ดวงใจบ้านทุ่ง
เธอ...สานฝันการเป็นเกษตรกรมืออาชีพได้สำเร็จ โดยการละทิ้งหัวใจเอาไว้เบื้องหลัง เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เมื่อรักครั้งเก่าหวนมาด้วยเหตุอันไม่น่าเชื่อ ใจที่เคยเข้มแข็ง กลับอ่อนเป็นวุ้น...ได้อย่างง่ายดาย
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน ๑ โลกกลม...อย่างไม่น่าเชื่อ?

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากจัดการกิจการงานในความรับผิดชอบเสร็จ ปณยาก็ขึ้นรถกระบะสี่ประตูสีดำสนิท ตรงไปยังเป้าหมายที่จะสืบข่าวตามที่รับปากเพื่อนสนิทไว้ เพียงไม่ถึงสิบนาที เธอก็ถึงที่หมาย ‘รีสอร์ทแมกไม้กอหญ้า’ รีสอร์ทที่ใหญ่และดีที่สุดของจังหวัด ถึงแม้จะมีชื่อบางส่วนพ้องกับชื่อของเธอจนเพื่อนสนิทแอบแซวว่ามาแอบมีหุ้นส่วนอยู่ด้วย แต่น้อยครั้งนักที่เธอจะเหยียบย่างเข้ามา ซึ่งหนึ่งในน้อยครั้งก็คือ เมื่อคืนและวันนี้...

ร่างสูงโปร่งระหงเดินเข้าไปยังส่วนต้อนรับของทางรีสอร์ทด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้เลยว่ามั่นใจในตัวเองสูงเพียงใด แต่ละย่างก้าวแลดูมั่นคง ก่อนจะใช้นิ้วเคาะเคาน์เตอร์ต้อนรับ ที่ขณะนี้พนักงานต้อนรับยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนบางอย่างอยู่

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก สวัสดีค่ะขอจองห้องฮันนีมูนสวีทห้าห้องค่ะ”

“ที่นี่ไม่มีห้องฮันนีมูนสวีทนะคะ จะรับเป็น...” ท้ายประโยคหายไปพร้อมกับรอยยิ้มรับแขก เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าใครที่แสร้งมาเป็นลูกค้าตน “ยัยกอหญ้า มาก่อกวนอะไรที่นี่เนี่ย”

ปณยาฉีกยิ้มหวาน อย่างที่คนมองรู้แน่แก่ใจว่าต้องมี เรื่อง ให้เธอทำให้แน่ๆ “คือมีเรื่องอยากจะถามแอ้มหน่อยอ่ะจ๊ะ”

“ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะหน่อยล่ะมั้ง” แอ้มหรืออุรุชาหยอกแกมประชดอย่างรู้นิสัยกันดี เพราะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล

“แหม แอ้มรู้ทันหญ้าตลอดเลย งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ คือ หญ้ารู้ข่าวมาว่า เมื่อคืนที่นี่เกิดเรื่อง...เรื่องอะไรหรือ แล้วจัดการไงต่อ”

อุรุชามองหน้านายน้อยสาวแห่งสวนสินพสุธรอย่างรู้ทัน ไม่ต้องถามว่าใครเป็นผู้ส่งข่าว เพราะคนตรงหน้า สายข่าวในท้องที่นี้เยอะพอๆกับของตำรวจหรือบางทีอาจจะเยอะกว่าเสียด้วยซ้ำ แทบจะเรียกว่าเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลของอำเภอก็ว่าได้ แต่เป็นอิทธิพลในทางที่ดี ด้วยปณยามีทั้งพระเดชและพระคุณของหลายต่อหลายคนไม่น้อย หญิงสาวกวักมือเรียกให้เพื่อนก้มลงไปหา... ก่อนจะตอบคำถามที่อีกฝ่ายต้องการคำตอบให้ฟังอย่างกระจ่างแจ้ง

หลังจากฟังถ้อยความจบถ้วนทุกกระบวนคำ ประกอบกับมีผู้ใช้บริการของรีสอร์ทเดินเข้ามาในอาคารต้อนรับ ปณยาจึงอำลาเพื่อนพร้อมกับให้สัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนสำหรับ ข่าว ที่เธอแน่ใจว่าผ่านการกรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนจะเดินออกมา มุ่งตรงไปยังรถที่จอดไว้ใกล้ ๆ กับประตูใหญ่ ในระหว่างที่เดินไปยังรถ สายตาเธอก็กวาดไปพบชายต่างวันสองคน หนึ่งในนั้นคือคุณกิตดา ผู้จัดการรีสอร์ทที่เธอคุ้นเคยดีพอสมควร กับชายอีกคนที่เธอได้แต่อุทานในใจ โอ้โห หล่อโคตรๆ ลักษณะการนอบน้อมของคุณกิตดาที่มีต่อชายหนุ่มอีกคนที่เธอไม่เคยเห็น ดูจะมากกว่าที่อีกฝ่ายจะมีสถานะเป็นเพียงลูกค้า หญิงสาวเก็บความสงสัยไว้ในใจ ค่อยถามยัยแอ้มทีหลังแล้วกัน...

เมื่อขึ้นนั่งประจำที่คนขับสิ่งแรกที่ทำรองจากปิดประตูและติดเครื่องยนต์ คือการล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดเบอร์ที่จำขึ้นใจโทรออกไป รอสัญญาณไม่นาน ก็มีเสียงหวานใสทักตอบมาจากปลายสายมา

“สวัสดีค่ะ นายน้อยแห่งสินพสุธร...เหนื่อยไหมคะ”

หากอีกฝั่งได้เห็นหน้าเธอในขณะที่ฟังเสียง คงมีเสียงหัวเราะตามด้วย เพราะปณยายู่หน้าให้กับคำทักทาย ก่อนที่หญิงสาวจะตอบกลับอย่างกวนๆ ตามสไตล์ “เหนื่อยสิริน ทำงานที่สวนลุยกลางนาตลอดเช้าเลยนะ ไม่ได้ทำงานในห้องแอร์เย็นฉ่ำชื่นในสบายๆ อย่างท่านส.ส.สาวแสนสวยนะคะ” จบประโยคหญิงสาวก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆดังมาจากปลาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าประโยคคำถามข้างต้น น่าจะถามเรื่องเมื่อคืนมากกว่า ปณยาไหวไหล่อย่างไม่สนใจกับการเข้าใจผิดของตัวเอง ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน

“จ้า เพื่อนรัก อย่าจิกกัดกันบ่อยนักสิ เดี๋ยววันหยุดรินลงไปช่วยทำนาทำสวนก็ได้”

“อุ๊ยๆ ไม่ต้องเลยๆ ” หญิงสาวโบกไม้โบกมือปฏิเสธราวกับอีกฝ่ายอยู่เบื้องหน้า “เดี๋ยวชาวบ้านร้านตลาด เขาจะหาว่านายน้อยกอหญ้าใช้แรงงานส.ส.นรินศา คนสวยขวัญใจประชาชน”

“จ้าๆ แล้วเรื่องเมื่อคืนล่ะกอหญ้า ตกลงเป็นไงบ้าง”

คำถามของปลายสายทำให้เธอรู้ตัวว่าพาเพื่อนสนทนาออกอ่าวออกทะเลไปไกลจากจุดประสงค์การโทรมามากไปแล้ว ก่อนจะหัวเราะแหะๆ อย่างสำนึกผิด แล้วตอบไปตามที่ได้ฟังมา “อ้อ...ทุกอย่างเรียบร้อยจ้า ไม่มีข่าวอะไรสักอย่าง สงสัยรีสอร์ทนั่นจะได้ค่าสินน้ำใจไปเยอะ เลยไม่มีการแจ้งความใดๆ ฮ่าๆ”

“เฮ้อ…” เสียงปลายสายถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งใจ “ดีแล้วล่ะ กอหญ้า เดี๋ยวรินต้องวางสายแล้วนะ จะต้องไปพบท่าปลัดอำเภอเรื่องปลูกป่าทดแทนเสียหน่อย”

“จ้าๆ หญ้าก็ต้องไปซื้อของตามคำสั่งท่านแม่ที่จดโพยมายาวน้อยกว่าหางว่าวจุฬาสองมิลฯ ต่อเหมือนกัน ว่าจะโทรมาบอกข่าวเฉยๆ แต่ปากมันไม่รักดี ไปแขวะท่านส.ส.แสนสวยซะอย่างนั้น แบบว่ากลัวเหลิงอำนาจ เชิดคอย้าวยาวอยู่บนฟ้าโน้น” ปณยาตอบแกมหัวเราะ

คำตอบของเพื่อน หากเป็นคนอื่นคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่สำหรับนรินศาแล้ว คำพูดตรงๆของเพื่อนนั้น ถือเป็นการเตือนสติของเธอไปในตัว ซึ่งเธอนั้นได้บอกปณยาไว้ตั้งแต่วันลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วว่า ให้ช่วยเตือนถึงปณิธานเธอด้วย และก็มีเพียงเพื่อนคนนี้เท่านั้นที่กล้าบอกเธอตรงๆ ตามขอ “ค่าๆ ถ้ารินหลงอยู่บนฟ้าเมื่อไหร่ รินจะยอมให้กอหญ้าลากลงมากระทืบให้ติดดินตามเดิมเลย แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ บายจ้า”

ปณยาไม่ทันจะบอกลา ปลายสายก็กดตัดไปก่อนตามประสาคนคิดเร็วทำเร็ว จึงได้แต่หัวเราะเบาๆ พลางนึกได้ว่าลืมเราเรื่องเจอหนุ่มหล่อให้เพื่อนฟัง เธอยักไล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปที่เบาะข้างคนขับ แล้วออกรถไปยังเป้าหมายสถานีต่อไป


หลังจากซื้อของตามรายการสั่งซื้อที่มารดาจดมาให้ครบถ้วน พระอาทิตย์ที่ตรงศีรษะเมื่อตอนก้าวเข้าไปในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่แห่งเดียวของจังหวัด พอกลับออกมาเริ่มคล้อยลงไปโขแล้ว หญิงสาวก้มดูนาฬิกาข้อมือก็พบว่าใช้เวลาจับจ่ายไปเกือบสามชั่วโมง จากที่คิดว่าจะแวะไปร้านหนังสือก่อนคงต้องผลัดไปเป็นวันหลัง มิฉะนั้นเธอคงต้องกลับถึงบ้านมืดแน่ ๆ

ร่างสูงโปร่งระหงเข็นรถเข็นที่มีของบรรจุอยู่เต็มไปตามทาง ตรงไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดอยู่สุดลานจอดรถ ระหว่างที่เดินหญิงสาวนึกครึ้มฮัมเพลงไปด้วย เสียงล้อรถเข็นดังครึ่กๆ ด้วยวันนี้ไม่ใช่วันหยุด ลูกค้าของห้างฯจึงไม่เยอะ สังเกตได้จากรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ปณยาจึงวางใจว่าขณะที่ฮัมเพลง คงไม่มีใครมาได้ยิน

ก่อนที่ปณยาเข็นรถผ่านรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่สีแดงคันหนึ่ง หูของเธอก็ได้แว่วเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเธอหยุดการเข็น เสียงนั้นก็หยุดไป สงสัยเราจะหูฝาด หญิงสาวคิดพลางไหวไหล่ แต่ก่อนที่จะก้าวเดินต่อ เสียงที่เธอนึกว่าหูฝาดก็ดังขึ้นอีก

“ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย” คราวนี้นอกจากเสียงขอความช่วยเหลือแล้ว ยังมีเสียงดังกุกกักตามมาด้วย

หญิงสาวเหลียวซ้ายแลขวาหวังจะหาที่มา แต่ก็ไม่พบ ขนแขนและท้ายทอยเริ่มลุกเกลียวเมื่อนึกว่าสัมผัสที่หกเริ่มปฏิบัติการ เธอรีบเข็นรถตรงไปยังรถตัวเอง แต่หูก็ยังได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หากแต่เริ่มแผ่วลง และแดดที่ยังสว่างจ้า สติจึงเริ่มกลับมาพร้อมนึกได้ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติตามที่คิดเสียแล้ว จนมาถึงรถยนต์ของตัวเอง เสียงนั้นก็เงียบไปหรืออาจเป็นเพราะไกลเกินจะได้ยิน หญิงสาวรีบขนถุงในรถเข็นไปไว้ที่กระบะท้ายรถด้วยความเร็วที่แทบจะเรียกได้ว่าโยน

หลังจากวางถุงสุดท้ายลงหญิงสาวค่อยๆสืบเท้าไปยังจุดที่เธอได้ยินเสียงด้วยท่าทีระแวดระวังตามสัญชาตญาณของเธอเริ่มได้กลิ่นทะแม่งๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถบนั้น หญิงสาวก็ตัดสินใจถามด้วยเสียงที่มาเบานักออกไป “มีใครอยู่แถวนี้มั้ยคะ”

ผ่านไปอึดใจ เธอก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาราวกับเล็ดลอดออกมาจากที่ทึบพร้อมเสียงเคาะกุกกัก “ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย”

ปณยาพยายามจับแหล่งที่มาขอเสียง แล้วเดินตามเสียงเคาะก่อนจะพบว่าต้นเสียงดังมาจากรถเก๋งสีแดงกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดแบบถอยหลังเข้าซอง หญิงสาวค่อยเดินย่องเข้าไป ราวกลับกลัวว่าถ้าเดินเสียงดังต้นเสียงนั้นจะหายไป ท่ามกลางเสียงเคาะกุกกักนั้น เธอใช้เวลาไม่นานก็เจอต้นกำเนิดเสียง คือ กระโปงท้ายรถเก๋งสีแดงนั่นเอง เสียเคาะเบาๆ ยังคงดังอยู่แต่เสียงร้องนั้นแผ่วลงจนแทบจำคำไม่ได้

ส่วนท้ายรถที่เธอเชื่อว่าต้องมีใครซักคนถูกขังไว้ในกระโปรงท้าย มีคราบสีน้ำตาล แม้ไม่ได้ผ่านการศึกษาหลักสูตรทางนิติวิทยาศาสตร์ แต่ประสบการณ์ส่วนตัว ให้คำตอบแก่ตัวเองได้ในทันทีว่า คราบที่เห็นกระจายเป็นด่างดวงอยู่นี่ คือคราบเลือดแน่นอน แล้วจะใช่เลือดของคนที่นอนขดอยู่ด้านในหรือเปล่า หญิงสาวก็จนใจที่รู้ได้ แต่ที่แน่ๆ หญิงสาวเริ่มรู้สึกแล้วว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ เข้าข่ายอาชญากรรมเป็นแน่แท้

“คุณคะได้ยินฉันมั้ย” หญิงสาวก้มลงไปถามเพื่อเช็คสติของคนข้างใน ใบหน้านวลเนียนเกือบจะชิดกับตัวรถ

เสียงทุ้มตอบมาผะแผ่ว “ครับ”

“คุณอดทนไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปตามคนมาช่วย”

คนที่ต้องอดทน กลืนน้ำลายที่เหนียมยิ่งกว่าแบะแซลงคอ ก่อนตอบรับเพื่อให้เจ้าของเสียงหวานใสที่มน้ำใจช่วยเขาเป็นคนแรก “ครับ”


หญิงสาวผละออกจากตรงนั้นแล้วก้าวยาวๆไปยังรถของตัวเอง เฝ้าถามตัวเอง จะโดนด่าว่าเรื่องใส่ตัวอีกมั้ยเนี่ย ก่อนหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนเบาะข้างคนขับ แล้วกดเบอร์ที่เชื่อว่าช่วยเธอได้อย่างแน่นอน

“ว่าไงจ๊ะสาวน้อย” เสียงปลายสายทักทายมาอย่างอารมณ์ดี

ปณยาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะอีกฝ่ายอารมณ์ดี นั่นหมายถึงเธอก็จะโดนบ่นน้อยลง “สวัสดีค่าพี่ชาย คือ พี่ชายจ๋า หญ้ามีเรื่องให้พี่ชายช่วยหน่อยนิดนึงอ่ะจ้า”

น้ำเสียงหวานจ๋อยบวกกับสรรพนามที่ใช้เรียกเขา สัญชาตญาณส่วนตัวของคนเป็นพี่บอกได้ในทันทีว่า เรื่อง ที่จะให้ช่วยนั้นไม่ นิด ดังปากว่าแน่ๆ ก่อนปรับเสียงให้เข้มขึ้นตามวิสัย “เอ้า เรื่องอะไรไหนว่ามา ยัยตัวยุ่ง”

“หญ้ากวนพี่ไผ่มั้ยคะ รอขึ้นศาลอยู่เปล่าเนี่ย” หญิงสาวถามกลับเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนนี้เป็นวันทำงานของข้าราชการ เช่นพี่ชายเธอ

“ไม่กวนครับคุณน้องสาว พี่ว่างพอดี ช่วงบ่ายไม่มีว่าความ เอ้า มีอะไรว่ามา”

เมื่อได้รับไฟเขียว หญิงสาวก็พรั่งพรูเรื่องให้ฟังจนหมดสิ้น โดยที่เสนาธิการฝ่ายบุ๋นของเธอรับฟังเงียบๆ ซึ่งปณยารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดหาทางช่วยชายคนนั้นอยู่แน่ๆ

เมื่อฟังจบครบถ้วนกระบวนความ ตฤณแทบจะขับรถกลับไปเคาะกะโหลกคนช่างสรรหาเรื่องเสียจริงๆ “โอเค... เดี๋ยวพี่จัดการให้ ตอนนี้หญ้ากลับเข้าไปในห้างก่อน ถ้ามันเป็นอาชญากรรมจริง คนร้ายอาจอยู่แถวนั้นแล้วหญ้าจะไม่ปลอดภัย เดี๋ยวพี่โทรหานายส้มให้ ตามนี้นะ”

วางสายจากน้องสาวโดยไม่รอคำตอบรับเพราะรู้นิสัยกันดี ก่อนจะกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทสมัยเรียนปริญญาตรีและโทมาด้วยกัน ซึ่งพึ่งส่งข่าวมาว่า ย้ายมาเป็นสารวัตรในท้องที่บ้านเกิดเขาพอดี รอสัญญาณเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็กดรับสาย ไม่รอให้เพื่อนได้ทักทาย เขาก็กอรกเสียงไปก่อนด้วยความร้อนใจ

“ฮัลโหล ส้ม เรามีเรื่องรบกวนนายหน่อยว่ะ ว่างมั้ย"

“สำหรับท่านอัยการเพื่อนว่างเสมอขอรับ" ศุกลธีร์ตอบกลับเสียงระรื่น อย่างคนอารมณ์ดีแม้จะสัมผัสถึงความตึงเครียดที่แฝงมาในน้ำเสียงของอีกฝ่ายมาก็ตาม

ตฤณไม่รอช้าเข้าเรื่องที่เป็นเป้าหมายอย่างเร่งรีบ เพราะทุกนาทีมันหมายถึงชีวติของคน "คือเจ้ากอหญ้ามันโทรมาหาเราบอกว่า ได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยดังออกมาจากกระโปรงท้ายรถเก๋งสีแดง หมายเลขทะเบียน... จอดอยู่ที่ลานจอดรถของห้าง... แล้วก็มีคราบเลือดติดอยู่ส่วนด้านหลังของรถด้วย อ้อ... ถ้าไปถึงก็มองหาเจ้ากอหญ้าด้วย เราบอกให้เข้าไปข้างในแต่เชื่อเถอะว่ามันคงวนๆเวียนๆอยู่ไม่ไกลรถคันนั้นเท่าไหร่หรอก" เขาบอกอย่างรู้จักนิสัยของน้องสาวตัวเองดี

“ได้เดี๋ยวเราออกไปเดี๋ยวนี้แหละ ขึ้นเวรพอดี ขอบคุณมากที่แจ้งเหตุ" สารวัตรหนุ่มตอบเสียงเป็นงานเป็นการ

“ขอบคุณมาก... น้องเรามันขยันหาเรื่อง ดีที่นายย้ายมา ยังไงเดี๋ยวเราโทรหาอีกทีแล้วกัน" พูดเสร็จก็วางสายทันที เพราะรู้แล้วว่าเวลานี้มีค่าต่อชีวติของคนที่อยู่ในที่แคบเช่นกระโปงท้ายรถ

ศุกลธีร์สอดโทรศัพท์เครื่องเล็กไว้ที่เดิม ก่อนจะหยิบหมวกสีกากีบนโต๊ะเข้ามาสวม ร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบเรียบตึงพอดีรูปร่างก็หยัดกายลุกขึ้น ก่อนก้าวยาวๆ ไปยังประตู ปากก็เรียกหาผู้ใต้บังคับบัญชา "หมวดหน่อย ดาบเนตร จ่าใหญ่ หมู่เอก ออกไปข้างนอกกับผมหน่อย มีเรื่องแจ้งเข้ามา"

ตำรวจหลากอายุและระดับยศที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงนายเรียกก็ลุกกันพรึ่บพั่บพร้อมเพรียง ก่อนเดินตามอีกฝ่ายไปยังหน้าโล่งพัก โดยมีหมู่เอกซึ่งรับหน้าที่เป็นพลขับโดยรู้กันที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปนำไปยังรถสายตรวจที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ แล้วถอยออกมารับเพื่อนร่วมงานและเจ้านายอย่างรวดเร็ว ก่อนหันมาถามจุดหมายกับสารวัตรหนุ่ม


“ไปห้าง... อ้อ ไปรับนายเจก่อน" เขาหมายถึงช่างซ่อมรถฝีมือดีของอำเภอและเป็นช่างสะเดาะกุญแจมือฉมังด้วย ที่ปาวารนาตัวมาช่วยงานตำรวจหลังจากหลงผิดจนต้องไปติดคุกมาเกือบสามปี

แม้จะฉงนฉงายกับคำสั่ง แต่พลขับหนุ่มก็ไม่อิดออดก็ตอบรับอย่างไม่อิดออด "ครับผม"

ขณะที่รถเคลื่อนที่ไปยังเป้าหมาย ศุกลธีร์ก็อธิบายสถานการณ์ตามที่ได้รับฟังมาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฟัง พร้อมสั่งให้ดาบตำรวจเนตรโทรเรียกรถพยาบาลด้วย

เกือบสิบห้านาทีผ่านไป รถตราโล่ก็มาถึงลานจอดรถหน้าห้างอันเป็นจุดหมาย ก่อนที่สารวัตรหนุ่มจะสั่งให้พลขับขับวนหารถที่ป้ายทะเบียนตรงกับที่ได้รับแจ้งมา ก่อนจะพบว่ารถคันดังกล่าวถูกจอดทิ้งไว้เกือบกลางลานจอดรถหากแต่ค่อนไปทางทิศตะวันตก ชายหนุ่มบอกผู้ใต้บังคับบัญชาให้หยุดรถทันที

ร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบสีกากีลงจากลงพลางกวาดสายตามมองไปรอบด้านเพื่อหาคนแจ้งเหตุตามที่เพื่อนบอกมา ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อหันไปทางเสียงปิดประตูรถ ก็พบน้องสาวเพื่อนที่ไม่ได้ทำตามคำสั่งอย่างที่เพื่อนเขาบอกไว้จริงๆ และกำลังเดินมาทางเขาอย่างเร่งรีบ สีหน้าร้อนรนไม่น้อย ก่อนจะยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้เขาอย่างรวดเร็วแต่อ่อนช้อยอย่างคนได้รับการอบรมบ่มจริยา

“คันนี้ล่ะค่ะพี่ส้ม รีบช่วยเถอะค่ะ เขาจะแย่แล้ว”

ศุกลธีร์พยักหน้าตอบรับ ก่อนหันไปสั่งนายเจในการสะเดาะกุญแจกระโปงหลังโดยมีดาบเนตรตามไปกำกับอีกชั้นหนึ่ง

“จะดีเหรอครับสารวัตร เราไม่มีหมายค้นนะครับ” ดาบเนตรถามอย่างไม่แน่ใจนัก

“มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่าดาบ ทำเถอะชีวิตคนสำคัญกว่า มีอะไรเกิดขึ้น ผมรับผิดชอบเอง” นายตำรวจหนุ่มตอบผู้ใต้บังคับเสียงหนักแน่น

ดาบเนตรตอบรับแล้วส่งสัญญาณให้นายเจลงมือได้ พลางก้มลงเรียกคนที่น่าจะอยู่ข้างใน แต่คราวนี้กลับไร้เสียงขานรับ เขาจึงบอกให้เร่งมือ ด้วยสัญญาณการมีสตินั้นหายไปแล้ว

ส่วนกำลังพลที่เหลือนั้นกระจายกำลังออกตรวจหาสิ่งผิดปรกติโดยรอบ รวมไปหมวดหน่อยที่ได้รับมอบหมายให้ไปแจ้งเจ้าของสถานที่

ส่วนตัวศุกลธีร์เริ่มทำการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นจากปณยา หญิงสาวก็บอกไปตามตรงเท่าที่รู้มาเท่านั้น เป็นเวลาเดียวกันรถพยาบาลก็เข้ามาจอดเทียบพอดี ยังไม่ทันที่พยาบาลจะลงจากรถ เสียงร้องดีใจก็ดังมาจากทางด้านท้ายรถเสียก่อน ทั้งคู่เดินนำบุรุษพยาบาลไปยังต้นกำเนิดเสียง

“ยังไม่ตายครับ สารวัตร” ดาบเนตรรายงานผู้บังคับบัญชาทันทีหลังจากเงยหน้าขึ้นจากการเอามือตรวจชีพจรที่ซอกคอ จากนั้นถอยออกมาเพื่อหลีกทางให้พยาบาลเข้าทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ฟากปณยาที่เดินอ้อมไปยืนอีกคนละด้านกับเพื่อนพี่ชาย ชะโงกหน้าเพื่อดูคนที่เธอมีส่วนช่วยหลังจากโล่งอกเมื่อทราบว่ายังไม่ตาย ภาพที่เธอเห็นคือชายร่างสูงที่นอนคุดคู้ในท้ายรถ ผมสั้นสีดำที่ดูไม่ออกว่าเคยเป็นทรงไหนรุ่ยร่ายปรกหน้า มีบางส่วนจับกันเป็นกระจุกเกรอะกรังด้วยเลือด เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมีคราบเป็นด่างดวงจนแทบจะจำสีเดิมไม่ได้ ชายเสื้อลอยชายออกมานอกกางเกงสแล็คสีดำที่ขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นดิน แม้รูปร่างจะดูคุ้นตา แต่ก็ด้วยความที่ทำงานท่ามกลางผู้ชายหลากหลายวัย จึงทำให้น่าจะมีใครซักคนที่เคยเจอใกล้เคียงกับชายคนนี้

“คุณครับ ได้ยินผมมั้ย” เสียงนายตำรวจหนุ่มถามชายเคราะห์ร้ายที่กำลังถูกประคองให้ลุกขึ้นจากกระโปงท้าย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วเขาจึงถามต่อ “ผมสารวัตรศุกลธีร์ ประจำอยู่ท้องที่นี้ บอกผมได้มั้ยครับ ว่าคุณมาได้ยังไง”

ริมฝีปากบางเฉียบแห้งผากเช่นคนขาดน้ำขยับบอกเหตุผล เสียงที่เปล่งออกมาดังกว่าเสียงขยำกระดาษษเพียงน้อย แถมยังสั่นเครือและขาดเป็นห้วงๆ อย่างคนใกล้จะสิ้นสติเต็มทน ทำให้ศุกลธีร์ต้องก้มลงไปชิด “ผม...โดน...จับ...มา”
เสียงที่เบาหวิว ทำให้ปณยาซึ่งอยู่ถัดออกไปไม่ได้ยิน ตามประสาคนชอบการเรียนรู้ หรือที่เพื่อนสนิทมักพูดเชิงเย้าว่าชอบสอดรู้ เริ่มเขยิบตัวเข้าไปชิดเพื่อนพี่ชาย หวังจะได้ยินชัดๆ ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งคุ้นตาชอบกล เป็นเวลาเดียวกันกับที่สารวัตรหนุ่มถามต่อ

“คุณชื่ออะไร ให้ติดต่อญาติคนไหนมั้ยครับ”

ชายผู้ถูกถามพยายามรวมรวบพลังจะเงยหน้าขึ้นตอบ ทว่าเมื่อสายตาเขม้นมองเห็น ชัด ภาพที่ปรากฏในคลองจักษุคือใครบางคนที่อยู่ในห้วงคำนึงของเขามาตลอดสี่ปี แต่ก่อนจะได้พูดกระไร สติที่พยุงมานานก็พลันดับวูบไป พร้อมกับความสุขใจชนิดหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์แบบนี้

ปณยายืนนิ่งขึงไปในทันทีที่เห็นหน้าชายที่เธอได้เอื้อมมือเข้ามามีส่วนร่วม แม้ใบหน้าคมคายจะเปื้อนฝุ่นจนมอมแมมและยังมีคราบเลือดเกาะเกรอะกรังอยู่เกือบครึ่งใบหน้า แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้เธอจำไม่ได้ ริมฝีปากอิ่มเยอพูดออกมาเสียงเบาราวกับละเมอ “พี่พาย...”

“อะไรนะน้องหญ้า...” ศุกลธีร์ที่กำลังปวดหัวกับคำถามที่ไม่ได้รักการตอบจากผู้ประสบเหตุเอ่ยถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าน้องสาวของเพื่อนรู้จักกับชายหนุ่มที่สิ้นสติไปแล้ว “รู้จักเขาด้วยหรือ”

“ค่ะ” เธอตอบตามตรงเพราะไม่มีเหตุผลที่จะปิดบัง

“แล้วเขาเป็นใคร?”

“...” หญิงสาวนิ่งกับคำถามนั้นเพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะเปิดปากตอบไป

.........................................................................................................

มาต่อแล้วนะค้า ดีร้ายประการใด เล่าแจ้งแถลงไขได้เลยนะค้าาาา ^^



แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 เม.ย. 2555, 00:02:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 เม.ย. 2555, 14:21:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1356





<< บทนำ   ตอน ๒ ฝากตัว...แลหัวใจ แต่ใครจะรับ? >>
Auuuu 23 เม.ย. 2555, 00:53:31 น.
ไอ้หย่ะ ลุ้นมากมาย สนุกดีค่า ^^
ป.ล. อยากให้เว้นบรรทัดมากกว่านี้หน่อยอ่ะค่ะ แอบอ่านยากนิดนึง


หมูอ้วน 23 เม.ย. 2555, 01:43:39 น.
ชอบมาก ๆ ตะ รออ่านตอนต่อไป


แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า 23 เม.ย. 2555, 12:45:39 น.
คุณAuuuu ขอบคุณที่ติดตามค่ะ แจ่มเพิ่งลงเลยยังงงๆอยู่ค่ะ เดี๋ยวแก้ไขเรื่องบรรทัดให้นะค้า

คุณหมูอ้วน ขอบคุณมากค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ ^^ ตอนต่อไปรอซักประเดี๋ยวกำลังปั่นหัวฟูเลยค่ะ


เทียนจันทร์ 23 เม.ย. 2555, 13:41:02 น.
เว้นบรรทัดให้หน่อยน้า ประมาณว่าตาลาย


แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า 23 เม.ย. 2555, 14:22:20 น.
แก้ไขแล้วค่า...พอไหวไหมค้า


Aricha 24 เม.ย. 2555, 22:10:39 น.
แวะมาให้กำลังใจกอหญ้าจ้า พร้อมฝาก แวะมาอ่านให้คุณนรินศา ด้วยนะคะ >_<v


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account