เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด
ตอน: ตอนที่ ๘ สัญญารัก
ตอนที่ ๘
สองร่างก้มกราบลงสามครั้งด้วยท่วงท่างดงามยิ่งนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับรอยยิ้มของหญิงนางหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดสะอ้าน บนศีรษะโกนจนโล้นเลี่ยน นางมองมายังทั้งสองหนุ่มสาวด้วยรอยยิ้มเมตตา
“เจริญพรเถิดแม่ พ่อ”
เสียงเอ่ยทักช่างหวานหยาดหยดเป็นยิ่งนัก เจ้านางน้อยจันทร์งามมองร่างตรงหน้าซึ่งเคยมีเค้าความงามอยู่ ก็อดจะชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้
“แม่ชีเพิ่งมาอยู่ตี้วัดนี้ไจ้ก่เจ้า ข้าเจ้ามาวัดนี้มั่นบ่เคยหันสักเตื้อ” เจ้านางน้อยเอ่ยถามพรางยกมือขึ้นยอไหว้อย่างน้อมนบ
“แม่เพิ่งเดินทางมาถึงบ่กี่วันนี่ มาขออาศัยนั่งวิปัสสนากับหลวงพ่อเปิ้น”
“แม่ชีมาจากถิ่นไหนแดนใด ขอรับ” เจ้าหนุ่มเอ่ยถามอย่างใครรู้
“แม่มาแต่เวียงโยนกพู้นหนา จาริกมาที่นี่ก็เพราะได้ยินกิตติศัพท์ของพ่อครูบา เลยอยากจะมาขอตั๋วเป็นศิษย์เปิ้น”
“มาไก๋แท้เนอะ ถ้าจะอั้นแม่ชีมีอะหยังจะหื้อข้าเจ้าช่วยก็บอกได้เน้อเจ้า ข้าเจ้ายินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
“ขอบใจ๋ลูกจาดนักเน้อเจ้านาง...บุญวาสนาในการค้ำจุนพระศาสนาจักทำหื้อแม่มีความสุขสมหวังบ่ว่าจาดนี้หรือจาดหน้า”
“ขอสาธุบุญแม่ชีเต๊อะเจ้า” เจ้านางน้อยยกมือท่วมหัว น้อมรับคำพรเหล่านั้น
“จะอั้นแล้ว หมู่เฮาบ่ขอรบกวนแม่ชีละ ไปเต๊อะเจ้านางหื้อแม่เปิ้นได้นั่งสมาธิเต๊อะ” เจ้าหนุ่มเอ่ยชวน ก่อนจะก้มลงกราบแม่ชีอีกครั้ง
“เจริญพรเน้อแม่ พ่อ ขอหื้อบุญสมกันเน้อ”
/////
หลังได้เข้าไปกราบแม่ชีแล้ว ทั้งสองหนุ่มสาวจึงชวนกันออกมายังลานของวัดเพื่อจะพูดคุยกันอย่างเช่นทุกครั้ง
หลากหลายครั้งที่ได้เจอะเจอ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น จนในเวลาต่อมาได้แปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ยากจะปฏิเสธหัวใจของกันและกันได้
ยิ่งนานวันความรักของเจ้าน้อยภูมินทร์กับเจ้านางจันทร์งามก็ยิ่งแน่นแฟ้นไปทุกขณะ กว่าเดือนแล้วที่ทั้งสองหนุ่มสาวได้รู้จักและพูดคุยกัน
เจ้าน้อยเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยดี บวกกับความเป็นกันเองของเจ้านางจันทร์งามหนุ่มสาวทั้งสองจึงได้ผูกสมัครรักใคร่กันได้ไม่ยาก ยิ่งนานวันทุกลมหายใจของเจ้านางน้อยก็ยิ่งมีเจ้าน้อยภูมินทร์อยู่ในหัวใจ
ยิ่งนานวัน ความรักก็ยิ่งงอกงาม ทว่าก็บ่เคยถึงขั้นต้องผิดผีให้ฝ่ายเจ้านางต้องอับเศร้าหมองศรีเป็นราคีให้ฝ่ายไหนต้องมาว่า เพราะทุกครั้งที่ทั้งสองมาพบปะกันก็เป็นการพบปะกันในขอบเขตของพระพุทธศาสนา การพูดคุยอู้จากันก็ไม่ได้เกินเลย มีอยู่หลายครั้งที่มีการเกี้ยวพา หากเจ้าราชบุตรหนุ่มก็บ่เคยคิดที่จะทำหื้อเจ้านางเปิ้นได้เสื่อมเสีย
อ้ายฮักเจ้านัก ฮักนักฮักหลาย
แม้ต้องชีพวาย บ่กรายไปหน้า
ความฮักของน้อง บ่ข้องหมองหมาง
แม้ชีพต้องวาง ก่ฮัก
เกิดไปจาดหน้า บ่ลาเลือนรัก
ขอหื้อศรปัก ฮักอ้ายคนเดียว...เจ้าเฮย
ฟังเน้อพระธาตุเจ้า จอมศรี
องค์พระเป๋นสักขี พยานข้า
สัจจะที่ข้ามี แด่เจ้า
บ่เลือนแม้ชาติหน้า ฮักแม่นางเดียว
คำมั่นสัญญาไม่เคยเลือนราง แม้เวลาจักผันผ่านนานเท่าไร ความรักของเจ้าน้อยภูมินทร์ที่มอบให้กับเจ้าจันทร์งามก็ไม่เคยหมดหายไปเลยสักนิด นับนานวันความรักของสองเจ้าก็ยิ่งเพิ่มพอกทวีคูณ
องค์พระธาตุเจ้าแห่งวัดเชียงหมิ่น ได้กลายเป็นพยานรักของทั้งสองตลอดมา ทุกวันที่ได้พบเจอกัน ทั้งสองก็มักจะมาไหว้สาองค์พระธาตุ ขอให้เป็นพยานรักของทั้งสองและประสิทธิ์พรให้รักนั้นมั่นคงตราบนานเท่านั้น
ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ความรักก็ไม่เคยเลือนราง
ยิ่งนานยิ่งเพิ่มรัก ยิ่งรักก็ยิ่งผูกพัน แลยิ่งผูกพันรักนั้นก็ไม่เคยเสื่อมคลาย
พระธาตุเจ้าเป็นพยานเน้อ ความฮักของอ้ายภูมินทร์มากล้นเพียงใด เจ้านางรู้เช่นเดียวกับเจ้านางที่รักหนุ่มจากเวียงยามากล้น ไม่อาจมีอะไรมาขว้างกั้นรักนี้ได้ ปานประหนึ่งหินผาก้อนใหญ่ ที่ไม่อาจให้ลมฟ้ามาผลักให้พรากจากกันได้
ยิ่งนานวัน ความรักก็ยิ่งสนิทแน่นเกรียวกลม แลแน่นแฟ้นเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ว่าอะไรจะมาพรากพลัดไป นานแค่ไหนก็จะต้องกลับมารักกันอีกจนได้
แม้ชาติหน้า หรือชาติไหนๆ ภาวนาขอให้ได้กลับกลายเป็นคู่สมกันไม่เคลือนครา...
///////
ภูริตค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทุกความรู้สึกรักยังคงจุกแน่นอยู่ในหัวใจหนุ่ม ทุกความรู้สึกมันยังคงฝังแน่นและเวียนวนอยู่ในตัว เสียงฝนที่มันสาดซัดอย่างหนักเมื่อหลายเวลาก่อน บัดนี้ได้ขาดเม็ดไปแล้ว จะหลงเหลือเพียงมวลหมู่น้ำฝนที่เจิ่งนอนอยู่โดยรอบเท่านั้น
ชายหนุ่มทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า สมองที่เหมือนจะอยู่กับห้วงแห่งสมาธิเมื่อครู่ค่อยๆ ปรับสภาพเข้าสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ก่อนสายตาคู่นั้นจะไปหยุดยังร่างในชุดสีขาวที่นั่งด้วยรอยยิ้มเมตตาและมองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะพ่อหนุ่ม”
เสียงนั้นเรียบเย็น จนทำให้ผู้ฟังถึงกับขนลุกซู่ หากภาพนิมิตของเขาเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยนหรือบิดเบือนไป แน่ใจแล้วว่าร่างตรงหน้ากับสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่จะเป็นคนเดียวกัน
“แม่ชี...”
ทั้งกรอบหน้าและแววตาดั่งภาพที่คุ้นเคย แม้ว่าโครงหน้าจะเปลี่ยนไปบ้างตามห้วงแห่งอายุสังขาร แต่เขาก็ยังคงจำได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด
“เมื่อกี้...แม่ชี เมื่อกี้...”
“ใช่แล้วล่ะพ่อหนุ่ม...เราเคยเจอกัน นานมาแล้ว นานแสนนาน”
ภายในหัวสมองรู้สึกสับสนกับภาพที่เห็น เสียงที่สนทนากัน มันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าหากว่าช่วงเวลาที่เขาเห็นในนิมิตเมื่อครู่เป็นอดีตชาติจริงๆ ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกับคำพูดของแม่ชีตรงหน้า
ยิ่งคิดก็ยิ่งงง ยิ่งเค้นก็ยิ่งไม่ได้คำตอบ...
“หมายความว่า...สิ่งที่ผมเห็นเป็นเอ่อ...อดีตชาติของผมหรือครับ”
“มันอยู่ที่ดวงจิตของเราต่างหากล่ะพ่อหนุ่มว่าจะเปิดรับมันหรือไม่ เมื่อจิตนิ่ง สมาธินิ่ง สิ่งที่เราอยากจะเห็นมันอาจจะทำให้เห็น อีกอย่างหนึ่งมันก็อยู่ที่บุญทำกรรมสร้างมานั่นแหละ บุญมีมากก็จะส่งผลมาก บุญมีน้อยกรรมมีมากมันก็ส่งผลไปอีกแบบ ทั้งหมดทั้งมวลมันก็อยู่ที่บุญกรรมของเราไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ”
แม่ชีเอ่ยบอกเสียยืดยาว หากชายหนุ่มกลับไม่เข้าใจอยู่ดี หัวคิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย
“ผมไม่เข้าใจครับแม่ชี แล้วกับผมมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนั้น”
“ก็อย่างที่แม่บอกนั่นแหละ มันอยู่ที่บุญกรรมของแต่ละคนที่จะกำหนดให้เป็นไป สิ่งที่พ่อหนุ่มเห็นบางทีเจ้ากรรมนายเวรท่านอาจจะต้องการให้กลับไปแก้ไขอะไรก็ได้”
“แก้ไข...แก้ไขอะไรหรือครับ”
“ระยะเวลามันจะเป็นตัวชี้นำเอง เรื่องนี้แม่ไม่อาจจะพูดอะไรมากได้”
“เอ่อ...แม่ชีครับ สิ่งที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ หากว่ามันเป็นเรื่องจริงนั่นแสดงว่ามันคืออดีตชาติของผมใช่ไหมครับ”
ถือโอกาสถาม เพื่อจะหาทางไขความกระจ่างกับความฝันและนิมิตซึ่งเด่นชัดมาในช่วงหลายวันนี้ให้ได้
แม่ชีไม่ตอบ หากแต่คลี่ยิ้มบางๆ ทอดสายตามองออกไปยังทางเบื้องหน้าอยู่นิ่งนาน
“สิ่งที่ลูกเห็นหากคิดว่ามันคือความจริง มันก็คือความจริง หากคิดว่ามันไม่จริง มันก็ไม่จริง”
“ถ้าผมเชื่อว่านั่นเป็นเรื่องจริง นั่นแสดงว่าผมกับแม่ชีเคยเจอกันใช่ไหมล่ะครับ”
“แม่เคยบอกไปแล้วอย่างไรล่ะ การจะได้พบเจอกันหรือไม่นั้น มันก็อยู่ที่การยอมรับของแต่ละฝ่าย”
เห็นแม่ชีพูดออกมาเช่นนั้นเขาก็พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปอีกทางหนึ่งเมื่อเสียงเรียกของสิชลและนายแหวงซึ่งกลับมารับเขาอีกครั้งและดูเหมือนว่าบัดนี้บรรยากาศโดยรอบเริ่มจะสลัวไปมากแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้ากว้าง สาดทอแสงสีส้มยังปลายฟ้าอย่างสวยงาม
“เฮ้ยภู...กลับได้แล้ว” สิชลเดินมาถึง พร้อมกับเอ่ยทักอย่างเป็นห่วง
“ฝนตกเยอะ นึกว่านายจะไม่มีที่หลบฝนเสียแล้ว เลยรีบมารับ”
“ฉันก็รออยู่นี่แหละ นึกว่านายจะเบี้ยวไม่มารับเสียแล้วสิ ว่ากำลังจะโทรตามอยู่พอดี”
ภูริตลงจากแคร่มายืดตัวยืนอย่างเต็มตัว ต่อเมื่อจะหันไปล่ำลาแม่ชีทว่าสิ่งที่เห็นในเวลานี้กลับว่างเปล่า
“เอ๊ะ...” เขาอุทานอย่างแปลกใจ แม่ชีหายไปไหนเสียแล้ว เมื่อครู่ยังพูดคุยกันอยู่นี่
“อะไรภู...ทำเสียงซะดูตกใจ”
“ก็แม่ชี เมื่อกี้นั่งอยู่ตรงนี้กับฉันนี่”
“นั่งกับนาย” สิชลทำเสียงกึ่งตกใจ กึ่งหวั่นใจ “เมื่อกี้นี้นายว่านั่งอยู่กับแม่ชี”
“ใช่” ภูริตพยักหน้า ประกายตาที่ฉายออกมาบอกอย่างชัดเจนว่านั่นคือความจริง
“แต่เมื่อกี้ฉันเห็นว่านายนั่งอยู่คนเดียวนะ ไม่มีใครเลย”
“บ้าแล้วล่ะสิชล แม่ชีท่านนั่งอยู่นี่ทั้งคนนายไม่เห็นได้ยังไง เมื่อกี้ฉันยังคุยกับท่านอยู่เลยฉันนั่งกับท่านตั้งแต่ก่อนฝนตก จนเมื่อกี้นายมา ท่านคงจะเดินไปแถวๆ นี้แหละ”
แล้วก็เดินไปสำรวจโดยรอบต้นไทรใหญ่ต้นนั้น จวบจนวิ่งไปจนรอบต้นนั้นแล้ว หากแต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของคนอยู่แถวนั้นเลย มันมีแต่ความว่างเปล่าและความเงียบ จนทำให้สิชลขนลุกเข้ามาสะกิดและเอ่ยเตือน
“ฉันว่าเรากลับกันก่อนเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว มีอะไรค่อยไปคุยกันในรถ”
แล้วก็เดินนำกลับไปยังรถในทันที ขณะภูริตไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เจ้าเพื่อนพูดมากนัก บางทีแม่ชีอาจจะเดินเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งอยู่ถัดไปนี้ก็เป็นไป เขาก็เลยไม่เห็น ตั้งใจว่ามาคราวหน้าจะต้องพูดกับท่านให้มากกว่านี้ บางที สิ่งที่มันค้างคาและสงสัยอาจจะได้รับคำตอบในไม่ช้านี้ก็เป็นได้
เขาคิดและขอให้เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกอย่างกระจ่าง เขาจะได้รู้สักทีว่าอะไรกันแน่ที่ต้องการให้ช่วยเหลือและเนรมิตให้เขาได้เห็นซึ่งภาพในอดีตที่ชัดเจน
//////
ค่ำแล้ว สายลมเย็นยิ่งพัดพาเอาความหนาวมาจากสันดอยใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก ทำให้ทั่วอาณาบริเวณมีหมู่สายหมอกเส้นบางๆ ลอยคว้างอยู่เหนือปลายยอดไม้สีดำที่ตั้งตะคุ้มภายใต้เงามืด ในยามที่มันโบกสะบัดกวัดไกว ปานประหนึ่งมือจากขุมนรกอเวจีกวักเรียกหมู่วิญญาณที่สิ้นอายุไขบนโลกมนุษย์ให้ไปชดใช้กรรมในขุมนรกอันร้อนแรง
หากใครกรรมมากก็ตกสู่หล่มลึกแห่งห้วงเปลวอัคคีที่เริงแรง หากกรรมน้อยบุญนักหลังได้ชดใช้ต่อเพรงกรรมเสร็จสิ้นก็ต้องระเหระหนขึ้นมาเกิดเพื่อจะกินบุญเก่าหรือชดใช้กรรมเก่าจนกว่าจะหมด เมื่อตายแล้วก็เกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตาย
เป็นอยู่เช่นนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ หมุนเวียนผันเปลี่ยนกันไปไม่รู้จักจบสิ้น
ต่อเมื่อบรรลุเห็นองค์ธรรมเป็นสรณะ แลหลุดพ้นสู่นิพพาน บัดนั้น การเวียนว่ายก็จะหมดสิ้นลง
หลังได้อ่านหนังสือจนรู้สึกเบื่อแล้วจันทร์เจ้าจึงเดินมาหยุดยืนยังริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปในความมืด ปล่อยให้สายลมเย็นที่พัดผ่านมาช่วยขัดเกลาอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน หรือสิ่งที่มันเป็นสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสือ ไม่แม้กระทั่งความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตมาทั้งวันให้มันผ่อนคลายกับสายลมเย็นที่พัดเข้ามา
เนิ่นนาน...จิตใจจึงได้สงบ
เมื่อสงบจึงได้มีเวลาคิดอีกครั้ง แล้วสิ่งที่มันก่อเกิดขึ้นภายในห้วงแห่งความคิดนั้นมันก็คงจะไม่พ้นไปจากเรื่องปริศนาของเจ้าจันทร์งาม
คุณย่าบัวคำได้ตั้งประเด็นที่หญิงสาวอยากจะรู้เกี่ยวกับความรักของเจ้านางจันทร์งามว่ามันไม่ใช่ความสุขเสมอไป
แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เกิดเช่นนั้น
คำพูดของหญิงชราเด่นชัด เมื่อมีรักความทุกข์มักจะตามติดเสมอไป
มันหมายความว่าอย่างไร เจ้านางจันทร์งาม ผู้งามทั่วหล้าจบฟ้ามาสู่ดินนั้นมีความชอกช้ำอะไรกับความรัก
เจ้าน้อยภูมินทร์...คำนี้แล่นวนอยู่ภายในหัวใจพลันก็รู้สึกเจ็บปวด พร้อมกันนั้นสิ่งที่รู้สึกก็เหมือนจะแล่นริ้วๆ ไปทั่วร่างกาย
ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเช่นนั้นได้นะ...มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
เจ้านางผู้ที่มีกลิ่นกายหอมกับความงามที่หาใครเทียมเท่าได้ มีความเจ็บช้ำอะไรกับความรักระหว่างนางกับเจ้าน้อยภูมินทร์
มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคนนี้กันแน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะรู้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งอยากจะขวนขวาย
แล้วเมื่อไรล่ะเธอถึงจะรู้ความจริงว่าความรู้สึกของตนเองที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไรและมันได้เกี่ยวกันกับเรื่องราวเหล่านั้นหรือไม่
ทว่าภาพแห่งความฝันก็เริ่มเด่นชัด ภายในห้วงนิมิตที่เธอเห็นนั้น เสมือนว่าเธอคือคนๆ เดียวกับเจ้าจันทร์งาม
เป็นไปได้อย่างไรกัน...
เธอยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ความคิดที่หลากหลายก็พลันวิ่งปราดเข้ามาให้ได้คิด ทั้งอยากรู้ หากอีกใจหนึ่งก็เหมือนอยากจะปิดกั้นไม่อยากจะเป็น ปานประหนึ่งจะล่วงรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันจะทำให้เธอนึกกลัว...กลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวแม้กระทั่งกับความคิดของตนเอง
สายลมระลอกใหม่พัดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มันได้พัดพาเอากลิ่นหอมของไม้ดอกสีขาวซึ่งเธอคุ้นเคยเข้ามาด้วย...ดอกเก็ตถวา หรือดอกพุดซ้อน...กลิ่นนั้นหอมเย็น จนทำให้หัวสมองของหญิงสาวเบาโล่ง
เหมือนว่าได้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ กลิ่นหอมนั้นยังคงติดจมูก ดวงจิตยังไม่ดับวูบ เธอยังเห็นสิ่งที่ลอยคว้างอยู่โดยรอบ แม้จะว่างเปล่า หากสิ่งที่ยังคงลอยวนอยู่โดยรอบตัวของเธอคือสายหมอก
สายหมอกเส้นบางๆ สีขาวราวกับปุยนุ่มอันบางเบา มือบางเอื้อมไปคว้ามันอย่างหลงใหล หากก็เป็นได้แต่เพียงคว้าแค่อากาศธาตุเท่านั้น เมื่อมันค่อยๆ จางหายไปในชั่วเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น
‘เจ้า...เจ้างาม’
เสียงเรียกนั้นในชั้นแรกเบาหวิว ดั่งจะดังมาจากที่อันไกลแสนไกล ต่อเมื่อเธอได้สดับและนิ่งฟังเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งปานจะกระซิบอยู่ใกล้ๆ แค่นั้นเอง
“เจ้านางน้อย...เจ้างาม เจ้านางจันทร์งาม...”
“ท่าน...”
จำได้ว่าตอบโต้ไป ก่อนภาพที่ปรากฏอยู่ในครองจักษุจะเห็นภายในม่านหมอกซึ่งมัวสลัวนั้นค่อยๆ เปิดเป็นม่านออก ก่อนจะปรากฏร่างของใครคนหนึ่งยืนแทนที่ยังจุดนั้น
“เจ้านาง...”
เสียงนั้นเข้มขรึม บ่งบอกของลักษณะที่เป็นชายชาตรีแข็งแกร่งดั่งนักรบทหารกล้า ประกายตาซึ่งมองตอบมายังเธอ ส่องจ้าซึ่งความปรารถนาและสิเน่หาเป็นยิ่งนัก
ชายคนนั้นอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเนื้อ ทว่าปักด้วยดิ้นทอง เสื้อตัวนั้นผ่าอกจนเห็นมัดกล้ามอัดแน่นอยู่ในนั้น เขาคนนั้นหรือว่าชายผู้นั้นอยู่สวมกางเกงผ้าแพรสีเดียวกับเสื้อ ส่วนที่ศีรษะมีผ้าโพกสีแดงจางโพกอยู่อย่างเข้ากัน
“เจ้านางน้อย...จ้วยอ้ายตวย ช่วยด้วย”
“ช่วย...ช่วยอะไรคะ”
จันทร์เจ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เมื่ออีกฝ่ายขอความช่วยเหลือจากเธอ สิ่งไหนที่เธอคิดว่าช่วยได้ เธอก็อยากจะช่วย
“จ้วยด้วยเจ้านาง...จ้วยอ้ายตวย”
เหมือนยิ่งพูด ก็ยิ่งเหมือนมีช่องว่างขนาดใหญ่มาวางขวางกั้นเอาไว้และสิ่งนั้นมันก็ยิ่งขยาย จากภาพที่เห็นชัดเจนและเสียงที่เด่นชัดก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย ทีละน้อย จนในที่สุดภาพนั้นก็ห่างหายไป
“ช่วยอ้ายด้วยเจ้านาง...ช่วยด้วย”
สายลมพัดวูบเข้ามาประทะหน้าอีกครั้ง พลันสติที่มีอยู่ทั้งหมดก็กลับมา ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เธอหอบหายใจถี่รับรู้ถึงหัวใจอันเต้นรัวเร็ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
หากสิ่งที่เด่นชัด ชายผู้นั้นต้องการให้เธอช่วยอะไร
เพียงชั่ววูบของความคิดและการกะพริบตา ดวงตาคู่สวยก็เบิกขึ้น เมื่อเห็นภาพของชายผู้นั้นอีกครั้งยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พอเธอยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อจะให้เห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน ชายคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
หากยังคงเสียงนั้นที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ
‘จ้วยด้วย จ้วยอ้ายตวยเจ้านาง’
สรรพเสียงนั้นเด่นชัด เช่นเดียวกับภาพเหล่านั้นยังคงติดตาและอยู่ในห้วงแห่งมโนนึกนับตั้งแต่ที่ได้ผจญกับสิ่งเหล่านั้น
ไร้ซึ่งคำตอบ...แล้วเธอจะทำอย่างไร
ถอยเข้ามานั่งยังปลายเตียงนอน พยายามเป็นอย่างยิ่งจะทำให้ตัวเองเห็นภาพเหล่านั้นอีกครั้ง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเดิม ความพยายามนั้นหมดหวังไปพร้อมๆ กับอาการง่วงที่ดำเนินเข้ามา ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากไปกว่านั้น เธอจึงตัดสินใจตัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกไปจากหัวใจ ก่อนจะข่มตาหลับและพักผ่อนในที่สุด
ชั่วไม่นานเธอก็ดำเนินเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรารมณ์
/////
แม้ความรักจักหวานชื่น หากเมื่อนั้นวันแห่งความเจ็บปวดก็เดินทางมาถึงเจ้านางน้อย เมื่อความจริงบางอย่างที่ได้ยินจากปากของเจ้าพ่อ นั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของนางเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก
“มันคงจะถึงเวลาแล้วที่เจ้าจักได้กิ๋นแขกกับคู่แพงของเจ้า...”
“เจ้าป้อ...”
เจ้านางน้อยอุทานด้วยความตกอกตกใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำนี้ แถมอีกใจหนึ่งไม่เคยคิดว่าตนจักมีคู่แพงเหมือนเจ้าเอื้อยเกี๋ยงคำที่กำลังจะกินแขกกับเจ้าราชบุตรแห่งเวียงโยนกในไม่ช้านี้
ใคร...ใครคือคู่แพงของนาง เป็นใครที่ไหนที่ทำให้นางต้องหนักใจเช่นนี้
“มันถึงเวลาแล้วเจ้างามเอ๋ย เจ้าเอื้อยของลูกเดือนแปดหน้าก็จักได้กิ๋นแขกไปเป็นเจ้านางแห่งเจ้าเวียงเชียงแสนแล้ว สำหรับเจ้าก็เหมือนกัน มันก็คงจะถึงเวลาแล้วที่ลูกจักได้ฮู้จักกับคู่แพงคู่หมายของลูก”
“เป๋นไผเจ้า...เจ้าป้อ”
ปานประหนึ่งแผ่นฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทลาย หัวใจของเจ้านางจะยุบวาบแตกสลายในครานั้นแล้ว หัวใจของนางมีแต่อ้ายน้อยภูมินทร์ ไม่มีใครอีกแล้ว
“เจ้าแสนเมือง...เจ้าราชบุตรแห่งกรุงอังวะบูรี”
“เป็นจาวม่าน...บ่เอา ลูกบ่ยอมกินแขกกับเปิ้น เปิ้นเป็นชาวม่าน มาทำหื้อบ้านเฮาเมืองเฮาต้องอยู่บ่เป๋นสุข ลูกบ่ยอมเด็ดขาดเจ้าป้อ” หันมาทางเจ้านางเกล็ดหล้าผู้เป็นแม่ เสมือนขอความช่วยเหลือ “เจ้าแม่...บ่เอาเน้อ ลูกบ่กินแขกกับหมู่ม่านเน้อ”
ขณะพูดพลันน้ำตาก็รินไหลอาบสองแก้มนวล หรือนี่ความหวังที่จะได้เป็นคู่สมของอ้ายน้อยภูมินทร์จะไม่เป็นจริงเสียแล้ว
อ้ายน้อยบอกว่าอีกไม่กี่วันพระที่จะผ่านไป เขาจะเข้าเวียงมาบอกเจ้าพ่อว่าจะสู่ขอเจ้านาง เขาจะพาผู้ใหญ่มาอู้มาจากัน แต่นี่ไม่ทันไรแล้วเจ้าพ่อกลับบอกว่านางมีคู่หมายที่จะต้องกินแขกกันในเร็วไว
“เจ้าเปิ้นจะมาแอ่วเวียงเฮาในวันพระใหญ่หน้านี่ เปิ้นมาเพื่อจะผ่อตั๋วของลูก”
“แต่เจ้าป้อ จะใดเจ้าป้อถึงได้ไปเข้ากับชาวม่านรามัญได้เล่า เจ้าป้อก่ฮู้ เวียงของเฮาที่เป็นอยู่จะอี้ก็เพราะไผ บ่ไจ้จาวม่านพวกนั้นก่า เวียงของเฮาอยู่อย่างเป็นสุขเสมอมา หมู่เฮาบ่เกยไปรุกรานไผ แต่จาวม่านหมู่นั่นก็มารุกรานเฮา ทำหื้อบ้านเฮาเมืองเฮาอยู่บ่เป็นสุข แล้วจะอี้แล้วเจ้าป้อยังจะไปเข้ากับหมู่นั้นแห๋มกา”
“เจ้างาม ลูกกับเปิ้นหมั้นหมายเป็นคู่แพงกันมาเมินแล้วเน้อ ลูกฮักของพ่อ เจ้าเป๋นสาวสักวันก็ต้องออกเฮือน พ่อบ่หันไผที่จะเหมาะสมคู่กับลูกเท่าเจ้าแสนเมืองเปิ้นแล้ว”
เจ้าหลวงคำผาเมืองพยายามเป็นอย่างยิ่งจะทำให้เจ้านางน้อยเข้าใจ หากนางก็ไม่เข้าใจอยู่ดีนางไม่ได้รักเขา จะให้กินแขกกับเขาได้อย่างไร
ยิ่งพวกนั้นเป็นม่านพม่าชาวพุกาม คนที่ทำให้ทั่วหัวเมืองทั้งล้านนาทั้งตะวันตกตะวันออกต้องตกไปอยู่ภายใต้อำนาจ ทำให้การปกครองของพ่อเมืองทั้งหลายต้องอยู่ในสายตาของชาวม่าน จะทำสิ่งใดก็ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวก เพราะมีชาวม่านคอยสอดส่องดูอยู่ตลอดเวลาจนอึดอัด
“แต่ลูกบ่ได้ฮักเขา”
“ลูกเอ๋ย ลูกฮักของป้อ อยู่กิ๋นกันไป บ่เมินลูกก็จะฮักเขาเองนั่นแล”
“แต่ลูกบ่ได้ฮักเปิ้น จะใดลูกก็บ่ยอมแบ่งใจ๋ไปฮักเปิ้นได้ดอกเจ้าป้อ”
น้ำตาสีใสไหลรินไม่หยุดหย่อน กรอบหน้าสวยหมองคล้ำ เจ้าพ่อเจ้าแม่ไม่เคยเข้าใจ ว่านางไม่ได้รักเจ้าแสนเมือง คนที่นางรักคืออ้ายภูมินทร์ ชายผู้นี้เป็นเพียงคนเดียวที่นางมอบหัวใจให้ไปแล้ว จนไม่มีที่ว่างให้ใครเข้าไปอยู่ได้อีกต่อไป
นางรักอ้ายน้อยภูมินทร์ เท่าๆ กับอ้ายภูมินทร์ก็รักนาง
สำหรับเจ้าแสนเมืองนางไม่ได้รักเขาและก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักตัวของนางด้วยหรือไม่ สิ่งนี้ก็ยิ่งยากจะคาดเดาได้
เช่นกัน...ที่ทำเพราะทำไปตามประเพณีไม่ใช่หรือ
แล้วการกินแขกจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ทั้งสองไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
ไม่ได้รัก ไม่ได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน แล้วจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
ยิ่งคิดยิ่งสับสน พลันน้ำตาก็เอ่อไหล
“เจ้าป้อบ่เข้าใจ๋ลูก เจ้าป้อบ่เข้าใจ๋งาม...” นางว่าพร้อมกับส่ายหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะวิ่งถลาออกไปจากที่แห่งนั้นในทันที
นางจะทำเช่นไรกับเหตุการณ์เหล่านี้ นางจะหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร...
/////
แล้วสิ่งที่ทำให้เจ้าจันทร์งามต้องหนักใจและกลัวก็เดินทางมาถึง เมื่อการเดินทางมาถึงยังวรนครของเจ้าแสนเมือง เจ้าอุปราชหนุ่มแห่งเวียงอังวะ
ไม่อยากจะออกมาพบ แต่ก็ต้องจำยอม ยังจำได้หัวใจดวงน้อยเต้นรัวเร็ว ใจหนึ่งไม่อยากพบหน้า หากอีกใจหนึ่งกลับอยากจะทะยานหนีไปให้ไกลแสนไกล ทว่าทุกอย่างที่อยากจะให้เป็น กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ร่างบางระหง ในชุดเสื้อปั๊ดแขนยาวทรงกระบอกเข้ารูป สาบเสื้อป้ายปักดิ้นทองอย่างสวยงาม เข้ากับชุดผ้าซิ่นลายน้ำไหลสีแดงเหลือบดำฝีทอประณีต กรอบหน้าสวยเข้ารูปกับคิ้วบางโก่งงอนดั่งคันศิลป์พระราม ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายดุจตาเนื้อทราย จมูกงุ้มงามรองรับด้วยริมฝีปากจิ้มลิ้มสีลิ้นจี่สุก โครงหน้ายาวรีรองรับกับเส้นผมสลวยบนหัวซึ่งม้วนเกล้าเก็บภายใต้ผ้าโพกสีชมพูพันรอบศีรษะอย่างเข้ากัน มีปิ่นเงินปิ่นทองปลายประดับรัตนชาติเลื่อมงาม ทั้งดอกไม้ไหวปักแซม แสงนั้นสะท้อนวิบวับต้องตาเจ้าหนุ่มจากต่างเมืองซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ ข้างๆ กับพ่อหลวงแห่งวรนคร
เจ้าแสนเมือง จ้องมองร่างแน่งน้อยซึ่งเยื่องย่างเข้ามาในที่แห่งนั้นจนตาไม่กระพริบ
งาม...นางช่างงามเหลือเกิน
...งามดั่งเทพเทวาปั้นแต่ง งามดั่งแว่นฟ้าสุกใส
งามดั่งบุปผาม่านเรืองไร งามดั่งเส้นใยของไหมงาม...
ดูเหมือนว่าความงามของอิสตรีทั่วทุกหล้า จะมาหลวมรวมเป็นแม่หญิงตรงหน้าอย่างแน่แท้แล้ว
เจ้านางน้อยเยื่องกายมาหยุดตรงหน้าของเจ้าพ่อ ก่อนจะทำกิริยานอบน้อมไหว้สา แล้วเบี่ยงกายขึ้นสบตากับผู้มาเยือน จึ่งกระทำการคารวะตามสมควร
ภายในหัวใจนางยิ่งเต้นรัว ไม่อยากใกล้กลับได้ใกล้ อยากหนีหายกลับทำไม่ได้ เจ้าพ่อจัดตั่งให้นางนั่งใกล้กับเจ้าแสนเมือง พร้อมกับแนะนำชักพานาทีให้ทั้งสองรู้จักกัน อีกไม่นานงานกินแขกก็จะเริ่มขึ้น รู้จักกันเอาไว้ จึงจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันที่เหนียวแน่น
ยิ่งนานนางยิ่งอึดอัด ก่อนจะขอตัวเจ้าพ่อกลับคุ้มเพราะยิ่งอยู่นาน นางก็ยิ่งจะข่มหัวใจของตนเองไม่ให้ร้องไห้และปล่อยน้ำตาออกมาไม่ได้
พอมาถึงคุ้ม เข้านั่งยังตั่งไม้ภายในเติ๋นน้ำตานางก็รินไหลออกมาไม่หยุด จนนางคำแปงที่ตามมาด้วยนึกสงสาร เข้าไปนั่งข้างๆ กับนาง พร้อมกับลูบหน้าลูบหลังเป็นการปลอบประโลม
“โธ่...เจ้านาง เจ้าเหนือเกล้าของคำแปง”
“คำแปง เฮาบ่อยากฮู้จักเจ้าแสนเมือง เฮาบ่อยากกินแขกกับหมู่ม่านรามัญ”
“เจ้านางน้อย เฮาเลี่ยงบ่ได้แล้วหนาเจ้า เปิ้นมาจะอี้แล้วนั่นก็แสดงว่าเปิ้นเปิงใจ๋เจ้านางขนาดนัก ผ่อโละ เอื้อยหันเปิ้นจ้องผ่อเจ้านางอย่างสิเน่หาขนาด เอื้อยว่าเปิ้นจะต้องฮักเจ้านางขนาดนักเจ้า”
“แต่คำแปง...เฮาบ่ได้ฮักเปิ้น แล้วจะอยู่กั๋นได้จะใด”
หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว ไม่ชอบ...คำนี้มันยังคงวิ่งวุ่นอยู่ในหัวใจ ใช่แล้วนางไม่ได้รักเขา แล้วจะให้นางได้แต่งงานกินแขกกับเขาได้อย่างไร
“บ่ฮัก...พอกินแขกแต่งดากันแล้ว แห๋มบ่เมินเจ้านางน้อยของคำแปงจะต้องฮักเปิ้น”
“แต่เฮาบ่ได้ฮัก จะเมินจะนานขนาดไหนเฮาก็บ่ได้ฮัก”
“เจ้างาม...”
นางพี่เลี้ยงทอดถอนใจกับความดื้อดึงของเจ้านางน้อย หากส่วนหนึ่งก็ยังคิดเห็นใจ พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะปลอบเจ้านางให้หายโศกเศร้าหมองมัวในหัวใจ
แล้วจะทำอย่างไร จะให้เจ้านางดีขึ้นได้
“โธ่...เจ้านางน้อยของคำแปง”
เมื่อหมดสิ้นซึ่งคำปลอบประโลม นางคำแปงจึงได้แต่โอบกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างแนบแน่น ปล่อยให้เจ้านางปล่อยน้ำตาออกมาตามแต่ที่หัวใจของนางจักปรารถนา
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงกว้าง แม้ว่าจะยังเข้าสู่นิทราลึก ดวงจิตดำเนินสู่ห้วงเวลาแห่งอดีตที่มีสิ่งหนึ่งคอยดลใจให้เป็นไป ดวงตาที่หลับพริ้มมีม่านน้ำสีใสฉาบคลอ ก่อนที่น้ำตาอุ่นๆ จะไหลออกมา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
อีกนานเท่าไร หัวใจดวงนี้จักหลุดพ้น...
สองร่างก้มกราบลงสามครั้งด้วยท่วงท่างดงามยิ่งนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับรอยยิ้มของหญิงนางหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดสะอ้าน บนศีรษะโกนจนโล้นเลี่ยน นางมองมายังทั้งสองหนุ่มสาวด้วยรอยยิ้มเมตตา
“เจริญพรเถิดแม่ พ่อ”
เสียงเอ่ยทักช่างหวานหยาดหยดเป็นยิ่งนัก เจ้านางน้อยจันทร์งามมองร่างตรงหน้าซึ่งเคยมีเค้าความงามอยู่ ก็อดจะชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้
“แม่ชีเพิ่งมาอยู่ตี้วัดนี้ไจ้ก่เจ้า ข้าเจ้ามาวัดนี้มั่นบ่เคยหันสักเตื้อ” เจ้านางน้อยเอ่ยถามพรางยกมือขึ้นยอไหว้อย่างน้อมนบ
“แม่เพิ่งเดินทางมาถึงบ่กี่วันนี่ มาขออาศัยนั่งวิปัสสนากับหลวงพ่อเปิ้น”
“แม่ชีมาจากถิ่นไหนแดนใด ขอรับ” เจ้าหนุ่มเอ่ยถามอย่างใครรู้
“แม่มาแต่เวียงโยนกพู้นหนา จาริกมาที่นี่ก็เพราะได้ยินกิตติศัพท์ของพ่อครูบา เลยอยากจะมาขอตั๋วเป็นศิษย์เปิ้น”
“มาไก๋แท้เนอะ ถ้าจะอั้นแม่ชีมีอะหยังจะหื้อข้าเจ้าช่วยก็บอกได้เน้อเจ้า ข้าเจ้ายินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
“ขอบใจ๋ลูกจาดนักเน้อเจ้านาง...บุญวาสนาในการค้ำจุนพระศาสนาจักทำหื้อแม่มีความสุขสมหวังบ่ว่าจาดนี้หรือจาดหน้า”
“ขอสาธุบุญแม่ชีเต๊อะเจ้า” เจ้านางน้อยยกมือท่วมหัว น้อมรับคำพรเหล่านั้น
“จะอั้นแล้ว หมู่เฮาบ่ขอรบกวนแม่ชีละ ไปเต๊อะเจ้านางหื้อแม่เปิ้นได้นั่งสมาธิเต๊อะ” เจ้าหนุ่มเอ่ยชวน ก่อนจะก้มลงกราบแม่ชีอีกครั้ง
“เจริญพรเน้อแม่ พ่อ ขอหื้อบุญสมกันเน้อ”
/////
หลังได้เข้าไปกราบแม่ชีแล้ว ทั้งสองหนุ่มสาวจึงชวนกันออกมายังลานของวัดเพื่อจะพูดคุยกันอย่างเช่นทุกครั้ง
หลากหลายครั้งที่ได้เจอะเจอ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น จนในเวลาต่อมาได้แปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ยากจะปฏิเสธหัวใจของกันและกันได้
ยิ่งนานวันความรักของเจ้าน้อยภูมินทร์กับเจ้านางจันทร์งามก็ยิ่งแน่นแฟ้นไปทุกขณะ กว่าเดือนแล้วที่ทั้งสองหนุ่มสาวได้รู้จักและพูดคุยกัน
เจ้าน้อยเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยดี บวกกับความเป็นกันเองของเจ้านางจันทร์งามหนุ่มสาวทั้งสองจึงได้ผูกสมัครรักใคร่กันได้ไม่ยาก ยิ่งนานวันทุกลมหายใจของเจ้านางน้อยก็ยิ่งมีเจ้าน้อยภูมินทร์อยู่ในหัวใจ
ยิ่งนานวัน ความรักก็ยิ่งงอกงาม ทว่าก็บ่เคยถึงขั้นต้องผิดผีให้ฝ่ายเจ้านางต้องอับเศร้าหมองศรีเป็นราคีให้ฝ่ายไหนต้องมาว่า เพราะทุกครั้งที่ทั้งสองมาพบปะกันก็เป็นการพบปะกันในขอบเขตของพระพุทธศาสนา การพูดคุยอู้จากันก็ไม่ได้เกินเลย มีอยู่หลายครั้งที่มีการเกี้ยวพา หากเจ้าราชบุตรหนุ่มก็บ่เคยคิดที่จะทำหื้อเจ้านางเปิ้นได้เสื่อมเสีย
อ้ายฮักเจ้านัก ฮักนักฮักหลาย
แม้ต้องชีพวาย บ่กรายไปหน้า
ความฮักของน้อง บ่ข้องหมองหมาง
แม้ชีพต้องวาง ก่ฮัก
เกิดไปจาดหน้า บ่ลาเลือนรัก
ขอหื้อศรปัก ฮักอ้ายคนเดียว...เจ้าเฮย
ฟังเน้อพระธาตุเจ้า จอมศรี
องค์พระเป๋นสักขี พยานข้า
สัจจะที่ข้ามี แด่เจ้า
บ่เลือนแม้ชาติหน้า ฮักแม่นางเดียว
คำมั่นสัญญาไม่เคยเลือนราง แม้เวลาจักผันผ่านนานเท่าไร ความรักของเจ้าน้อยภูมินทร์ที่มอบให้กับเจ้าจันทร์งามก็ไม่เคยหมดหายไปเลยสักนิด นับนานวันความรักของสองเจ้าก็ยิ่งเพิ่มพอกทวีคูณ
องค์พระธาตุเจ้าแห่งวัดเชียงหมิ่น ได้กลายเป็นพยานรักของทั้งสองตลอดมา ทุกวันที่ได้พบเจอกัน ทั้งสองก็มักจะมาไหว้สาองค์พระธาตุ ขอให้เป็นพยานรักของทั้งสองและประสิทธิ์พรให้รักนั้นมั่นคงตราบนานเท่านั้น
ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ความรักก็ไม่เคยเลือนราง
ยิ่งนานยิ่งเพิ่มรัก ยิ่งรักก็ยิ่งผูกพัน แลยิ่งผูกพันรักนั้นก็ไม่เคยเสื่อมคลาย
พระธาตุเจ้าเป็นพยานเน้อ ความฮักของอ้ายภูมินทร์มากล้นเพียงใด เจ้านางรู้เช่นเดียวกับเจ้านางที่รักหนุ่มจากเวียงยามากล้น ไม่อาจมีอะไรมาขว้างกั้นรักนี้ได้ ปานประหนึ่งหินผาก้อนใหญ่ ที่ไม่อาจให้ลมฟ้ามาผลักให้พรากจากกันได้
ยิ่งนานวัน ความรักก็ยิ่งสนิทแน่นเกรียวกลม แลแน่นแฟ้นเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ว่าอะไรจะมาพรากพลัดไป นานแค่ไหนก็จะต้องกลับมารักกันอีกจนได้
แม้ชาติหน้า หรือชาติไหนๆ ภาวนาขอให้ได้กลับกลายเป็นคู่สมกันไม่เคลือนครา...
///////
ภูริตค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทุกความรู้สึกรักยังคงจุกแน่นอยู่ในหัวใจหนุ่ม ทุกความรู้สึกมันยังคงฝังแน่นและเวียนวนอยู่ในตัว เสียงฝนที่มันสาดซัดอย่างหนักเมื่อหลายเวลาก่อน บัดนี้ได้ขาดเม็ดไปแล้ว จะหลงเหลือเพียงมวลหมู่น้ำฝนที่เจิ่งนอนอยู่โดยรอบเท่านั้น
ชายหนุ่มทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า สมองที่เหมือนจะอยู่กับห้วงแห่งสมาธิเมื่อครู่ค่อยๆ ปรับสภาพเข้าสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ก่อนสายตาคู่นั้นจะไปหยุดยังร่างในชุดสีขาวที่นั่งด้วยรอยยิ้มเมตตาและมองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะพ่อหนุ่ม”
เสียงนั้นเรียบเย็น จนทำให้ผู้ฟังถึงกับขนลุกซู่ หากภาพนิมิตของเขาเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยนหรือบิดเบือนไป แน่ใจแล้วว่าร่างตรงหน้ากับสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่จะเป็นคนเดียวกัน
“แม่ชี...”
ทั้งกรอบหน้าและแววตาดั่งภาพที่คุ้นเคย แม้ว่าโครงหน้าจะเปลี่ยนไปบ้างตามห้วงแห่งอายุสังขาร แต่เขาก็ยังคงจำได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด
“เมื่อกี้...แม่ชี เมื่อกี้...”
“ใช่แล้วล่ะพ่อหนุ่ม...เราเคยเจอกัน นานมาแล้ว นานแสนนาน”
ภายในหัวสมองรู้สึกสับสนกับภาพที่เห็น เสียงที่สนทนากัน มันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าหากว่าช่วงเวลาที่เขาเห็นในนิมิตเมื่อครู่เป็นอดีตชาติจริงๆ ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกับคำพูดของแม่ชีตรงหน้า
ยิ่งคิดก็ยิ่งงง ยิ่งเค้นก็ยิ่งไม่ได้คำตอบ...
“หมายความว่า...สิ่งที่ผมเห็นเป็นเอ่อ...อดีตชาติของผมหรือครับ”
“มันอยู่ที่ดวงจิตของเราต่างหากล่ะพ่อหนุ่มว่าจะเปิดรับมันหรือไม่ เมื่อจิตนิ่ง สมาธินิ่ง สิ่งที่เราอยากจะเห็นมันอาจจะทำให้เห็น อีกอย่างหนึ่งมันก็อยู่ที่บุญทำกรรมสร้างมานั่นแหละ บุญมีมากก็จะส่งผลมาก บุญมีน้อยกรรมมีมากมันก็ส่งผลไปอีกแบบ ทั้งหมดทั้งมวลมันก็อยู่ที่บุญกรรมของเราไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ”
แม่ชีเอ่ยบอกเสียยืดยาว หากชายหนุ่มกลับไม่เข้าใจอยู่ดี หัวคิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย
“ผมไม่เข้าใจครับแม่ชี แล้วกับผมมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนั้น”
“ก็อย่างที่แม่บอกนั่นแหละ มันอยู่ที่บุญกรรมของแต่ละคนที่จะกำหนดให้เป็นไป สิ่งที่พ่อหนุ่มเห็นบางทีเจ้ากรรมนายเวรท่านอาจจะต้องการให้กลับไปแก้ไขอะไรก็ได้”
“แก้ไข...แก้ไขอะไรหรือครับ”
“ระยะเวลามันจะเป็นตัวชี้นำเอง เรื่องนี้แม่ไม่อาจจะพูดอะไรมากได้”
“เอ่อ...แม่ชีครับ สิ่งที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ หากว่ามันเป็นเรื่องจริงนั่นแสดงว่ามันคืออดีตชาติของผมใช่ไหมครับ”
ถือโอกาสถาม เพื่อจะหาทางไขความกระจ่างกับความฝันและนิมิตซึ่งเด่นชัดมาในช่วงหลายวันนี้ให้ได้
แม่ชีไม่ตอบ หากแต่คลี่ยิ้มบางๆ ทอดสายตามองออกไปยังทางเบื้องหน้าอยู่นิ่งนาน
“สิ่งที่ลูกเห็นหากคิดว่ามันคือความจริง มันก็คือความจริง หากคิดว่ามันไม่จริง มันก็ไม่จริง”
“ถ้าผมเชื่อว่านั่นเป็นเรื่องจริง นั่นแสดงว่าผมกับแม่ชีเคยเจอกันใช่ไหมล่ะครับ”
“แม่เคยบอกไปแล้วอย่างไรล่ะ การจะได้พบเจอกันหรือไม่นั้น มันก็อยู่ที่การยอมรับของแต่ละฝ่าย”
เห็นแม่ชีพูดออกมาเช่นนั้นเขาก็พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปอีกทางหนึ่งเมื่อเสียงเรียกของสิชลและนายแหวงซึ่งกลับมารับเขาอีกครั้งและดูเหมือนว่าบัดนี้บรรยากาศโดยรอบเริ่มจะสลัวไปมากแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้ากว้าง สาดทอแสงสีส้มยังปลายฟ้าอย่างสวยงาม
“เฮ้ยภู...กลับได้แล้ว” สิชลเดินมาถึง พร้อมกับเอ่ยทักอย่างเป็นห่วง
“ฝนตกเยอะ นึกว่านายจะไม่มีที่หลบฝนเสียแล้ว เลยรีบมารับ”
“ฉันก็รออยู่นี่แหละ นึกว่านายจะเบี้ยวไม่มารับเสียแล้วสิ ว่ากำลังจะโทรตามอยู่พอดี”
ภูริตลงจากแคร่มายืดตัวยืนอย่างเต็มตัว ต่อเมื่อจะหันไปล่ำลาแม่ชีทว่าสิ่งที่เห็นในเวลานี้กลับว่างเปล่า
“เอ๊ะ...” เขาอุทานอย่างแปลกใจ แม่ชีหายไปไหนเสียแล้ว เมื่อครู่ยังพูดคุยกันอยู่นี่
“อะไรภู...ทำเสียงซะดูตกใจ”
“ก็แม่ชี เมื่อกี้นั่งอยู่ตรงนี้กับฉันนี่”
“นั่งกับนาย” สิชลทำเสียงกึ่งตกใจ กึ่งหวั่นใจ “เมื่อกี้นี้นายว่านั่งอยู่กับแม่ชี”
“ใช่” ภูริตพยักหน้า ประกายตาที่ฉายออกมาบอกอย่างชัดเจนว่านั่นคือความจริง
“แต่เมื่อกี้ฉันเห็นว่านายนั่งอยู่คนเดียวนะ ไม่มีใครเลย”
“บ้าแล้วล่ะสิชล แม่ชีท่านนั่งอยู่นี่ทั้งคนนายไม่เห็นได้ยังไง เมื่อกี้ฉันยังคุยกับท่านอยู่เลยฉันนั่งกับท่านตั้งแต่ก่อนฝนตก จนเมื่อกี้นายมา ท่านคงจะเดินไปแถวๆ นี้แหละ”
แล้วก็เดินไปสำรวจโดยรอบต้นไทรใหญ่ต้นนั้น จวบจนวิ่งไปจนรอบต้นนั้นแล้ว หากแต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของคนอยู่แถวนั้นเลย มันมีแต่ความว่างเปล่าและความเงียบ จนทำให้สิชลขนลุกเข้ามาสะกิดและเอ่ยเตือน
“ฉันว่าเรากลับกันก่อนเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว มีอะไรค่อยไปคุยกันในรถ”
แล้วก็เดินนำกลับไปยังรถในทันที ขณะภูริตไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เจ้าเพื่อนพูดมากนัก บางทีแม่ชีอาจจะเดินเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งอยู่ถัดไปนี้ก็เป็นไป เขาก็เลยไม่เห็น ตั้งใจว่ามาคราวหน้าจะต้องพูดกับท่านให้มากกว่านี้ บางที สิ่งที่มันค้างคาและสงสัยอาจจะได้รับคำตอบในไม่ช้านี้ก็เป็นได้
เขาคิดและขอให้เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกอย่างกระจ่าง เขาจะได้รู้สักทีว่าอะไรกันแน่ที่ต้องการให้ช่วยเหลือและเนรมิตให้เขาได้เห็นซึ่งภาพในอดีตที่ชัดเจน
//////
ค่ำแล้ว สายลมเย็นยิ่งพัดพาเอาความหนาวมาจากสันดอยใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก ทำให้ทั่วอาณาบริเวณมีหมู่สายหมอกเส้นบางๆ ลอยคว้างอยู่เหนือปลายยอดไม้สีดำที่ตั้งตะคุ้มภายใต้เงามืด ในยามที่มันโบกสะบัดกวัดไกว ปานประหนึ่งมือจากขุมนรกอเวจีกวักเรียกหมู่วิญญาณที่สิ้นอายุไขบนโลกมนุษย์ให้ไปชดใช้กรรมในขุมนรกอันร้อนแรง
หากใครกรรมมากก็ตกสู่หล่มลึกแห่งห้วงเปลวอัคคีที่เริงแรง หากกรรมน้อยบุญนักหลังได้ชดใช้ต่อเพรงกรรมเสร็จสิ้นก็ต้องระเหระหนขึ้นมาเกิดเพื่อจะกินบุญเก่าหรือชดใช้กรรมเก่าจนกว่าจะหมด เมื่อตายแล้วก็เกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตาย
เป็นอยู่เช่นนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ หมุนเวียนผันเปลี่ยนกันไปไม่รู้จักจบสิ้น
ต่อเมื่อบรรลุเห็นองค์ธรรมเป็นสรณะ แลหลุดพ้นสู่นิพพาน บัดนั้น การเวียนว่ายก็จะหมดสิ้นลง
หลังได้อ่านหนังสือจนรู้สึกเบื่อแล้วจันทร์เจ้าจึงเดินมาหยุดยืนยังริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปในความมืด ปล่อยให้สายลมเย็นที่พัดผ่านมาช่วยขัดเกลาอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน หรือสิ่งที่มันเป็นสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสือ ไม่แม้กระทั่งความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตมาทั้งวันให้มันผ่อนคลายกับสายลมเย็นที่พัดเข้ามา
เนิ่นนาน...จิตใจจึงได้สงบ
เมื่อสงบจึงได้มีเวลาคิดอีกครั้ง แล้วสิ่งที่มันก่อเกิดขึ้นภายในห้วงแห่งความคิดนั้นมันก็คงจะไม่พ้นไปจากเรื่องปริศนาของเจ้าจันทร์งาม
คุณย่าบัวคำได้ตั้งประเด็นที่หญิงสาวอยากจะรู้เกี่ยวกับความรักของเจ้านางจันทร์งามว่ามันไม่ใช่ความสุขเสมอไป
แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เกิดเช่นนั้น
คำพูดของหญิงชราเด่นชัด เมื่อมีรักความทุกข์มักจะตามติดเสมอไป
มันหมายความว่าอย่างไร เจ้านางจันทร์งาม ผู้งามทั่วหล้าจบฟ้ามาสู่ดินนั้นมีความชอกช้ำอะไรกับความรัก
เจ้าน้อยภูมินทร์...คำนี้แล่นวนอยู่ภายในหัวใจพลันก็รู้สึกเจ็บปวด พร้อมกันนั้นสิ่งที่รู้สึกก็เหมือนจะแล่นริ้วๆ ไปทั่วร่างกาย
ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเช่นนั้นได้นะ...มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
เจ้านางผู้ที่มีกลิ่นกายหอมกับความงามที่หาใครเทียมเท่าได้ มีความเจ็บช้ำอะไรกับความรักระหว่างนางกับเจ้าน้อยภูมินทร์
มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคนนี้กันแน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะรู้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งอยากจะขวนขวาย
แล้วเมื่อไรล่ะเธอถึงจะรู้ความจริงว่าความรู้สึกของตนเองที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไรและมันได้เกี่ยวกันกับเรื่องราวเหล่านั้นหรือไม่
ทว่าภาพแห่งความฝันก็เริ่มเด่นชัด ภายในห้วงนิมิตที่เธอเห็นนั้น เสมือนว่าเธอคือคนๆ เดียวกับเจ้าจันทร์งาม
เป็นไปได้อย่างไรกัน...
เธอยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ความคิดที่หลากหลายก็พลันวิ่งปราดเข้ามาให้ได้คิด ทั้งอยากรู้ หากอีกใจหนึ่งก็เหมือนอยากจะปิดกั้นไม่อยากจะเป็น ปานประหนึ่งจะล่วงรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันจะทำให้เธอนึกกลัว...กลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวแม้กระทั่งกับความคิดของตนเอง
สายลมระลอกใหม่พัดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มันได้พัดพาเอากลิ่นหอมของไม้ดอกสีขาวซึ่งเธอคุ้นเคยเข้ามาด้วย...ดอกเก็ตถวา หรือดอกพุดซ้อน...กลิ่นนั้นหอมเย็น จนทำให้หัวสมองของหญิงสาวเบาโล่ง
เหมือนว่าได้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ กลิ่นหอมนั้นยังคงติดจมูก ดวงจิตยังไม่ดับวูบ เธอยังเห็นสิ่งที่ลอยคว้างอยู่โดยรอบ แม้จะว่างเปล่า หากสิ่งที่ยังคงลอยวนอยู่โดยรอบตัวของเธอคือสายหมอก
สายหมอกเส้นบางๆ สีขาวราวกับปุยนุ่มอันบางเบา มือบางเอื้อมไปคว้ามันอย่างหลงใหล หากก็เป็นได้แต่เพียงคว้าแค่อากาศธาตุเท่านั้น เมื่อมันค่อยๆ จางหายไปในชั่วเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น
‘เจ้า...เจ้างาม’
เสียงเรียกนั้นในชั้นแรกเบาหวิว ดั่งจะดังมาจากที่อันไกลแสนไกล ต่อเมื่อเธอได้สดับและนิ่งฟังเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งปานจะกระซิบอยู่ใกล้ๆ แค่นั้นเอง
“เจ้านางน้อย...เจ้างาม เจ้านางจันทร์งาม...”
“ท่าน...”
จำได้ว่าตอบโต้ไป ก่อนภาพที่ปรากฏอยู่ในครองจักษุจะเห็นภายในม่านหมอกซึ่งมัวสลัวนั้นค่อยๆ เปิดเป็นม่านออก ก่อนจะปรากฏร่างของใครคนหนึ่งยืนแทนที่ยังจุดนั้น
“เจ้านาง...”
เสียงนั้นเข้มขรึม บ่งบอกของลักษณะที่เป็นชายชาตรีแข็งแกร่งดั่งนักรบทหารกล้า ประกายตาซึ่งมองตอบมายังเธอ ส่องจ้าซึ่งความปรารถนาและสิเน่หาเป็นยิ่งนัก
ชายคนนั้นอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเนื้อ ทว่าปักด้วยดิ้นทอง เสื้อตัวนั้นผ่าอกจนเห็นมัดกล้ามอัดแน่นอยู่ในนั้น เขาคนนั้นหรือว่าชายผู้นั้นอยู่สวมกางเกงผ้าแพรสีเดียวกับเสื้อ ส่วนที่ศีรษะมีผ้าโพกสีแดงจางโพกอยู่อย่างเข้ากัน
“เจ้านางน้อย...จ้วยอ้ายตวย ช่วยด้วย”
“ช่วย...ช่วยอะไรคะ”
จันทร์เจ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เมื่ออีกฝ่ายขอความช่วยเหลือจากเธอ สิ่งไหนที่เธอคิดว่าช่วยได้ เธอก็อยากจะช่วย
“จ้วยด้วยเจ้านาง...จ้วยอ้ายตวย”
เหมือนยิ่งพูด ก็ยิ่งเหมือนมีช่องว่างขนาดใหญ่มาวางขวางกั้นเอาไว้และสิ่งนั้นมันก็ยิ่งขยาย จากภาพที่เห็นชัดเจนและเสียงที่เด่นชัดก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย ทีละน้อย จนในที่สุดภาพนั้นก็ห่างหายไป
“ช่วยอ้ายด้วยเจ้านาง...ช่วยด้วย”
สายลมพัดวูบเข้ามาประทะหน้าอีกครั้ง พลันสติที่มีอยู่ทั้งหมดก็กลับมา ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เธอหอบหายใจถี่รับรู้ถึงหัวใจอันเต้นรัวเร็ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
หากสิ่งที่เด่นชัด ชายผู้นั้นต้องการให้เธอช่วยอะไร
เพียงชั่ววูบของความคิดและการกะพริบตา ดวงตาคู่สวยก็เบิกขึ้น เมื่อเห็นภาพของชายผู้นั้นอีกครั้งยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พอเธอยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อจะให้เห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน ชายคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
หากยังคงเสียงนั้นที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ
‘จ้วยด้วย จ้วยอ้ายตวยเจ้านาง’
สรรพเสียงนั้นเด่นชัด เช่นเดียวกับภาพเหล่านั้นยังคงติดตาและอยู่ในห้วงแห่งมโนนึกนับตั้งแต่ที่ได้ผจญกับสิ่งเหล่านั้น
ไร้ซึ่งคำตอบ...แล้วเธอจะทำอย่างไร
ถอยเข้ามานั่งยังปลายเตียงนอน พยายามเป็นอย่างยิ่งจะทำให้ตัวเองเห็นภาพเหล่านั้นอีกครั้ง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเดิม ความพยายามนั้นหมดหวังไปพร้อมๆ กับอาการง่วงที่ดำเนินเข้ามา ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากไปกว่านั้น เธอจึงตัดสินใจตัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกไปจากหัวใจ ก่อนจะข่มตาหลับและพักผ่อนในที่สุด
ชั่วไม่นานเธอก็ดำเนินเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรารมณ์
/////
แม้ความรักจักหวานชื่น หากเมื่อนั้นวันแห่งความเจ็บปวดก็เดินทางมาถึงเจ้านางน้อย เมื่อความจริงบางอย่างที่ได้ยินจากปากของเจ้าพ่อ นั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของนางเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก
“มันคงจะถึงเวลาแล้วที่เจ้าจักได้กิ๋นแขกกับคู่แพงของเจ้า...”
“เจ้าป้อ...”
เจ้านางน้อยอุทานด้วยความตกอกตกใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำนี้ แถมอีกใจหนึ่งไม่เคยคิดว่าตนจักมีคู่แพงเหมือนเจ้าเอื้อยเกี๋ยงคำที่กำลังจะกินแขกกับเจ้าราชบุตรแห่งเวียงโยนกในไม่ช้านี้
ใคร...ใครคือคู่แพงของนาง เป็นใครที่ไหนที่ทำให้นางต้องหนักใจเช่นนี้
“มันถึงเวลาแล้วเจ้างามเอ๋ย เจ้าเอื้อยของลูกเดือนแปดหน้าก็จักได้กิ๋นแขกไปเป็นเจ้านางแห่งเจ้าเวียงเชียงแสนแล้ว สำหรับเจ้าก็เหมือนกัน มันก็คงจะถึงเวลาแล้วที่ลูกจักได้ฮู้จักกับคู่แพงคู่หมายของลูก”
“เป๋นไผเจ้า...เจ้าป้อ”
ปานประหนึ่งแผ่นฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทลาย หัวใจของเจ้านางจะยุบวาบแตกสลายในครานั้นแล้ว หัวใจของนางมีแต่อ้ายน้อยภูมินทร์ ไม่มีใครอีกแล้ว
“เจ้าแสนเมือง...เจ้าราชบุตรแห่งกรุงอังวะบูรี”
“เป็นจาวม่าน...บ่เอา ลูกบ่ยอมกินแขกกับเปิ้น เปิ้นเป็นชาวม่าน มาทำหื้อบ้านเฮาเมืองเฮาต้องอยู่บ่เป๋นสุข ลูกบ่ยอมเด็ดขาดเจ้าป้อ” หันมาทางเจ้านางเกล็ดหล้าผู้เป็นแม่ เสมือนขอความช่วยเหลือ “เจ้าแม่...บ่เอาเน้อ ลูกบ่กินแขกกับหมู่ม่านเน้อ”
ขณะพูดพลันน้ำตาก็รินไหลอาบสองแก้มนวล หรือนี่ความหวังที่จะได้เป็นคู่สมของอ้ายน้อยภูมินทร์จะไม่เป็นจริงเสียแล้ว
อ้ายน้อยบอกว่าอีกไม่กี่วันพระที่จะผ่านไป เขาจะเข้าเวียงมาบอกเจ้าพ่อว่าจะสู่ขอเจ้านาง เขาจะพาผู้ใหญ่มาอู้มาจากัน แต่นี่ไม่ทันไรแล้วเจ้าพ่อกลับบอกว่านางมีคู่หมายที่จะต้องกินแขกกันในเร็วไว
“เจ้าเปิ้นจะมาแอ่วเวียงเฮาในวันพระใหญ่หน้านี่ เปิ้นมาเพื่อจะผ่อตั๋วของลูก”
“แต่เจ้าป้อ จะใดเจ้าป้อถึงได้ไปเข้ากับชาวม่านรามัญได้เล่า เจ้าป้อก่ฮู้ เวียงของเฮาที่เป็นอยู่จะอี้ก็เพราะไผ บ่ไจ้จาวม่านพวกนั้นก่า เวียงของเฮาอยู่อย่างเป็นสุขเสมอมา หมู่เฮาบ่เกยไปรุกรานไผ แต่จาวม่านหมู่นั่นก็มารุกรานเฮา ทำหื้อบ้านเฮาเมืองเฮาอยู่บ่เป็นสุข แล้วจะอี้แล้วเจ้าป้อยังจะไปเข้ากับหมู่นั้นแห๋มกา”
“เจ้างาม ลูกกับเปิ้นหมั้นหมายเป็นคู่แพงกันมาเมินแล้วเน้อ ลูกฮักของพ่อ เจ้าเป๋นสาวสักวันก็ต้องออกเฮือน พ่อบ่หันไผที่จะเหมาะสมคู่กับลูกเท่าเจ้าแสนเมืองเปิ้นแล้ว”
เจ้าหลวงคำผาเมืองพยายามเป็นอย่างยิ่งจะทำให้เจ้านางน้อยเข้าใจ หากนางก็ไม่เข้าใจอยู่ดีนางไม่ได้รักเขา จะให้กินแขกกับเขาได้อย่างไร
ยิ่งพวกนั้นเป็นม่านพม่าชาวพุกาม คนที่ทำให้ทั่วหัวเมืองทั้งล้านนาทั้งตะวันตกตะวันออกต้องตกไปอยู่ภายใต้อำนาจ ทำให้การปกครองของพ่อเมืองทั้งหลายต้องอยู่ในสายตาของชาวม่าน จะทำสิ่งใดก็ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวก เพราะมีชาวม่านคอยสอดส่องดูอยู่ตลอดเวลาจนอึดอัด
“แต่ลูกบ่ได้ฮักเขา”
“ลูกเอ๋ย ลูกฮักของป้อ อยู่กิ๋นกันไป บ่เมินลูกก็จะฮักเขาเองนั่นแล”
“แต่ลูกบ่ได้ฮักเปิ้น จะใดลูกก็บ่ยอมแบ่งใจ๋ไปฮักเปิ้นได้ดอกเจ้าป้อ”
น้ำตาสีใสไหลรินไม่หยุดหย่อน กรอบหน้าสวยหมองคล้ำ เจ้าพ่อเจ้าแม่ไม่เคยเข้าใจ ว่านางไม่ได้รักเจ้าแสนเมือง คนที่นางรักคืออ้ายภูมินทร์ ชายผู้นี้เป็นเพียงคนเดียวที่นางมอบหัวใจให้ไปแล้ว จนไม่มีที่ว่างให้ใครเข้าไปอยู่ได้อีกต่อไป
นางรักอ้ายน้อยภูมินทร์ เท่าๆ กับอ้ายภูมินทร์ก็รักนาง
สำหรับเจ้าแสนเมืองนางไม่ได้รักเขาและก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักตัวของนางด้วยหรือไม่ สิ่งนี้ก็ยิ่งยากจะคาดเดาได้
เช่นกัน...ที่ทำเพราะทำไปตามประเพณีไม่ใช่หรือ
แล้วการกินแขกจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ทั้งสองไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
ไม่ได้รัก ไม่ได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน แล้วจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
ยิ่งคิดยิ่งสับสน พลันน้ำตาก็เอ่อไหล
“เจ้าป้อบ่เข้าใจ๋ลูก เจ้าป้อบ่เข้าใจ๋งาม...” นางว่าพร้อมกับส่ายหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะวิ่งถลาออกไปจากที่แห่งนั้นในทันที
นางจะทำเช่นไรกับเหตุการณ์เหล่านี้ นางจะหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร...
/////
แล้วสิ่งที่ทำให้เจ้าจันทร์งามต้องหนักใจและกลัวก็เดินทางมาถึง เมื่อการเดินทางมาถึงยังวรนครของเจ้าแสนเมือง เจ้าอุปราชหนุ่มแห่งเวียงอังวะ
ไม่อยากจะออกมาพบ แต่ก็ต้องจำยอม ยังจำได้หัวใจดวงน้อยเต้นรัวเร็ว ใจหนึ่งไม่อยากพบหน้า หากอีกใจหนึ่งกลับอยากจะทะยานหนีไปให้ไกลแสนไกล ทว่าทุกอย่างที่อยากจะให้เป็น กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ร่างบางระหง ในชุดเสื้อปั๊ดแขนยาวทรงกระบอกเข้ารูป สาบเสื้อป้ายปักดิ้นทองอย่างสวยงาม เข้ากับชุดผ้าซิ่นลายน้ำไหลสีแดงเหลือบดำฝีทอประณีต กรอบหน้าสวยเข้ารูปกับคิ้วบางโก่งงอนดั่งคันศิลป์พระราม ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายดุจตาเนื้อทราย จมูกงุ้มงามรองรับด้วยริมฝีปากจิ้มลิ้มสีลิ้นจี่สุก โครงหน้ายาวรีรองรับกับเส้นผมสลวยบนหัวซึ่งม้วนเกล้าเก็บภายใต้ผ้าโพกสีชมพูพันรอบศีรษะอย่างเข้ากัน มีปิ่นเงินปิ่นทองปลายประดับรัตนชาติเลื่อมงาม ทั้งดอกไม้ไหวปักแซม แสงนั้นสะท้อนวิบวับต้องตาเจ้าหนุ่มจากต่างเมืองซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ ข้างๆ กับพ่อหลวงแห่งวรนคร
เจ้าแสนเมือง จ้องมองร่างแน่งน้อยซึ่งเยื่องย่างเข้ามาในที่แห่งนั้นจนตาไม่กระพริบ
งาม...นางช่างงามเหลือเกิน
...งามดั่งเทพเทวาปั้นแต่ง งามดั่งแว่นฟ้าสุกใส
งามดั่งบุปผาม่านเรืองไร งามดั่งเส้นใยของไหมงาม...
ดูเหมือนว่าความงามของอิสตรีทั่วทุกหล้า จะมาหลวมรวมเป็นแม่หญิงตรงหน้าอย่างแน่แท้แล้ว
เจ้านางน้อยเยื่องกายมาหยุดตรงหน้าของเจ้าพ่อ ก่อนจะทำกิริยานอบน้อมไหว้สา แล้วเบี่ยงกายขึ้นสบตากับผู้มาเยือน จึ่งกระทำการคารวะตามสมควร
ภายในหัวใจนางยิ่งเต้นรัว ไม่อยากใกล้กลับได้ใกล้ อยากหนีหายกลับทำไม่ได้ เจ้าพ่อจัดตั่งให้นางนั่งใกล้กับเจ้าแสนเมือง พร้อมกับแนะนำชักพานาทีให้ทั้งสองรู้จักกัน อีกไม่นานงานกินแขกก็จะเริ่มขึ้น รู้จักกันเอาไว้ จึงจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันที่เหนียวแน่น
ยิ่งนานนางยิ่งอึดอัด ก่อนจะขอตัวเจ้าพ่อกลับคุ้มเพราะยิ่งอยู่นาน นางก็ยิ่งจะข่มหัวใจของตนเองไม่ให้ร้องไห้และปล่อยน้ำตาออกมาไม่ได้
พอมาถึงคุ้ม เข้านั่งยังตั่งไม้ภายในเติ๋นน้ำตานางก็รินไหลออกมาไม่หยุด จนนางคำแปงที่ตามมาด้วยนึกสงสาร เข้าไปนั่งข้างๆ กับนาง พร้อมกับลูบหน้าลูบหลังเป็นการปลอบประโลม
“โธ่...เจ้านาง เจ้าเหนือเกล้าของคำแปง”
“คำแปง เฮาบ่อยากฮู้จักเจ้าแสนเมือง เฮาบ่อยากกินแขกกับหมู่ม่านรามัญ”
“เจ้านางน้อย เฮาเลี่ยงบ่ได้แล้วหนาเจ้า เปิ้นมาจะอี้แล้วนั่นก็แสดงว่าเปิ้นเปิงใจ๋เจ้านางขนาดนัก ผ่อโละ เอื้อยหันเปิ้นจ้องผ่อเจ้านางอย่างสิเน่หาขนาด เอื้อยว่าเปิ้นจะต้องฮักเจ้านางขนาดนักเจ้า”
“แต่คำแปง...เฮาบ่ได้ฮักเปิ้น แล้วจะอยู่กั๋นได้จะใด”
หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว ไม่ชอบ...คำนี้มันยังคงวิ่งวุ่นอยู่ในหัวใจ ใช่แล้วนางไม่ได้รักเขา แล้วจะให้นางได้แต่งงานกินแขกกับเขาได้อย่างไร
“บ่ฮัก...พอกินแขกแต่งดากันแล้ว แห๋มบ่เมินเจ้านางน้อยของคำแปงจะต้องฮักเปิ้น”
“แต่เฮาบ่ได้ฮัก จะเมินจะนานขนาดไหนเฮาก็บ่ได้ฮัก”
“เจ้างาม...”
นางพี่เลี้ยงทอดถอนใจกับความดื้อดึงของเจ้านางน้อย หากส่วนหนึ่งก็ยังคิดเห็นใจ พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะปลอบเจ้านางให้หายโศกเศร้าหมองมัวในหัวใจ
แล้วจะทำอย่างไร จะให้เจ้านางดีขึ้นได้
“โธ่...เจ้านางน้อยของคำแปง”
เมื่อหมดสิ้นซึ่งคำปลอบประโลม นางคำแปงจึงได้แต่โอบกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างแนบแน่น ปล่อยให้เจ้านางปล่อยน้ำตาออกมาตามแต่ที่หัวใจของนางจักปรารถนา
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงกว้าง แม้ว่าจะยังเข้าสู่นิทราลึก ดวงจิตดำเนินสู่ห้วงเวลาแห่งอดีตที่มีสิ่งหนึ่งคอยดลใจให้เป็นไป ดวงตาที่หลับพริ้มมีม่านน้ำสีใสฉาบคลอ ก่อนที่น้ำตาอุ่นๆ จะไหลออกมา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
อีกนานเท่าไร หัวใจดวงนี้จักหลุดพ้น...
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 เม.ย. 2555, 21:05:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2555, 21:05:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1516
<< ตอนที่ ๗ เงาอดีต | ตอนที่ ๙ การจากลา >> |