เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด
ตอน: ตอนที่ ๙ การจากลา
ตอนที่ ๙
แสงเรื่อเรืองรองจับที่ปลายขอบฟ้าในช่วงสายของวันนั้น แม้จะสายทว่าอณูความหนาวเย็นก็ยังไม่จางหายออกไปสักน้อยนิด มันยังคงแทรกตัวอยู่ทุกมวลอณูอากาศ แผ่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า หยาดน้ำค้างร่วงเผาะตกลงกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะ...เปาะแปะ
วันนี้จันทร์เจ้าตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สดชื่นสักเท่าไร อาจจะเป็นเพราะความฝันซึ่งชัดเจนเมื่อคืนที่ผ่านก็เป็นได้ ที่ทำให้หัวใจดวงน้อยอับเศร้าหมองหมางไปด้วย
รู้สึกสงสารนางนั้นจับใจ หากแต่ส่วนหนึ่งก็เหมือนอย่างกับว่าเรื่องเหล่านั้นเกิดกับตัวเอง
ความฝันที่เด่นชัด เรื่องราวที่เจ็บปวด สิ่งนี้กระมังที่ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกอึดอัดเป็นยิ่งนัก ในยามที่ได้ยินหรือได้ฟังเรื่องราวของเจ้าจันทร์งาม
เธอคิดถึงเนื้อกลอนในบทรำพันพิลาป แม้จะมีเพียงไม่กี่คำ ทว่าลำนำเหล่านั้นกลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปกับความรู้สึกร้าวฤดีทั้งยังเอาไปเรียงร้อยรวมกันกับความฝันและเรื่องราวของเจ้าจันทร์งามได้
พยายามเป็นอย่างยิ่งจะหาคำตอบ หากแต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นแค่เพียงคำตอบที่ว่า ไม่รู้คำเดียว
หลายวันแล้วที่หญิงสาวเพียรจะหาคำตอบให้ได้ เช่นเดียวกับความฝันที่เหมือนจะชี้ทางอะไรบางอย่าง หากแต่มันก็ยังช้ากับความรู้สึกนึกคิดของเธอซึ่งบัดนี้อยากจะทะยานให้ไปถึงจุดสิ้นสุดโดยเร็ว
เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือนั่นล่ะ ยิ่งนับวันก็ยิ่งเด่นชัด
เขาคนนั้นเป็นใคร...ต้องการให้เธอช่วยเหลืออะไร
พยายามเค้นคิด พยายามจะหาบทสรุปที่ถูกต้องและแท้จริง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย บางครั้งเหมือนพยายามจะให้เธอทะยานไปยังทางข้างหน้า ทว่าสุดท้ายเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดึงให้มันกลับหลัง
แล้วหากสิ่งที่เธอเห็นนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าจันทร์งามจริง ความฝันหรือนิมิตที่เห็นเด่นชัดเมื่อคืนนั้นก็คงจะเป็นเรื่องจริงและทำให้เจ้านางผู้นั้นเจ็บปวดเหลือคณนา
เจ้าแสนเมือง เจ้าจากเมืองอังวะ ทำให้เจ้านางน้อยผู้นั้นเจ็บปวดมากถึงขนาดนั้นเลยเชียวหรือ
เจ็บปวดที่ต้องพรากจากคนที่นางรัก ความไม่สมหวังในรักแท้ มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน
โหดร้าย...และเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นจะยิ่งตอกย้ำให้เธอเจ็บปวดกับสิ่งที่เป็นไป
ลำดับเรื่องราวที่เหมือนจะยิ่งเข้มข้น โดยหญิงสาวรู้สึกว่ามีเธอเป็นตัวเอกของเรื่องราวเหล่านั้น เพราะทุกครั้งที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นไป เสมือนว่าสิ่งที่เห็นเธอจะเห็นผ่านทางสายตาของเจ้านางน้อยผู้นั้น พอเจ็บปวดและร้องไห้ ก็เหมือนว่าเธอจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
หรือว่ามันจะเป็นการระลึกชาติของเธอ
ระลึกผ่านความฝันนี่นะ...อีกคำถามหนึ่งค้านและยังคงทำให้เธอคิดหนัก หากว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ภาพที่
เห็นคืออดีตชาติและเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเธอล่ะ เขาต้องการอะไร
หรือว่าชายผู้นั้นคือเจ้าน้อยภูมินทร์...ชายคนรักของเจ้าจันทร์งาม
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาไปทำอะไร แล้วถ้าเขาเจ็บปวดและต้องการให้เธอช่วยเหลือจริงๆ เธอก็ต้องรีบหาทางช่วยเขาไม่ใช่หรือ
เธอรักเขา ก็เท่าๆ กับที่เขารักนางผู้นั้น หากความรักและการพลัดพรากจากนางอันเป็นที่รักจะทำให้เจ้าน้อยภูมินทร์เจ็บปวดถึงเพียงนั้น เธอก็ต้องช่วยเหลือเขาให้โดยไว เพื่อที่จะให้เขาหลุดพ้นไปจากบ่วงแห่งความเจ็บปวดเหล่านั้นได้
หญิงสาวไม่อาจรู้ได้ ภาพใบหน้าที่เธอจดจำมีเพียงเจ้าน้อยภูมินทร์ ซึ่งบัดนี้เธอรู้จักเขาแค่เพียงอ้ายน้อยภูมินทร์ หนุ่มจากเวียงยาเท่านั้น แม้จะต้องเจ็บปวดต่อสิ่งที่เจ้าพ่อกำหนดให้เป็นไป หากแต่นางก็จะทิ้งอ้ายผู้นั้นไม่ได้
อ้าย...ผู้ที่นางรักเขาจนหมดหัวใจ
หัวใจของหญิงสาว บัดนี้กลับมีเขาจนหมดหัวใจไปแล้ว โดยที่ตนเองไม่รู้ตัวว่าเพราะเหตุใด เอาแต่พร่ำเพ้อหาเจ้าชายในฝันผู้นั้นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีอยู่บนโลกนี้หรือไม่
หากเธอก็ยังเชื่อ ในเมื่อบุเพสันนิวาสมีจริง สักวันเธอก็ต้องเจอกับเขา
หากว่าเขาคือเสียงเรียกร้องและผู้ชายที่มาขอความช่วยเหลือจากเธอนั้น เป็นเธอไม่ใช่หรือที่จะต้องรีบช่วยเหลือเขา
ช่วยให้พ้นจากหล่มลึกแห่งความทุกข์ระทม เพื่อที่เขาจะได้กลับมาเจอกับเธออีกครั้ง
หากแต่แปลก...ในยามที่พยายามจะเค้นความคิดให้คิดถึงหน้าชายผู้นั้น ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเจ็บปวดมาก
ขนาดนี้ด้วย เจ็บ...ปานว่าชายผู้นั้นจะเป็นคนที่ทำให้เธอเจ็บเสียเอง
เจ็บและเกลียด จนในบางครั้งอยากจะหลีกหนีไปให้พ้น
ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง...ก็ชายผู้นี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้เธอเจ็บปวด แล้วเธอจะช่วยเขาไปทำไม
อีกใจหนึ่งกลับค้านและยิ่งทำให้หญิงสาวสับสน
แล้วเธอจะทำอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้ ทั้งๆ ที่ความจริงมันยังไม่กระจ่างแจ้ง จะมีวิธีไหนบ้างทำให้ทุกอย่างคลี่คลายและเธอจะได้พ้นไปจากความเจ็บปวดเหล่านี้ด้วย...
//////
ดาวบนฟากฟ้ากว้างส่องแสงระยิบระยับสวยงาม กลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ยามราตรีลอยอวลอบไปทั่วอาณาบริเวณแห่งนั้น ร่างบางระหง ซึ่งบัดนี้ดูซูบไปมากเยื่องกายมายืนยังชานเรือนกว้าง มือบางเกาะขอบราวไม้อย่างแผ่วเบา เพื่อหวังจะพยุงร่างกายของตนเองให้หยัดยืนอยู่ตรงนั้นได้
เส้นผมบางสลวยถูกปล่อยยาวสยายจนมันปลิวไสวไปกับสายลมยามดึก
กลิ่นหอมยังคงกรุ่นกำจาย กลิ่นหอมจากกายนางช่างหอมนัก ทั้งจากดอกเก็ตถวาซึ่งทัดอยู่ซอกหูและเสียดแซมอยู่ตามเส้นผมของเจ้านาง
หลายคืนมาแล้วที่นางได้รับรู้ซึ่งความเจ็บปวดอันมากมาย ไม่อาจจะหลีกหนีพ้นไปได้อีกต่อไป เจ้าพ่อให้คนมาแจ้งกับเจ้านางว่าออกพรรษาหน้า เจ้าแสนเมืองจะยกขบวนมาขอเจ้านางแล้ว เจ้านางจะทำอย่างไร เรื่องนี้อ้ายภูมินทร์ยังไม่รู้ ยิ่งเจ็บปวดอย่างมากมาย เมื่อตนจะต้องปิดเรื่องเหล่านี้ไม่ให้เขารู้เขาทราบ
ยิ่งนางหายไปหลายวันอย่างนี้แล้ว ไม่รู้ว่าอ้ายภูมินทร์จะคิดกับตัวของนางอย่างไร
“อ้ายภูมินทร์...น้องจะเยี๊ยะจะใดดีน้อ...”
หยาดน้ำตาพลันหลั่งรินไหลไม่รู้จักจบสิ้น สิ่งที่เคยปรารถนามาตลอดกลับไม่ได้ผล องค์พระธาตุแห่งวัดเชียงหมิ่นไยไม่ช่วยให้นางได้รอดพ้นไปจากความเจ็บปวดเหล่านี้ได้
พรรษาหน้า...เหลืออีกไม่กี่เพลาแล้ว มันก็คงจะไม่ถึงปีนั่นแหละ เพราะนี่เพิ่งจะออกพรรษามาไม่เท่าไรแล้ว
เจ็บ...เจ็บปวดเหลือหลาย นางจะทำอย่างไรดี
ปล่อยให้สายลมเย็นมันคอยพัดพาไปอย่างเชื่องช้าแลอ้อยสร้อย ไม่อยากคิดให้มันเจ็บปวดหัวใจ สุดท้ายนางจึงได้แต่เก็บกดความอัดอั้นเหล่านั้น แล้วเข้ามานอนในเรือนที่สุด
//////
ท้องฟ้าสลัวของเช้าวันถัดมาแสงแดดยังคงไม่พ้นจากเหลี่ยมดอยตรงหน้า เจ้านางยกเอาผ้าตุ๊มมาคลุมบ่าลาดบางและเดินลัดเลาะไปตามเส้นทาง ดำเนินมุ่งสู่วัดเชียงหมิ่น ในวันนี้นางต้องการจะมาพบปะกับอ้ายน้อยภูมินทร์เพื่อจะพูดคุยปรึกษาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ให้เขาได้รู้และช่วยเหลือนางให้พ้นไปจากความเจ็บปวดนี้
เจ้านางมารอเขาคนนั้นตั้งแต่เช้าด้วยหัวใจอันร้อนรุ่มทุรนเป็นยิ่งนัก หากเมื่อยิ่งนานกลับไม่เห็นแม้เงาของเขาเลย เหลือบแลมองเข้าไปยังอุโบสถหลังใหญ่ ก่อนเจ้านางจะรีบเร่งถลาไปตามที่หัวใจของตนปรารถนา
ใช่ ไหว้พระ...ไหว้สาพระเจ้าบางทีมันอาจจะทำให้หัวใจของเจ้านางดีขึ้นมาไม่มากก็น้อยยังดี
ร่างระหงหายเข้าไปในอุโบสถหลังกว้าง กรอบหน้าที่หมองเศร้ามององค์พระในอุโบสถนิ่งงัน คล้ายดั่งจะขอความเมตตา แลพึ่งพาให้อาศัยและขัดเกลาหัวใจที่เจ็บปวดเหล่านี้ให้หมดไปจากหัวใจของนางสักทีหนึ่ง
ก้มลงกราบพระ ไหว้สาอธิฐานขอให้ความเจ็บปวดที่เป็นไป หมดออกไปจากตัวของนางและขอให้ได้พบเจอกับอ้ายภูมินทร์อีกครั้งและขอให้เขาได้หาวิธีช่วยเหลือนางให้หลุดพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้สักที
พอได้กราบพระ หัวใจสาวก็พอจะทุเลาความเจ็บปวดไปได้บ้าง หากแต่มันก็ยังไม่หมด เมื่อความปรารถนาของนางยังคงไม่บรรจบกับความสมหวัง เพราะวันนี้ ตั้งแต่เช้านางยังไม่ได้เห็นหน้าของเขาเลย
อ้ายภูมินทร์ อ้ายไปอยู่ที่ไหน...
เจ้านางผู้งามอย่างแสงแห่งจันทร์นวลเยื่องกายลงมายังลานอีกครั้ง เคลื่อนกายนางไปนั่งยังแคร่ไม้ใต้ตนไทรใหญ่ อย่างไรเสีย วันนี้นางจะต้องพบเจอพี่อ้ายให้ได้
จะเป็นอย่างไร วันนี้จะต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่อง
“รอไผอยู่เจ้านาง...”
แล้วน้ำเสียงที่นางรอคอยก็ดังขึ้น หากเสียงนั้นติดจะแกมน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง
เจ้านางหันมาทางต้นเสียงและส่งค้อนให้ในทันที รู้ทั้งรู้ว่านางรอใคร ยังจะมาถามให้มากความอีก
“ข้าเจ้ารออ้ายคนหนึ่ง บ่ฮู้ว่าเปิ้นไปไหนถึงเพิ่งมา”
“อ้ายก็ว่าเหมือนกัน อ้ายก่มารอแม่ญิงผู้หนึ่งเหมือนกั๋น เปิ้นหายหน้าหายตาไปหลายวัน บ่ฮู้ว่าเปิ้นไปปะบ่าวที่ไหนพ้องบ่ฮู้แล้ว” เจ้าหนุ่มขยับมาเคียงใกล้แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม
“แม่ญิงคนนั้นเปิ้นบ่ได้ไปไหนดอก เพียงแต่เปิ้นกำลังเจ็บปวดหัวใจ๋ บ่ฮู้ว่าอ้ายคนนั้นเปิ้นจะฮู้ผ่องก่”
ชายหนุ่มเบิกตาขึ้นทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงนั้น พร้อมกับน้ำตาที่มันสร้างเป็นม่านอยู่บนหน่วยตาของนาง
“เจ้า...เจ้านางน้อยเป๋นอะหยัง”
“ข้าเจ้า...”
เสียงสะอื้นลอยขึ้นมาจุกที่ลำคอจนพูดไม่ออก เจ้านางจึงรีบโผเข้าไปซบที่อกหนานั้นทันที
“เจ้านางน้อย เจ้าเป๋นอะหยัง บอกอ้ายมาสักกำเต๊อะ”
“เจ้าป้อ...เจ้าป้อจะหื้อข้าเจ้ากินแขกกับเจ้าแสนเมืองแห่งเวียงอังวะ”
เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นชัดเจน จนทำให้ผู้ฟังถึงกับสะท้านไปทั่วหัวอก ปานประหนึ่งว่าแผ่นฟ้าจะทลายลงมาในเวลานั้นแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้น ไยเจ้านางถึงได้พูดอย่างนั้น
“เจ้า...เจ้านางน้อย เกิดอะหยังขึ้น”
“อ้ายภูมินทร์...ข้าเจ้าเจ็บอก เจ็บขนาด”
“อ้ายก่เจ็บ เจ้านางบอกอ้ายมากำเต๊อะว่ามันเกิดอะหยังขึ้น”
เจ้าราชบุตรแห่งเวียงยายกมือหนาที่สั่นเทาขึ้นลูบบนหัวน้อยๆ อันมีผมสลวยม้วนเกล้าอยู่อย่างอ่อนโยน
มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าคำผาเมืองถึงได้ให้เจ้านางแต่งงานกับหมู่ม่านพวกนั้น
“เจ้าป้อบอกว่า ข้าเจ้ากับเจ้าแสนเมืองเปิ้นเป๋นคู่แพงกันมา แล้วมันจะถึงเวลาแล้วที่เฮาสองคนจะกิ๋น แขกกัน”
“คู่แพง เป๋นไปบ่ได้ เจ้านางน่ะกา มีคู่แพง”
“ข้าเจ้าบ่ฮู้...ข้าเจ้าบ่ได้ฮักเปิ้น ข้าเจ้าฮักแต่อ้ายแต่เพียงผู้เดียว”
“เจ้าหลวงเปิ้นเห็นแก่คนม่านไจ้ก่อ เปิ้นก่ฮู้ว่าชาวม่านทำอะหยังกับหมู่เฮาเอาไว้ จะใดเปิ้นถึงได้หันหมู่นั้นดีกว่าเฮา”
“อันนี้ข้าเจ้าบ่ฮู้ วันก่อนเจ้าแสนเมืองเปิ้นมาที่เวียง เจ้าป้อหื้อข้าเจ้าไปฮู้จักกับเปิ้น”
“จะอี้ไจ้ก่อตี้เยี๊ยะหื้อเจ้านางหายไปหลายวัน”
“ข้าเจ้าทำใจ๋บ่ได้อ้าย ข้าเจ้าบ่อยากหื้ออ้ายเจ็บปวดเหมือนข้าเจ้า”
“โธ่...เจ้ายอดงามฟ้าของอ้าย”
ลูบศีรษะซึ่งมีผ้าโพกสีหม่นพันอยู่อย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมจากกายนางช่างรัญจวนใจเป็นยิ่งนัก กลิ่นกายของนางหอมกว่ามวลหมู่ไม้ใดๆ ในโลกหล้า เจ้าหนุ่มทอดถอนหายใจยาวเหยียด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำเช่นใดดี ถึงจะทำให้ตนแลเจ้านางผู้ที่รักของเขารอดพ้นไปจากความทุกข์ระทมเหล่านี้ได้
“ถ้าอ้ายจะบอกอะหยังกับเจ้านางสักกำหนึ่งเจ้านางจะเจื้ออ้ายก่อ”
“อะหยังเจ้า”
เจ้าจันทร์งามเงยหน้าขึ้นมาจากอกหนาอันอบอุ่น ประกายตาที่มองเขาส่อแววอยากรู้เป็นยิ่งนัก
“ถ้าอ้ายไปสู่ขอเจ้านางกับเจ้าหลวงเปิ้น เจ้านางจะยอมก่อ”
“แต่อ้าย...เจ้าป้อเปิ้นจะยอมกา”
“ถ้าอ้ายไปในฐานะของเจ้าราชบุตรแห่งเวียงยา เจ้าหลวงเปิ้นจะยอมก่อ”
“เจ้าราชบุตร หมายความว่าจะใด” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างตกใจเป็นยิ่งนัก อ้ายภูมินทร์พูดเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน
“ก็หมายความว่า ถ้าเจ้าราชบุตรแห่งเวียงยาไปขอน้อง เจ้าหลวงเปิ้นจะยอมยกน้องหื้ออ้ายก่”
“อ้าย...”
/////
แล้ววันที่เจ้าจันทร์งามรอคอยก็เดินทางมาถึง เมื่อขบวนอันใหญ่โตจากเวียงยาเดินทางเข้ าวรนครอย่างเอิกเกริก การต้อนรับก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
เจ้าหลวงคำผาเมืองและเจ้านางหลวงเกล็ดหล้าได้ออกมาต้อนรับเจ้าบ่อนเมือง เจ้าหลวงแห่งเวียงยา แลเจ้าราชบุตร เจ้าน้อยภูมินทร์ ด้วยตัวเอง
การเจรจาพูดคุยถึงเรื่องการสู่ขอเจ้าจันทร์งามเริ่มขึ้นในช่วงสายของวันนั้น หากแต่สิ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายผิดหวังก็คือ พ่อเจ้าคำผาเมืองไม่อาจที่จะตอบรับต่อคำขอของเจ้าบ่อนเมืองแลเจ้าราชบุตรเจ้าน้อยภูมินทร์ได้ ด้วยเพราะตนได้ให้เหตุผลว่า ได้ให้คำมั่นต่อเจ้าแสนเมืองแห่งเวียงอังวะไปแล้ว ตนไม่อาจจะถอนคำมั่นเหล่านั้นได้
ดังนั้นทั้งเจ้าผู้ครองเวียงยาแลเจ้าราชบุตรจึงได้กลับเวียงไปอย่างไม่อาจที่จะเอ่ยคำทัดทานอันไหนได้อีกต่อไป
ความเศร้ามาเยือนเจ้าจันทร์งามอีกครั้ง กับการปฏิเสธของเจ้าพ่อที่มีต่อเจ้าราชบุตรหนุ่ม
ด้วยเพราะเห็นชาวม่ารามัญดีกว่าเวียงยาหรืออย่างไร ถึงไม่ได้ตอบรับคำขอนั้นของเจ้าเวียงยา
นับจากวันนั้น เจ้าจันทร์งามก็เอาแต่เก็บตัวเองอยู่แต่ในคุ้มในเรือน ไม่ยอมออกไปไหน ทุกครั้งก็เอาแต่นั่งจองจมอยู่กับความเศร้าทุกข์ระทมขมไหม้ กับคราบน้ำตาที่ไม่ยอมหยาดหยุด ร่างกายนางนับวันก็เอาแต่ผ่ายผอม เพราะไม่ยอมกินข้าวกินปลา ไม่ว่าเจ้าแม่หรือเจ้าเอื้อยจะมาปลอบอย่างไร เจ้านางก็ไม่ยอมเชื่อ
ยิ่งนานวันความอ่อนแรงก็ยิ่งเดินทางมาถึง ในเมื่อหนทางสุดท้ายสิ้นสุดลง ก็ไม่รู้ว่าจะเอาสิ่งไหนมาช่วยได้อีกต่อไป
หัวใจน้องเจ็บ บ่ดีขีขม (ขมขื่น)
หัวใจ๋ระทม บ่สมเจ้าข้า
แลฤๅบาปซ้ำ กระหน่ำตัวข้า
บุญบ่สมพา จึ่งเจ็บ
หยาดน้ำตายังคงหลั่งริน ร่างซึ่งนอนซบอยู่กับกองหนังสือบนโต๊ะสะอื้นจนตัวโยน เหล่าผองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับตกใจ ก่อนคนอยู่ใกล้กว่าจะเอื้อมมือเข้ามาสะกิดเรียกหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บ...ข้าเจ้าเจ็บขนาด”
“จันทร์...จันทร์ เธอเป็นอะไร”
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยออกมาระหว่างที่นอนหลับในช่วงบ่ายของวันนั้น เธอบอกเพื่อนๆ ว่ารู้สึกเพลีย จึงขอนอนหลับสักงีบ ส่วนเหล่าเพื่อนๆ ก็นั่งคุยกันอยู่เงียบๆ ปล่อยให้เธอนอนหลับอยู่บนโต๊ะตามสบาย หากแต่สิ่งที่ทำให้พวกเธอตกใจก็คือเสียงสะอื้นไห้ของจันทร์เจ้า กับเสียงที่หลุดออกมาจากปากของเธอปานว่าจะเจ็บปวดเหลือหลาย
“จันทร์...เธอเจ็บอะไร จันทร์”
แวววรรณรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสาว เธอจึงรีบจับที่ต้นแขนของจันทร์เจ้าและเขย่าเรียกอีกฝ่ายอย่างแรงอีกครั้ง
“จันทร์เจ้า เธอเจ็บอะไร เธอเป็นอะไร ตื่นสิ จันทร์”
เสียงเรียกที่เริ่มจะเด่นชัดกับการเขย่าบนหัวไหล่ของเธออย่างแรง ทำให้ร่างที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อน ซึ่งดวงจิตได้หลุดลอยไปสู่ภพภูมิแห่งนิมิตอันเด่นชัด ก็เหมือนถูกดึงกลับมาอีกครั้ง จนเธอได้สติและเหมือนว่าร่างของตนถูกกระชากกลับไปข้างหลังอย่างแรง
ร่างที่ซบอยู่บนท่อนแขนกลมกลึงและผละหงายมาข้างหลังอย่างแรงและรวดเร็วปานว่าจะหงายหลังตกโต๊ะ ทำให้แวววรรณและเหล่าเพื่อนๆ ถึงกับตกใจไปตามๆ กัน
เสียงหอบหายใจของจันทร์เจ้ายังคงอยู่ หยาดเหงื่อหลั่งริน เช่นเดียวกับคราบน้ำตาซึ่งนองอยู่บนกรอบหน้าขาวเนียน มีแต่เพียงดวงตาคู่สวยเท่านั้นกรอกมองไปรอบๆ อย่างตกใจ
“แวว...ได้เวลาเข้าห้องเรียนแล้วหรือ” เสียงแหบเครือและยังไม่ทอนซึ่งเสียงสะอื้นดังขึ้น
หากสิ่งที่ได้รับกลับมาจากเพื่อนๆ คือสายตาที่มองมายังเธอด้วยความแปลกใจแกมตกใจ
มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ร้องไห้ แต่บัดนี้ทำเหมือนไม่รู้สึกตัวและไม่มีอะไร
“พวกเธอเป็นอะไรกัน แวว ตาล จั่น” เอ่ยถามเหล่าเพื่อนๆ ทั้งสามคนที่นั่งจ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียวด้วยความสงสัย
“เอ่อ...จันทร์ เมื่อกี้เธอเป็นอะไร อย่างกับผีเข้า”
แวววรรณถามด้วยเสียงสั่นเครือ การผละหงายหลังมาอย่างแรงของเพื่อนสาว ทำให้ผู้ที่จับอยู่บนหัวไหล่ของอีกฝ่ายตกใจไม่หาย
“เป็น...เป็นอะไร ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“แต่เมื่อกี้...เอ่อ เธอร้องไห้”
ชี้ไปบนกรอบหน้าสวยของจันทร์เจ้า หญิงสาวยกมือขึ้นจับยังแก้มของตนเองก็รู้สึกว่ามันเปียกได้ด้วยคราบน้ำตาจริงๆ พร้อมกันนั้นความรู้สึกกับสิ่งที่พบเห็นเมื่อครู่ก็เริ่มจะเด่นชัด
ทว่าหญิงสาวยังไม่อยากจะให้เหล่าเพื่อนๆ รู้และทราบในตอนนี้ว่าเธอได้พบเจอกับอะไรบ้าง จึงตอบปฏิเสธในที่สุด
“เอ่อ...ไม่มีอะไร เวลาฉันนอน น้ำตาก็ชอบจะไหลแบบนี้แหละ”
“แต่เมื่อกี้เธอสะอื้น และเอ่อ...พูดด้วย”
จักจั่นเอ่ยขึ้นในที่สุด ก็ประโยคปฏิเสธของเพื่อนสาวมันไม่เข้าท่ากับสิ่งที่พวกเธอเห็นเอาเสียเลย
“พูด ฉันพูดว่ายังไง”
“เธอพูดว่า ข้าเจ้าเจ็บ เจ็บอะไรเนี่ยแหละ” ตาลแก้วช่วยเสริมอีกคนหนึ่ง
“เธอฝันอะไรจันทร์เจ้า รู้สึกว่าช่วงนี้เธอจะแปลกๆ ไปนะ” ได้ทีแวววรรณก็เริ่มเค้นต่อ “ทำอย่างกับจะมีความหลังอะไรบางอย่างให้รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นแหละ”
“ไม่...ไม่มีอะไรนี่”
หญิงสาวตอบปฏิเสธ เธอยังไม่พร้อมจะบอกในสิ่งที่ตนเห็นให้กับใครได้ทราบในเวลานี้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เหนือการพิสูจน์อีก พูดออกไปเพื่อนของเธอก็หัวเราะเยาะเธอสิ
“ได้เวลาเข้าห้องแล้ว ไปเถอะ”
เพื่อปฏิเสธในการตอบคำถามของเหล่าเพื่อนๆ จันทร์เจ้าจึงลุกขึ้น รวบหนังสือ กระตุ้นให้ทุกๆ คนกลับไปยังห้องเรียนในที่สุด
/////
ด้วยภาพที่เห็นและเด่นชัด กับความเจ็บปวดที่กระหน่ำซ้ำซัดไม่หยุดไม่หย่อน ทำให้ช่วงบ่ายของวันนั้นจันทร์เจ้าไม่มีสมาธิในการเรียนเอาเสียเลย หลังเลิกเรียนหญิงสาวจึงรีบกลับบ้านทันที วันพรุ่งนี้ไม่มีการเรียนการสอน จะมีอีกทีก็วันศุกร์ ในครั้งแรกๆ หญิงสาวก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทางมหาวิทยาลัย ถึงได้จัดการเรียนการสอนแบบข้ามวันแบบนั้น ไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ต้องจำยอมทำตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด
แต่ในเวลานี้ หญิงสาวกลับอยากจะให้ทุกวันเป็นวันหยุด เพราะเธอจะได้ให้คุณย่าบัวคำเล่าเรื่องราวสิ่งที่เธออยากจะรู้ให้จนจบ เผื่อสิ่งที่มันค้างคาในหัวใจของเธอพอจะทุเลาลงไปบ้าง
มันรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้และหญิงสาวก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงได้ฝันเห็นแต่เรื่องที่เจ็บปวดเหล่านั้นได้
ในความฝันครั้งสุดท้ายเธอเพิ่งจะรู้ว่าคนที่เจ้าจันทร์งามรักคือเจ้าน้อยภูมินทร์ เจ้าราชบุตรหนุ่มแห่งเวียงยาและนั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดีใจไม่แพ้กับเจ้าจันทร์งามที่รู้เรื่องนี้ว่าชายที่นางรักไม่ใช่ชาวบ้านสามัญทั่วไป เขาไม่ได้มีศักดิ์แตกต่างจากนางเลย หากแต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเห็นจะเป็นการปรากฏตัวของเจ้าแสนเมืองและการปฏิเสธการสู่ขอของเจ้าพ่อคำผาเมืองพระบิดาของเจ้าจันทร์งามและดูเหมือนว่าจากนั้น เจ้าน้อยจะหายหน้าหายตาไปเลย นั่นจึงยิ่งทำให้เจ้านางทุกข์ระทมเป็นยิ่งนัก
เจ้าน้อยหายไปไหน ทำไมไม่มาปลอบใจเจ้านางน้อยผู้อาภัพล่ะ หรือเขาจะเจ็บช้ำจนไม่อาจจะเห็นหน้าของเจ้านางผู้นั้นได้อีกต่อไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด...เธออยากจะรู้ บทสรุปแห่งเรื่องราวความรักเหล่านี้จะจบลงอย่างไร
หรือทุกอย่างมันจบลงแล้ว ตรงที่ทุกฝ่ายไม่สมบุญกัน
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงขออนุญาตมารดาเพื่อจะไปหาคุณย่าบัวคำอย่างทุกครั้ง เมื่อได้รับอนุญาตแล้วหญิงสาวจึงตรงมายังบ้านเรือนไทยหลังนั้นในทันที
คุณย่าบัวคำยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนตัวเดิมของตนเอง ภายใต้ซุ้มพวงชมพู เวลาเย็นเต็มที แสงสีส้มของพระอาทิตย์อัสดงสาดทอไปทั่วฟ้า เหล่านกนานาชนิดต่างโบยบินกลับสู่รวงรัง เสียงร้องแตกรังของมันยังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ
กลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนหรือเก็ตถวายังคงลอยกรุ่น บนต้นของมันออกดอกสีขาวแซมอยู่อย่างสวยงาม จันทร์เจ้ามองไม้พุ่มชนิดนั้นอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงชรา
“สวัสดีค่ะคุณย่า”
“ไหว้สาเถอะหนูจันทร์...อ้าวไหนว่าจะมาวันพรุ่งนี้อย่างไรล่ะ” หญิงชราถามอย่างแปลกใจ
“หนูทนให้ถึงวันพรุ่งนี้ไม่ได้แล้วค่ะ อยากจะรู้ให้จบเสียทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าจันทร์งาม”
“ทำไมถึงทนไม่ได้ล่ะหนู” คุณย่าบัวคำอดจะจ้องและมองเข้าไปยังแววตาของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้
“คือหนูอยากจะรู้เรื่องราวให้จบๆ ไปค่ะ รู้แบบครึ่งๆ กลางๆ มันไม่สนุกค่ะ วันนี้จึงขออนุญาตคุณแม่ให้มาฟังคุณย่าเล่าให้จบ”
หญิงสาวเอ่ยบอกความจริง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นก็ตาม เพราะจริงๆ แล้วเธออยากจะรู้ว่าชีวิตหลังจากนั้นของเจ้าจันทร์งามจะเป็นอย่างไร หลังจากการหายตัวไปของเจ้าน้อยภูมินทร์และการปรากฏตัวของเจ้าแสนเมืองเจ้าจากกรุงอังวะ ชาวม่านรามัญ แล้วงานกินแขกของเจ้าแสนเมืองและเจ้าจันทร์งามจะเกิดขึ้นหรือไม่ การเดินทางไปยังบ้านเมืองที่เจ้านางไม่รู้จักจะเป็นอย่างไร แล้วสุดท้ายทุกอย่างจะจบลงเช่นไร
หญิงชราไม่พูดอะไรแต่กลับหัวเราะแต่พอเป็นพิธี ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เมื่อวานย่าเล่าถึงตอนไหนนะ”
“คุณย่าเล่าถึงตอนที่เจ้าน้อยภูมินทร์และเจ้าจันทร์งามมอบความรักให้แก่กันอย่างหวานชื่นค่ะ แต่พอจันทร์ถามคุณย่าว่าเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาจริงๆ แต่ทำไมคุณย่าถึงได้พูดว่ามันไม่เสมอไปล่ะคะ มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้างามล่ะคะ”
ถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว หากหญิงสาวยังจะอยากจะให้หญิงชราเริ่มต้นเล่าใหม่อีกครั้งหนึ่ง เผื่อบางที มันอาจจะไม่จบแบบเจ็บๆ อย่างที่เธอฝันเห็นก็เป็นได้
/////
วันนี้เพรงนางมาช้ากว่ารอยรักเหมันต์นิดหนึ่ง (คนละวันเล้ย) ต้องขออภัยจริงๆ ครับ แหะๆ
แสงเรื่อเรืองรองจับที่ปลายขอบฟ้าในช่วงสายของวันนั้น แม้จะสายทว่าอณูความหนาวเย็นก็ยังไม่จางหายออกไปสักน้อยนิด มันยังคงแทรกตัวอยู่ทุกมวลอณูอากาศ แผ่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า หยาดน้ำค้างร่วงเผาะตกลงกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะ...เปาะแปะ
วันนี้จันทร์เจ้าตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สดชื่นสักเท่าไร อาจจะเป็นเพราะความฝันซึ่งชัดเจนเมื่อคืนที่ผ่านก็เป็นได้ ที่ทำให้หัวใจดวงน้อยอับเศร้าหมองหมางไปด้วย
รู้สึกสงสารนางนั้นจับใจ หากแต่ส่วนหนึ่งก็เหมือนอย่างกับว่าเรื่องเหล่านั้นเกิดกับตัวเอง
ความฝันที่เด่นชัด เรื่องราวที่เจ็บปวด สิ่งนี้กระมังที่ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกอึดอัดเป็นยิ่งนัก ในยามที่ได้ยินหรือได้ฟังเรื่องราวของเจ้าจันทร์งาม
เธอคิดถึงเนื้อกลอนในบทรำพันพิลาป แม้จะมีเพียงไม่กี่คำ ทว่าลำนำเหล่านั้นกลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปกับความรู้สึกร้าวฤดีทั้งยังเอาไปเรียงร้อยรวมกันกับความฝันและเรื่องราวของเจ้าจันทร์งามได้
พยายามเป็นอย่างยิ่งจะหาคำตอบ หากแต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นแค่เพียงคำตอบที่ว่า ไม่รู้คำเดียว
หลายวันแล้วที่หญิงสาวเพียรจะหาคำตอบให้ได้ เช่นเดียวกับความฝันที่เหมือนจะชี้ทางอะไรบางอย่าง หากแต่มันก็ยังช้ากับความรู้สึกนึกคิดของเธอซึ่งบัดนี้อยากจะทะยานให้ไปถึงจุดสิ้นสุดโดยเร็ว
เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือนั่นล่ะ ยิ่งนับวันก็ยิ่งเด่นชัด
เขาคนนั้นเป็นใคร...ต้องการให้เธอช่วยเหลืออะไร
พยายามเค้นคิด พยายามจะหาบทสรุปที่ถูกต้องและแท้จริง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย บางครั้งเหมือนพยายามจะให้เธอทะยานไปยังทางข้างหน้า ทว่าสุดท้ายเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดึงให้มันกลับหลัง
แล้วหากสิ่งที่เธอเห็นนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าจันทร์งามจริง ความฝันหรือนิมิตที่เห็นเด่นชัดเมื่อคืนนั้นก็คงจะเป็นเรื่องจริงและทำให้เจ้านางผู้นั้นเจ็บปวดเหลือคณนา
เจ้าแสนเมือง เจ้าจากเมืองอังวะ ทำให้เจ้านางน้อยผู้นั้นเจ็บปวดมากถึงขนาดนั้นเลยเชียวหรือ
เจ็บปวดที่ต้องพรากจากคนที่นางรัก ความไม่สมหวังในรักแท้ มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน
โหดร้าย...และเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นจะยิ่งตอกย้ำให้เธอเจ็บปวดกับสิ่งที่เป็นไป
ลำดับเรื่องราวที่เหมือนจะยิ่งเข้มข้น โดยหญิงสาวรู้สึกว่ามีเธอเป็นตัวเอกของเรื่องราวเหล่านั้น เพราะทุกครั้งที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นไป เสมือนว่าสิ่งที่เห็นเธอจะเห็นผ่านทางสายตาของเจ้านางน้อยผู้นั้น พอเจ็บปวดและร้องไห้ ก็เหมือนว่าเธอจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
หรือว่ามันจะเป็นการระลึกชาติของเธอ
ระลึกผ่านความฝันนี่นะ...อีกคำถามหนึ่งค้านและยังคงทำให้เธอคิดหนัก หากว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ภาพที่
เห็นคืออดีตชาติและเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเธอล่ะ เขาต้องการอะไร
หรือว่าชายผู้นั้นคือเจ้าน้อยภูมินทร์...ชายคนรักของเจ้าจันทร์งาม
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาไปทำอะไร แล้วถ้าเขาเจ็บปวดและต้องการให้เธอช่วยเหลือจริงๆ เธอก็ต้องรีบหาทางช่วยเขาไม่ใช่หรือ
เธอรักเขา ก็เท่าๆ กับที่เขารักนางผู้นั้น หากความรักและการพลัดพรากจากนางอันเป็นที่รักจะทำให้เจ้าน้อยภูมินทร์เจ็บปวดถึงเพียงนั้น เธอก็ต้องช่วยเหลือเขาให้โดยไว เพื่อที่จะให้เขาหลุดพ้นไปจากบ่วงแห่งความเจ็บปวดเหล่านั้นได้
หญิงสาวไม่อาจรู้ได้ ภาพใบหน้าที่เธอจดจำมีเพียงเจ้าน้อยภูมินทร์ ซึ่งบัดนี้เธอรู้จักเขาแค่เพียงอ้ายน้อยภูมินทร์ หนุ่มจากเวียงยาเท่านั้น แม้จะต้องเจ็บปวดต่อสิ่งที่เจ้าพ่อกำหนดให้เป็นไป หากแต่นางก็จะทิ้งอ้ายผู้นั้นไม่ได้
อ้าย...ผู้ที่นางรักเขาจนหมดหัวใจ
หัวใจของหญิงสาว บัดนี้กลับมีเขาจนหมดหัวใจไปแล้ว โดยที่ตนเองไม่รู้ตัวว่าเพราะเหตุใด เอาแต่พร่ำเพ้อหาเจ้าชายในฝันผู้นั้นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีอยู่บนโลกนี้หรือไม่
หากเธอก็ยังเชื่อ ในเมื่อบุเพสันนิวาสมีจริง สักวันเธอก็ต้องเจอกับเขา
หากว่าเขาคือเสียงเรียกร้องและผู้ชายที่มาขอความช่วยเหลือจากเธอนั้น เป็นเธอไม่ใช่หรือที่จะต้องรีบช่วยเหลือเขา
ช่วยให้พ้นจากหล่มลึกแห่งความทุกข์ระทม เพื่อที่เขาจะได้กลับมาเจอกับเธออีกครั้ง
หากแต่แปลก...ในยามที่พยายามจะเค้นความคิดให้คิดถึงหน้าชายผู้นั้น ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเจ็บปวดมาก
ขนาดนี้ด้วย เจ็บ...ปานว่าชายผู้นั้นจะเป็นคนที่ทำให้เธอเจ็บเสียเอง
เจ็บและเกลียด จนในบางครั้งอยากจะหลีกหนีไปให้พ้น
ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง...ก็ชายผู้นี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้เธอเจ็บปวด แล้วเธอจะช่วยเขาไปทำไม
อีกใจหนึ่งกลับค้านและยิ่งทำให้หญิงสาวสับสน
แล้วเธอจะทำอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้ ทั้งๆ ที่ความจริงมันยังไม่กระจ่างแจ้ง จะมีวิธีไหนบ้างทำให้ทุกอย่างคลี่คลายและเธอจะได้พ้นไปจากความเจ็บปวดเหล่านี้ด้วย...
//////
ดาวบนฟากฟ้ากว้างส่องแสงระยิบระยับสวยงาม กลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ยามราตรีลอยอวลอบไปทั่วอาณาบริเวณแห่งนั้น ร่างบางระหง ซึ่งบัดนี้ดูซูบไปมากเยื่องกายมายืนยังชานเรือนกว้าง มือบางเกาะขอบราวไม้อย่างแผ่วเบา เพื่อหวังจะพยุงร่างกายของตนเองให้หยัดยืนอยู่ตรงนั้นได้
เส้นผมบางสลวยถูกปล่อยยาวสยายจนมันปลิวไสวไปกับสายลมยามดึก
กลิ่นหอมยังคงกรุ่นกำจาย กลิ่นหอมจากกายนางช่างหอมนัก ทั้งจากดอกเก็ตถวาซึ่งทัดอยู่ซอกหูและเสียดแซมอยู่ตามเส้นผมของเจ้านาง
หลายคืนมาแล้วที่นางได้รับรู้ซึ่งความเจ็บปวดอันมากมาย ไม่อาจจะหลีกหนีพ้นไปได้อีกต่อไป เจ้าพ่อให้คนมาแจ้งกับเจ้านางว่าออกพรรษาหน้า เจ้าแสนเมืองจะยกขบวนมาขอเจ้านางแล้ว เจ้านางจะทำอย่างไร เรื่องนี้อ้ายภูมินทร์ยังไม่รู้ ยิ่งเจ็บปวดอย่างมากมาย เมื่อตนจะต้องปิดเรื่องเหล่านี้ไม่ให้เขารู้เขาทราบ
ยิ่งนางหายไปหลายวันอย่างนี้แล้ว ไม่รู้ว่าอ้ายภูมินทร์จะคิดกับตัวของนางอย่างไร
“อ้ายภูมินทร์...น้องจะเยี๊ยะจะใดดีน้อ...”
หยาดน้ำตาพลันหลั่งรินไหลไม่รู้จักจบสิ้น สิ่งที่เคยปรารถนามาตลอดกลับไม่ได้ผล องค์พระธาตุแห่งวัดเชียงหมิ่นไยไม่ช่วยให้นางได้รอดพ้นไปจากความเจ็บปวดเหล่านี้ได้
พรรษาหน้า...เหลืออีกไม่กี่เพลาแล้ว มันก็คงจะไม่ถึงปีนั่นแหละ เพราะนี่เพิ่งจะออกพรรษามาไม่เท่าไรแล้ว
เจ็บ...เจ็บปวดเหลือหลาย นางจะทำอย่างไรดี
ปล่อยให้สายลมเย็นมันคอยพัดพาไปอย่างเชื่องช้าแลอ้อยสร้อย ไม่อยากคิดให้มันเจ็บปวดหัวใจ สุดท้ายนางจึงได้แต่เก็บกดความอัดอั้นเหล่านั้น แล้วเข้ามานอนในเรือนที่สุด
//////
ท้องฟ้าสลัวของเช้าวันถัดมาแสงแดดยังคงไม่พ้นจากเหลี่ยมดอยตรงหน้า เจ้านางยกเอาผ้าตุ๊มมาคลุมบ่าลาดบางและเดินลัดเลาะไปตามเส้นทาง ดำเนินมุ่งสู่วัดเชียงหมิ่น ในวันนี้นางต้องการจะมาพบปะกับอ้ายน้อยภูมินทร์เพื่อจะพูดคุยปรึกษาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ให้เขาได้รู้และช่วยเหลือนางให้พ้นไปจากความเจ็บปวดนี้
เจ้านางมารอเขาคนนั้นตั้งแต่เช้าด้วยหัวใจอันร้อนรุ่มทุรนเป็นยิ่งนัก หากเมื่อยิ่งนานกลับไม่เห็นแม้เงาของเขาเลย เหลือบแลมองเข้าไปยังอุโบสถหลังใหญ่ ก่อนเจ้านางจะรีบเร่งถลาไปตามที่หัวใจของตนปรารถนา
ใช่ ไหว้พระ...ไหว้สาพระเจ้าบางทีมันอาจจะทำให้หัวใจของเจ้านางดีขึ้นมาไม่มากก็น้อยยังดี
ร่างระหงหายเข้าไปในอุโบสถหลังกว้าง กรอบหน้าที่หมองเศร้ามององค์พระในอุโบสถนิ่งงัน คล้ายดั่งจะขอความเมตตา แลพึ่งพาให้อาศัยและขัดเกลาหัวใจที่เจ็บปวดเหล่านี้ให้หมดไปจากหัวใจของนางสักทีหนึ่ง
ก้มลงกราบพระ ไหว้สาอธิฐานขอให้ความเจ็บปวดที่เป็นไป หมดออกไปจากตัวของนางและขอให้ได้พบเจอกับอ้ายภูมินทร์อีกครั้งและขอให้เขาได้หาวิธีช่วยเหลือนางให้หลุดพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้สักที
พอได้กราบพระ หัวใจสาวก็พอจะทุเลาความเจ็บปวดไปได้บ้าง หากแต่มันก็ยังไม่หมด เมื่อความปรารถนาของนางยังคงไม่บรรจบกับความสมหวัง เพราะวันนี้ ตั้งแต่เช้านางยังไม่ได้เห็นหน้าของเขาเลย
อ้ายภูมินทร์ อ้ายไปอยู่ที่ไหน...
เจ้านางผู้งามอย่างแสงแห่งจันทร์นวลเยื่องกายลงมายังลานอีกครั้ง เคลื่อนกายนางไปนั่งยังแคร่ไม้ใต้ตนไทรใหญ่ อย่างไรเสีย วันนี้นางจะต้องพบเจอพี่อ้ายให้ได้
จะเป็นอย่างไร วันนี้จะต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่อง
“รอไผอยู่เจ้านาง...”
แล้วน้ำเสียงที่นางรอคอยก็ดังขึ้น หากเสียงนั้นติดจะแกมน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง
เจ้านางหันมาทางต้นเสียงและส่งค้อนให้ในทันที รู้ทั้งรู้ว่านางรอใคร ยังจะมาถามให้มากความอีก
“ข้าเจ้ารออ้ายคนหนึ่ง บ่ฮู้ว่าเปิ้นไปไหนถึงเพิ่งมา”
“อ้ายก็ว่าเหมือนกัน อ้ายก่มารอแม่ญิงผู้หนึ่งเหมือนกั๋น เปิ้นหายหน้าหายตาไปหลายวัน บ่ฮู้ว่าเปิ้นไปปะบ่าวที่ไหนพ้องบ่ฮู้แล้ว” เจ้าหนุ่มขยับมาเคียงใกล้แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม
“แม่ญิงคนนั้นเปิ้นบ่ได้ไปไหนดอก เพียงแต่เปิ้นกำลังเจ็บปวดหัวใจ๋ บ่ฮู้ว่าอ้ายคนนั้นเปิ้นจะฮู้ผ่องก่”
ชายหนุ่มเบิกตาขึ้นทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงนั้น พร้อมกับน้ำตาที่มันสร้างเป็นม่านอยู่บนหน่วยตาของนาง
“เจ้า...เจ้านางน้อยเป๋นอะหยัง”
“ข้าเจ้า...”
เสียงสะอื้นลอยขึ้นมาจุกที่ลำคอจนพูดไม่ออก เจ้านางจึงรีบโผเข้าไปซบที่อกหนานั้นทันที
“เจ้านางน้อย เจ้าเป๋นอะหยัง บอกอ้ายมาสักกำเต๊อะ”
“เจ้าป้อ...เจ้าป้อจะหื้อข้าเจ้ากินแขกกับเจ้าแสนเมืองแห่งเวียงอังวะ”
เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นชัดเจน จนทำให้ผู้ฟังถึงกับสะท้านไปทั่วหัวอก ปานประหนึ่งว่าแผ่นฟ้าจะทลายลงมาในเวลานั้นแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้น ไยเจ้านางถึงได้พูดอย่างนั้น
“เจ้า...เจ้านางน้อย เกิดอะหยังขึ้น”
“อ้ายภูมินทร์...ข้าเจ้าเจ็บอก เจ็บขนาด”
“อ้ายก่เจ็บ เจ้านางบอกอ้ายมากำเต๊อะว่ามันเกิดอะหยังขึ้น”
เจ้าราชบุตรแห่งเวียงยายกมือหนาที่สั่นเทาขึ้นลูบบนหัวน้อยๆ อันมีผมสลวยม้วนเกล้าอยู่อย่างอ่อนโยน
มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าคำผาเมืองถึงได้ให้เจ้านางแต่งงานกับหมู่ม่านพวกนั้น
“เจ้าป้อบอกว่า ข้าเจ้ากับเจ้าแสนเมืองเปิ้นเป๋นคู่แพงกันมา แล้วมันจะถึงเวลาแล้วที่เฮาสองคนจะกิ๋น แขกกัน”
“คู่แพง เป๋นไปบ่ได้ เจ้านางน่ะกา มีคู่แพง”
“ข้าเจ้าบ่ฮู้...ข้าเจ้าบ่ได้ฮักเปิ้น ข้าเจ้าฮักแต่อ้ายแต่เพียงผู้เดียว”
“เจ้าหลวงเปิ้นเห็นแก่คนม่านไจ้ก่อ เปิ้นก่ฮู้ว่าชาวม่านทำอะหยังกับหมู่เฮาเอาไว้ จะใดเปิ้นถึงได้หันหมู่นั้นดีกว่าเฮา”
“อันนี้ข้าเจ้าบ่ฮู้ วันก่อนเจ้าแสนเมืองเปิ้นมาที่เวียง เจ้าป้อหื้อข้าเจ้าไปฮู้จักกับเปิ้น”
“จะอี้ไจ้ก่อตี้เยี๊ยะหื้อเจ้านางหายไปหลายวัน”
“ข้าเจ้าทำใจ๋บ่ได้อ้าย ข้าเจ้าบ่อยากหื้ออ้ายเจ็บปวดเหมือนข้าเจ้า”
“โธ่...เจ้ายอดงามฟ้าของอ้าย”
ลูบศีรษะซึ่งมีผ้าโพกสีหม่นพันอยู่อย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมจากกายนางช่างรัญจวนใจเป็นยิ่งนัก กลิ่นกายของนางหอมกว่ามวลหมู่ไม้ใดๆ ในโลกหล้า เจ้าหนุ่มทอดถอนหายใจยาวเหยียด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำเช่นใดดี ถึงจะทำให้ตนแลเจ้านางผู้ที่รักของเขารอดพ้นไปจากความทุกข์ระทมเหล่านี้ได้
“ถ้าอ้ายจะบอกอะหยังกับเจ้านางสักกำหนึ่งเจ้านางจะเจื้ออ้ายก่อ”
“อะหยังเจ้า”
เจ้าจันทร์งามเงยหน้าขึ้นมาจากอกหนาอันอบอุ่น ประกายตาที่มองเขาส่อแววอยากรู้เป็นยิ่งนัก
“ถ้าอ้ายไปสู่ขอเจ้านางกับเจ้าหลวงเปิ้น เจ้านางจะยอมก่อ”
“แต่อ้าย...เจ้าป้อเปิ้นจะยอมกา”
“ถ้าอ้ายไปในฐานะของเจ้าราชบุตรแห่งเวียงยา เจ้าหลวงเปิ้นจะยอมก่อ”
“เจ้าราชบุตร หมายความว่าจะใด” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างตกใจเป็นยิ่งนัก อ้ายภูมินทร์พูดเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน
“ก็หมายความว่า ถ้าเจ้าราชบุตรแห่งเวียงยาไปขอน้อง เจ้าหลวงเปิ้นจะยอมยกน้องหื้ออ้ายก่”
“อ้าย...”
/////
แล้ววันที่เจ้าจันทร์งามรอคอยก็เดินทางมาถึง เมื่อขบวนอันใหญ่โตจากเวียงยาเดินทางเข้ าวรนครอย่างเอิกเกริก การต้อนรับก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
เจ้าหลวงคำผาเมืองและเจ้านางหลวงเกล็ดหล้าได้ออกมาต้อนรับเจ้าบ่อนเมือง เจ้าหลวงแห่งเวียงยา แลเจ้าราชบุตร เจ้าน้อยภูมินทร์ ด้วยตัวเอง
การเจรจาพูดคุยถึงเรื่องการสู่ขอเจ้าจันทร์งามเริ่มขึ้นในช่วงสายของวันนั้น หากแต่สิ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายผิดหวังก็คือ พ่อเจ้าคำผาเมืองไม่อาจที่จะตอบรับต่อคำขอของเจ้าบ่อนเมืองแลเจ้าราชบุตรเจ้าน้อยภูมินทร์ได้ ด้วยเพราะตนได้ให้เหตุผลว่า ได้ให้คำมั่นต่อเจ้าแสนเมืองแห่งเวียงอังวะไปแล้ว ตนไม่อาจจะถอนคำมั่นเหล่านั้นได้
ดังนั้นทั้งเจ้าผู้ครองเวียงยาแลเจ้าราชบุตรจึงได้กลับเวียงไปอย่างไม่อาจที่จะเอ่ยคำทัดทานอันไหนได้อีกต่อไป
ความเศร้ามาเยือนเจ้าจันทร์งามอีกครั้ง กับการปฏิเสธของเจ้าพ่อที่มีต่อเจ้าราชบุตรหนุ่ม
ด้วยเพราะเห็นชาวม่ารามัญดีกว่าเวียงยาหรืออย่างไร ถึงไม่ได้ตอบรับคำขอนั้นของเจ้าเวียงยา
นับจากวันนั้น เจ้าจันทร์งามก็เอาแต่เก็บตัวเองอยู่แต่ในคุ้มในเรือน ไม่ยอมออกไปไหน ทุกครั้งก็เอาแต่นั่งจองจมอยู่กับความเศร้าทุกข์ระทมขมไหม้ กับคราบน้ำตาที่ไม่ยอมหยาดหยุด ร่างกายนางนับวันก็เอาแต่ผ่ายผอม เพราะไม่ยอมกินข้าวกินปลา ไม่ว่าเจ้าแม่หรือเจ้าเอื้อยจะมาปลอบอย่างไร เจ้านางก็ไม่ยอมเชื่อ
ยิ่งนานวันความอ่อนแรงก็ยิ่งเดินทางมาถึง ในเมื่อหนทางสุดท้ายสิ้นสุดลง ก็ไม่รู้ว่าจะเอาสิ่งไหนมาช่วยได้อีกต่อไป
หัวใจน้องเจ็บ บ่ดีขีขม (ขมขื่น)
หัวใจ๋ระทม บ่สมเจ้าข้า
แลฤๅบาปซ้ำ กระหน่ำตัวข้า
บุญบ่สมพา จึ่งเจ็บ
หยาดน้ำตายังคงหลั่งริน ร่างซึ่งนอนซบอยู่กับกองหนังสือบนโต๊ะสะอื้นจนตัวโยน เหล่าผองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับตกใจ ก่อนคนอยู่ใกล้กว่าจะเอื้อมมือเข้ามาสะกิดเรียกหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บ...ข้าเจ้าเจ็บขนาด”
“จันทร์...จันทร์ เธอเป็นอะไร”
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยออกมาระหว่างที่นอนหลับในช่วงบ่ายของวันนั้น เธอบอกเพื่อนๆ ว่ารู้สึกเพลีย จึงขอนอนหลับสักงีบ ส่วนเหล่าเพื่อนๆ ก็นั่งคุยกันอยู่เงียบๆ ปล่อยให้เธอนอนหลับอยู่บนโต๊ะตามสบาย หากแต่สิ่งที่ทำให้พวกเธอตกใจก็คือเสียงสะอื้นไห้ของจันทร์เจ้า กับเสียงที่หลุดออกมาจากปากของเธอปานว่าจะเจ็บปวดเหลือหลาย
“จันทร์...เธอเจ็บอะไร จันทร์”
แวววรรณรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสาว เธอจึงรีบจับที่ต้นแขนของจันทร์เจ้าและเขย่าเรียกอีกฝ่ายอย่างแรงอีกครั้ง
“จันทร์เจ้า เธอเจ็บอะไร เธอเป็นอะไร ตื่นสิ จันทร์”
เสียงเรียกที่เริ่มจะเด่นชัดกับการเขย่าบนหัวไหล่ของเธออย่างแรง ทำให้ร่างที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อน ซึ่งดวงจิตได้หลุดลอยไปสู่ภพภูมิแห่งนิมิตอันเด่นชัด ก็เหมือนถูกดึงกลับมาอีกครั้ง จนเธอได้สติและเหมือนว่าร่างของตนถูกกระชากกลับไปข้างหลังอย่างแรง
ร่างที่ซบอยู่บนท่อนแขนกลมกลึงและผละหงายมาข้างหลังอย่างแรงและรวดเร็วปานว่าจะหงายหลังตกโต๊ะ ทำให้แวววรรณและเหล่าเพื่อนๆ ถึงกับตกใจไปตามๆ กัน
เสียงหอบหายใจของจันทร์เจ้ายังคงอยู่ หยาดเหงื่อหลั่งริน เช่นเดียวกับคราบน้ำตาซึ่งนองอยู่บนกรอบหน้าขาวเนียน มีแต่เพียงดวงตาคู่สวยเท่านั้นกรอกมองไปรอบๆ อย่างตกใจ
“แวว...ได้เวลาเข้าห้องเรียนแล้วหรือ” เสียงแหบเครือและยังไม่ทอนซึ่งเสียงสะอื้นดังขึ้น
หากสิ่งที่ได้รับกลับมาจากเพื่อนๆ คือสายตาที่มองมายังเธอด้วยความแปลกใจแกมตกใจ
มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ร้องไห้ แต่บัดนี้ทำเหมือนไม่รู้สึกตัวและไม่มีอะไร
“พวกเธอเป็นอะไรกัน แวว ตาล จั่น” เอ่ยถามเหล่าเพื่อนๆ ทั้งสามคนที่นั่งจ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียวด้วยความสงสัย
“เอ่อ...จันทร์ เมื่อกี้เธอเป็นอะไร อย่างกับผีเข้า”
แวววรรณถามด้วยเสียงสั่นเครือ การผละหงายหลังมาอย่างแรงของเพื่อนสาว ทำให้ผู้ที่จับอยู่บนหัวไหล่ของอีกฝ่ายตกใจไม่หาย
“เป็น...เป็นอะไร ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“แต่เมื่อกี้...เอ่อ เธอร้องไห้”
ชี้ไปบนกรอบหน้าสวยของจันทร์เจ้า หญิงสาวยกมือขึ้นจับยังแก้มของตนเองก็รู้สึกว่ามันเปียกได้ด้วยคราบน้ำตาจริงๆ พร้อมกันนั้นความรู้สึกกับสิ่งที่พบเห็นเมื่อครู่ก็เริ่มจะเด่นชัด
ทว่าหญิงสาวยังไม่อยากจะให้เหล่าเพื่อนๆ รู้และทราบในตอนนี้ว่าเธอได้พบเจอกับอะไรบ้าง จึงตอบปฏิเสธในที่สุด
“เอ่อ...ไม่มีอะไร เวลาฉันนอน น้ำตาก็ชอบจะไหลแบบนี้แหละ”
“แต่เมื่อกี้เธอสะอื้น และเอ่อ...พูดด้วย”
จักจั่นเอ่ยขึ้นในที่สุด ก็ประโยคปฏิเสธของเพื่อนสาวมันไม่เข้าท่ากับสิ่งที่พวกเธอเห็นเอาเสียเลย
“พูด ฉันพูดว่ายังไง”
“เธอพูดว่า ข้าเจ้าเจ็บ เจ็บอะไรเนี่ยแหละ” ตาลแก้วช่วยเสริมอีกคนหนึ่ง
“เธอฝันอะไรจันทร์เจ้า รู้สึกว่าช่วงนี้เธอจะแปลกๆ ไปนะ” ได้ทีแวววรรณก็เริ่มเค้นต่อ “ทำอย่างกับจะมีความหลังอะไรบางอย่างให้รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นแหละ”
“ไม่...ไม่มีอะไรนี่”
หญิงสาวตอบปฏิเสธ เธอยังไม่พร้อมจะบอกในสิ่งที่ตนเห็นให้กับใครได้ทราบในเวลานี้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เหนือการพิสูจน์อีก พูดออกไปเพื่อนของเธอก็หัวเราะเยาะเธอสิ
“ได้เวลาเข้าห้องแล้ว ไปเถอะ”
เพื่อปฏิเสธในการตอบคำถามของเหล่าเพื่อนๆ จันทร์เจ้าจึงลุกขึ้น รวบหนังสือ กระตุ้นให้ทุกๆ คนกลับไปยังห้องเรียนในที่สุด
/////
ด้วยภาพที่เห็นและเด่นชัด กับความเจ็บปวดที่กระหน่ำซ้ำซัดไม่หยุดไม่หย่อน ทำให้ช่วงบ่ายของวันนั้นจันทร์เจ้าไม่มีสมาธิในการเรียนเอาเสียเลย หลังเลิกเรียนหญิงสาวจึงรีบกลับบ้านทันที วันพรุ่งนี้ไม่มีการเรียนการสอน จะมีอีกทีก็วันศุกร์ ในครั้งแรกๆ หญิงสาวก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทางมหาวิทยาลัย ถึงได้จัดการเรียนการสอนแบบข้ามวันแบบนั้น ไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ต้องจำยอมทำตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด
แต่ในเวลานี้ หญิงสาวกลับอยากจะให้ทุกวันเป็นวันหยุด เพราะเธอจะได้ให้คุณย่าบัวคำเล่าเรื่องราวสิ่งที่เธออยากจะรู้ให้จนจบ เผื่อสิ่งที่มันค้างคาในหัวใจของเธอพอจะทุเลาลงไปบ้าง
มันรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้และหญิงสาวก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงได้ฝันเห็นแต่เรื่องที่เจ็บปวดเหล่านั้นได้
ในความฝันครั้งสุดท้ายเธอเพิ่งจะรู้ว่าคนที่เจ้าจันทร์งามรักคือเจ้าน้อยภูมินทร์ เจ้าราชบุตรหนุ่มแห่งเวียงยาและนั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดีใจไม่แพ้กับเจ้าจันทร์งามที่รู้เรื่องนี้ว่าชายที่นางรักไม่ใช่ชาวบ้านสามัญทั่วไป เขาไม่ได้มีศักดิ์แตกต่างจากนางเลย หากแต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเห็นจะเป็นการปรากฏตัวของเจ้าแสนเมืองและการปฏิเสธการสู่ขอของเจ้าพ่อคำผาเมืองพระบิดาของเจ้าจันทร์งามและดูเหมือนว่าจากนั้น เจ้าน้อยจะหายหน้าหายตาไปเลย นั่นจึงยิ่งทำให้เจ้านางทุกข์ระทมเป็นยิ่งนัก
เจ้าน้อยหายไปไหน ทำไมไม่มาปลอบใจเจ้านางน้อยผู้อาภัพล่ะ หรือเขาจะเจ็บช้ำจนไม่อาจจะเห็นหน้าของเจ้านางผู้นั้นได้อีกต่อไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด...เธออยากจะรู้ บทสรุปแห่งเรื่องราวความรักเหล่านี้จะจบลงอย่างไร
หรือทุกอย่างมันจบลงแล้ว ตรงที่ทุกฝ่ายไม่สมบุญกัน
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงขออนุญาตมารดาเพื่อจะไปหาคุณย่าบัวคำอย่างทุกครั้ง เมื่อได้รับอนุญาตแล้วหญิงสาวจึงตรงมายังบ้านเรือนไทยหลังนั้นในทันที
คุณย่าบัวคำยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนตัวเดิมของตนเอง ภายใต้ซุ้มพวงชมพู เวลาเย็นเต็มที แสงสีส้มของพระอาทิตย์อัสดงสาดทอไปทั่วฟ้า เหล่านกนานาชนิดต่างโบยบินกลับสู่รวงรัง เสียงร้องแตกรังของมันยังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ
กลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนหรือเก็ตถวายังคงลอยกรุ่น บนต้นของมันออกดอกสีขาวแซมอยู่อย่างสวยงาม จันทร์เจ้ามองไม้พุ่มชนิดนั้นอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงชรา
“สวัสดีค่ะคุณย่า”
“ไหว้สาเถอะหนูจันทร์...อ้าวไหนว่าจะมาวันพรุ่งนี้อย่างไรล่ะ” หญิงชราถามอย่างแปลกใจ
“หนูทนให้ถึงวันพรุ่งนี้ไม่ได้แล้วค่ะ อยากจะรู้ให้จบเสียทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าจันทร์งาม”
“ทำไมถึงทนไม่ได้ล่ะหนู” คุณย่าบัวคำอดจะจ้องและมองเข้าไปยังแววตาของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้
“คือหนูอยากจะรู้เรื่องราวให้จบๆ ไปค่ะ รู้แบบครึ่งๆ กลางๆ มันไม่สนุกค่ะ วันนี้จึงขออนุญาตคุณแม่ให้มาฟังคุณย่าเล่าให้จบ”
หญิงสาวเอ่ยบอกความจริง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นก็ตาม เพราะจริงๆ แล้วเธออยากจะรู้ว่าชีวิตหลังจากนั้นของเจ้าจันทร์งามจะเป็นอย่างไร หลังจากการหายตัวไปของเจ้าน้อยภูมินทร์และการปรากฏตัวของเจ้าแสนเมืองเจ้าจากกรุงอังวะ ชาวม่านรามัญ แล้วงานกินแขกของเจ้าแสนเมืองและเจ้าจันทร์งามจะเกิดขึ้นหรือไม่ การเดินทางไปยังบ้านเมืองที่เจ้านางไม่รู้จักจะเป็นอย่างไร แล้วสุดท้ายทุกอย่างจะจบลงเช่นไร
หญิงชราไม่พูดอะไรแต่กลับหัวเราะแต่พอเป็นพิธี ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เมื่อวานย่าเล่าถึงตอนไหนนะ”
“คุณย่าเล่าถึงตอนที่เจ้าน้อยภูมินทร์และเจ้าจันทร์งามมอบความรักให้แก่กันอย่างหวานชื่นค่ะ แต่พอจันทร์ถามคุณย่าว่าเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาจริงๆ แต่ทำไมคุณย่าถึงได้พูดว่ามันไม่เสมอไปล่ะคะ มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้างามล่ะคะ”
ถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว หากหญิงสาวยังจะอยากจะให้หญิงชราเริ่มต้นเล่าใหม่อีกครั้งหนึ่ง เผื่อบางที มันอาจจะไม่จบแบบเจ็บๆ อย่างที่เธอฝันเห็นก็เป็นได้
/////
วันนี้เพรงนางมาช้ากว่ารอยรักเหมันต์นิดหนึ่ง (คนละวันเล้ย) ต้องขออภัยจริงๆ ครับ แหะๆ
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 เม.ย. 2555, 07:17:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 เม.ย. 2555, 07:17:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 1478
<< ตอนที่ ๘ สัญญารัก | ตอนที่ ๑๐ ฝืนใจ >> |