ! รอก็รอ แต่ป่านนี้มันคงอิ่มอกอิ่มใจเสียจนไม่ต้องกินอะไรแล้วละมั้ง”

คำพูดประชดประชันของตลิต ฟังดูออกจะแปลกอยู่มากในความคิดของพีรพัฒน์ แม้ว่าเจ้าตัวจะออกตัวบอกไว้ก่อนแล้วว่ากำลังหงุดหงิด ทว่าตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยมีสักครั้งที่เพื่อนรักของเขาจะถึงกับออกปากประชดประชันใคร และดูเหมือนว่าตลิตเองก็รู้สึกได้ว่าตนชักจะออกอาการจนเกินเหตุไปสักหน่อย จึงรีบหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของพีรพัฒน์ในทันที

“ฉันว่า เราเข้าไปนั่งเล่นเย็นๆ กันในบ้านกันดีกว่า ตรงนี้ตกค่ำแล้วยุ่งจะชุม อีกประเดี๋ยวพวกมันก็คงจะมากันแล้วล่ะ ฉันจะเข้าไปสั่งให้เด็กเตรียมตั้งโต๊ะด้วย ส่วนแกก็นั่งรอไปก่อนแล้วกัน” โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ คนเสนอความคิดลุกขึ้นก้าวนำออกไปจากศาลากลางสวนแล้วเดินเข้าไปยังตัวบ้าน สร้างความงุนงงให้กับคนเดินตามอย่างช่วยไม่ได้

คล้อยหลังจากสองหนุ่มเพียงไม่นาน รถยุโรปคันหรูก็แล่นกลับเข้ามายังคฤหาสน์ธนกิจบริบูรณ์ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการเลือกดูแบบเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งวัสดุที่จะใช้ในการตกแต่งห้องของหญิงสาวตามประสงค์ของท่านเจ้าของบ้านคนใหญ่ เสียงพูดคุยอย่างอารมณ์ดีของคนทั้งสามที่เดินเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นบรรยากาศแสนสบาย เรียกความสนใจของสองหนุ่มซึ่งนั่งคอยเวลาอาหารเย็นอยู่ภายในห้องจนต้องหันไปมอง

“สวัสดีครับคุณลุง ไปไหนกันมาครับนี่ กลับเสียค่ำเชียว” พีรพัฒน์ทำความเคารพพร้อมกับทักทายท่านเจ้าของบ้านผู้เป็นบิดาของเพื่อนรัก

“เจ้าภูเขาพาลุงไปดูของแต่งบ้านมาน่ะ ไปมาหลายที่ จนลากยาวมาถึงเย็นนี่เลย” ไตรวินแถลง

“ไงไอ้ภู ปล่อยให้ฉันรอจนเงก แถมพอกลับมาถึง ยังไม่คิดจะทักทายเพื่อนอีกนะแก” พีรพัฒน์เบนสายตาไปยังภูวิชซึ่งก้าวตามเข้ามาภายในห้องพร้อมกับพูดคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งอย่างออกรส แล้วเอ่ย ‘แขวะ’ ค่าที่เพื่อนรักเอาแต่คุยกับหญิงสาวโดยไม่ยอมแม้แต่จะหันมามองทางเขาเลยด้วยซ้ำ

“อ้าว! มาแล้วหรือวะไอ้พี ฉันพาคุณลุงกับน้องลูกศรออกไปเลือกแบบเฟอร์นิเจอร์ กับอุปกรณ์ตกแต่งบ้านมานะ หลายที่ไปหน่อยเลยกลับมาช้า โทษทีว่ะเพื่อน” ภูวิชหันไปตอบพีรพัฒน์สีหน้าชื่นบานเสียจนคนนั่งมองอย่างตลิตชักจะเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ อีกหนึ่งคำรบ

“ลุงเป็นคนบอกให้ภูเขาพาตระเวนเองล่ะ ลูกศรมานี่ลูก มาสวัสดีพี่เขาเสียหน่อย พี่เขาชื่อพีรพัฒน์ เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของพี่ตลิต ส่วนนี่ก็ ลูกศร เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทเก่าแก่ของลุงเองแต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นหลานสาวลุงเต็มตัวแล้ว จริงไหมลูก”

ไตรวินแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันด้วยถ้อยคำที่เป็นกันเองอย่างที่สุด กิริยาที่แสดงออกท่านทำให้พีรพัฒน์เดาได้ไม่ยากเลยว่าลักษิณาศรจะต้องเป็นบุตรสาวของเพื่อนที่บิดาของตลิตรักมากแน่ๆ มิเช่นนั้นแล้วท่านคงไม่ออกหน้ารับดูแลอย่างเต็มตัว แถมท่าทางท่านจะเอ็นดูเธอมากเสียด้วยสิ

“สวัสดีค่ะ” และก็เช่นเคย ลักษิณาศรนบไหว้พร้อมกับส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร ดูเหมือนว่าวันนี้จะกลายเป็นเทศกาลแห่งการแนะนำตัวไปเสียแล้วก็ไม่รู้

“เรียกพี่พี ก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักน้องลูกศร” พีรพัฒน์รับไหว้และส่งยิ้มตอบนึกชมอยู่ในใจว่าแม่สาวคนนี้หน้าตาน่าเอ็นดูไม่ใช่เล่น

พีรพัฒน์หันกลับไปมองตลิต ตั้งใจจะออกปากแซวว่ามีน้องสาวน่ารักขนาดนี้ มิน่าถึงไม่ยอมบอก เพื่อนฝูงทว่ากลับได้เห็นถึงปฏิกิริยานิ่งเฉยจนผิดสังเกตของเพื่อนรักที่กำลังมองดูภูวิชพูดคุยอะไรบางอย่างกับลักษิณาศรเข้าอย่างบังเอิญ ชายหนุ่มเริ่มจะมองเห็นอย่างรางๆ ถึงสาเหตุของความหงุดหงิดที่ทำให้ตลิตออกอาการหน้าบอกบุญไม่รับ ครั้นเมื่อพีรพัฒน์ฉุกใจคิดและหันกลับไปมองยังภูวิชอีกครั้ง ก็ให้แน่ใจว่าเพื่อนรักทั้งสองคนของเขาคงจะถูกตาต้องใจในแม่สาวน้อยหน้าหวานคนเดียวกันเข้าให้แล้ว งานนี้เห็นทีคนกลางอย่างเขากับนัทธีธรคงได้มีเรื่องปวดหัวกันไม่น้อย

“เอ่อ... คุณลุงคะ ลูกศรอยากขอตัวไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน ข้างนอกอากาศร้อน ลูกศรรู้สึกเหนียวตัวน่ะค่ะ”

“ตามสบายเลยลูก ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวแล้วเดี๋ยวค่อยลงมาทานข้าวพร้อมกัน เจ้าลิตแน่ะ พาน้องขึ้นไปส่งที” ไตรวินออกคำสั่งกับบุตรชาย ส่วนตัวเขาเลือกที่จะนั่งพักลงบนโซฟาตัวกว้างแล้วหันไปพูดคุยกับพีรพัฒน์ต่อ

“ขอตัวก่อนนะคะ” ลักษิณาศรหันไปเอ่ยกับแขกของบ้านอย่างไม่เจาะจง แล้วเดินตามตลิตออกไปจากห้อง รอยยิ้มอ่อนๆ บนดวงหน้าใสของเธอทำเอาภูวิชมถึงกับมองตามตาละห้อย

เกือบจะตลอดทางที่เดินไปส่งลักษิณาสรยังห้องพักความเงียบของตลิตสร้างความแปลกใจจนหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง

“พี่ตลิตเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ทำไมถึงดูเครียดๆ แปลกๆ”

“หืม? พี่น่ะหรือเครียด เปล่านี่ เพียงแต่พี่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง ว่าแต่ลูกศรเถอะ ออกไปเลือกเฟอร์นิเจอร์มาทั้งวัน ได้อะไรมาบ้าง”

“อืม...ก็ไม่ได้อะไรสักเท่าไหร่หรอกค่ะ ส่วนใหญ่แล้วจะดูพอเป็นไอเดียมากกว่า อันที่จริงลูกศรไม่อยากให้คุณลุงต้องมาลำบากจัดห้องใหม่ให้วุ่นวายเลยนะคะ แต่ไม่ว่าจะแย้งยังไง ท่านก็ยังยืนยันว่าอยากจะทำ ลูกศรเลยไม่กล้าขัดใจ” ลักษิณาศรเพียงแต่บอกกับเขาไปตามที่ใจคิด

“ลูกศรอย่าคิดมากไปเลย พ่อเขาก็แค่อยากให้ลูกศรอยู่ที่นี่อย่างสบายที่สุดเท่านั้นเอง”

“แหม! แต่แค่นี้ก็สบายจนไม่รู้จะสบายยังไงแล้วนะค่ะ บ้านช่องทั้งใหญ่โต แถมยังตกแต่งไว้อย่างสวยงามสะดวกสบายขนาดนี้ ขืนยังบอกว่าไม่สบายอีกนี่ก็แย่แล้ว”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ! เชื่อพี่เถอะนะ ทำตามที่พ่อบอกน่ะดีแล้ว เพราะไม่ว่าลูกศรจะแย้งยังไงก็คงไม่ชนะหรอก ถึงเวลาท่านก็จะหาเหตุผลมาหว่านล้อมจนลูกศรยินยอมเห็นดีด้วยอยู่ดี ท่านเอ็นดูลูกศรมากนะ ถึงได้ใส่ใจดูแลขนาดนี้ เห็นทีคราวนี้พี่คงจะตกกระป๋องแน่ๆ” ตลิตเห็นจริงตามที่พูดทุกประการ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาบิดาและมารดาของเขาใฝ่ฝันที่จะมีลูกสาวสักคนไว้เชยชมมาโดยตลอด คราวนี้เลยได้สมใจกันเสียที

“พี่ตลิตก็พูดเข้า จะเป็นไปได้ยังไงกันคะ พี่ตลิตเป็นลูก แต่ลูกศรเป็นคนอื่น เอามาเปรียบเทียบกันคงไม่ได้หรอกค่ะ” ลักษิณาศรแย้งอย่างร้อนตัว จนตลิตต้องรีบแก้ไขและชิงเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยเกรงว่าหญิงสาวจะยิ่งคิดมากไปกันใหญ่

“เอ... ท่าทางว่าลูกศรนี่จะเป็นคนคิดมากไม่ใช่เล่นนะ พี่แค่แซวเล่นเท่านั้นเอง อย่ากังวลไปเลย ว่าแต่...ดูลูกศรจะถูกคอกับเจ้าภูมันมากเหมือนกันนะครับ ตอนเข้ามาเห็นกำลังคุยกันสนุกเชียว”

“อ๋อ... ค่ะ พี่ภูใจดี ขี้เล่น คุยสนุก แล้วก็เป็นกันเองมากๆ น่ารักดีค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามที่ใจคิด ไม่รู้สักนิดว่า จะเป็นคำตอบที่ทำให้คนฟังนึกกรุ่นในใจขึ้นมาตงิดๆ

“เจ้าภูน่ะเหรอขี้เล่น เป็นกันเอง! เอ...นี่พี่หูฝาดไปหรือเปล่า พี่เป็นเพื่อนกับมันมาตั้งนาน ไม่ยักเคยรู้ว่าเจ้านั่นมีมุมแบบนั้นกับเขาด้วย โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก แหม! น่าเสียดาย รู้แบบนี้พี่ขอพ่อตามไปด้วยดีกว่า ดูสิ! เลยพลาดเห็นอะไรดีๆ หมดเลย”

ตลิตพูดเสียงกลั้วหัวเราะ แทบไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเกิดขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภูวิชที่ตามปกติแล้วค่อนข้างจะจริงจังกับชีวิต และเคร่งขรึมกว่าใครๆ ในบรรดาเพื่อนหนุ่มทั้งหมดของเขา ดังนั้นอากัปกิริยาที่เพื่อนรักแสดงออกต่อลักษิณาถือเป็นเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก และเมื่อลองประมวลหาสาเหตุของความแปลกเปลี่ยนนั่นดูแล้ว ก็ยิ่งสอดคล้องกับความสงสัยแรกเริ่มของตลิต ว่าภูวิชน่าจะพึงใจในตัวลักษิณาศรไม่มากก็น้อย นั่นกลับยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดใจให้กับชายหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นคำพูดที่ตามมาหลังจากนั้นจึงฟังดูเหมือนจะเป็นการประชดประชันเสียมากกว่า

ก่อนที่ลักษิณาศรจะจับสังเกตถึงความผิดปกติในน้ำเสียงนั้นได้ การสนทนาก็มีอันต้องยุติลงไปเสียก่อน เมื่อทั้งสองพากันเดินมาจนถึงที่หมายตรงสุดทางเดินของชั้นสองอันเป็นห้องพักชั่วคราวของลักษิณาศร ตลิตเอื้อมเปิดประตูห้องพร้อมกับเชื้อเชิญ

“ถึงห้องแล้ว ตามสบายนะครับ พี่ให้เด็กเอากระเป๋าขึ้นมาเก็บแล้วก็จัดของไว้ให้แล้วตั้งแต่เมื่อบ่าย ลูกศรลองดูอีกทีแล้วกันว่าอะไรยู่ตรงไหน คงอีกสักพักกว่าโต๊ะอาหารคงตั้งเสร็จ ลูกศรจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจะพักสักหน่อยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบ พอโต๊ะอาหารจัดเสร็จแล้วพี่จะให้คนขึ้นมาตาม แล้วเจอกันที่โต๊ะอาหารนะครับ” ตลิตบอกแล้วหันหลังเดินกลับลงไปตามทางเดิมในทันทีที่พูดจบ

ลักษิณาศรก้าวเข้าผ่านประตูเข้ามาภายในห้องแล้วกวาดตาสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนกว้างสีหวานอันเป็นที่พำนักชั่วคราวของเธอ กระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของถูกจัดวางเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบตามที่ตลิตได้บอกไว้ แม้กระทั่งกรอบรูปที่เธอซุกไว้ในกระเป่าเดินทางตั้งแต่ช่วงดึกของคืนวานก็ถูกนำออกมาวางยังโต๊ะข้างหัวเตียงเรียบร้อย มือบางหยิบรูปนั้นขึ้นมาลูบไล้อย่างทะนุถนอม แล้วพูดคุยกับภาพถ่ายราวกับว่าคนในภาพยังมีชีวิตสามารถรับรู้ถึงถ้อยคำของเธอได้ก็ไม่ปาน

‘ลูกศรมาอยู่กับคุณลุงไตรวินตามที่คุณแม่บอกแล้วนะคะ คุณแม่ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว ลูกศรอยากให้คุณแม่หลับให้สบาย แล้วก็คอยเป็นกำลังใจให้ลูกศร ถึงแม้ว่าความตายจะพรากเราจากกัน แต่ลูกศรอยากบอกกับคุณแม่ว่า คุณแม่จะยังคงอยู่กับลูกศรเสมอ อยู่ตรงนี้ อยู่ในใจของลูกศรตลอดไป ลูกศรรักคุณแม่นะคะ’

หยดน้ำใสๆ รินอาบสองแก้มนวลเป็นสาย รูปถ่ายของมารดาถูกวางทาบลงบนอกตรงกับตำแหน่งหัวใจ รำลึกถึงความรักความอาทรที่มารดาเคยมีให้และซึมซับมันเอาไว้ในใจให้มากที่สุด ร่างบางถอนสะอื้นอย่างหักใจ สลัดความทุกข์อันเป็นที่มาของความเศร้าโศกนั้นทิ้ง บอกกับตัวเองว่าเธอต้องเข็มแข็งและจะไม่ทำให้มารดาต้องเป็นห่วงอย่างที่แล้วมา ลักษิณาศรก้มมองรูปถ่ายของมารดาอีกครั้งอย่างให้สัญญาก่อนจะวางลงตรงที่เดิม จากนั้นจึงเริ่มจัดการกับธุระส่วนตัว ไม่คิดทอดเวลาอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจอีกต่อไป

----------------------------------------

เสียงพูดคุยยังคงดังมาจากห้องนั่งเล่นทั้งที่เป็นเวลาค่อนข้างจะดึกพอควร ร่างบางในชุดคลุมนอนสีหวานซึ่งกำลังเดินผ่านหน้าห้องเพื่อตัดผ่านไปยังห้องครัวหันไปหยุดมองเพียงผ่านๆ และรับรู้ไปโดยปริยายว่าบรรดาชายหนุ่มทั้งสี่คนยังคงนั่งล้อมวงดื่มเหล้าและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานดังเช่นเมื่อตอนหัวค่ำ และดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรากันง่ายๆ ร่างบางเกือบจลับหายไปจากขอบประตูอยู่แล้ว เมื่อหนึ่งในสี่หนุ่มเกิดหันมาเห็นเธอเข้าอย่างบังเอิญ และรั้งเธอเอาไว้ด้วยเสียงเรียกที่ดังขึ้นอย่างกระทันหัน

“อ้าว! น้องลูกศรยังไม่เข้านอนหรือครับ หรือว่าพวกพี่ส่งเสียงดังขึ้นไปรวบกวนจนนอนไม่หลับ อย่างนั้นใช่หรือเปล่าครับ” ภูวิชไม่เพียงเอ่ยทักทาย ทว่ายังลุกขึ้นเดินออกมาชวนเธอพูดคุยอย่างเป็นกิจจะลักษณะถึงหน้าประตูเลยทีเดียว

“คะ? อ๋อ... เปล่าหรอกค่ะ คือพอดีว่าลูกศรหิวน้ำ เลยจะลงมาหาน้ำดื่มสักหน่อยน่ะค่ะ” ลักษิณาศรตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก

“ถ้ายังไม่ง่วง จะลงมานั่งคุยกับพวกพี่ก็ยินดีนะครับ” ภูวิชเชื้อเชิญด้วยความเต็มใจ

“เอ่อ... ไม่ดีกว่าค่ะ ดึกมากแล้ว เชิญพี่ภูตามสบายเถอะค่ะ ลูกศรดื่มน้ำเสร็จก็จะกลับขึ้นไปนอน ขอตัวนะคะ” เธอตอบปฏิเสธเขาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะแยกตัวไปตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้แต่เดิม ใช่ว่าลักษิณาศรจะซื่อใสไร้เดียงสาเสียจนอ่านปฏิกิริยาและภาษาใจที่ภูวิชส่งมายังเธอไม่ออก ตรงกันข้ามเธอนั้นรู้เสียยิ่งกว่ารู้ และเพราะรู้เธอจึงพยายามรักษาระยะห่าง แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อยังมีเหตุให้เธอต้องพบปะพูดคุยกับเขาอยู่ ดังนั้นต่อให้เธอพยายามหลีกเลี่ยง แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ยังต้องพูดคุยกับเขาอยู่ดี

แน่นอนที่สุดว่าภาพการเจรจาของคนทั้งสองย่อมต้องตกอยู่ในสายตาของตลิต อารมณ์หงุดหงิดที่เลือนหายไปนับจากหลังช่วงเวลาอาหารเย็นเริ่มจะกลับมากรุ่นๆ อีกครั้ง ตลิตตอบตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมตัวเขาจึงรู้สึกอย่างนี้ทุกครั้งที่เห็นว่าภูวิชพยายามจะเข้าใกล้หญิงสาว

“เป็นไรไปวะลิต ทำไมจู่ๆ ทำหน้าเหมือนโดนวางยาเบื่อแบบนั้น” พีรพัฒน์เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นท่าทีอันแปลกเปลี่ยนของตลิต และทั้งสีหน้า ท่าทาง ไม่ได้แตกต่างไปจากที่เขาเห็นเมื่อช่วงเย็นนั่นเลย

“หืม? เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร” ตลิตรีบกลบเกลื่อน และพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว“เอ้อ! สรุปแล้วคืนนี้จะไปต่อกันหรือเปล่า”

“ที่เดิมดีมั๊ย บอกตามตรงคืนก่อนยังติดใจน้องน้ำฝนไม่หายเลยว่ะ” นัทธีธรรีบนำเสนอ แล้วก็ได้รับเสียงโห่จากบรรดาเพื่อนพ้องอย่างถ้วนหน้า

“ให้ตายสิ! ไอ้หมอนี่มันหื่นไม่เลิกจริงๆ ว่าไงวะลิต ที่นั่นก็โอเคนะ ไม่ไกลดีด้วย” พีรพัฒน์ค่อนขอด นัทธีธรทั้งที่ก็เห็นด้วย ก่อนจะหันไปขอความเห็นจากตลิตอีกคน

“ไม่ว่าไงหรอก จะที่ไหนก็ช่างเหอะ ฉันไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ถ้าจะไปก็รีบไป ดึกเกินไปเดี๋ยวผับมันจะปิดเสียหมด” ตลิตไม่รอช้า คว้ากุญแจรถแล้วลุกขึ้นเดินนำออกไปยังรถของตนซึ่งจอดอยู่ในโรงรถทันที

“เฮ้ย! จะรีบไปตามควายที่ไหนวะไอ้ลิต พูดจบไม่ทันขาดคำก็รีบจ้ำอ้าวไปเสียแล้ว ตกลงฉันหรือแกกันแน่วะ ที่ติดใจน้องน้ำฝนน่ะ ใจร้อนเสียจริง” นัทธีธรบ่นไล่หลัง ออกจะงงๆ ในท่าทางของเพื่อนรักไม่น้อย แต่ก็รีบลุกแล้วก้าวเท้ายาวเดินตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปร้องเรียกภูวิช พีรพัฒน์ซึ่งพอจะเดาออกถึงอาการของตลิตได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ เริ่มจะเห็นเค้ารางของความยุ่งยาก ซึ่งอาจทำให้ทั้งเขาและนัทธีธรต้องหนักใจขึ้นมาครามครัน

หลังจากนั้นไม่นานรถยนต์หรูที่แล่นตามกันออกมาจากคฤหาสน์หลังงามก็มาถึงผับใหญ่ย่านกลางเมืองซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในหมู่นักท่องราตรีและมีผู้มาใช้บริการกันอย่างค่อนข้างจะหนาตาทุกค่ำคืน บรรยากาศภายในผับค่อนข้างจะมืดสลัว คลอเคล้าไปด้วยเสียงดนตรีบรรเลงเพลงรักหวานขับกล่อมให้บรรดาหนุ่มสาวที่ต่างก็กำลังสนุกสนาน บ้างก็กำลังเมาได้ที่ต้องเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงราวกับอยู่ในโลกของความฝัน

สี่หนุ่มเลือกที่นั่งซึ่งอยู่ด้านในสุดของผับเพื่อหลบหลีกจากความพลุกพล่านของผู้คนยามเดินผ่านไปมา แต่ก็สามารถจะมองเห็นเวลาที่ใครต่อใครเดินเข้ามาในรัศมีได้แม้ว่ารอบด้านจะค่อนข้างมืดสลัวอยู่บ้างก็ตาม กว่าหนึ่งชั่วโมงที่พวกเขานั่งดื่มสุราขนาบข้างไปด้วยนารี ต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน มีเพียงตลิตที่ค่อนข้างจะนิ่งเงียบกว่าคนอื่นๆ และไม่ว่าหญิงสาวที่นั่งข้างๆ จะคะยั้นคะยอสักเพียงไหน ท่าทางของชายหนุ่มก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยน จนพีรพัฒน์อดรนทนไม่ไหวต้องออกปากถาม ทั้งที่พอจะเดาที่มาที่ไปได้อยู่เลาๆ แล้วก็ตาม

“เป็นอะไรไปวะลิต ทำไมดูเงียบๆ พิกล”

“หือ? ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ สงสัยวันนี้จะตื่นเช้าเกินไป ก็เลยเหนื่อยนิดหน่อย ขอตัวไปห้องน้ำแป๊บ เดี๋ยวมา”

ภาพของหนุ่มหล่อทั้งสี่คนนับแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้ามาภายในสถานบริการแห่งนี้ ตรึงสายตาของใครต่อใครให้ต้องเหลียวมองด้วยความชื่นชมในภาพลักษณ์อันน่าทึ่ง ทว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งที่เอาแต่จับจ้องมายังหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มด้วยแววตาเคืองแค้นและชิงชัง ใบหน้าอ้วนกลมมีรอยกระหยิ่ม นึกดีใจที่จู่ๆ โอกาสก็มาถึงแบบไม่ทันรู้ตัว โอกาสที่จะได้ล้างอาย แก้แค้นให้สาสมกับความคับแค้นใจที่เขาได้รับในคราวนั้น โอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะมีมาง่ายๆ ดังนั้นจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เป็นอันขาด

บวรเดชหมายตาและคิดจะสั่งสอนให้บทเรียนแก่ตลิตที่บังอาจมาหยามหน้าเขาที่โรงแรมในคืนนั้น อารามที่ถูกความอาฆาตมาดร้ายเข้าครอบงำ สายตาของเขาจึงจับจ้องอยู่แต่ที่ชายหนุ่มที่ตนคิดแค้น จนลืมสังเกตไปว่ายามนี้ตลิตอยู่ในหมู่เพื่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพีรพัฒน์ที่ได้ชื่อว่าสุภาพบุรุษใจนักเลงและเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ในระดับเจ้าพ่อเลยก็ว่าได้

เสี่ยหนุ่มร่างหนาสั่งการให้ลูกน้องคอยจับตามองหนุ่มลูกครึ่งร่างสูงเอาไว้ทุกฝีก้าว คอยจังหวะเหมาะๆ แล้วค่อยลากตัวออกมาจัดการสั่งสอนยังด้านนอก ส่วนตนนั้นคอยเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ด้วยแววตาหมายมาดและสะใจ หากตนไม่ออกหน้าใครเลยจะรู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของใคร จากนั้นก็ให้คนของตนหาที่กบดานสักพัก แค่นั้นก็หมดปัญหา ได้เวลาให้รางวัลกับความสาระแนของไอ้หนุ่มลูกครึ่งจอมแส่เสียที ให้มันรู้เสียบ้างว่าผลของการที่บังอาจมาขัดจังหวะความบันเทิงของเขากับแม่นางรำหน้าหวานตาใสคนนั้นค่าชดใช้มันจะแพงสักปานไหน

ในที่สุดโอกาสที่กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็มาถึง เมื่อตลิตขอปลีกตัวออกจากกลุ่ม และเดินเข้าไปในห้องน้ำตามลำพัง แท่งโลหะเย็นเฉียบแตะลงตรงบั้นเอวของตลิตติดตามมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมข่มขวัญที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังสร้างความตระหนกให้กับเขา ตลิตเหลียวมองมายังต้นกำเนิดเสียงและเริ่มตระหนักได้ถึงเภทภัยที่กำลังจะมาถึงตัวในไม่ช้า

“ถ้าไม่อยากให้ปืนลั่นใส่ก็ทำเฉยๆไว้ แล้วค่อยๆ เดินออกไป” ดวงตาเหี้ยมเกรียม กระด้างจนดูเหมือนจะไร้แววจ้องมองตลิตอย่างต่อตาขณะเดินเข้ามาประกบยังด้านข้าง วัตถุแข็งๆ ค่อยๆ เลื่อนจากเอวมาจ่ออยู่ตรงสีข้างแทน

“พวกแกเป็นใครต้องการอะไร” ตลิตถามเสียงกระด้าง พยายามจะถ่วงเวลา ครั้นเมื่อเหลียวมองไปรอบๆ ตัวจึงพบว่ายังมีชายหน้าตาดุดันอีกสามคนยืนล้อมกรอบประกบอยู่รอบๆ ตัวเขาชนิดที่ต่อให้ดิ้นหลุดก็ไม่แน่ว่าจะหนีได้รอด

“หุบปาก แล้วเดินต่อไป รออีกเดี๋ยวเดียวคุณก็จะได้รู้เองนั่นล่ะ” บุรุษร่างหนาเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่คนทั้งสามจากทางด้านหลังจะดันตัวชายหนุ่มให้เดินตรงไปยังทางออกตรงประตูหลังอย่างไม่มีทางเลี่ยง

-------------------------------------------

นับตั้งแต่ตลิตลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผ่านไปได้พักใหญ่ๆ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าชายหนุ่มจะกลับออกมา ราวๆ เกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อพีรพัฒน์เริ่มสงสัย และรู้สึกว่าตลิตหายเข้าไปในห้องน้ำนานจนเกินเหตุ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินตามมาดูทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนรัก แรงสังหรณ์ใจพวยพุ่ง พอดีกับช่วงเวลาที่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของตนดังขึ้น พีรพัฒน์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของตลิต แต่พอกดรับสายกลับไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงคนพูดคุยกันอยู่ไกลๆ

พีรพัฒน์พยายามเงี่ยหูฟังอย่างพยายามจับใจความ ขณะที่ฟังนัยน์ตาคมพลันลุกวาบราวกับมีเปลวเพลิงฝังอยู่ภายใน เขารีบตัดสายทิ้งแล้วกดโทรออกไปยังอีกเบอร์จากนั้นก็กรอกเสียงสั่งการลงไปเป็นการด่วน แล้วจึงรีบสาวเท้าเดินกลับไปที่โต๊ะอย่างไม่ยอมเสียเวลา เพื่อบอกข่าวกับอีกสองเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งดื่มกันอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว โดยไม่ต้องรอให้เล่าจนจบทั้งหมดต่างก็ลุกพรวดแล้ววิ่งกันตามออกมาทางด้านหลังผับ และภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำเอาพีรพัฒน์ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เพื่อนรักของเขากำลังถูกรุมกินโต๊ะจากบุรุษตัวโตๆ ถึงสี่คน

พีรพัฒน์กระโจนเข้ากลางวงอย่างไม่รอช้า รวมทั้งอีกสองหนุ่มที่วิ่งตามกันมาติดๆ เกิดการตะลุมบอน ชกต่อยกันชุลมุน ชนิดที่แทบดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์กว่าสิบคนจึงปรากฏกายขึ้นต่างกรูเข้าแทรกยังกลางวงต่อสู้ รับช่วงจัดการกับกลุ่มคนร้ายต่อจากบรรดาสี่หนุ่มทันที ด้วยจำนวนคนที่มากกว่า บวกกับชั้นเชิงของนักสู้มืออาชีพ ทำให้ผู้ประสงค์ร้ายทั้งสี่คนต้องสิ้นฤทธิ์อย่างหมดสภาพและในท้ายที่สุดก็ยอมจำนนอย่างไม่มีทางเลือก

ระหว่างนั้นจิระซึ่งเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดของพีรพัฒน์เหลือบไปเห็นชายอีกคนทำลับๆ ล่อๆ ล่อๆ อยู่ไม่ไกล ดูจากท่าแล้วคิดว่ากำลังจะหนีเสียด้วยซ้ำ เขาจึงอ้อมไปทางด้านหลังแล้วรวบตัวมันเอาไว้ได้ จากนั้นก็ลากตัวมากองรวมกับพวกที่โดนจับตัวไว้ก่อนหน้าซึ่งอยู่ในสภาพที่สะบักสะบอมเต็มที่ เหตุการณ์ตะลุมบอนจึงเป็นอันว่ายุติลงอย่างรวดเร็วด้วยความปราชัยของผู้ก่อเหตุ

“แกใช่ไหมที่เป็นคนบงการให้พวกมันมาทำร้ายเพื่อนของฉัน” พีรพัฒน์กระชากร่างเทอะทะของบวรเดชเข้ามาใกล้แล้วตะคอกถาม หมัดหนักๆ ปะทะลงบนหน้าอูมๆ อย่างจังโดยไม่รอคำตอบเพื่อระบายความคั่งแค้นในอก จากนั้นก็ประเคนทั้งมือทั้งเท้าไปยังร่างอ้วนๆ ของมันไม่มีคำว่าเลือกที่อย่างไม่ปราณีปราศรัยจนมันกลิ้งหลุนๆ ลงไปกองกับพื้น ไม่ทันได้ตั้งหลักเสียด้วยซ้ำ บวรเดชยิ่งดิ้นหนี ก็ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงไปบนกองเพลิง พีรพัฒน์ตามไปกระชากร่างหนาขึ้นมา แล้วดันกำปั้นหนักๆ เสยเข้ายังปลายคางของหนุ่มร่างท้วมจนหงายเก๋งลงไปกองราบอยู่กับพื้นอีกคำรบ สภาพไม่ต่างจากก้อนเนื้อหมดสภาพเพียงก้อนหนึ่งเลยทีเดียว

“โทรเรียกตำรวจ หรือยังรวี จิระ” พีรพัฒน์หันไปถามกับสองบอดี้การ์ดคนสนิทอย่างดุดัน ฟังแล้วชวนให้หวั่นเกรงยิ่งนัก

“เรียบร้อยแล้วครับนาย อีกสักเดี๋ยวคงมาถึง” รวีเป็นคนตอบ ในโดยมีจิระซึ่งค่อนข้างจะเงียบขรึม อันเป็นอุปนิสัยปกติของเจ้าตัวยืนอยู่ข้างๆ

“ดี จับพวกมันมัดรวมกันไว้ อย่าให้หนีรอดไปได้เป็นอันขาด พวกนายจัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อย แล้วช่วยเข้าไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายข้างในให้ด้วย”

โดยไม่ต้องรอคำตอบ พีรพัฒน์หันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกกับเพื่อนรักทั้งสามในทันทีที่พูดจบจากนั้นก็พากันเดินกลับไปยังลานกว้างด้านหน้าที่แต่ละคนต่างจอดรถของตนเอาไว้ ปล่อยเรื่องทั้งหมดไว้ให้คนของตนจัดการ ซึ่งทุกคนก็พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัดและไม่ยอมให้มีอะไรขาดตกบกพร่องแม้แต่อย่างเดียว

“เรื่องมันเป็นไงมาไงกันวะไอ้ลิต ทำไมพวกมันถึงได้พากันมารุมยำแกแบบนี้” พีรพัฒน์ถามเพื่อนรักเสียงเข้ม แม้ว่าเขาจะเป็นคนใจร้อน แต่เรื่องที่จะลงมือก่อนไต่ถามทีหลังนั้นเป็นอันรู้กันว่าไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ ชายหนุ่มไม่เคยรังแกใครก่อน ในขณะเดียวกันก็จะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกรังแกเช่นกัน นับว่าเป็นนักเลงที่มีเหตุผลและยุติธรรมพอตัว ครั้งนี้หากว่าคนที่กำลังถูกรุมไม่ใช่เพื่อนรักของเขาแล้วละก็ ให้อย่างไรพีรพัฒน์ก็ไม่มีวันที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งด้วยเป็นอันขาด เหตุการณ์ในคราวนี้ดูเหมือนจะอยู่นอกกฎเกณฑ์ที่เขาได้ตั้งเอาไว้จริงๆ

“ตอนแรกฉันเองก็ไม่รู้ แต่พอเห็นหน้าไอ้หมอนั่นก็ถึงบางอ้อ ฉันบังเอิญไปขวางทางตอนที่มันกำลังทำท่าจะลวนลามผู้หญิงคนหนึ่งอยู่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน มันคงผูกใจเจ็บ แล้วก็เลยตามมาเล่นงานเข้าให้ ก็แค่นั้นแหละ” ตลิตเล่าแบบรวบรัด จับเอามาแต่เฉพาะประเด็นสำคัญ

“อ้อ! ที่แท็ก็เพราะแกเกิดอยากจะเป็นพระเอกกับเขาขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้น คงจะสวยน่าดูละสิท่า แกถึงลงทุนเอาตัวไปเสี่ยงถึงได้ขนาดนั้น เป็นไงล่ะ เกือบซวยไปแล้วไหมแก เฮ้อ...จริงๆ เลย แต่ก็เอาเถอะ คนอย่างมันก็สมควรโดนอยู่แล้ว”

“ดีนะที่ไอ้พีมันไหวตัวทัน ถ้าพวกฉันตามออกมาช้ากว่านี้ มีหวังแกได้เละเป็นโจ๊กแน่ เป็นอะไรเยอะรึเปล่าวะเพื่อน ท่าทางโดนเข้าไปไม่น้อยเหมือนกันนี่ ต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่า” นัทธีธรออกปากถามพลางสำรวจไปตามร่างกายของตลิต ความที่เป็นแพทย์โดยอาชีพ เมื่อดูรอยฟกช้ำภายนอกแล้วคุณหมอหนุ่มก็ได้ข้อสรุปว่าไม่น่าจะมีอะไรให้ต้องกังวล

“จะไปทำไมวะโรงพยาบาล มีหมอยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนจะปล่อยให้เพื่อนตายก็ให้มันรู้ไป จริงไหมวะไอ้ลิต” พีรพัฒน์เอ่ยแซว แกล้งตบไปที่ไหลของตลิตอย่างจัง ทำเอาเขาแทบทรุด เพราะจะว่าไปแล้วก็เจ็บตัวไปไม่ใช่น้อย

“เออ ไม่เป็นไรมากหรอก เจ็บแค่นี้ ไกลหัวใจ”

“คืนนี้หมดสนุกแล้ว ฉันว่าเราแยกย้ายกันกลับดีกว่า เอาไว้วันหน้าค่อยออกมาซ่ากันใหม่” ภูวิชที่เงียบฟังอยู่นานออกความเห็น

“จะรีบกลับไปนอนฝันหวานหรือไงแก แต่ก็นะ! กลับบ้านไปนอนสักทีก็ดีเหมือนกัน นานๆ ได้ออกแรงที ชักจะเหนื่อย แยกย้ายกันตรงนี้เลยละกัน มีอะไรไว้ค่อยโทรหากันอีกที ฉันไปล่ะ”

พีรพัฒน์บอกกับผองเพื่อน หลังจากนั้นทั้งหมดจึงต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปขึ้นรถของตนแล้วค่อยๆ ขับกันออกไปทีละคัน เหลือแต่เพียงลานจอดรถที่ว่างโล่งอย่างผิดหูผิดตาต่างจากเมื่อแรกที่มาถึงอย่างสิ้นเชิง

------------------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 เม.ย. 2555, 20:22:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:34:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1331





<< 4 : น้องสาวคนใหม่   6 : หัวใจที่หล่นหาย >>
thongyod 19 เม.ย. 2555, 09:32:06 น.
^^ รอตอนต่อไปค่ะ


นิลวนา 19 เม.ย. 2555, 11:20:07 น.
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account